งดงาม! ซ้อมใหญ่ครั้งที่ 2 ขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค

Tue, 22 Oct 2024 15:34:00

วันนี้ (22 ต.ค.2567) เวลา 15.00 น.บรรยากาศการซ้อมใหญ่เสมือนจริงครั้งที่ 2 ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยการซ้อมครั้งนี้ เป็นการซ้อมเสมือนจริง ก่อนจะมีพระราชพิธี ในวันอาทิตย์ที่ 27 ต.ค.

โดยเรือในขบวน 52 ลำ พร้อมด้วยฝีพาย 2,399 นาย กำลังเคลื่อนเรือ ออกจากท่าเรือ เพื่อไปตั้งขบวนที่ท่าวาสุกรี ก่อนที่การซ้อมใหญ่ขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค ในจำนวนนี้มีเรือพระที่นั่ง 4 ลำ คือ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เป็นเรืออัญเชิญผ้าพระกฐินประดิษฐานเหนือบุษบก ลำที่ 2 เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เป็นเรือที่ประทับ เรือลำที่ 3 เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เป็นเรือที่ประทับของพระบรมวงศ์ และเรือลำที่ 4 เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เป็นเรือพระที่นั่งสำรอง โดยการฝึกซ้อมขบวนเรือพระราชพิธีเป็นการจัดรูปขบวนตามรูปแบบโบราณราชประเพณีทุกประการ

สำหรับจุดชมขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค บริเวณสวนเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา ได้จัดเก้าอี้รองรับประชาชน ไว้ 1,000 ตัว คุณผู้ชมที่อยากมาดูการซ้อมใหญ่ 

ช่วงหนึ่งที่ขบวนเรือผ่าน สวนเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา ท่ารถไฟ แม้ฝนจะตกลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่ประชาชนที่มาร่วมชม ก็มิได้ย่อท้อที่จะได้ร่วมชมความงดงาม

ประชาชนที่เดินทางมาวันนี้ หลายคนเดินทางมาจากต่างจังหวัด เพราะอยากมาร่วมชมขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ด้วยตาตัวเองสักครั้งหนึ่ง

ทั้งนี้กรุงเทพมหานคร ได้จัดเตรียมสถานที่รองรับประชาชนตามจุดต่าง ๆ เพื่อร่วมชมการซ้อมใหญ่ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ดังนี้

รวมทั้งตลอดแนวทางเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยสามารถเข้าชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมกันนี้ได้จัดเตรียมรถสุขาเคลื่่อนที่ไว้บริการประชาชนด้วย 

 

 

อ่านข่าว :

ซ้อมใหญ่ครั้งแรก ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค

"เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์" สุดล้ำค่าถูกยกย่องเป็น "เรือมรดกโลก"

ประมวลภาพ อัญเชิญ "เรือพระที่นั่ง" ลงน้ำ เตรียมการจัดขบวนพยุหยาตราชลมารค


“วราวุธ” กำชับ พม.อุทัยฯ ติดตามต่อเนื่องกรณีรถบัสนักเรียน

Tue, 22 Oct 2024 12:57:10

วันนี้ (22 ต.ค.2567) นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยถึงการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ จากเหตุเพลิงไหม้รถบัสทัศนศึกษาของเด็กนักเรียนจาก จ.อุทัยธานี ว่า ได้รับรายงานจากศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) โดยทีม พม. หนึ่งเดียว

ประกอบด้วย สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 7 (สสว.7) และหน่วยงาน พม.อุทัยธานี นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี ปทุมธานี และสุพรรณบุรี ซึ่งตั้งจุดช่วยเหลืออยู่ที่โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี

โดยมีผู้ประสบอุบัติเหตุ 26 ราย ได้แก่ ผู้เสียชีวิต 23 คน เป็นเด็ก 20 คน และครู 3 คน และผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 คน เป็นเด็กทั้งหมด 3 คน ซึ่งมีครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ 25 ครัวเรือน

นายวราวุธ กล่าวว่า ขณะนี้ทีม พม.หนึ่งเดียว ได้ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในเรื่องต่าง ๆ เช่น 1. ทีม พม.หนึ่งเดียว จ.อุทัยธานี จัดประชุมทีม CASE MANAGER (CM) ครั้งที่ 2 เพื่อวางแผนการลงพื้นที่ช่วยเหลือเยียวยาและวางแผนการจัดทำข้อมูลรายครอบครัว

