ผู้หนีภัยสู้รบกลับบ้านหลังกะเหรี่ยง KNLA ยึดฐานครึเด

Wed, 26 Mar 2025 14:30:00

วันนี้ (26 มี.ค.2568) ทหารกองทัพกะเหรี่ยงอิสระแห่งชาติ (KNLA) บุกยึดฐานครึเด ของทหารเมียนมาใน อ.แลงปอย จ.ผาอัน รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ได้สำเร็จแล้ว ส่งผลให้ผู้หนีภัยการสู้รบชาวกะเหรี่ยงสัญชาติเมียนมา 110 คน เดินทางกลับภูมิลำเนาที่บ้านทีเลอโด๊ะ อ.แลงปอย

ก่อนหน้านี้ กองทัพกะเหรี่ยงอิสระแห่งชาติ ใช้อากาศยานไร้คนขับทิ้งระเบิดใส่ทหารเมียนมาในฐานครึเด ห่างจากชายแดน 3 กิโลเมตร แม้ทหารเมียนมาจะใช้เครื่องบินโจมตีทางอากาศ แต่ไม่เป็นผล ทำให้ฝ่ายกะเหรี่ยงสามารถเข้ายึดฐานครึเดได้เบ็ดเสร็จ พร้อมยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ของทหารเมียนมาได้หลายรายการ ขณะที่ทหารเมียนมาถอนกำลังหลบหนีออกจากพื้นที่

แหล่งข่าวฝ่ายเคเอ็นยู. แจ้งว่า ไม่คาดคิดว่าจะยึดค่ายครึเดได้สำเร็จโดยง่าย หลังจากนี้ฝ่ายกะเหรี่ยงจะโจมตีฐานที่มั่นฝ่ายทหารเมียนมา เพื่อยึดคืนอีกหลายแห่งในพื้นที่ตรงข้าม อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 3 เดือน สามารถยึดพื้นที่จากทหารเมียนมาได้แล้ว 36 แห่ง และจะส่งกำลังปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง

อ่านข่าว

ทหารกะเหรี่ยง-เมียนมา ปะทะห่างชายแดนไทย 3 กม.

ตม.สงขลา จับชาวอูกันดาเตรียมขนโคเคน 16 กก.เข้ากรุงเทพฯ

การเมืองมัสก์-นวัตกรรม BYD ตัวฉุด Tesla ยอดขายตก-หุ้นร่วง ?


การเมืองมัสก์-นวัตกรรม BYD ตัวฉุด Tesla ยอดขายตก-หุ้นร่วง ?

Wed, 26 Mar 2025 13:24:28

วันนี้ (26 มี.ค.2568) การตัดสินใจของอีลอน มัสก์ ที่เข้าไปมีบทบาทในวงการการเมือง โดยเฉพาะการเป็นหัวหน้าทีม DOGE ในรัฐบาลทรัมป์ ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ของ Tesla จากแบรนด์นวัตกรรมที่เป็นที่รักของกลุ่มเสรีนิยม ไปสู่สัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับฝ่ายขวาในสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคารถมือ 2 ของ Tesla ในสหรัฐฯ ลดลงอย่างมาก แม้ว่าความสนใจในรถ EV มือ 2 จะเพิ่มขึ้นก็ตาม

ในยุโรป การที่มัสก์สนับสนุนพรรค Alternative f?r Deutschland (AfD) ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าใกล้ชิดกับแนวคิดสุดโต่ง ทำให้ยอดขาย Tesla ในเยอรมนีเดือน ก.พ.ปีนี้ ลดลงถึงร้อยละ 75 และยอดขายรวมในยุโรปลดลงร้อยละ 44

ผลกระทบนี้ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่สะท้อนถึงการสูญเสียฐานลูกค้าที่เคยชื่นชอบ Tesla ในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืน การที่มัสก์วิจารณ์ผู้นำอย่าง เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกฯ ของสหราชอาณาจักร ยิ่งทำให้ Tesla เสี่ยงต่อการถูกต่อต้านในตลาดสำคัญ นักวิเคราะห์บางคนระบุว่า การเมืองของมัสก์อาจเป็นปัจจัยระยะสั้นที่สร้างความเสียหายรุนแรงกว่าที่คาด ซึ่งเห็นได้จากหุ้น Tesla ที่ร่วงลงกว่าร้อยละ 40 จากจุดสูงสุดเมื่อ ธ.ค. ปีที่แล้ว

"ตัวเลขไม่โกหก" BYD ผงาดแซง Tesla

ในปี 2567 BYD ประกาศรายได้สูงถึง 777,000 ล้านหยวน หรือ 107,000 ล้านดอลลาร์ เติบโตร้อยละ 29 จากปี 2566 แซงหน้า Tesla ที่ทำได้เพียง 97,700 ล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้ไม่ใช่แค่การเติบโตธรรมดา แต่เป็นการตอกย้ำว่า BYD ได้ก้าวข้าม Tesla ในฐานะผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดระดับโลก ขณะที่ Tesla เผชิญยอดขายตกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ BYD ขายรถได้ถึง 4,300,000 คัน โดยเฉพาะรถไฮบริดที่ครองใจผู้บริโภคจีนท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ

ความสำเร็จของ BYD ไม่ได้มาแค่โชคช่วย แต่มาจากกลยุทธ์ที่เฉียบคม รถรุ่นใหม่ Qin L ที่เพิ่งเปิดตัว ราคาเริ่มต้นเพียง 119,800 หยวน หรือ 16,500 ดอลลาร์ แต่ให้ระยะทางขับขี่ 330 ไมล์ และเทคโนโลยีขับขี่อัจฉริยะ เทียบกับ Tesla Model 3 ที่ราคาแพงกว่า 2 เท่า (235,500 หยวน หรือ 32,000 ดอลลาร์) แต่สเปกไม่ได้หนีกันมาก 

ส่วน Tesla กำลังเผชิญพายุหลายด้าน ยอดขายทั่วโลกลดลงและคาดการณ์ปีนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น ในจีน ตลาดรถยนต์ใหญ่ที่สุดในโลก Tesla เสียส่วนแบ่งให้ BYD และผู้ผลิตรายอื่นอย่าง NIO และ XPeng โดย BYD ครองตลาดด้วยราคาที่แข่งขันได้และตัวเลือกที่หลากหลาย ในยุโรป แบรนด์จีนรวมกันเติบโตร้อยละ 82 ขณะที่ Tesla ลดลงร้อยละ 44 ซึ่งนวัตกรรมของ BYD มีบทบาทสำคัญในการดึงลูกค้า แต่การเมืองของมัสก์ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง 

ในสหรัฐฯ กำแพงภาษีช่วยให้ Tesla ยังครองตลาด EV ล้วน แต่ภาพลักษณ์ที่เสียหายจากมัสก์ทำให้ลูกค้ากลุ่มสำคัญหันไปหาคู่แข่ง นวัตกรรมของ BYD เป็นภัยคุกคามเชิงโครงสร้างที่กระทบระยะยาว ขณะที่การเมืองของมัสก์เป็นตัวเร่งให้ Tesla เสียหายทันที การผสมผสานของทั้ง 2 ปัจจัยนี้เห็นได้จากรายได้ที่ BYD แซง Tesla และยอดขายที่ทิ้งห่าง

มีหรือไม่ ? ทางออกจากวิกฤตของ Tesla 

หากโฟกัสที่นวัตกรรม Tesla ต้องเร่งพัฒนารถราคาถูก โดยมีแผนเปิดตัว Model Y รุ่นเล็กในปี 2569 แต่ความล่าช้าอาจทำให้เสียโอกาสให้แก่ BYD ที่ครองตลาดรถ EV ราคาประหยัดไปแล้ว การพัฒนา Full Self-Driving (FSD) ที่ช้ากว่า Waymo ก็เป็นจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข มัสก์พยายามกระตุ้นพนักงานในการประชุมฉุกเฉิน ส่งผลให้หุ้นดีดตัวขึ้นร้อยละ 5 ในวันศุกร์ที่ 21 มี.ค. และร้อยละ 12 ในวันจันทร์ที่ 24 มี.ค. แต่การฟื้นตัวนี้ยังไม่ยั่งยืน

ในทางกลับกัน หากการเมืองคือปัญหาหลัก การลดบทบาทของมัสก์ในเวทีการเมืองอาจช่วยฟื้นภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นจากลูกค้า

สรุปแล้ว นาทีนี้ 3 ตัวอักษรที่น่าจะสร้างความกังวลให้ Tesla และ มัสก์ น่าจะเป็น "BYD" ประเมินจากตัวเลขผลประกอบการชี้ว่า นวัตกรรมของ BYD เป็นภัยคุกคามเชิงกลยุทธ์ที่ทำให้ Tesla เสียส่วนแบ่งตลาดและรายได้ แต่การเมืองของมัสก์เป็นตัวเร่งที่ทำให้วิกฤตทวีความรุนแรงในระยะสั้น Tesla อาจเผชิญภาวะดิ่งลงต่อไป หากไม่สามารถแก้ไขทั้ง 2 ด้านนี้ได้ทันเวลา

ที่มา : CNN, BBC


ผู้นำตุรกีชี้ผู้ประท้วงเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวที่ใช้ความรุนแรง

Tue, 25 Mar 2025 22:31:59

วันนี้ (25 มี.ค.2568) ชาวตุรกีจำนวนมากปักหลักชุมนุมในนครอิสตันบูล เป็นคืนที่ 6 ติดต่อกัน เพื่อแสดงพลังต่อต้านรัฐบาล จากกรณีการจับกุมตัว เอเกรม อิมาโมลู นายกเทศมนตรีนครอิสตันบูล โดยมีการเผชิญหน้ากันระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม

การประท้วงในลักษณะนี้เกิดขึ้นในอีกหลายเมืองทั่วประเทศ รวมถึงที่กรุงอังการา ล่าสุดผู้ว่าการกรุงอังการา ประกาศขยายระยะเวลาห้ามจัดการประท้วงทุกรูปแบบในเมืองหลวง ออกไปจนถึงเวลา 23.59 น.ของวันที่ 1 เม.ย.ตามเวลาท้องถิ่น หลังมีผู้ประท้วงถูกจับกุมตัวไปแล้วมากกว่า 1,130 คน และมีตำรวจได้รับบาดเจ็บราว 123 คน นับตั้งแต่เกิดการประท้วง

ประชาชนร่วมเดินขบวนประท้วงนายกเทศมนตรีที่ถูกจับ

ประชาชนร่วมเดินขบวนประท้วงนายกเทศมนตรีที่ถูกจับ

เรเซป ไทยิป เออร์ดวน ประธานาธิบดีตุรกี ระบุว่า การประท้วงที่เกิดขึ้นเป็นการเคลื่อนไหวที่มีการใช้ความรุนแรง และพรรคฝ่ายค้านหลักจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับผู้ประท้วง และต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายของทรัพย์สินสาธารณะและร้านค้าต่างๆ ขณะที่รัฐมนตรีมหาดไทยตุรกี กล่าวหาผู้ประท้วงบางส่วนว่าสร้างความหวาดกลัวบนท้องถนนและคุกคามความมั่นคงของชาติ

ด้านสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอังการา ระบุผ่านสื่อสังคมออนไลน์ขอให้คนไทยที่อาศัยอยู่ในนครอิสตันบูล หรือเดินทางไปท่องเที่ยว เพิ่มความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีการรวมตัวหรือชุมนุมขนาดใหญ่ และขอให้ตรวจสอบข้อมูล รวมถึงวางแผนการเดินทางให้ดี เนื่องจากระบบขนส่งสาธารณะในบางสายและบางพื้นที่อาจระงับการให้บริการชั่วคราว หากเกิดกรณีฉุกเฉินสามารถติดต่อสถานทูตผ่านหมายเลขฉุกเฉิน +90 533 641 5698 ได้ตลอดเวลา

นักศึกษาจุดพลุชุมนุมประท้วงนายกเทศมนตรีที่ถูกจับ

นักศึกษาจุดพลุชุมนุมประท้วงนายกเทศมนตรีที่ถูกจับ

อ่านข่าวอื่น :

อพยพด่วน! วัดพันปี-หมู่บ้านมรดกโลก ไฟป่าเกาหลีใต้เผาวอดแสนไร่

"ทรัมป์" ปฏิเสธไม่รู้เรื่องแชทหลุดพลาดส่งแผนรบให้นักข่าว


อพยพด่วน! วัดพันปี-หมู่บ้านมรดกโลก ไฟป่าเกาหลีใต้เผาวอดแสนไร่

Tue, 25 Mar 2025 18:57:39

วันนี้ (25 มี.ค.2568) สำนักข่าว Daily Tribune, Newsday รายงานเหตุการณ์ล่าสุด เกาหลีใต้เผชิญวิกฤตไฟป่าครั้งใหญ่ที่ยังคงลุกลามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเมืองอุยซอง (Uiseong) และอันดง (Andong) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ซึ่งเริ่มปะทุจากจุดไฟป่ากว่า 12 จุดตั้งแต่วันศุกร์ที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา

ล่าสุด วัดโกอุนซา วัดพุทธโบราณอายุกว่า 1,300 ปีในเมืองอุยซอง ถูกไฟเผาจนวอดทั้งหลังในช่วงบ่ายวันนี้ แม้เจ้าหน้าที่จะพยายามปกป้องสมบัติล้ำค่าอย่างสุดความสามารถ ขณะเดียวกัน หมู่บ้านฮาฮเว หมู่บ้านมรดกโลก UNESCO ในเมืองอันดง ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ชาวบ้านได้รับคำสั่งอพยพฉุกเฉินในช่วงค่ำวันนี้ เนื่องจากไฟป่าจากอุยซองกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้อย่างน่ากลัว

รักษาการ รมว.มหาดไทยและความปลอดภัย โก กี-ดง แถลงช่วงเช้านี้ว่า ไฟป่าได้เผาผลาญพื้นที่ไปแล้ว 91,837 ไร่ (14,694 เฮกตาร์) และความเสียหายยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตัวเลขนี้ทำให้ไฟป่าครั้งนี้กลายเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์เกาหลีใต้ รองจากไฟป่าในเดือน เม.ย.2543 ที่เผาผลาญพื้นที่ถึง 149,456 ไร่ (23,913 เฮกตาร์)

และด้วยสภาพอากาศแห้งจัดและลมกระโชกแรง คาดเป็นตัวเร่งให้ไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ท้องฟ้าในเมืองอุยซองถูกปกคลุมด้วยควันหนาที่ยิ่งทำให้การมองเห็นและการดับไฟยากลำบาก ผู้สื่อข่าว AFP รายงานว่าบรรยากาศในพื้นที่มีทั้งความโกลาหลและความตึงเครียด ชาวบ้านในหมู่บ้านโบราณต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่ ขณะที่นักท่องเที่ยวที่เคยมาเยือนสถานที่เหล่านี้เพื่อสัมผัสประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ต่างตกตะลึงกับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