2.ทีม CM พม.หนึ่งเดียว จ.อุทัยธานี ร่วมกับสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดอุทัยธานี สำนักงานสาธารณสุขอำเภอลานสัก โรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ อาสาสมัคร พม. กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านให้กำลังใจและสำรวจข้อมูลครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อนำข้อมูลมูลมาวางแผนการช่วยเหลือเยียวยาในระยะต่อไป

3.ทีม พม.หนึ่งเดียว จ.อุทัยธานี ร่วมกับคณะกรรมาธิการวุฒิสภา ลงพื้นที่ติดตามการบริหารงบประมาณวุฒิสภา ติดตามความคืบหน้าการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และการดำเนินคดี ทั้งทางแพ่งและอาญาต่อผู้กระทำความผิด

นายวราวุธ กล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินการช่วยเหลือเยียวยา กระทรวง พม. โดยหน่วยงานทีม พม. ได้ร่วมกันวางแผนลงพื้นที่ของทีม CM เพื่อเยี่ยมครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะมีการประชุมทีมทุกสัปดาห์ ดังนี้

1.ช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.2567 กำหนดลงพื้นที่ทุกสัปดาห์ๆ ละ 1 ครั้ง 2.ช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.2568 กำหนดลงพื้นที่เดือนละ 1 ครั้ง และ 3.ช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค.2568 กำหนดจัดกิจกรรมของสภาเด็กและเยาวชนในพื้นที่ และในวันที่ 22 ต.ค.2567 กำหนดจัดประชุมทีม CM

และ วันที่ 24 ต.ค.2567 กำหนดลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบ อีกทั้งช่วงเดือน ม.ค.2568 ทางคณะกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา กำหนดลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และการดำเนินคดี ทั้งทางแพ่งและอาญาต่อผู้กระทำความผิด ซึ่งมีการติดตามความคืบหน้าทุก 3 เดือน

อ่านข่าว : ราชทัณฑ์ปัด "กันต์" ขอพบแพทย์กลางดึก อยู่ระหว่างปรับตัว

ญาติ 3 ผู้ต้องหาหญิงดิไอคอนเข้าเยี่ยมวันแรก "มิน" เริ่มปรับตัวได้

“ถอดรหัส....แชร์ลูกโซ่” คำให้การของ “แม่ทีมระดับ wisdom dealer”


ขบ.แนะวิธีเลือก "รถเช่าเหมา" เดินทางทำบุญทอดกฐิน

Tue, 22 Oct 2024 10:08:00

วันนี้ (22 ต.ค.2567) นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ช่วงระยะเวลา 1 เดือน หลังเทศกาลออกพรรษา ประชาชนมักเดินทางไปทำบุญทอดกฐินในต่างจังหวัด รูปแบบการเดินทางที่นิยมคือใช้บริการรถบัสโดยสารขนาดใหญ่ ซึ่งเหมาะกับการเดินทางเป็นหมู่คณะ ซึ่งมีขนาดและประเภทรถให้เลือกตามความเหมาะสมกับการเดินทาง

กรมการขนส่งทางบก แนะนำวิธีการเลือกเช่าเหมารถโดยสารในการเดินทางเพื่อความปลอดภัย ดังนี้ ด้านผู้ประกอบการ มีความเป็นมืออาชีพ ประวัติการเดินรถดี มีการตรวจสภาพความพร้อมของรถ และพนักงานขับรถเพื่อความปลอดภัยที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด

ด้านตัวรถ จดทะเบียนเป็นรถโดยสารสาธารณะ (ป้ายเหลือง) มีการติดตั้ง GPS Tracking เพื่อประชาชนสามารถตรวจสอบพฤติกรรมการขับขี่ และการใช้ความเร็วของรถแบบ Realtime ผ่านแอปพลิเคชัน “DLT GPS”ทางโทรศัพท์มือถือได้ ซึ่งจะแสดงผลเช่นเดียวกันกับข้อมูลที่แสดงในศูนย์บริหารจัดการเดินรถด้วยระบบ GPS ของกรมการขนส่งทางบก มีการทำประกันภัยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ

ด้านคุณภาพ ตัวรถต้องมีความสมบูรณ์พร้อมใช้งาน ผ่านการตรวจสภาพรถและชำระภาษีถูกต้อง ตัวรถต้องมีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย ได้แก่ เข็มขัดนิรภัย ประตูฉุกเฉิน ถังดับเพลิง ค้อนทุบกระจกครบถ้วน