วัดถูกไฟป่าเผาวอด

วัดถูกไฟป่าเผาวอด

"วัด-หมู่บ้าน UNESCO" ความสูญเสียครั้งประวัติศาสตร์

วัดกาอุนซาในเมืองอุยซอง ถือเป็น 1 ในสมบัติทางวัฒนธรรมของเกาหลีใต้ สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิลลา เมื่อราวศตวรรษที่ 7 และเคยเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ วันนี้ เจ้าหน้าที่จากศูนย์ดูแลมรดกวัฒนธรรมกยองบุกตะวันตก จู จอง-วาน เข้าพื้นที่เพื่อพยายามเคลื่อนย้ายโบราณวัตถุออกจากวัด เช่น เอกสารโบราณและเครื่องใช้ในพิธีกรรม รวมถึงห่อหุ้มรูปปั้นพระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่ด้วยผ้าทนไฟ

แต่ด้วยโครงสร้างไม้ของวัดที่เก่าแก่และแห้งสนิทจากสภาพอากาศในฤดูใบไม้ผลิ เปลวไฟที่พัดมาด้วยลมแรงได้เผาผลาญทุกอย่างจนไม่เหลือซาก เจ้าหน้าที่จาก Korea Heritage Service ยืนยันในช่วงบ่ายว่า

วัดกาอุนซาได้ถูกทำลายลงทั้งหมด ไม่เหลือแม้แต่เสาหลัก

พระ เดิง-วูน พระภิกษุในชุมชนท้องถิ่น กล่าวว่าวัดนี้ไม่ใช่แค่สถานที่ แต่เป็นจิตวิญญาณของผู้คน การสูญเสียครั้งนี้เจ็บปวดเกินกว่าที่คำพูดจะอธิบายได้

ขณะเดียวกัน หมู่บ้านฮาฮเวในเมืองอันดง ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ตั้งแต่ปี 2553 ด้วยบ้านเรือนโบราณที่สร้างจากไม้และดินเหนียว รวมถึงวิถีชีวิตดั้งเดิมที่ยังคงรักษาไว้อย่างดีเยี่ยม ขณะนี้ตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง คำเตือนฉุกเฉินจากทางการระบุว่า ไฟป่าจากอุยซองกำลังเคลื่อนตัวมาทางหมู่บ้าน ขอให้ชาวบ้านอพยพไปยังที่ปลอดภัยโดยด่วน ทำให้ชาวบ้านกว่า 5,400 คนทั่วภูมิภาคถูกบังคับให้ทิ้งบ้านเรือน และเดินทางไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว เช่น โรงเรียนประถมและโรงยิมในร่ม ที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับผู้ประสบภัย

ความสูญเสียครั้งนี้ไม่เพียงกระทบต่อมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า แต่ยังทำลายความหวังของชุมชนที่พึ่งพาการท่องเที่ยวจากสถานที่เหล่านี้เป็นแหล่งรายได้หลัก

เจ้าหน้าที่ใช้ผ้าคลุมพระพุทธรูป เร่งขนย้ายหนีไฟป่า

เจ้าหน้าที่ใช้ผ้าคลุมพระพุทธรูป เร่งขนย้ายหนีไฟป่า

รัฐบาลระดมสรรพกำลังคุมสถานการณ์

รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศภาวะฉุกเฉินใน 4 ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบหนัก ได้แก่ อุยซอง อันดง ซันชอง และ อุลซาน พร้อมระดมทรัพยากรทุกอย่างที่มีเพื่อต่อสู้กับไฟป่า กระทรวงมหาดไทยและความปลอดภัย รายงานว่า มีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงกว่า 6,700 นาย เฮลิคอปเตอร์ 120 ลำ รถดับเพลิง และยานพาหนะสนับสนุนนับร้อยถูกส่งไปยังจุดเกิดเหตุ

โดยเกือบร้อยละ 40 ของกำลังทั้งหมด ถูกจัดสรรไปที่เมืองอุยซอง ซึ่งเป็นจุดที่ไฟป่ารุนแรงและควบคุมได้ยากที่สุด Korea Forest Service ปรับระดับคำเตือนไฟป่าเป็น "ร้ายแรง" สูงสุดทั่วประเทศ สั่งปิดกั้นทางเข้าป่าและสวนสาธารณะทุกแห่งทั่วเกาหลีใต้ และขอให้กองทัพงดการฝึกซ้อมที่อาจก่อให้เกิดประกายไฟ เช่น การยิงปืนจริงหรือการใช้ระเบิดฝึกซ้อม

รักษาการรัฐมนตรี โก กี-ดง กล่าวในการประชุมภัยพิบัติว่า ลมแรง อากาศแห้ง และหมอกควันหนาทำให้การดับไฟเป็นไปอย่างยากลำบาก อัตราการควบคุมไฟในอุยซองลดลงจากร้อยละ 60 เหลือ ร้อยละ 55 ในวันนี้ แม้ว่าในช่วงเช้าเจ้าหน้าที่จะสามารถควบคุมไฟป่าส่วนใหญ่ในเมืองซันชองและอุลซานได้ชั่วคราว แต่ลมที่เปลี่ยนทิศและสภาพอากาศที่ยังคงแห้งสนิททำให้ไฟป่ากลับมาปะทุซ้ำ

ชาวบ้านในเมืองอุยซองเล่าว่า ได้ยินเสียงลมแรงดังสนั่น ผสมกับกลิ่นควันที่ฟุ้งกระจาย บางครอบครัวต้องสวมหน้ากากป้องกันฝุ่นเพื่อหลีกเลี่ยงการสูดดมควันพิษที่หนาทึบ ผู้สื่อข่าวในพื้นที่รายงานว่า ทัศนวิสัยในบางจุดลดลงเหลือไม่ถึง 50 เมตร ส่งผลให้การเคลื่อนย้ายอุปกรณ์และกำลังคนต้องทำด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ ทางการยังคงขอความร่วมมือจากประชาชนให้งดเว้นการจุดไฟในทุกกรณี เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปกว่านี้

ระดมสรรพกำลังเร่งดับไฟป่า

ระดมสรรพกำลังเร่งดับไฟป่า

จุดไฟดูแลสุสาน ต้นเพลิงไฟป่า

นายกรัฐมนตรี ฮัน ดัก-ซู กล่าวในที่ประชุม ครม.ว่า ไฟป่าในอุยซองมีสาเหตุมาจากความประมาทของมนุษย์ โดยมีรายงานว่าชายคนหนึ่งจุดไฟเพื่อดูแลสุสานครอบครัวในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ไม่สามารถควบคุมไฟได้จนลุกลามกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่

ไฟป่าส่วนใหญ่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ ประชาชนต้องปฏิบัติตามแนวทางป้องกันไฟป่าอย่างเคร่งครัด

พร้อมย้ำว่ารัฐบาลจะใช้ทุกมาตรการเพื่อควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด ทางการยังสงสัยว่าไฟป่าในเมืองอุลซานและจุดอื่น ๆ อาจเกิดจากการเผาหญ้าแห้งในสุสานหรือประกายไฟจากการเชื่อมโลหะ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในช่วงฤดูใบไม้ผลิของเกาหลีใต้

ผลกระทบจากไฟป่าครั้งนี้ รุนแรงถึงขั้นคร่าชีวิตเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและข้าราชการ 4 คน ในเมืองซันชอง เมื่อวันเสาร์ที่ 22 มี.ค. และมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 11 คน ประชาชนกว่า 5,400 คนต้องอพยพออกจากบ้านเรือนของตน อาคารเสียหายหรือถูกทำลายไปแล้วกว่า 150 หลัง

กรมอุตุนิยมวิทยาท้องถิ่นในแดกูและกยองซังเหนือเตือนว่าอากาศแห้งจัดและลมแรงยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสูง แม้เพียงประกายไฟเล็ก ๆ ก็อาจกลายเป็นไฟป่าขนาดใหญ่ได้ในพริบตา นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ฤดูใบไม้ผลิในภูมิภาคนี้แห้งและร้อนมากขึ้น อาจมีส่วนทำให้ไฟป่ารุนแรงและควบคุมได้ยากขึ้น 

เจ้าหน้าที่วัดเร่งเก็บใบไม้ ลดเชื้อเพลิงไฟป่า

เจ้าหน้าที่วัดเร่งเก็บใบไม้ ลดเชื้อเพลิงไฟป่า

อ่านข่าวอื่น :

มีผลแล้ว ราชกิจจาฯ ประกาศกฎหมายแก้ไขใหม่ "ทำโทษบุตร"

ปัดมีดีล "แพทองธาร" ยืนยันไม่เกี่ยวข้องปม "ทักษิณ" กลับบ้าน

 


ฤดูซากุระบานเริ่มแล้ว! โตเกียวต้อนรับเทศกาลชมดอกไม้สีชมพู

Tue, 25 Mar 2025 16:03:05

เมื่อวันที่ 24 มี.ค.2568 The Japan Times รายงาน ฤดูดอกซากุระบานของโตเกียว ปี 2568 เริ่มต้นขึ้นแล้วตั้งแต่วันจันทร์ที่ 24 มี.ค. ซึ่งเร็วกว่าปีที่แล้ว 5 วัน โดยสำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น (Japan Meteorological Agency หรือ JMA) ได้ประกาศว่าต้นซากุระที่ศาลเจ้ายาสุกุนิได้เริ่มบานแล้ว 

ต้นซากุระพันธุ์โซเมอิ-โยชิโนะ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องดอกสีชมพูอ่อน เป็นตัวบ่งชี้อย่างเป็นทางการสำหรับการประกาศของ JMA นี้ ข้อมูลถูกรวบรวมจากต้นไม้ 58 ต้นที่ถูกคัดเลือกไว้ทั่วประเทศ โดยการประกาศของโตเกียวขึ้นอยู่กับต้นไม้ต้นเดียวที่ศาลเจ้าในเขตชิโยดะ

JMA ได้ประกาศว่าต้นไม้ชื่อดังนี้ได้บานอย่างเป็นทางการแล้ว โดยกำหนดว่าต้นซากุระจะถือว่าบานเมื่อมีดอกไม้ 5-6 ดอกบานบนกิ่งของมัน และจะประกาศว่า บานเต็มที่เมื่อดอกไม้ราวร้อยละ 80 ของต้นบานแล้ว

สภาพอากาศที่อบอุ่นในสัปดาห์ที่ผ่านมา เชื่อว่ามีส่วนกระตุ้นให้ดอกบาน ตามข้อมูลจาก JMA คาดว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการชมดอกไม้จะอยู่ในอีกประมาณ 1 สัปดาห์หรืออาจเร็วกว่านั้นหากสภาพอากาศอบอุ่นยังคงอยู่

ทั้งนี้ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (23 มี.ค.) JMA ได้ประกาศว่าต้นซากุระโซเมอิ-โยชิโนะ ใน จ.โคจิ และ จ.คุมาโมโตะ ก็เริ่มบานแล้ว โดยที่ จ.โคจิ ตรงกับวันที่บานของปีที่แล้ว ส่วน จ.คุมาโมโตะ บานเร็วกว่าปีที่แล้ว 3 วัน เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของทุกปี ทั้ง 2 เมืองบานช้ากว่าปกติเพียง 1 วันเท่านั้น

วัดยังไง ? เมื่อไหร่ฤดูซากุระ

ในญี่ปุ่น สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น (Japan Meteorological Agency หรือ JMA) เป็นผู้รับผิดชอบในการติดตามและประกาศการเริ่มต้นของฤดูดอกซากุระบานอย่างเป็นทางการ โดยใช้ระบบที่เรียกว่า "ต้นไม้ตัวอย่าง" หรือ "standard trees" ซึ่งประกอบด้วยต้นซากุระพันธุ์โซเมอิ-โยชิโนะ (Somei-Yoshino) จำนวน 58 ต้นที่ถูกคัดเลือกไว้ล่วงหน้าทั่วประเทศญี่ปุ่น

ต้นไม้เหล่านี้ถูกเลือกจากสถานที่ต่าง ๆ ในแต่ละภูมิภาค เพื่อเป็นตัวแทนในการสังเกตการบานของดอกซากุระ และช่วยให้สามารถคาดการณ์ช่วงเวลาการบานในพื้นที่ต่าง ๆ ได้

เกณฑ์คัดเลือกซากุระทั้ง 58 ต้น

ต้นซากุระทั้ง 58 ต้นนี้กระจายอยู่ตามเมืองหรือจังหวัดต่าง ๆ ทั่วญี่ปุ่น เช่น โตเกียว, โอซากะ, เกียวโต, ฟุกุโอกะ, ซัปโปโร เป็นต้น โดยแต่ละต้นจะถูกกำหนดให้เป็น "ต้นไม้ตัวอย่าง" ประจำท้องถิ่นนั้น ๆ มักตั้งอยู่ในสถานที่สาธารณะ เช่น ศาลเจ้า วัด หรือสวนสาธารณะ ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย และมีการดูแลอย่างดี เพื่อให้มั่นใจว่าการสังเกตจะมีความสม่ำเสมอและแม่นยำ

พันธุ์ต้นซากุระที่เลือกเป็นพันธุ์โซเมอิ-โยชิโนะ ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในญี่ปุ่น เนื่องจากมีลักษณะเด่นคือดอกสีชมพูอ่อนที่บานพร้อมกันและร่วงหล่นในเวลาอันสั้น ทำให้เหมาะสำหรับการสังเกตและเป็นสัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ผลิ

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น มีเกณฑ์ที่ชัดเจนในการกำหนดว่าต้นซากุระเริ่มบาน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูซากุระในแต่ละพื้นที่

การใช้ต้นไม้ 58 ต้นและเกณฑ์การบานนี้ จะช่วยให้ญี่ปุ่นสามารถคาดการณ์และรายงานการบานของซากุระได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งไม่เพียงแต่มีความหมายทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว แต่ยังช่วยในการวางแผนกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เทศกาลฮานามิ หรือเทศกาลชมดอกไม้ และการเกษตร เนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงมีผลต่อการบานของซากุระ และสะท้อนถึงสภาพภูมิอากาศในแต่ละปีด้วย

ปฏิทินการบานของซากุระในญี่ปุ่น ปี 2568

การบานของดอกซากุระในญี่ปุ่นจะเริ่มจากพื้นที่ทางใต้ขึ้นไปทางเหนือตามลักษณะภูมิอากาศของประเทศ โดยทั่วไปแล้ว ดอกซากุระจะเริ่มบานที่ โอกินาวะ ก่อนเป็นที่แรก เนื่องจากเป็นจังหวัดที่อยู่ทางใต้สุดของญี่ปุ่นและมีสภาพอากาศอบอุ่นที่สุด โดยมักเริ่มบานตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ตามด้วยภูมิภาคคิวชู เช่น ฟุกุโอกะ และ คาโกชิมะ ในช่วงกลางถึงปลายเดือนมีนาคม จากนั้นจะค่อย ๆ ไล่ขึ้นไปยังภูมิภาคอื่น ๆ เช่น คันโต, คันไซ และสุดท้ายที่ฮอกไกโด ในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม

ที่มา : สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น (Japan Meteorological Agency, JMA), The Japan Times

อ่านข่าวอื่น :

"ออมุก" ปลาแผ่นเกาหลี รสชาติดีกินเพลินทุกคำ

รู้จัก "ภราดร ปริศนานันทกุล" ลุกห้ามเหตุประท้วงป่วน กลางศึกซักฟอก "นายกฯ" 


“ทรัมป์” ขวางอิสรภาพ ประชาธิปไตยอเมริกัน “ถดถอยลงคลอง”

Tue, 25 Mar 2025 11:12:00

ประชาธิปไตยในสหรัฐอเมริกาได้ถอยหลังลงคลอง ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ค่อย ๆ แปลงร่างเป็นรัฐกึ่งเผด็จการอย่างชัดเจน มีการบ่อนทำลายความเป็นอิสระของตุลาการ การแทรก แซงข้าราชการประจำ และการควบคุมสื่อ (แบ่งขั้วสื่อ) พยายามขัดขวางอำนาจศาล มองข้ามความเห็นชอบของสภาคองเกรส รวมทั้งยังรวบอำนาจให้กับพรรคพวกของตัวเองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เพื่อตั้งใจล้างแค้นข้าราชการหรือนักการเมืองที่เคยเอาโทษหรือวิจารณ์ทรัมป์มาก่อน

ที่เลวร้ายที่สุดคือ ชัยชนะของทรัมป์ส่งสัญญาณผิด ๆ ให้ผู้นำเผด็จการทั่วโลก ว่าสหรัฐฯ ไม่สนใจบทบาทผู้ส่งเสริมประชาธิปไตยแบบสมัยก่อนที่ดำเนินมานานถึง 70 ปี ทรัมป์ได้กลับมาสนับสนุนผู้นำที่มีความคิดเป็นทรราช เช่น วลาดีมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เป็นต้น ได้ตัดงบสนับสนุนประชาธิปไตยทั่วโลกอย่างฉับพลัน ทำให้กิจกรรมภาคประชาสังคมทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย ต้องหยุดชะงัก

คำถามต่อไปคือ คนอเมริกันจะสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตยแบบที่ประเทศกำลังพัฒนากำลังต่อสู้อยู่หรือไม่ ที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีแต่สั่งสอนประเทศอื่นและต่อว่าประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในโกลบอลเซาท์ (Global South) ว่าไม่ได้เป็นประชาธิปไตย

ตอนนี้ ทรัมป์ได้กลายเป็นตัวบ่อนทำลายต้นตอของระบอบประชาธิปไตยตัวเองอย่างสิ้นเชิง สามเดือนที่ผ่านมา ยังไม่มีแววว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่จะลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน

ทรัมป์ได้เริ่มกระบวนการจัดการกับคนหนุ่มสาวที่มีความคิดก้าวหน้า ไม่ว่า จะอยู่ในสถาบันการทำงานหรือสถานศึกษาก็ตาม มีการตามตัวมาเล่นงานในทุกระดับ เช่น อาจารย์หรือนักศึกษาที่มีความคิดก้าวหน้า จะถูกบังคับหรือกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง คนต่างชาติก็ถูกถอดถอนใบเขียวหรือวีซ่า จนทำให้คนกลุ่มนี้ที่เหลือไม่อยากแสดงตัวตนหรือพยา ยามถอยตัวออกห่าง

ขณะนี้ นักสู้เพื่อประชาธิปไตยก้าวหน้าที่สุดในสหรัฐฯ คือ นักการเมืองชายสูงอายุ 83 ปี จากรัฐเวอร์มอนต์ วุฒิสมาชิกสหรัฐ “เบอร์นี แซนเดอร์ส” นั้นเอง ตั้งแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง เขาได้ออกมารณรงค์และสู้ตายอยู่คนเดียว เขาประกาศอย่างชัดเจนว่าศัตรูร้ายกาจที่สุดของการปกครองแบบประชาธิปไตยของสหรัฐฯ ขณะนี้ คือตัวประธานาธิบดีคนปัจจุบันนั่นเอง

หัวก้าวหน้าบางคนที่มีบทบาทในภาคประชาสังคมของสหรัฐฯ กำลังรวมตัวกัน และคงจะหาโอกาสแสดงตัวและต่อสู้กับแนวโน้มเผด็จการของทรัมป์ในอนาคต แต่คงไม่ออกมาในรูปแบบเดิม เช่นการเดินขบวนหรือประท้วงแบบในสมัยก่อน คงใช้สื่อโซเชียลเป็นหลัก และการให้ความรู้แก่คนที่มีสิทธิเลือกตั้ง แต่น่าเสียดายคนส่วนใหญ่ที่ออกมาต่อสู้กลับเป็นวัยกลางคน

ในภูมิภาคอาเซียน การฟื้นฟูและปกป้องสถาบันประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของพลเมือง การปกป้องความเป็นอิสระของตุลาการ และการสนับสนุนสื่อเสรี ซึ่งเป็นกลไกต่อต้านแนวโน้มเผด็จการ ตอนนี้ต้องส่งเสริมกระบวนการตรวจสอบให้เข้มแข็งมากขึ้น

ตอนนี้มีคำถามที่สำคัญคือ อเมริกาจะสามารถรักษาสิ่งที่ตัวเองเคยสั่งสอนคนอื่นไว้ได้หรือไม่

คำตอบชัดเจนมากคือ ไม่ได้แล้ว อนาคตของประชาธิปไตยไม่อาจพึ่งพาสหรัฐฯ ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป คนอเมริกันกำลังสับสน ความคิดถูกแบ่งแยกอย่างรุนแรง หลายคนไม่เห็นตรงกัน แม้แต่ในนิยามคำว่า “ประชาธิปไตย” บางฝ่ายคิดว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยคือการปกป้องสิทธิเลือกตั้งและเสรีภาพของสื่อ ขณะที่อีกฝ่ายกลับเชื่อว่าคือการล้างบางกลุ่มอำนาจที่ถูกตราหน้าว่าเป็น “deep state” หรือการรื้อฟื้นอำนาจแบบอนุรักษนิยม เป็นเรื่องเร่งด่วน

จึงเกิดความย้อนแย้งที่ชัดเจนในสหรัฐฯ ในอดีตอเมริกาเคยคิดว่า หากตนแสดงความเป็นผู้นำ โลกก็จะเดินตามแนวทางประชาธิปไตยได้สำเร็จ แต่ในวันนี้ โลกกำลังจับตามองว่า อเมริกาเองจะรักษาประชาธิปไตยไว้ได้หรือไม่ และบางประเทศก็เริ่มตั้งคำถามว่า แบบอย่างของอเมริกานั้น ยังควรค่าแก่การเอาเยี่ยงอย่างอยู่หรือเปล่า

ฉะนั้น ประเทศต่าง ๆ ที่มักอ้างอิงประชาธิปไตยของสหรัฐฯ มาเป็นโมเดล ควรคิดดูให้ดี แต่ละประเทศมีข้อได้เปรียบและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน สิ่งจำเป็นในสังคมต้องมีคือการเคารพและปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ประชาชนมีที่อยู่อาศัยและที่ทำมาหากินอย่างมีศักดิ์ศรี และสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ มีเสรีภาพควบคู่กับความรับผิดชอบ

คุณสมบัติเหล่านี้มีคุณค่าความเป็นประชาธิปไตยเท่าเทียมกับของสหรัฐฯมิใช่เหรอ

มองเทศคิดไทย : กวี จงกิจถาวร สื่อมวลชนอาวุโส

อ่านข่าว

จับกระแสการเมือง : วันที่ 21 มี.ค.2568 ฝ่ายค้าน "ลับมีดรอ" ศึกซักฟอก "แพทองธาร" พีระพันธุ์ โพสต์ เบิร์ธเดย์ "ลุงตู่"

จับกระแสการเมือง : วันที่ 19 มี.ค.2568 "คอยฟังซิ" ลุงป้อมหงายไพ่การเมือง-หมัดเด็ดปชน.น็อก "แพทองธาร"

ความลับโลกหลังกำแพง "ช่องรอด" นักโทษ พ้นเรือนจำ-เรือนตาย


"ทรัมป์" ปฏิเสธไม่รู้เรื่องแชทหลุดพลาดส่งแผนรบให้นักข่าว

Tue, 25 Mar 2025 08:21:00

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า ไม่รู้เรื่องเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงระดับสูงส่งข้อความเกี่ยวกับแผนการโจมตีในเยเมนไปยังกลุ่มแชทในแอปพลิเคชันส่งข้อความ Signal ซึ่งในกลุ่มดังกล่าวมีบรรณาธิการนิตยสาร The Atlantic รวมอยู่ด้วย

ท่าทีดังกล่าวของผู้นำสหรัฐฯ มีขึ้นหลังจาก The Atlantic ตีพิมพ์บทความชื่อ "รัฐบาลทรัมป์พลาดส่งข้อความแผนทำสงครามมาให้ผม" สื่อถึงคนที่ได้รับคือ Jeffrey Goldberg บรรณาธิการใหญ่ของ The Atlantic

บทความนี้เปิดมาด้วยประโยคที่ว่า โลกรู้เรื่องการทิ้งระเบิดเป้าหมายกลุ่มฮูตีทั่วเยเมนของสหรัฐฯ ในเวลาประมาณ 14.00 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ของวันที่ 15 มีนาคม แต่ผมรู้ล่วงหน้าก่อนระเบิดลูกแรกจะดังขึ้นประมาณ 2 ชั่วโมง เพราะพีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ส่งข้อความแผนการรบมาให้เมื่อเวลา 11.44 น. แผนดังกล่าวรวมถึงข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ที่ใช้ เป้าหมาย และกำหนดการ

โดย Jeffrey Goldberg ถูกดึงเข้าไปในกลุ่มแชท ในแอปฯ Signal โดยบัญชีที่ใช้ชื่อของ Michael Waltz ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ จากนั้นเขาจึงได้รับข้อความรายละเอียดต่างๆ

ยังไม่ชัดเจนว่ารายละเอียดเฉพาะของปฏิบัติการทางทหารเป็นข้อมูลลับหรือไม่ แต่โดยปกติแล้วข้อมูลเหล่านี้เป็นความลับ และอย่างน้อยๆ ก็ต้องปกปิดเพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ และความมั่นคงในการปฏิบัติการ

Signal เป็นแอปพลิเคชันส่งข้อความและโทรศัพท์ที่เน้นความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยเป็นหลัก ใช้การเข้ารหัสแบบต้นทางถึงปลายทาง (end-to-end encryption) ซึ่งหมายความว่ามีเพียงผู้ส่งและผู้รับเท่านั้นที่สามารถอ่านข้อความหรือฟังการโทรได้ แอปนี้เก็บข้อมูลผู้ใช้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยส่งข้อความ, ข้อความเสียง, รูปภาพ, วิดีโอ และไฟล์ต่างๆ ได้ฟรี โทรเสียงและวิดีโอคอลได้ฟรี สามารถสร้างกลุ่มสนทนาได้ ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในแอปส่งข้อความที่ปลอดภัยที่สุด

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นเมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามเกี่ยวกับกรณีเจ้าหน้าที่ของทรัมป์ส่งข้อความแผนสงครามในกลุ่มแชทที่มีนักข่าวรวมอยู่ด้วย ขณะที่ทำเนียบขาวยอมรับแล้วว่า ผู้สื่อข่าวถูกดึงเข้าไปในแชทโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งแชทดังกล่าวเป็นแชทที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงใช้หารือแผนการโจมตีกลุ่มฮูตีในเยเมน 

อ่านข่าว : 2 คนงานเมียนมาถูกไฟดูด ตกท่อลึก เสียชีวิต ถ.ประชาชื่น

ชมสด! ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯ “แพทองธาร” วันที่ 2

วันแรก ซักฟอก "นายกฯ" ข้ามคืน ฝ่ายค้านเปิดหลายประเด็น


บทเรียนใหม่ทรัมป์ เมื่อยุโรปเริ่มแบนสินค้าอเมริกัน ตอบโต้ขึ้นภาษี

Mon, 24 Mar 2025 18:32:40

ความโกรธจากตู้กับข้าว

วันนี้ (24 มี.ค.2568) มอยยา โอซัลลิแวน ครูสาวชาวไอริช วัย 29 ปี จากเมืองคิลเคนนี ทางตอนใต้ของไอร์แลนด์ เธอเล่าว่า เธอใช้ชีวิตประจำวันแบบคนทั่วไป แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเธอเปิดตู้กับข้าวในครัว และ ห้องน้ำของตัวเอง สิ่งที่เธอเห็นคือสินค้าอเมริกันเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นครีมชีสยี่ห้อดังจากสหรัฐฯ, ขนมคุ้กกี้, ยาสีฟัน, น้ำยาบ้วนปาก, วิสกี้ และน้ำอัดลม เธอรู้สึกเหมือนถูก "บุกรุก" โดยสินค้าจากชาติที่เธอเริ่มรู้สึกต่อต้าน

ฉันตัดสินใจทันทีเลยว่า จะไม่ซื้อของพวกนี้อีกต่อไป

เธอบอกกับ CNN ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ความไม่พอใจของเธอมาจากผลการเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯ ที่มีผู้ลงคะแนน 77 ล้านคน เลือกให้ โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาครองตำแหน่งอีกครั้ง มันน่าผิดหวังมากที่ครึ่งหนึ่งของอเมริกาเลือกเขา อเมริกาไม่เรียนรู้บทเรียนจากครั้งแรกเลย ต้องมีผลที่ตามมา เธอกล่าว การตัดสินใจของเธอไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแบรนด์สินค้า แต่เป็นการส่งสัญญาณถึงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายและตัวตนของทรัมป์ ที่เธอมองว่าไม่สอดคล้องกับค่านิยมของครูสาวชาวไอริชรายนี้