ด้านพนักงานขับ ต้องมีใบอนุญาตขับรถที่ถูกต้อง ก่อนออกเดินทางต้องมีการศึกษาเส้นทางล่วงหน้า พักผ่อนให้เพียงพอ ต้องเปลี่ยนคนขับเมื่อปฏิบัติงานติดต่อกันเป็นเวลา 4 ชั่วโมง หรือให้หยุดพักขับรถไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะขับรถต่อไปอีกไม่เกิน 4 ชั่วโมง ผู้ขับรถต้องไร้สารเสพติดและแอลกอฮอล์ต้องเป็นศูนย์ ( 0 ) ไม่เสพสารเสพติดให้โทษหรือสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ขณะปฏิบัติหน้าที่ขับรถต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า สำหรับผู้โดยสารควรวางแผนการเดินทาง เลือกเส้นทางและขนาดรถบัสให้เหมาะสมกลับจำนวนผู้โดยสาร และตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของผู้รับจ้างทั้งข้อมูลคนขับและสภาพรถอย่างละเอียดก่อนการว่าจ้าง

ในขณะเดินทางผู้โดยสารต้องคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดระยะเวลา เพื่อเป็นการป้องกันตนเองจากการบาดเจ็บรุนแรงหรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นในระหว่างเดินทาง นอกจากนี้ ผู้โดยสารควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมและอากัปกริยาของพนักงานขับรถ เช่น มีอาการง่วงซึม หรือมึนเมา จากสุรา สารเสพติดหรือไม่ หรือขับรถเร็วผิดปกติ ส่ายไปส่ายมา แซงซ้ายปาดขวา ไม่เคารพกฎจราจร หากพบเห็นต้องแจ้งเตือนพนักงานขับรถทันที หรือแจ้งสายด่วนกรมการขนส่งทางบก โทร.1584 เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารทุกคน

อ่านข่าว : สภาพอากาศวันนี้ กทม.ฝนฟ้าคะนอง 70% ตกหนักบางแห่ง 

"ปวีณา" ช่วยเหลือเด็ก 13 ปีถูกลวงค้ามนุษย์เมียนมา 

"ผบ.ตร." ประชุมคดี "ดิไอคอน" จับตาออกหมายจับเพิ่ม 

 


ศธ.แจงไม่มีคำสั่งใหม่เรื่องการแต่งกายข้าราชการ

Tue, 22 Oct 2024 07:32:20

วันที่ 21 ต.ค.2567 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) แถลงข่าวชี้แจงอย่างเป็นทางการ หลังมีการแชร์ภาพและข้อมูลเกี่ยวกับการแต่งกายของข้าราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะในกลุ่มข้าราชการครูทั่วประเทศ ซึ่งมีความสับสนว่า ศธ.ได้สั่งการให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแต่งกายสำหรับวันจันทร์ อังคาร และพุธ ตามแนวทางของกระทรวงมหาดไทยหรือไม่นั้น

โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงว่า ศธ.ไม่ได้มีคำสั่งใหม่ใด ๆ เกี่ยวกับการแต่งกายของข้าราชการครูหรือบุคลากรในสังกัด ทุกคนยังคงสามารถแต่งกายตามแนวทางที่เคยขอความร่วมมือไว้ก่อนหน้านี้ คือ แต่งกายด้วยเสื้อสีเหลืองที่มีตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติฯ หรือเสื้อผ้าไทยสีเหลืองประดับเข็มที่ระลึกพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค.2567 แทนการแต่งกายปกติในทุกวันจันทร์ที่เป็นวันทำการ รวมทั้งในวันหรือในโอกาสอื่นที่เหมาะสม และแต่งกายเครื่องแบบสีกากี หรือเครื่องแบบปฏิบัติงานของหน่วยในทุกวันอังคารที่เป็นวันทำการ

ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดต่าง ๆ ได้ขอความร่วมมือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการแต่งกายในวันจันทร์ อังคาร พุธ ไปยังหน่วยงานราชการในพื้นที่ รวมถึงสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการ ทางด้านสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มีการหารือเพื่อให้ส่วนภูมิภาคมีการแต่งกายไปในแนวทางเดียวกัน จึงยกร่างเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ได้มีการพิจารณาแต่อย่างใด ภาพและข้อมูลที่ถูกแชร์ออกไปก่อนหน้านี้จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดแก่สาธารณชน