ไม่ใช่แค่ มอยยา เท่านั้นที่รู้สึกแบบนี้ เจมส์ แบล็คเลดจ์ วัย 33 ปี บุรุษไปรษณีย์จากเมืองบริสตอล ประเทศอังกฤษ ก็ยอมรับกับ CNN ว่าเป็น เขาคนชอบกินมายองเนสตัวยง แต่เมื่อรู้ว่ายี่ห้อที่เขาชอบเป็นแบรนด์อเมริกัน เขาก็เลิกซื้อทันที

ผมยอมซื้อเครื่องปั่นเล็ก ๆ มาทำมายองเนสเอง แล้วมันก็ง่ายกว่าที่คิด

แม้จะต้องจ่ายแพงกว่าเพื่อซื้อสินค้าท้องถิ่น เขายังเลิกซื้อกาแฟจากร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดังที่มาสาขาไปทั่วโลก ที่เคยเป็นของโปรด รวมถึงเบียร์ที่เขาชอบดื่มเป็นประจำ เขาเล่าต่อว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่เรื่องรสนิยมส่วนตัว แต่เป็นการแสดงออกถึงจุดยืนทางการเมืองที่เริ่มแพร่กระจายในหมู่คนรอบตัวเขา แม้จะต้องเสียสละความสะดวกสบายบ้าง แต่เจมส์และเพื่อนๆ มองว่านี่คือวิธีที่พวกเขาจะมีส่วนร่วมในการต่อต้านทรัมป์ได้ แบบที่ไม่ต้องออกไปชุมนุมบนถนน 

"สงครามการค้า" ทรัมป์จุดไฟ ยุโรปตอบโต้

ทุกอย่างเริ่มร้อนระอุเมื่อทรัมป์ประกาศเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ว่าจะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลก รวมถึงจากสหภาพยุโรป (EU) เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย "ภาษีตอบโต้" ที่เขาหาเสียงไว้ สินค้าที่จะได้รับผลกระทบมีตั้งแต่เหล็ก รถยนต์ ไปจนถึงสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป

EU ไม่ยอมอยู่นิ่ง เตรียมตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าอเมริกัน เช่น วิสกี้ รถมอเตอร์ไซค์ เบียร์ เนื้อไก่ เนื้อวัว และพืชผลอย่างถั่วเหลือง มะเขือเทศ และราสเบอร์รี การเผชิญหน้ากันครั้งนี้จุดชนวนให้เกิด "ชาตินิยมทางเศรษฐกิจ" ในยุโรป มอยยาและเจมส์กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระแสนี้ โดยใช้เงินในกระเป๋าของตัวเองเป็นอาวุธต่อสู้กับนโยบายของทรัมป์

ขณะที่ผู้นำยุโรปพยายามเจรจากับทรัมป์เพื่อลดความเสียหายจากสงครามการค้า แต่สำหรับประชาชนบางส่วน การคว่ำบาตรสินค้าอเมริกัน คือ วิธีที่พวกเขาจะแสดงพลังได้โดยตรง โดยไม่ต้องรอการตัดสินใจจากรัฐบาล

ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีก่อน ตอนที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้งครั้งแรก ชาวยุโรปออกมาประท้วงกันเต็มถนน ด้วยความโกรธและความหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ครั้งนี้ บรรยากาศต่างออกไป โซอี การ์ดเนอร์ โฆษกของกลุ่ม Stop Trump Coalition ในอังกฤษ บอกว่าผู้คนรู้สึกเหนื่อยล้าและหมดหวังมากขึ้น ความมั่นใจในการต่อต้านลดลง หลังจากเห็นว่าการประท้วงครั้งก่อนไม่ได้หยุดทรัมป์จากการกลับมา

ครั้งแรก ผู้คนโกรธและคิดว่าสามารถต่อสู้แล้วชนะได้ แต่ตอนนี้ หลายคนรู้สึกพ่ายแพ้

มอยยาเองก็ยอมรับว่าครั้งนี้คนเหนื่อยกันมาก แต่ถึงอย่างนั้นเธอและคนอื่น ๆ ที่ยังสู้ต่อ เพียงแต่เลือกวิธีที่เงียบกว่า นั่นคือการแบนสินค้าอเมริกันจากชีวิตประจำวัน การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ดังเท่าการชุมนุม แต่เป็นการแสดงออกที่ลึกซึ้งและส่วนตัวมากขึ้น

แล้วการคว่ำบาตรจะได้ผลจริงไหม ?

คำถามใหญ่คือ การคว่ำบาตรแบบนี้ได้ผลจริงหรือ ? ในอดีต ยุโรปเคยมีการแบนสินค้าที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียและอิสราเอลหลังสงครามในยูเครนและกาซา ซึ่งได้ผลบ้างในการกดดันให้บางบริษัทตัดความสัมพันธ์กับประเทศเหล่านั้น งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเมื่อปี 2559 พบว่า ในสหรัฐฯ ผู้บริโภคลดการซื้อสินค้าแบรนด์ที่ "ฟังดูเป็นฝรั่งเศส" หลังความขัดแย้งเรื่องสงครามอิรักกับฝรั่งเศส แม้จะไม่กระทบยอดขายมาก แต่ชื่อเสียงของแบรนด์เสียหายได้

การศึกษาในสหรัฐฯ ระหว่างปี 2533-2548 ก็พบว่า การคว่ำบาตรอาจไม่ทำร้ายกำไร แต่ส่งผลต่อภาพลักษณ์แน่นอน มอยยาเองก็เข้าใจดีว่าถึงจะไม่เปลี่ยนอะไร แต่ก็ไม่อยากให้เงินส่วนตัวไปหนุนเศรษฐกิจของทรัมป์ สำหรับเธอ การแบนครั้งนี้เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีและจุดยืนมากกว่าผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ

เดนมาร์กนำร่อง "ป้ายดาวยุโรป"

ในเดนมาร์ก กระแสนี้เริ่มชัดเจนขึ้น Salling Group ร้านค้าปลีกใหญ่ที่สุดของประเทศ เริ่มติดป้ายดาวสีดำบนฉลากสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อบอกว่าสินค้านั้นผลิตในยุโรป การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังทรัมป์ขู่จะผนวกกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก เข้ากับสหรัฐฯ

ทำให้ชาวเดนมาร์กโกรธจัด Anders Hagh ซีอีโอของ Salling Group เขียนบน LinkedIn ว่าลูกค้าถามหาสินค้ายุโรปเยอะมากช่วงนี้ และย้ำว่าร้านยังคงขายสินค้าจากทั่วโลก แต่การติดป้ายช่วยให้ลูกค้าเลือกได้ตามใจ การเคลื่อนไหวนี้ไม่ใช่การแบนโดยตรง แต่เป็นการสนับสนุนทางอ้อมให้คนหันมาซื้อสินค้ายุโรป และอาจเป็นต้นแบบให้ร้านค้าอื่นในภูมิภาคทำตาม

ส่วนโลกออนไลน์ กลายเป็นสนามรบใหม่ของการคว่ำบาตรนี้ บน Facebook กลุ่มในสวีเดนที่เรียกร้องให้แบนสินค้าอเมริกันมีสมาชิกถึง 81,000 คน ขณะที่กลุ่มในเดนมาร์กมี 90,000 คน ทุกชั่วโมงมีคนโพสต์ถามว่า สินค้าอย่างอาหารสุนัข โซดา ชีส หรือช็อกโกแลตที่ใช้อยู่มาจากสหรัฐฯ หรือไม่ พร้อมแชร์ทางเลือกที่เป็นแบรนด์ยุโรปหรือท้องถิ่น

กระแสนี้แสดงให้เห็นว่าความโกรธต่อทรัมป์ไม่ได้จำกัดแค่คน 2-3 คน แต่กำลังขยายวงผ่านโซเชียลมีเดีย แม้จะยังไม่ใหญ่พอที่จะกระทบการส่งออกของสหรัฐฯ แต่ก็เป็นสัญญาณว่าชาวยุโรปพร้อมใช้พลังของผู้บริโภคเป็นอาวุธ

"เทสลา" สัญลักษณ์บอยคอตต์อิทธิพลอเมริกัน

ทรัมป์อาจไม่เป็นที่นิยมในยุโรป แต่เทสลา ซึ่งมีอีลอน มัสก์ ผู้สนับสนุนทรัมป์เป็นเจ้าของ กลายเป็นเป้าหมายใหญ่ การประท้วงหน้า โชว์รูมเทสลา ในอังกฤษเริ่มขึ้น แต่ที่เมืองลีดส์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (22 มี.ค.) มีผู้เข้าร่วมไม่ถึง 20 คนตามภาพที่ผู้จัดเผยแพร่ แสดงถึงความยากในการระดมคนในยุคนี้

ยอดขายเทสลาในยุโรปเดือนมกราคมลดลงจาก 18,121 คัน เหลือ 9,913 คัน ตามข้อมูลของ JATO แม้บางส่วนอาจเป็นผลจากรอบการเปิดตัวรุ่นใหม่ แต่หลายคนเชื่อว่ากระแสต่อต้านทรัมป์และมัสก์มีส่วนด้วย การโจมตีเทสลากลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านอิทธิพลอเมริกันในยุโรป

สมัยทรัมป์มาเยือนลอนดอนในปี 2561 มีผู้ประท้วงถึง 250,000 คน พร้อมบอลลูน "ทรัมป์เบบี้" ขนาด 20 ฟุต ลอยเหนือเมือง แต่ครั้งนี้ การต่อต้านย้ายจากถนนมาสู่ครัวเรือน โซอี การ์ดเนอร์ จาก Stop Trump Coalition บอกว่าการประท้วงกลายเป็นเรื่องส่วนตัวมากขึ้น เช่น การเลิกซื้อสินค้าจาก Amazon แม้เธอยอมรับว่ายังใช้ WhatsApp ซึ่งเป็นของ Meta บริษัทอเมริกัน

มันมีข้อขัดแย้งอยู่ แต่ก็ยังคุ้มที่จะทำ การต่อสู้ครั้งนี้เงียบกว่าแต่ก่อน แต่ก็สะท้อนความโกรธที่ยังคุกรุ่นในใจชาวยุโรป

ราฟาเอล กลัคส์มันน์ สมาชิกสภายุโรปจากฝรั่งเศส ออกมาท้าทายสหรัฐฯ ระหว่างการชุมนุมด้วยคำพูดที่ว่า คืนเทพีเสรีภาพมา เขาหมายถึงรูปปั้นที่ฝรั่งเศสมอบให้สหรัฐฯ เมื่อร้อยกว่าปีก่อน "ถ้าสหรัฐฯ ไม่สนใจโลกเสรี เราจะรับช่วงต่อเองในยุโรป" เขากล่าวต่อบน X

คำพูดนี้จุดไฟให้ชาวยุโรปบางคนรู้สึกว่าถึงเวลายืนหยัดด้วยตัวเอง แทนที่จะพึ่งพาสหรัฐฯ อย่างที่เคยเป็นมา การท้าทายนี้ไม่ใช่แค่คำพูด แต่เป็นการเรียกร้องให้ยุโรปกำหนดทิศทางของตัวเองในโลกที่ทรัมป์ครองอำนาจ

อ่านข่าวอื่น :

ค่าฝุ่น PM2.5 ภาคเหนือ 17 จังหวัด แตะ "ระดับสีแดง" สั่งเฝ้าระวังใกล้ชิด

ลดราคาน้ำมันเบนซิน-ดีเซล 1 บาท/ลิตร ของขวัญสงกรานต์ 2568


"โป๊ปฟรานซิส" อาการดีขึ้น กลับบ้านพักหลัง 38 วันสู้ปอดอักเสบ

Mon, 24 Mar 2025 16:06:08

เมื่อวันที่ 23 มี.ค.2568 CNN รายงาน สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงออกจากโรงพยาบาลเจเมลลีในกรุงโรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (23 มี.ค.) หลังเข้ารับการรักษานาน 5 สัปดาห์จากอาการปอดอักเสบทั้ง 2 ข้าง ทรงกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านพักคาซา ซานตา มาร์ตา ในวาติกัน ซึ่งแพทย์ระบุว่าพระองค์ต้องใช้เวลาพักฟื้นอย่างน้อย 2 เดือนเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่ การออกจากโรงพยาบาลครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังพระองค์ทรงปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ โดยโบกมือและยกนิ้วโป้งให้กำลังใจจากระเบียงโรงพยาบาล

แม้สมเด็จพระสันตะปาปาจะยังดูอ่อนแรงและมีปัญหาในการพูด แต่พระองค์ยังทรงกล่าวขอบคุณฝูงชนที่มารอด้านนอกโรงพยาบาล ทรงสังเกตเห็นหญิงคนหนึ่งที่ถือดอกไม้และทรงให้พร แม้ว่าจะยกแขนได้ลำบาก

ก่อนกลับบ้านพัก พระองค์ทรงแวะที่มหาวิหารซานตา มาเรีย มัจโจเร เพื่อถวายดอกไม้แด่รูปเคารพพระแม่มารี "Salus Populi Romani" ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์มักเสด็จไป หลังการรักษาตัวในโรงพยาบาล

สมเด็จพระสันตะปาปาวัย 88 ปีทรงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเจเมลลีตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ. เริ่มแรกด้วยอาการติดเชื้อทางเดินหายใจรุนแรง ก่อนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นการติดเชื้อหลายชนิดที่พัฒนาไปสู่ปอดอักเสบทั้ง 2 ข้าง ทีมแพทย์ระบุเมื่อวันเสาร์ว่า (22 มี.ค.) อาการของพระองค์ดีขึ้นและคงที่แล้ว จึงอนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่วาติกันได้

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 38 วันของการรักษา มีเหตุการณ์วิกฤต 2 ครั้งที่ชีวิตของพระองค์ตกอยู่ในอันตราย ดร.เซอร์จิโอ อัลเฟียรี หัวหน้าทีมแพทย์ กล่าวว่าการพักฟื้น 2 เดือนนี้ "สำคัญมาก" และพระองค์ควรค่อย ๆ กลับมาทำงาน โดยหลีกเลี่ยงการพบปะกลุ่มใหญ่ไปก่อน

ในช่วงรักษาตัว สมเด็จพระสันตะปาปาทรงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจแบบไม่รุกล้ำและออกซิเจนเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ดร.ลุยจิ คาร์โบเน รองผู้อำนวยการบริการสุขภาพวาติกัน กล่าวว่า เสียงของพระองค์ดีขึ้นแต่ยังต้องฟื้นฟูต่อ และถึงแม้จะหายจากปอดอักเสบแล้ว พระองค์ยังต้องรักษาการติดเชื้ออื่น ๆ ต่อไป คาร์โบเนเผยว่า พระสันตะปาปาทรงมีกำลังใจที่ดีและขอออกจากโรงพยาบาลมาหลายวันแล้ว แต่ยังต้องทำกายภาพบำบัดและรักษาต่อที่บ้านพัก