อย่างไรก็ตาม ศธ.ยืนยันว่า ไม่มีการเปลี่ยนระเบียบแต่งกายใหม่ใด ๆ ในขณะนี้ เพราะไม่ต้องการให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นกับครู ข้าราชการ และบุคลากรในสังกัด โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดที่มีบริบทการทำงานและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ดังนั้นการแต่งกายแต่ละวันในภูมิภาคขอให้เป็นไปตามความเหมาะสม แล้วแต่การพิจารณาว่าจะใส่ตามจังหวัดหรือกระทรวงศึกษาธิการก็ได้เช่นกัน ซึ่งเป็นไปตามการขอความร่วมมือโดยไม่ได้มีการบังคับแต่อย่างใด

อ่านข่าว : กทม.วอน "งดลอยกระทงขนมปัง" ชี้กำจัดยาก ทำน้ำเน่า-ปลาตาย 

ไปรษณีย์ไทยเปิดจอง iStamp-โปสต์การ์ด “หมูเด้ง” 

จับตา Thai-PAN จ่อแถลง "องุ่นไชน์มัสแคท" พบสารเคมีตกค้าง 


กทม.วอน "งดลอยกระทงขนมปัง" ชี้กำจัดยาก ทำน้ำเน่า-ปลาตาย

Mon, 21 Oct 2024 20:54:22

สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร (กทม.) ขอความร่วมมือประชาชน "งดลอยกระทงขนมปัง" ในสระน้ำสวนสาธารณะ กทม. โดยระบุว่า การลอยกระทงที่ทำจากขนมปัง แม้สามารถเป็นอาหารให้ปลาในสระได้ แต่หากมีจำนวนมากเกินไปและปลากินไม่หมด เมื่อขนมปังเปื่อยยุ่ยจมลงก้นสระ นอกจากจะจัดเก็บยากแล้ว ยังทำให้ระดับออกซิเจนในน้ำลดลงและทำให้ปลาตายในที่สุด สร้างความเสียหายต่อสัตว์น้ำและระบบนิเวศ

นอกจากนี้ กทม.ได้เผยภาพหลังวันลอยกระทงในปี 2566 ที่สวนสันติภาพ กระทงขนมปังหลากสีสันถูกลอยลงในสระน้ำ แต่หลังจากนั้นไม่นานกระทงขนมปังเกิดการเปื่อยยุ่ย จมลงก้นสระละลายไปกับน้ำ ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถจัดเก็บกระทงได้หมดจนส่งผลกระทบกับสภาพน้ำ ทำให้น้ำเน่าเสียและปลาตาย

เจ้าหน้าที่จึงต้องเร่งแก้ไขฟื้นฟูสระน้ำ โดยเริ่มจากการดูดน้ำเสียและเลนในสระน้ำออกทั้งหมด หลังจากนั้นกำจัดเชื้อที่เกิดจากการเน่าเสียในดินก้นสระจากเศษอินทรีย์ที่ตกค้าง ตากดินเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อ พร้อมปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างด้วยปูนขาว ก่อนเติมน้ำสะอาดลงไปใหม่ รวมระยะเวลาในการฟื้นฟูสระน้ำนานเกือบ 4 เดือน

ดังนั้น กทม.จึงขอความร่วมมือประชาชน "งดลอยกระทงขนมปัง" ในวันลอยกระทงที่ 15 พ.ย.2567

อ่านข่าว

ฝุ่นมาแล้ว! ระลอกแรกกทม.-ปริมณฑลรับมือ 24-27 ต.ค.

ปฏิทินวันหยุดพฤศจิกายน 2567 ไร้วันหยุด แต่เรายังสุขในวันลอยกระทง

"แพทองธาร" ดินเนอร์พรรคร่วม รบ. จับตาถกนิรโทษกรรม-ยุบพรรค


ชี้เป้า ข้อสังเกตงบการเงิน "ดิไอคอนกรุ๊ป"

Mon, 21 Oct 2024 20:07:00

วันนี้ (21 ต.ค.2567) นายพีรภัทร ฝอยทอง ทนายความและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการเงินและธนาคาร เปิดเผยการลงงบการเงินบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ว่า การลงงบการเงินมีหลายรูปแบบ จึงทำให้เกิดปัญหาว่าธุรกิจในประเภทเดียวกัน แต่ลงงบการเงินคนละรูปแบบ

สำหรับธุรกิจดิไอคอนเป็นรูปแบบการขายสินค้า ในช่วง 2 ปีแรกตัวแทนรับสินค้าไปจำหน่ายเอง ทำให้รับรู้ได้เลยว่าบริษัทมีรายได้ เมื่อมาถึงในช่วงปี 2563 มีการพัฒนารูปแบบธุรกิจ Dropship Fulfillment เป็นรูปแบบที่มีการฝากสินค้าไว้ที่คลัง โดยที่ดิไอคอนเป็นผู้จัดส่งสินค้าให้กับผู้ซื้อเอง ทำให้เกิดคำถามว่าของที่ยังอยู่ที่คลังเป็นรายได้แล้วหรือไม่ เนื่องจากสินค้าไม่ได้ไปที่ตัวแทนหรือผู้จัดจำหน่ายแต่อย่างใด

ในแต่ละประเทศ Financial standard Report มีความแตกต่างกัน สำหรับประเทศไทยมี Report ด้านการบัญชี ซึ่งมาตรฐานสำหรับการขายสินค้าประเภทดังกล่าว รับรู้รายได้เมื่อมีการขายสินค้าออกไปจริง

การลงบัญชีโดยทั่วไปจะดูสัดส่วนสินค้าคงเหลือ ส่วนใหญ่ธุรกิจแบบขายตรงมีการสต็อกสินค้าโดยเฉลี่ยประมาณ 3 เดือน

แต่สำหรับของดิไอคอนมีการวิเคราะห์ว่าสิ้นปี 2564 สินค้าเหลือแค่ 7 ชั่วโมงที่จะส่งลูกค้าได้ ซึ่งเป็นข้อสังเกตว่าสามารถทำได้จริงหรือไม่ ซึ่งอาจจะเกิดจากการลงงบบัญชีไม่ตรงกับ standard เป็นการลงตัวเลขเต็มแต่สินค้าถูกส่งออกไม่หมด ทำให้หลายฝ่ายสงสัยว่ามีสินค้าอยู่จริงหรือไม่ และสินค้ากับจำนวนที่สั่งเข้ามาสอดคล้องกันหรือไม่

ซึ่งประเด็นนี้เป็นประเด็นที่จะชี้เป็นชี้ตายความผิดทางอาญา  

ส่วนข้อสังเกตประเด็นสินค้าคงเหลือที่ไม่ค่อยสอดคล้องกับยอดขาย ทนายพีรภัทร บอกว่า ในวันที่บอสพอลให้สัมภาษณ์ว่าทุกคนที่สั่งสินค้าต้องโอนเงินเข้าบริษัท ไม่ผ่านตัวแทน และบอกว่านี่คือการขายส่ง-ขายปลีก แต่เมื่อพูดคุยกับผู้เสียหาย พบว่า ลูกข่ายก็โอนเงินไปที่แม่ข่าย จึงเป็นคำถามต่อมาว่า เมื่อโอนเข้าแม่ข่าย แล้วแม่ข่ายได้โอนต่อไปให้บริษัทหรือไม่ มีการรับรู้รายได้ครบถ้วนถูกต้องหรือไม่

โดยปกติ บริษัทใหญ่ ๆ เวลาเอาเงินเข้าไปแล้ว จะนำออกมานั้นยากมาก ซึ่งขัดกับภาพที่แม่ข่ายหลาย ๆ คนโชว์ภาพเงินจำนวนมาก คำถามคือ เงินนั้นออกมาจากบริษัทจริงหรือไม่ และต่อด้วยบริษัทรับรู้รายได้ที่แท้จริงหรือไม่ จะนำไปสู่เรื่องระบบภาษี

ส่วนเรื่องการกำกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเงินเยอะ หน่วยงาน เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย กลต. หรือ คปภ. ที่ดูแลประกัน จะมีการกำหนดมาตรฐานชัดเจนว่า บริษัทจะลงงบการเงินต้องลงแบบไหน หรือการทำธุรกิจ การโฆษณา สามารถทำได้มากน้อยแค่ไหน ในอดีตบางบริษัททำโปรโมชันลดแหลกแจกแถม เพื่อให้คนเข้ามาเปิดบัญชี สมัยนั้นทำให้คนที่เข้ามาซื้อมาสมัคร แต่ไม่ได้เข้าใจผลิตภัณฑ์จริง ๆ เลยว่าผลิตภัณฑ์การเงินนั้นมันมีประโยชน์อะไรกับชีวิต