ถึงแม้จะเผชิญปัญหาสุขภาพปอดมานาน สมเด็จพระสันตะปาปายังทรงแสดงความมุ่งมั่นในการฟื้นตัว โดยกลับมาทำงานบางส่วนและลงนามในเอกสารต่าง ๆ เดือนนี้ พระองค์ทรงอนุมัติกระบวนการปฏิรูปคริสตจักรคาทอลิก 3 ปี รวมถึงการให้บทบาทผู้หญิงมากขึ้น เช่น การแต่งตั้งเป็นมัคนายก และเพิ่มการมีส่วนร่วมของฆราวาสในการตัดสินใจ

มีข้อความที่พระองค์ตรัสว่า "ในช่วงรักษาตัวนานนี้ ผมได้สัมผัสถึงความอดทนของพระเจ้า ซึ่งสะท้อนผ่านการดูแลของแพทย์และความหวังของญาติผู้ป่วย" พระองค์ยังทรงแสดงความเสียใจต่อการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในฉนวนกาซา เรียกร้องให้ยุติอาวุธและเจรจาสันติภาพเพื่อปล่อยตัวประกันและหยุดยิงอย่างถาวร

การออกจากโรงพยาบาลครั้งนี้ได้รับการต้อนรับจากผู้คนทั่วโลก คาร์ดินัล วิกเตอร์ มานูเอล เฟร์นานเดซ ผู้ช่วยใกล้ชิด กล่าวว่า การรักษาครั้งนี้น่าจะทำให้พระสันตะปาปาทรงไตร่ตรอง และอาจนำไปสู่ "ช่วงใหม่" ในชีวิตของพระองค์ แม้ต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตหลังกลับวาติกัน แต่เฟร์นานเดซเชื่อว่า พระองค์จะยังสร้างเซอร์ไพรส์ให้โลกได้ต่อไป

อ่านข่าวอื่น :

"สส.ณัฐชา" จวกรัฐแก้ "ปลาหมอคางดำ" ต้องกล้าหาคนทำผิดลำดับแรก

"อิทธิพล" อภิปรายปมคดีเหมืองทองอัครา ชี้เอื้อ "พล.อ.ประยุทธ์" พ้นผิด


"รัสเซีย" ส่งโดรนถล่ม "ยูเครน" เสียชีวิต 3 คน

Mon, 24 Mar 2025 07:38:00

วันนี้ (24 มี.ค.2568) ช่วงเช้ามืดของวันอาทิตย์ที่ 23 มี.ค.2568 ตามเวลาท้องถิ่น ระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนรัวกระสุนยิงสกัดโดรนที่ลอยเข้ามาเหนือกรุงเคียฟ ท่ามกลางแสงวาบที่เกิดขึ้นเป็นระยะ  

หน่วยรับมือเหตุฉุกเฉินยูเครน เผยภาพเจ้าหน้าที่ที่ระดมกำลังเข้าดับไฟที่โหมลุกไหม้อาคาร ซึ่งเจ้าหน้าที่ถูกส่งตัวลงพื้นที่หลายจุดหลังมีรายงานความเสียหายและเกิดเหตุเพลิงไหม้จากการโจมตีด้วยโดรน

กองทัพอากาศยูเครน เปิดเผยว่า รัสเซียยิงโดรนโจมตีถึง 147 ลำในชั่วข้ามคืน พุ่งเป้าโจมตีหลายพื้นที่ของประเทศ โดยระบบป้องกันภัยทางอากาศทำลายโดรนไปได้ 97 ลำ และอีก 25 ลำ ถูกสักดไม่ให้โจมตีเป้าหมาย ขณะที่มีรายงานผู้เสียชีวิตในกรุงเคียฟอย่างน้อย 3 คน ในจำนวนนี้มีเด็กอายุ 5 ขวบรวมอยู่ด้วย

ขณะเดียวกัน กระทรวงกลาโหมรัสเซีย เปิดเผยว่า สามารถสกัดโดรนยูครนได้ประมาณ 60 ลำ และมีรายงานผู้เสียชีวิต 1 คน จากการโจมตีของยูเครน

รัสเซียและยูเครนยกระดับการโจมตีทางอากาศในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แม้โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะต่อสายพูดคุยกับประธานาธิบดีของทั้งสองประเทศเพื่อผลักดันการเจรจายุติสงคราม ซึ่งผู้นำรัสเซียและยูเครนต่างระบุว่า พร้อมระงับการโจมตีระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของประเทศคู่ขัดแย้ง

ยูเครน-สหรัฐฯ หารือที่ซาอุดีอาระเบีย

การโจมตียูเครนระลอกล่าสุดของรัสเซียเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่การเจรจาหารือระหว่างคณะผู้แทนยูเครนและสหรัฐฯ จะเปิดฉากขึ้นในกรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย

เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (23 มี.ค.) รัฐมนตรีกลาโหมยูเครน ผู้นำทีมเจรจาของยูเครน เปิดเผยผ่าน แพลตฟอร์ม X ว่า เริ่มการเจรจาหารือกับทีมจากสหรัฐฯ แล้ว ซึ่งทีมเจรจาของยูเครนกำลังพยายามทำตามคำสั่งของโวโลโมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดี เพื่อให้ยูเครนเข้าใกล้สันติภาพที่เป็นธรรมยิ่งขึ้นและเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง โดยวาระการประชุมจะรวมถึงข้อเสนอในการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

การเจรจานี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามทางการทูตที่ผลักดันโดยโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อมากว่า 3 ปี และการเจรจาครั้งนี้ยังมีขึ้นก่อนที่ทีมจากสหรัฐฯ และรัสเซียจะหารือกันในวันจันทร์นี้ ที่ซาอุดีอาระเบียด้วย

รัฐมนตรีกลาโหมยูเครน เปิดเผยว่าการเจรจาหารือกับสหรัฐฯ เสร็จสิ้นลงแล้ว โดยการหารือเป็นไปในทางที่ดี เป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีเป้าหมายชัดเจน ทั้งสองฝ่ายหารือถึงประเด็นสำคัญรวมถึงเรื่องพลังงาน พร้อมทั้งระบุว่ายูเครนกำลังเดินหน้าเพื่อให้เป้าหมายในการบรรลุสันติภาพที่เป็นธรรมและยั่งยืนเป็นจริง

ก่อนหน้าการเจรจา เซเลนสกีระบุว่า การหารือครั้งที่ 2 ระหว่างทีมยูเครนกับทีมสหรัฐฯ ที่ซาอุดีอาระเบียครั้งนี้ เป็นประโยชน์มาก และทีมตัวแทนยูเครนกำลังทำงานอย่างสร้างสรรค์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พร้อมทั้งระบุว่าไม่ว่าผลของการหารือจะเป็นอย่างไร แต่จำเป็นต้องผลักดันให้วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียออกคำสั่งเพื่อหยุดโจมตียูเครน ผู้ที่เริ่มสงคราม ต้องยุติสงครามด้วย 

ผู้แทนสหรัฐฯ เชื่อผู้นำรัสเซียต้องการสันติภาพ

ขณะที่สตีฟ วิทคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษสหรัฐฯ ด้านตะวันออกกลาง ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวฟ็อกซ์ นิวส์ ว่าตนรู้สึกว่าปูตินต้องการสันติภาพ และจะมีความคืบหน้าเกิดขึ้นในวันจันทร์นี้ ซึ่งจะมีการหารือระหว่างตัวแทนจากสหรัฐฯ และรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีผลต่อการหยุดยิงในทะเลดำ และจากจุดนั้นจะค่อยๆ ก้าวไปสู่การหยุดยิงโดยสมบูรณ์

นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่าสหรัฐฯ หวังว่าจะได้เห็นความคืบหน้าที่แท้จริงเกิดขึ้นในการเจรจาสันติภาพรอบนี้ ขณะที่ในคืนวันเสาร์ ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ไม่มีใครในโลกสามารถหยุดปูตินได้ นอกจากตัวเขา

รัสเซียหวังมีความคืบหน้าหลังหารือสหรัฐฯ วันนี้

ตัวแทนจากรัสเซียเดินทางถึงกรุงริยาดของซาอุดีอาระเบีย โดยโฆษกรัฐบาลรัสเซีย ระบุว่า รัสเซียเพิ่งอยู่ในจุดเริ่มต้นของการเจรจาสันติภาพเท่านั้น และยังมีคำถามมากมายว่าข้อตกลงหยุดยิงนั้นควรทำอย่างไร

นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่าประเด็นหลักในหารือกับสหรัฐฯ ครั้งนี้ คือการกลับมาดำเนินการข้อตกลงเปิดทางทะเลดำเพื่อให้ขนส่งธัญพืชออกจากยูเครนได้อย่างปลอดภัย ซึ่งตัวแทนเจรจาพร้อมที่จะหารือในเรื่องนี้ ขณะที่ก่อนหน้านี้ ผู้นำทีมเจรจารัสเซียแสดงความหวังว่าอย่างน้อยจะบรรลุความคืบหน้าบ้างในการเจรจากับสหรัฐฯ ครั้งนี้ แต่ไม่ได้ระบุว่าในประเด็นใด

อ่านข่าว : ลุ้นเที่ยวคนละครึ่ง เข้า ครม. หวังกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง

แจกเงิน10,000 เฟส3 นักวิชาการแนะรัฐบาลพักแจกก่อน

“สวนดุสิตโพล” ระบุคนเห็นด้วยซื้อหนี้ แต่หวั่นทำไร้วินัยการเงิน-ความโปร่งใสของโครงการ


ชาวอเมริกันชุมนุมต้าน "อีลอน มัสก์"

Sun, 23 Mar 2025 15:04:00

วันนี้ (23 มี.ค.68) ชาวอเมริกันประมาณ 100 คน ถือป้ายประท้วงหลากสี ร่วมเต้นและโยกตัวไปมาท่ามกลางเสียงดนตรี บริเวณริมถนนด้านนอก บ.ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เทสลาในกรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งผู้ประท้วง ระบุว่า การชุมนุมในครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิดการต่อต้านระบอบเผด็จการด้วยความสนุกสนานครื้นเครง

ส่วนคนที่ขับรถผ่านไปมาในบริเวณดังกล่าวจำนวนหนึ่งร่วมบีบแตร เพื่อแสดงพลังสนับสนุนการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ซึ่งต่อต้านอิทธิพลของอีลอน มัสก์ ในรัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

มัสก์ เจ้าของบริษัทเทสลาและมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ก้าวขึ้นเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดของผู้นำสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว โดยมัสก์เข้ามามีบทบาทหลักในการผลักดันนโยบายหั่นงบประมาณรัฐบาลครั้งใหญ่ ซึ่งรวมถึงการปลดเจ้าหน้าที่รัฐมากกว่า 2 หมื่นคน และระงับเงินช่วยเหลือต่างชาติหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

อ่านข่าว : ทดลองฟรี! มัสก์ ส่งดาวเทียม Starlink ให้ FAA หวังคว้าสัญญาพันล้าน 

สหรัฐฯ เรียกคืนรถเทสลา "ไซเบอร์ทรัค" หวั่นไม่ปลอดภัย  

"ทรัมป์" เปิดทาง "อีลอน มัสก์" ซื้อ TikTok 

 

 

 


ฮีทโธรว์กลับมาคึกคัก ตำรวจลอนดอนเร่งสอบเหตุไฟไหม้

Sat, 22 Mar 2025 19:34:28

วันนี้ (22 มี.ค.2568) เที่ยวบินต่าง ๆ ที่สนามบินฮีทโธรว์ในกรุงลอนของอังกฤษ เริ่มกลับมาให้บริการตามปกติตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากสนามบินประกาศจะกลับมาเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบในวันนี้ หลังจากที่ต้องปิดให้บริการในวันศุกร์ตลอดทั้งวัน (21 มี.ค.) เนื่องจากเหตุเพลิงไหม้ที่สถานีไฟฟ้าย่อยในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งส่งผลให้เกิดไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง

โฆษกสนามฮีทโธรว์ยืนยันว่า สนามบินเปิดให้บริการตามปกติแล้ว โดยทางสนามบินเสริมกำลังเจ้าหน้าที่อีกหลายร้อยคน พร้อมทั้งเพิ่มจำนวนเที่ยวบินเพื่อช่วยอำนวยความสะดวก แต่ยังคงแนะนำให้ผู้โดยสารตรวจสอบสถานะเที่ยวบินล่าสุดกับสายการบินที่ใช้บริการด้วย

ขณะที่สายการบินหลายแห่ง รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนว่า อาจต้องใช้เวลาหลายวันกว่าระบบทุกอย่างจะกลับสู่ภาวะปกติ และผู้โดยสารต้องเผชิญกับความล่าช้าไปตลอดช่วงสุดสัปดาห์นี้เป็นอย่างน้อย

ด้านบริทิช แอร์เวย์ส สายการบินแห่งชาติอังกฤษ คาดว่า วันนี้จะให้บริการเที่ยวบินได้ประมาณร้อยละ 85 ของเที่ยวบินตามตารางบินทั้งหมด ขณะที่อีกหลายสายการบินประกาศยกเลิกเที่ยวบินจำนวนหนึ่งแล้ว

การประกาศปิดสนามบินฮีทโธรว์เมื่อวานนี้ (21 มี.ค.) ส่งผลให้เที่ยวบิน 120 เที่ยวบินที่ทำการบินอยู่ ต้องเปลี่ยนเส้นทางบินไปลงจอดที่สนามบินใกล้เคียง ขณะที่อีกกว่า 1,350 เที่ยวบิน และผู้โดยสารอีกกว่า 290,000 คน ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ขณะที่สื่อบางสำนักคาดการณ์ว่า สนามบินและสายการบินต่าง ๆ อาจต้องสูญเสียเงินรวมหลายสิบหรือหลายร้อยล้านปอนด์ รวมถึงมีรายงานว่าราคาห้องพักของโรงแรมรอบ ๆ สนามบินฮีทโธรว์ พุ่งสูงแตะ 500 ปอนด์ หรือกว่า 20,000 บาท ซึ่งแพงกว่าปกติถึง 5 เท่า

ด้านตำรวจนครบาลกรุงลอนดอน ยังคงเดินหน้าสอบสวนเหตุเพลิงไหม้ ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่พบปัจจัยน่าสงสัยว่าเป็นการลอบวางเพลิง หลังจากมอบหมายให้หน่วยต่อต้านการก่อการร้ายเข้ามาสอบสวนเหตุการณ์นี้

สนามบินฮีทโธรว์ถือเป็นสนามบินที่มีคนพลุกพล่านมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตามปกติจะมีผู้ใช้บริการวันละประมาณ 230,000 คน และให้บริการเที่ยวบินไปยังจุดหมายปลายทางทั่วโลกกว่า 180 แห่ง โดยเมื่อปีที่แล้วมีผู้โดยสารเดินทางผ่านสนามบินนี้ถึง 83.9 ล้านคน ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุด ขณะที่คาดว่าปีนี้จะมีผู้โดยสารใช้บริการถึง 84.2 ล้านคน

อ่านข่าวอื่น :

ไฟไหม้ใกล้ "สนามบินฮีทโธรว์" ประกาศระงับบริการชั่วคราว

ปิด "ฮีทโธรว์" สูญพันล้านปอนด์ เร่งช่วยผู้โดยสารตกค้างนับแสนคน

เจาะลึก "ฮีทโธรว์" ศูนย์การบินโลกที่มาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ


ปูตินฝันใหญ่! รัสเซียครองโลกใหม่ ไม่ยอมหยุดที่ยูเครน

Sat, 22 Mar 2025 18:21:49

สำหรับวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย การที่ประเทศของเขาจะมีที่ยืนในเวทีโลกไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองหรือยุทธศาสตร์ธรรมดา แต่มันเป็น "เรื่องส่วนตัว" ที่ฝังรากลึกในตัวเขาและคนรอบข้าง ปูตินเคยพูดหลายครั้งว่าไม่ต้องการให้ยูเครนมีสถานะเป็นชาติอิสระที่มีอำนาจปกครองตัวเอง และอยากเห็นนาโต้ ซึ่งเป็นพันธมิตรทางทหารของชาติตะวันตก หันหัวกลับไปอยู่ในกรอบสมัยสงครามเย็น

แต่สิ่งที่เขาต้องการมากกว่านั้นคือการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกทั้งหมด เพื่อให้รัสเซียกลายเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุด

ปูตินและกลุ่มคนสนิท ซึ่งส่วนใหญ่เติบโตมาจากเคจีบี หน่วยข่าวกรองสมัยโซเวียต ยังคงจดจำความเจ็บปวดและความอับอายจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 และรู้สึกไม่พอใจที่โลกก้าวไปข้างหน้าโดยทิ้งรัสเซียให้กลายเป็นเพียงผู้เล่นรอง

เมื่อปูตินก้าวขึ้นสู่อำนาจในปี 2000 รัสเซียอยู่ในช่วงวุ่นวาย เศรษฐกิจพังทลายจนต้องขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และ ธนาคารโลก ซึ่งถือเป็นความอัปยศอดสูครั้งใหญ่สำหรับชาติที่เคยเป็นมหาอำนาจ

แต่หลังจากนั้น ด้วยราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัสเซียเริ่มฟื้นตัว เศรษฐกิจเติบโต ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น และรัสเซียมีเสียงในเวทีโลกมากขึ้น จนได้รับเชิญเข้าร่วมกลุ่ม G7 ซึ่งกลายเป็น G8 ในเวลาต่อมา

อย่างไรก็ตาม คริสติน เบอร์ซินา ผู้เชี่ยวชาญจาก German Marshal Fund of United States บอกกับ CNN ว่า ปูตินไม่เคยรู้สึกพอ เขาไม่ต้องการให้รัสเซียเป็นแค่สมาชิก 1 ใน 8 กลุ่มชาติพัฒนาแล้ว เพราะในสายตาของเขา รัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกและอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ต้องมีบทบาทที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น

เขายอมทิ้งโอกาสใน G8 และยอมให้รัสเซียถูกคว่ำบาตรจากตะวันตก รวมถึงถูกตัดขาดจากเวทีโลก หลังการรุกรานยูเครน เพื่อไล่ตามเป้าหมายทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงส่งกว่า

โดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐฯ บอกว่าเขาเชื่อว่าปูตินต้องการสันติภาพ แต่ยูเครนและพันธมิตรยุโรปไม่เห็นด้วย เพราะปูตินเคยปฏิเสธข้อเสนอสันติภาพมาแล้วหลายครั้ง ทรัมป์อยากให้สงครามในยูเครนจบโดยเร็ว แม้ว่านั่นอาจหมายถึงยูเครนต้องเสียดินแดนเพิ่มเติมให้รัสเซีย

การที่สหรัฐฯ หันมาเจรจากับรัสเซียครั้งนี้ เกิดจากการเปลี่ยนนโยบายของทรัมป์ ไม่ใช่เพราะปูตินเปลี่ยนความคิด มาร์ค กาเลโอตี นักวิเคราะห์รัสเซียชื่อดัง บอกว่า ปูตินเป็นคนฉวยโอกาส เขาชอบสถานการณ์ที่วุ่นวายและไม่แน่นอน เพราะจะเปิดโอกาสให้เขาเลือกทางเดินได้ตามใจ และการเจรจากับทรัมป์ตอนนี้คือสถานการณ์ที่เขาแทบไม่เสียอะไรเลย

ในสงครามยูเครน รัสเซียครองดินแดนได้ร้อยละ 20 แต่ต้องแลกด้วยความเสียหายมหาศาลทั้งกำลังคนและทรัพยากร แม้จะยังไม่ชนะเด็ดขาด แต่ถ้าสหรัฐฯ หยุดส่งอาวุธและข่าวกรองให้ยูเครน สถานการณ์อาจพลิกผันได้ กาเลโอตี ชี้ว่า ปูตินคาดหวังว่าสงครามนี้จะจบเร็ว แต่ผ่านมา 3 ปี เขาก็ยังไม่ถึงเป้า ขณะที่ยูเครนเสียหายหนักและเร็วกว่า

ปูตินและทีมงาน ยังย้ำเสมอว่าเป้าหมายระยะยาวของพวกเขาไม่เคยเปลี่ยน แม้จะพูดถึงสันติภาพ แต่เจ้าหน้าที่รัสเซียยังคงบอกว่าต้องกำจัด "ต้นตอ" ของความขัดแย้งในยูเครน ซึ่งในมุมมองของเครมลินคือ การมีอยู่ของยูเครนในฐานะชาติอิสระ

รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี และการขยายตัวของนาโต้ไปทางตะวันออก ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา ปูตินเริ่มสงครามเต็มรูปแบบในเดือน ก.พ. 2022 เพื่อเปลี่ยนรัฐบาลยูเครนให้เป็นฝ่ายสนับสนุนมอสโก และทำให้ยูเครนกลายเป็นรัฐบริวารเหมือนเบลารุส พร้อมกันยูเครนจากการเข้าร่วมนาโต้และสหภาพยุโรป

แม้การใช้กำลังทหารยังไม่สำเร็จ แต่เบอร์ซินาชี้ว่า เขาอาจหันไปใช้กลยุทธ์อื่น เช่น การแทรกแซงการเลือกตั้งในยูเครนหลังสงครามสงบ ซึ่งเป็นเหตุผลที่รัสเซียตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของเซเลนสกี และดีใจที่ทรัมป์พูดในทำนองเดียวกัน โดยเรียกผู้นำยูเครนว่า "เผด็จการที่ไม่จัดการเลือกตั้ง" ทั้งที่ยูเครนใช้กฎอัยการศึกห้ามเลือกตั้งระหว่างสงคราม

ทรัมป์ และ เจดี แวนซ์ ปฏิเสธแนวคิดที่ยูเครนจะเข้านาโต้ในอนาคตอันใกล้ และปูตินก็ขอให้สหรัฐฯ รับปากเรื่องนี้เป็นเงื่อนไขหยุดยิง แต่เบอร์ซินาชี้ว่า ชาติยุโรปไม่เชื่อคำสัญญาของปูตินว่า ถ้ายูเครนเป็น "กลาง" เขาจะหยุดรบ เพราะความไว้วางใจต่อปูตินแทบไม่มีเหลือแล้ว หลังจากการรุกราน

อันเดรย์ โซลดาตอฟ นักข่าวรัสเซียที่ลี้ภัยในลอนดอน บอกว่า ปูตินและทีมงานมองว่านี่ไม่ใช่แค่สงครามกับยูเครน แต่เป็นการต่อสู้กับตะวันตกทั้งหมด และพวกเขาไม่เชื่อว่าสหรัฐฯ จะยอมทำข้อตกลงถาวร เขาคิดว่าสามารถฉวยประโยชน์ระยะสั้นจากทรัมป์ได้ แต่เป้าหมายใหญ่คือเปลี่ยนโครงสร้างความมั่นคงของยุโรปใหม่ทั้งหมด

โซลดาตอฟเสริมว่า ความระแวงของรัสเซียต่อตะวันตกมีรากลึกตั้งแต่ยุคเคจีบี ซึ่งปูตินและคนใกล้ชิดรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียทุกอย่างเมื่อโซเวียตล่มสลาย และเชื่อว่าตะวันตกพยายามทำลายรัสเซียมาโดยตลอด

ปูตินยังเชื่อมโยงเป้าหมายนี้กับประวัติศาสตร์ โดยอ้างว่า ยูเครนไม่ควรเป็นชาติ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของ "ประวัติศาสตร์รัสเซีย" โมนิกา ไวต์ ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม บอกว่านี่เป็นการตีความที่บิดเบือน เพราะยูเครน รัสเซีย และเบลารุส แค่มีรากเหง้าจาก "รุส" รัฐสมัยยุคกลาง ไม่ได้หมายความว่ายูเครนไม่มีสิทธิ์เป็นชาติสมัยใหม่

เขายังใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ โดยมีผู้นำโบสถ์ออร์โธดอกซ์รัสเซียสนับสนุนสงคราม ไวต์ชี้ว่า ปูตินอยากเชื่อมโยงรัสเซียกับยุครุ่งเรืองในอดีต เหมือนสมัย ซาร์โรมานอฟ ที่พยายามรวบรวมดินแดนออร์โธดอกซ์คืนมา

สุดท้ายแล้ว ปูตินอยากให้รัสเซียกลับมายิ่งใหญ่ในเวทีโลก ด้วยการแยกยุโรปออกจากสหรัฐฯ และจับมือกับชาติที่เป็นปฏิปักษ์กับตะวันตก เช่น จีนหรืออิหร่าน เขามองว่ารัสเซีย ด้วยขนาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกและทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ ต้องมีบทบาทนำ ไวต์บอกว่า เขาอาจไม่ต้องยึดดินแดนในยุโรปเพิ่ม แต่ต้องการเป็นผู้นำของกลุ่มอำนาจที่พร้อมท้าทายและสั่นคลอนโลก

ทรัมป์อาจเห็นด้วยกับแนวคิด "ชาติใหญ่ต้องได้ทุกอย่าง" และมองยูเครนเป็นแค่เครื่องมือที่ต้องยอมตามดีลระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย กาเลโอตีทิ้งท้ายว่า สงครามนี้อาจหยุดชั่วคราว แต่ความฝันของปูตินที่จะครองโลกใหม่ยังไม่จบ และเขาจะใช้ทุกโอกาสเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น

ที่มา : CNN

อ่านข่าวอื่น :

"ไทย" เรียกร้องยุติสู้รบในฉนวนกาซา-ปล่อยตัวประกันที่เหลือ

สหรัฐฯ จ่อเพิกถอนสถานะผู้อพยพ 4 ชาติ รวมกว่า 5.3 แสนคน


สหรัฐฯ จ่อเพิกถอนสถานะผู้อพยพ 4 ชาติ รวมกว่า 5.3 แสนคน

Sat, 22 Mar 2025 13:15:04

วันนี้ (22 มี.ค.2568) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเตรียมเพิกถอนสถานะทางกฎหมายของผู้อพยพจากคิวบา เฮติ นิการากัว และเวเนซูเอลา จำนวน 532,000 คน ซึ่งเดิมได้รับอนุญาตให้เข้าสหรัฐฯ ผ่านโครงการ CHNV ที่ริเริ่มโดยรัฐบาลชุดก่อน

ผู้อพยพเหล่านี้ได้รับคำเตือนให้ออกจากสหรัฐฯ ก่อนที่ใบอนุญาตและการคุ้มครองจากการเนรเทศจะถูกยกเลิก ในวันที่ 24 เม.ย.นี้ จากการที่ทรัมป์ระงับโครงการดังกล่าวหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี

เอกสารประกาศดังกล่าวระบุด้วยว่า ผู้อพยพบางคนอาจได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อได้ โดยจะพิจารณาเป็นรายกรณี และยังไม่แน่ชัดว่าจะมีผู้อพยพจำนวนเท่าใดที่สามารถขอสถานะอื่น เพื่ออยู่ในสหรัฐฯ อย่างถูกกฎหมายได้ต่อไป

โจ ไบเดน อดีตผู้นำสหรัฐฯ เปิดตัวโครงการ CHNV ในปี 2022 ซึ่งอนุญาตให้ผู้อพยพจาก 4 ประเทศ รวมถึงสมาชิกครอบครัวที่ใกล้ชิด สามารถเดินทางเข้าสู่สหรัฐฯ ผ่านทางเครื่องบินได้ หากมีผู้สนับสนุนชาวอเมริกัน โดยจะได้อยู่ในสถานะผู้อพยพชั่วคราว 2 ปีและจะได้รับใบอนุญาตทำงานด้วย โดยรัฐบาลไบเดนระบุว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยยับยั้งการข้ามพรมแดนผิดกฎหมายและคัดกรองผู้อพยพเข้าประเทศได้ดียิ่งขึ้น

ขณะที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ ตำหนิรัฐบาลชุดก่อน โดยระบุว่า โครงการดังกล่าวล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมาย พร้อมทั้งระบุว่าเจ้าหน้าที่ของไบเดนเปิดโอกาสให้ผู้อพยพเข้ามาแข่งขันแย่งชิงงานของชาวอเมริกัน และบังคับให้ข้าราชการพลเรือนส่งเสริมโครงการเหล่านี้ แม้จะพบการฉ้อโกงก็ตาม

อ่านข่าว

"ไทย" เรียกร้องยุติสู้รบในฉนวนกาซา-ปล่อยตัวประกันที่เหลือ

"ทรัมป์" ลงนามคำสั่งปูทางยุบ "กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ"

เจาะลึก "ฮีทโธรว์" ศูนย์การบินโลกที่มาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ


"ไทย" เรียกร้องยุติสู้รบในฉนวนกาซา-ปล่อยตัวประกันที่เหลือ

Sat, 22 Mar 2025 07:58:00

เมื่อวันที่ 21 มี.ค.2568 กระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์แสดงความผิดหวังต่อการกลับมาใช้กำลังในฉนวนกาซา โดยระบุว่า ประเทศไทยรู้สึกห่วงกังวลและผิดหวังอย่างยิ่งต่อการกลับมาสู่การสู้รบในฉนวนกาซา ตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค.2568 อันส่งผลกระทบให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากเสียชีวิตและบาดเจ็บ ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคได้รับความเสียหายอย่างหนัก

ประเทศไทยร้องขอให้ทุกฝ่ายใช้ความอดกลั้นสูงสุด ยุติการสู้รบ และกลับสู่การเจรจาเพื่อปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงและปล่อยตัวประกัน รวมทั้งอำนวยการขนส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเข้าสู่ฉนวนกาซา เพื่อทำให้มั่นใจว่าภูมิภาคตะวันออกกลางจะมีเสถียรภาพและความมั่นคงที่ยั่งยืน

ประเทศไทยเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันทุกคนที่เหลืออยู่ในฉนวนกาซาโดยเร็วที่สุด ซึ่งรวมถึงชาวไทย 1 คนและการส่งคืนร่างตัวประกันชาวไทยที่เสียชีวิต 2 คนกลับประเทศไทย

อ่านข่าว

อิสราเอลเปิดปฏิบัติการภาคพื้นดินในกาซาครั้งใหม่

ปูตินตอกหน้าทรัมป์! ข้อตกลงหยุดยิงยูเครนแค่ "ละครฉากเล็ก"

ชาวอิสราเอลเดือด! ชุมนุมต้านรัฐบาล เรียกร้องเจรจาช่วยตัวประกัน


เจาะลึก "ฮีทโธรว์" ศูนย์การบินโลกที่มาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ

Fri, 21 Mar 2025 19:57:00

จากหมู่บ้านเล็ก ๆ สู่สนามบินระดับโลก

สนามบินฮีทโธรว์ (Heathrow Airport) ตั้งอยู่ในเขตฮิลลิงดัน ห่างจากใจกลางกรุงลอนดอนราว 14 ไมล์ หรือ 23 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตก เดิมทีบริเวณนี้เป็นเพียงทุ่งนาและหมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อ "Heath Row" ซึ่งมีประวัติย้อนไปถึงศตวรรษที่ 14 โดยคำว่า Heath หมายถึงทุ่งโล่ง และ Row หมายถึงแถวบ้านเรือน 

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พื้นที่นี้ถูกกองทัพอากาศอังกฤษ ยึดครองเพื่อสร้าง "Great West Aerodrome" หรือสนามบินทหารขนาดเล็กสำหรับเครื่องบินรบ หลังสงครามสิ้นสุดในปี 1945 รัฐบาลอังกฤษตัดสินใจเปลี่ยนให้เป็นสนามบินพาณิชย์หลักของลอนดอน แทนที่สนามบินครอยดอน (Croydon Airport) ซึ่งคับแคบเกินไปสำหรับยุคสมัยใหม่

ควีนเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด เทอมินัล 2

ควีนเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด เทอมินัล 2

สนามบินเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 31 พ.ค.1946 โดยเที่ยวบินแรกเป็นของสายการบิน British South American Airways (BSAA) ที่บินไปยังบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ด้วยเครื่องบิน Avro Lancastrian 

จากจุดเริ่มต้นที่เรียบง่าย ฮีทโธรว์ขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษ 1950 และ 1960 รันเวย์แรกสร้างเสร็จในปี 1946 และในปี 1955 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จเปิด "เทอร์มินัล 2" หรือที่เรียกว่า Queen’s Terminal ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนา 

ปี 1970 ฮีทโธรว์กลายเป็นสนามบินแรกในสหราชอาณาจักรที่รองรับเครื่องบิน Boeing 747 "จัมโบ้เจ็ต" ซึ่งปฏิวัติวงการบินด้วยขนาดและระยะบินที่ไกลขึ้น 

ปัจจุบัน ฮีทโธรว์มีรันเวย์ 2 เส้น ยาว 3,902 เมตร (รันเวย์เหนือ) และ 3,334 เมตร (รันเวย์ใต้) และมีเทอร์มินัลหลัก 4 แห่ง (2, 3, 4, และ 5) หลังจากปิดเทอร์มินัล 1 ไปในปี 2015 เพื่อปรับปรุงพื้นที่ 

Top 10 สนามบินที่พลุกพล่านสุดในโลก

ฮีทโธรว์เป็นสนามบินที่พลุกพล่านที่สุดในยุโรป และติดอันดับท็อป 10 ของโลก จากรายงานของ OAG Aviation ปี 2024 ระบุว่า ฮีทโธรว์รองรับผู้โดยสาร 83.9 ล้านคน และมีเที่ยวบินกว่า 475,000 เที่ยวต่อปี 

สนามบินแห่งนี้เป็นฐานใหญ่ของสายการบิน British Airways และ Virgin Atlantic และเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อเที่ยวบินไปยัง 185 จุดหมายปลายทางใน 84 ประเทศทั่วโลก ด้วยสายการบินกว่า 80 สายที่ให้บริการ 

ด้วยตำแหน่งที่ตั้งใกล้ลอนดอน เมืองหลวงทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ฮีทโธรว์มีส่วนช่วย GDP ของสหราชอาณาจักรถึงร้อยละ 2.6 และสร้างงานกว่า 76,000 ตำแหน่งทั้งทางตรงและทางอ้อม หลังจากเทอมินัล 1 ถูกปิดการใช้งาน ก็ยังมีเทอมินัลอื่น ๆ ที่รองรับผู้โดยสาร

นอกจากนี้ยังมี รันเวย์ 2 เส้น ที่รองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ เช่น Airbus A380 และหอควบคุมจราจรทางอากาศสูง 87 เมตร ซึ่งสูงที่สุดในสหราชอาณาจักร บริหารโดย NATS (National Air Traffic Services) 

ภายในสนามบินฮีทโธรว์มีร้านค้าปลอดภาษีกว่า 400 ร้าน ร้านอาหารกว่า 80 ร้าน และโรงแรมระดับ 5 ดาวที่เชื่อมต่อกับเทอร์มินัลโดยตรง

10 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสนามบินฮีทโธรว์

  1. จากสนามบินทหารสู่พาณิชย์ เริ่มเป็นสนามบินทหารในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนเปลี่ยนมาเป็นสนามบินพาณิชย์ในปี 1946 
  2. ชื่อมาจากหมู่บ้านโบราณ "Heath Row" ทุกวันนี้ป้ายหมู่บ้านยังถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ Hillingdon 
  3. เที่ยวบินแรกข้ามทวีป เที่ยวบินพาณิชย์แรกบินไปบัวโนสไอเรสในปี 1946 โดยสายการบิน BSAA
  4. สถิติผู้โดยสาร ปี 2019 รองรับผู้โดยสารสูงสุด 80.9 ล้านคน ก่อนโควิด-19 
  5. ควีนเสด็จถึง 2 ครั้ง สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เปิดเทอร์มินัล 2 ในปี 1955 และเทอร์มินัล 5 ในปี 2008ควีนเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด เทอมินัล 5

    ควีนเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด เทอมินัล 5

  6. รันเวย์ที่ 3 ยังค้างเติ่ง แผนขยายรันเวย์ที่ 3 ถูกเสนอตั้งแต่ปี 2003 แต่ติดขัดจากปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเมือง
  7. ต้อนรับจัมโบ้เจ็ต ฮัทโธรว์เป็นสนามบินแรกในอังกฤษที่รองรับ Boeing 747 ในปี 1970 
  8. หอควบคุมสูงเสียดฟ้า ที่ความสูง 87 เมตร เป็น 1 ในหอที่สูงที่สุดในยุโรป 
  9. สวรรค์นักช็อป มีร้านค้าปลอดภาษีกว่า 400 ร้าน และร้านอาหาร 80 ร้าน 
  10. ไฟดับครั้งประวัติศาสตร์ วันที่ 21 มี.ค.2568 เป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษที่สนามบินปิดทั้งวันจากไฟฟ้าดับ

ฮีทโธรว์เป็นมากกว่าสนามบิน แต่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของการค้าและการท่องเที่ยวโลก สนับสนุนการขนส่งสินค้ามูลค่ากว่า 200,000 ล้านปอนด์/ปี และเป็นประตูเข้าสู่สหราชอาณาจักรสำหรับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ 

เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งล่าสุดเผยจุดอ่อนของระบบพลังงานที่สนามบินพึ่งพา และอาจนำไปสู่การปรับปรุงครั้งใหญ่ในอนาคต หลังเหตุการณ์ไฟฟ้าดับ ทีมวิศวกรกำลังเร่งซ่อมแซม แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าความโกลาหลอาจยืดเยื้อไปถึงสัปดาห์หน้า สายการบินและผู้โดยสารทั่วโลกต้องปรับตัวครั้งใหญ่ ฮีทโธรว์จะกลับมาเป็นหัวใจการบินโลกได้เมื่อไหร่ ต้องติดตามกันต่อไป

รวบรวมจาก : UK Department for Transport, heathrow.com, royal.uk, The Guardian, nats.aero, BBC, CNN

 

 

 

 

อ่านข่าวอื่น :

ปิด "ฮีทโธรว์" สูญพันล้านปอนด์ เร่งช่วยผู้โดยสารตกค้างนับแสนคน

ไฟไหม้ใกล้ "สนามบินฮีทโธรว์" ประกาศระงับบริการชั่วคราว


ปิด "ฮีทโธรว์" สูญพันล้านปอนด์ เร่งช่วยผู้โดยสารตกค้างนับแสนคน

Fri, 21 Mar 2025 19:24:50

วันนี้ (21 มี.ค.2568) "ฮีทโธรว์" สนามบินที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษ และติดอันดับสนามบินที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดอันดับ 4 ของโลก ถูกบังคับให้ปิดทำการกะทันหันในวันนี้ หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่สถานีไฟฟ้าย่อย ซึ่งเป็นแหล่งจ่ายพลังงานหลักให้กับสนามบิน ส่งผลให้ระบบไฟฟ้าขัดข้องทั่วสนามบิน

จากข้อมูลของบริษัทวิเคราะห์สายการบิน Cirium คาดว่า มีผู้โดยสารกว่า 145,000 คนได้รับผลกระทบ จากเที่ยวบินที่ถูกยกเลิกหรือเปลี่ยนเส้นทาง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเดินทางทั่วโลกยาวนานหลายวันหรือหลายสัปดาห์

ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการบิน ชูคอร์ ยูซอฟ ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษา Endau Analytics ในสิงคโปร์ ให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการปิดสนามบินฮีทโธรว์ครั้งนี้อาจสูงถึงหลายร้อยล้านปอนด์ หรือหลายแสนล้านบาท โดยไม่ใช่แค่สายการบินและผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องอีกเป็นจำนวนมาก

สถานการณ์นี้จะสร้างความโกลาหลแน่นอน ไม่ใช่แค่สุดสัปดาห์นี้ แต่ลากยาวไปถึงสัปดาห์หน้า เพราะต้องจัดการกับเที่ยวบินที่ไม่ได้ลงจอด ปัญหาที่ค้างคามากมายจากการปิดสนามบินครั้งนี้

สนามบินฮีทโธรว์ให้บริการผู้โดยสาร กว่า 83.9 ล้านคนในปี 2566 และเป็นศูนย์กลางการบินเชื่อมต่อระหว่างยุโรป เอเชีย และอเมริกา การปิดตัวของสนามบินส่งผลให้เกิดความโกลาหลทั้งในอังกฤษและทั่วโลก

กระทบกว้าง เศรษฐกิจ-อุตสาหกรรมการบิน

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงส่งผลต่อการเดินทางทางอากาศเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงกระเพื่อมต่อ เศรษฐกิจในวงกว้าง เพราะสนามบินไม่ได้เป็นเพียงจุดขึ้นลงของเครื่องบิน แต่เป็นศูนย์กลางของธุรกิจหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลีก ผู้ให้บริการเชื้อเพลิงอากาศยาน บริษัทขนส่งสินค้า และชุมชนที่พึ่งพารายได้จากสนามบิน

อุตสาหกรรมการบินพึ่งพาการวางแผนการเดินทางที่แม่นยำ เพื่อให้เครื่องบินและลูกเรืออยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมตลอดเวลา การปิดสนามบินฮีทโธรว์อย่างกะทันหัน ทำให้สายการบินต้องเร่งปรับแผนเที่ยวบินใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลา

ขณะนี้ โจทย์สำคัญที่สุดคือการลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสายการบิน และดูแลผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบให้ได้เร็วที่สุด ยูซอฟกล่าว

หุ้นสายการบินดิ่งทันที หลังสนามบินปิด

ความวุ่นวายจากการปิดสนามบินส่งผลให้ ราคาหุ้นของสายการบินชั้นนำร่วงลงทันที เนื่องจากนักลงทุนกังวลถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและการสูญเสียรายได้จากเที่ยวบินที่ถูกยกเลิก

International Airlines Group (IAG) บริษัทแม่ของ British Airways ตกลงร้อยละ 5 ในช่วงเช้า ก่อนจะฟื้นตัวเหลือติดลบร้อยละ 1.1 ภายในเวลา 06:36 น. ตามเวลาท้องถิ่น ด้าน Lufthansa ของเยอรมนี ลดลงร้อยละ 1.6 Air France-KLM ลดลงร้อยละ 1.5 Qantas ของออสเตรเลียปิดตลาดติดลบร้อยละ 2.4 

นักวิเคราะห์จาก Jefferies ระบุว่าค่าชดเชยผู้โดยสาร จะเป็นต้นทุนหลักที่สายการบินต้องแบกรับทันที นอกเหนือจากต้นทุนในการบริหารจัดการการเดินทางที่เสียหาย

เร่งปรับแผน เที่ยวบินยกเลิก-เปลี่ยนเส้นทางจำนวนมาก

สายการบินทั่วโลกกำลังพยายามจัดการกับผลกระทบของการปิดสนามบินฮีทโธรว์โดยมีมาตรการที่แตกต่างกันไป

เหตุการณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในวิกฤติครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมการบินในปีนี้ นักวิเคราะห์เตือนว่า ปัญหานี้อาจลากยาวไปหลายสัปดาห์ ไม่ใช่เพียงแค่การจัดการเที่ยวบินที่ถูกยกเลิก แต่รวมถึงผลกระทบทางการเงิน และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อระบบการบริหารจัดการของสนามบินระดับโลก ปัจจุบัน สิ่งที่สายการบินต้องเร่งทำคือ หาวิธีบรรเทาผลกระทบให้กับผู้โดยสาร และปรับโครงสร้างแผนการเดินทางใหม่ทั้งหมดเพื่อรองรับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น

อ่านข่าวอื่น :

ไฟไหม้ใกล้ "สนามบินฮีทโธรว์" ประกาศระงับบริการชั่วคราว


สหรัฐฯ เรียกคืนรถเทสลา "ไซเบอร์ทรัค" หวั่นไม่ปลอดภัย

Fri, 21 Mar 2025 13:20:21

วันนี้ (21 มี.ค.2568) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า "เทสลา" บริษัทผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของมหาเศรษฐีอีลอน มัสค์ เรียกคืนรถ "ไซเบอร์ทรัค" 

บริษัทระบุในเอกสารที่ยื่นต่อองค์การบริหารความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติสหรัฐฯ ว่า การเรียกคืนดังกล่าวจะมีผลกับรถไซเบอร์ทรัค มากกว่า 46,000 คันที่ผลิตตั้งแต่เดือน พ.ย.2023 จนถึงเดือน ก.พ.2025 ถือเป็นการเรียกคืนครั้งที่ 8 นับตั้งเดือน ม.ค.2024 และเป็นครั้งใหญ่ที่สุด ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินว่า อาจเป็นการเรียกคืนรถยนต์รุ่นนี้เกือบทั้งหมดในสหรัฐฯ

บริษัทระบุว่า เหตุผลในการเรียกคืนรถครั้งนี้ เนื่องจากพบความเสี่ยงว่ารางเหล็กส่วนบนเหนือกระจกข้างทั้ง 2 ฝั่ง ซึ่งเป็นสแตนเลส ถูกติดตั้งเข้ากับตัวรถด้วยกาว เมื่อเผชิญสภาพแวดล้อมต่างๆ ภายนอก อาจเสื่อมและหลุดออกจากตัวรถ จนเสี่ยงก่อให้เกิดอันตรายและเพิ่มโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้

ทั้งนี้ บริษัทจะดำเนินการเปลี่ยนรางเหล็กดังกล่าว ด้วยรางที่ทดสอบแล้วได้มาตรฐานด้านความทนทาน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค.นี้ นอกจากนี้บริษัทยังระบุว่า พบการเคลมประกันประมาณ 150 รายการที่อาจเกี่ยวข้องกับปัญหานี้ แต่ยังไม่ได้รับรายงานการเกิดอุบัติเหตุ

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นขณะที่ยอดขายของบริษัทเทสลาตกต่ำลงท่ามกลางกระแสต่อต้านอีลอน มัสค์ นับตั้งแต่เข้ามามีบทบาทด้านการลดค่าใช้จ่ายในรัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์

อ่านข่าว

ทางการสหรัฐฯ สอบเหตุเผา "รถเทสลา" ในฐานะคดีก่อการร้าย

ไฟไหม้ใกล้ "สนามบินฮีทโธรว์" ประกาศระงับบริการชั่วคราว

8 ปีซ้อน! ฟินแลนด์ครองที่ 1 ความสุขโลก สหรัฐฯ ต่ำสุดอับดับ 24


8 ปีซ้อน! ฟินแลนด์ครองที่ 1 ความสุขโลก สหรัฐฯ ต่ำสุดอับดับ 24

Fri, 21 Mar 2025 13:01:00

วันนี้ (21 มี.ค.2568) สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ด้าน "ความสุข" โดยรั้งอันดับที่ 24 ในรายงานความสุขโลก (World Happiness Report) ประจำปี 2568 ซึ่งนับเป็นอันดับต่ำสุดเท่าที่เคยบันทึกมาในประวัติศาสตร์ของรายงานฉบับนี้ หลังจากหลุดจาก 20 อันดับแรกเมื่อปีที่แล้ว

อิลานา รอน-เลวีย์ กรรมการผู้จัดการของ Gallup ชี้ว่า การลดลงของความสุขในสหรัฐฯ มีสาเหตุสำคัญมาจากคนหนุ่มสาวอายุต่ำกว่า 30 ปี รู้สึกแย่ลงเกี่ยวกับชีวิตของตนเองอย่างมาก พวกเขารายงานว่า รู้สึกได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนและครอบครัวน้อยลง มีเสรีภาพในการตัดสินใจชีวิตจำกัด และมองอนาคตด้านมาตรฐานการครองชีพในแง่ลบมากขึ้น

ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ความไว้วางใจในสังคมและสถาบันต่าง ๆ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งกลายเป็นเชื้อเพลิงให้เกิดความแตกแยกทางการเมือง การประท้วงต่อต้านระบบ และการลงคะแนนเลือกตั้งที่สะท้อนความไม่พอใจต่อสถานการณ์ปัจจุบัน

ปัญหาความสุขที่ลดลงไม่ได้จำกัดอยู่แค่สหรัฐฯ เท่านั้น ประเทศที่พูดภาษาอังกฤษอื่น ๆ ก็เผชิญสถานการณ์คล้ายกัน สหราชอาณาจักรอยู่อันดับ 23 โดยมีคะแนนการประเมินชีวิตเฉลี่ยต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมที่รุมเร้า

ขณะที่แคนาดา ซึ่งเคยอยู่ในกลุ่มผู้นำด้านความสุข อยู่อันดับ 18 ในปีนี้ แม้จะยังติด 20 อันดับแรก แต่ก็เผชิญกับแนวโน้มความสุขที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา รายงานฉบับนี้ระบุว่า ความซับซ้อนของตัวแปรที่ส่งผลต่อความสุข เช่น GDP ต่อหัว การสนับสนุนทางสังคม และการรับรู้ถึงการทุจริต ล้วนมีส่วนทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างประเทศที่เจริญแล้วและกำลังพัฒนา

ในทางตรงกันข้าม "ฟินแลนด์" ยังคงครองตำแหน่งประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกเป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน โดยมีคะแนนนำหน้าคู่แข่งอย่างเดนมาร์ก (อันดับ 2) ไอซ์แลนด์ (อันดับ 3) และสวีเดน (อันดับ 4) ซึ่งทั้งหมดยังคงรักษาลำดับเดิมจากปีที่แล้ว ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น นอร์เวย์ตามมาในอันดับที่ 7

"ไว้ใจ-สามัคคี" ฟินแลนด์ครองแชมป์ความสุขโลก

ความสำเร็จของกลุ่มประเทศนอร์ดิกนี้ ได้รับการยกย่องจากระบบสวัสดิการที่แข็งแกร่งและครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงสาธารณสุขที่มีคุณภาพสูง การศึกษาฟรี และการสนับสนุนทางสังคมที่ทั่วถึง รวมถึงระดับความเหลื่อมล้ำด้านความเป็นอยู่ที่ต่ำมาก อิลานา รอน-เลวีย์ อธิบายว่าประเทศนอร์ดิกอย่าง "ฟินแลนด์" ยังคงได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบมาเพื่อดูแลประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม

จอห์น เฮลลิเวลล์ บรรณาธิการผู้ก่อตั้งรายงานและศาสตราจารย์กิตติคุณด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย กล่าวเสริมว่า ความไว้วางใจและพฤติกรรมของประชาชนมีบทบาทสำคัญไม่แพ้ระบบสวัสดิการ เขายกตัวอย่างว่า การมีรัฐสวัสดิการ ไม่ได้ช่วยตามหาและคืนกระเป๋าสตางค์ที่หายไปให้เจ้าของ แต่ความเอื้อเฟื้อและใส่ใจต่อกันในสังคมต่างหาก ที่ช่วยให้กระเป๋าสตางค์กลับคืนสู่เจ้าของ

นอกจากนี้ เฮลลิเวลล์ยังชี้ว่า ความสามัคคีที่เกิดจากประวัติศาสตร์ เช่น สงครามฤดูหนาว (Winter War) ปี 2482-2483 ระหว่างฟินแลนด์และสหภาพโซเวียต ซึ่งถึงแม้ฟินแลนด์จะไม่ชนะ แต่กลับสร้างความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวและความไว้วางใจในหมู่ประชาชนที่ยังคงส่งผลดีมาถึงปัจจุบัน รวมถึงทัศนคติที่ไม่หมกมุ่นกับวัตถุนิยมและการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมากกว่าสิ่งของ ก็เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับที่ทำให้ฟินแลนด์ครองอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง

รายงานความสุขโลกฉบับนี้จัดทำจากข้อมูล Gallup World Poll ซึ่งสำรวจความเห็นจากผู้คนในกว่า 140 ประเทศ โดยวัดความสุขจากคะแนนการประเมินชีวิตโดยเฉลี่ยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565-2567) และวิเคราะห์ผ่าน 6 ตัวแปรหลัก ได้แก่ GDP ต่อหัว, การสนับสนุนทางสังคม, อายุขัยที่มีสุขภาพดี, เสรีภาพในการเลือกชีวิต, ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่, และการรับรู้ถึงการทุจริตในสังคม

รายงานนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Gallup, Oxford Wellbeing Research Centre, UN Sustainable Development Solutions Network และคณะบรรณาธิการ เผยแพร่เพื่อเฉลิมฉลองวันสหประชาชาติว่าด้วยความสุขสากล ซึ่งตรงกับวันที่ 20 มี.ค. ของทุกปี

นอกเหนือจากความสำเร็จของกลุ่มนอร์ดิกแล้ว รายงานปี 2568 ยังเผยความก้าวหน้าที่น่าสนใจของ 2 ประเทศจากภูมิภาคละตินอเมริกา คอสตาริกาคว้าอันดับ 6 และเม็กซิโกก้าวสู่อันดับ 10 ซึ่งทั้งคู่ติด 10 อันดับแรกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของรายงาน รอน-เลวีย์ อธิบายว่า ความสำเร็จนี้เกิดจาก "เครือข่ายสังคมที่แข็งแกร่ง" รวมถึงการมองโลกในแง่ดีต่อทิศทางของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในผู้นำและสถาบันต่าง ๆ ของทั้ง 2 ประเทศ 

20 ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก 2568

  1. ฟินแลนด์
  2. เดนมาร์ก
  3. ไอซ์แลนด์
  4. สวีเดน
  5. เนเธอร์แลนด์
  6. คอสตาริกา
  7. นอร์เวย์
  8. อิสราเอล
  9. ลักเซมเบิร์ก
  10. เม็กซิโก
  11. ออสเตรเลีย
  12. นิวซีแลนด์
  13. สวิตเซอร์แลนด์
  14. เบลเยียม
  15. ไอร์แลนด์
  16. ลิทัวเนีย
  17. ออสเตรีย
  18. แคนาดา
  19. สโลวีเนีย
  20. สาธารณรัฐเช็ก

สำหรับประเทศไทย รายงานระบุว่าอยู่อันดับที่ 49 จากทั้งหมด 143 ประเทศ ซึ่งอยู่ในระดับปานกลาง และนับเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากสิงคโปร์ (อันดับ 34) และเวียดนาม (อันดับ 46) ตามข้อมูลที่ปรากฏในโพสต์บน X ความสุขของไทยได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชนที่แน่นแฟ้น แต่ยังถูกจำกัดด้วยความท้าทาย เช่น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางการเมือง

ในอีกด้านหนึ่ง รายงานยังเปิดเผย 10 ประเทศที่มีความสุขน้อยที่สุดในโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่เผชิญกับความขัดแย้ง ความยากจน และความไม่มั่นคงทางการเมืองอย่างรุนแรง ดังนี้

เฮลลิเวลล์เสนอแนะแนวทางเพิ่มความสุขที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้ว่า "จงมองคนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน หรือคนแปลกหน้าบนถนน ด้วยมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้น" เขาแนะนำให้ลดการพูด พูดน้อยลง ฟังมากขึ้น และละทิ้งความคิดลบ ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การขับรถ การสนทนาทางการเมือง หรือแม้แต่การมีปฏิสัมพันธ์ในชุมชน ส่งผลให้เกิดความร่วมมือและความสุขที่เพิ่มขึ้นในสังคม

เขาย้ำว่า ความคิดลบเป็นพิษต่อความสุข และการปรับทัศนคติอาจเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตทั้งในระดับบุคคลและระดับชาติ

อ่านข่าวอื่น :

วงการบันเทิงสูญเสีย "สีดา พัวพิมล" นักแสดงมากฝีมือ อายุ 70 ปี

สภาผู้บริโภคค้าน Co-Payment ร่วมจ่ายค่ารักษา


ไฟไหม้ใกล้ "สนามบินฮีทโธรว์" ประกาศระงับบริการชั่วคราว

Fri, 21 Mar 2025 12:35:00

วันนี้ (21 มี.ค.2568) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เกิดเหตุไฟไหม้อย่างรุนแรงที่หม้อแปลงไฟฟ้าที่สถานีไฟฟ้าย่อย ใกล้สนามบินฮีทโธรว์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ขณะที่สนามบินฮีทโธรว์ ประกาศระงับบริการตลอดทั้งวันศุกร์ (21 มี.ค.) หรือจนถึงเวลา 23.59 น.ตามเวลาท้องถิ่น หลังประสบปัญหาไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง ซึ่งเป็นผลจากเหตุไฟไหม้ที่สถานีไฟฟ้าย่อยดังกล่าวที่จ่ายไฟให้กับสนามบินด้วย

มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้รับแจ้งเหตุไฟไหม้ เมื่อเวลาประมาณ 23.20 น.ของวันที่ 20 มี.ค.ตามเวลาท้องถิ่น หรือประมาณ 06.20 น.ตามเวลาประเทศไทย และเร่งดับไฟตลอดทั้งคืน จนถึงขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดไฟไหม้

ในแถลงการณ์ของสนามบินฮีทโธรว์ เตือนถึงเหตุขัดข้องครั้งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นตลอดช่วงหลายวันต่อจากนี้ พร้อมทั้งแนะนำให้ผู้โดยสารหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสนามบิน จนกว่าจะประกาศเปิดให้บริการอีกครั้ง และควรติดต่อสายการบินที่ใช้บริการเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม

ข้อมูลจากเว็บไซต์ติดตามเที่ยวบิน Flightradar24 ระบุว่า อาจมีเที่ยวบินอย่างน้อย 1,351 เที่ยวบินถูกยกเลิก ขณะที่เหตุไฟไหม้สถานีไฟฟ้าย่อยดังกล่าวทำให้บ้านเรือนมากกว่า 4,900 หลังไม่มีไฟฟ้าใช้ และมีประชาชนอีกกว่า 150 คนอพยพออกจากพื้นที่โดยรอบแล้ว

อ่านข่าว

"ทรัมป์" ลงนามคำสั่งปูทางยุบ "กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ"

ทางการสหรัฐฯ สอบเหตุเผา "รถเทสลา" ในฐานะคดีก่อการร้าย

บทเรียนจับกุม "ดูเตอร์เต" ขั้วอำนาจการเมืองเปลี่ยน ทุกสิ่งเป็นไปได้