ต่อมาจึงยกเลิก หน่วยงานกำกับจึงออกเกณฑ์มาว่าห้ามทำสิ่งเหล่านี้ เพราะต้องการให้ผู้ซื้อ ต้องรู้จริง ๆ ว่าซื้อผลิตภัณฑ์นั้นไปเพื่ออะไร

คำถามคือ ปัจจุบันนี้ สคบ. ที่กำกับธุรกิจขายตรง อาจอ้างได้ว่า ดิไอคอน ไม่ได้จดทะเบียนขายตรง ก็ไม่ได้อยู่ในกำกับของ สคบ. แต่ถ้าเป็นแชร์ลูกโซ่ ขายปลีก ใครเป็นคนกำกับดูแล ? แล้วกำหนดมาตรฐานทางบัญชีใช้กับดิไอคอนหรือไม่ ถ้าใช้และบังคับใช้กับทุกบริษัท สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ งบการเงินจะมีมาตรฐานแบบเดียวกัน เมื่อมีการส่งงบเข้ามา หน่วยงานกำกับจะสามารถเปรียบเทียบได้ว่า ธุรกิจไหนมีความผิดปกติ แต่ในปัจจุบันยังพบว่า ประเทศไทยกลับเอาข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้มาใช้น้อย

ถ้าสามารถทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน จะเกิดข้อแตกต่างขึ้นมา และถ้ามีบางอย่างที่ผิดปกติ ก็จะเอะใจได้ตั้งแต่วันนั้นแล้ว

ข้อสังเกต ดิไอคอน ตบแต่งบัญชีหรือไม่

รายงานจากสมาคมผู้สอบบัญชีภาษีอากร ระบุว่า บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป เข้าข่ายไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน การรายงานการเงิน ที่เหมาะสม หลังพบว่า งบการเงินของบริษัท มีข้อน่าสงสัยหลายอย่าง เช่น ปริมาณ "สินค้าคงเหลือ" น้อยมาก เมื่อเทียบกับ "รายได้"

โดยเฉพาะงบการเงิน ปี 2564 ซึ่ง "รับรู้รายได้" มากกว่า 4,900 ล้านบาท หัก "ต้นทุนการขาย" แล้ว เข้าสูตรคำนวณอัตราส่วนหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ หรือ Inventory Turnover เท่ากับ 0.28 วัน หมายความว่า บริษัทมีสต็อกสินค้าเพียง 6.72 ชั่วโมง เท่ากับว่าบริษัทส่งสินค้าทันทีที่มีผู้เปิดบิล ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติของธุรกิจขายตรงทั่วไป

ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอบบัญชี เชื่อว่าบริษัทบันทึกการรับรู้รายได้ จากค่าเปิดบิลของสมาชิกเต็มจำนวน ทั้งที่ยังไม่ได้ขาย หรือ ยังไม่ได้ส่งสินค้า ซึ่งสะท้อนในรายการเงินสดของบริษัทกว่า 4,949 ล้านบาท และขายออกเท่ากันกว่า 4,949 ล้านบาท

โดยบริษัทใช้กลยุทธ์ "การฝากสินค้า" เป็นข้ออ้าง ให้มีการปรับปรุงรายการค่าใช้จ่ายระหว่างรอบบัญชี จากสินค้าที่ยังไม่ส่งมอบกว่า 833 ล้านบาท กับต้นทุนประมาณ 2,875 ล้านบาท เพื่อสร้างหลักฐานในระบบบัญชีว่า "รายได้" กับ "การเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม" ตรงกัน

ทั้งที่อาจมีรายได้ ที่ไม่เข้าบริษัทประมาณ 1,112 ล้านบาท จากยอดซื้อก่อนหัก VAT 2,866 ล้านบาท

กลยุทธ์ "การฝากสินค้า" และตั้งราคาขายสูงเกินจริง อาจเป็นความตั้งใจของบริษัท ที่ไม่ต้องการให้ขายสินค้าถึงผู้บริโภคตัวจริง

พร้อมย้ำว่า อาจเป็นการตบแต่งบัญชีที่ไม่แนบเนียน แต่ไม่มีใครสนใจ เพราะมีเพียง นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล และผู้ถือหุ้นรวม 3 คนเท่านั้น ที่จะอ่านข้อมูล เช่นเดียวกับ ผู้เสียหายจากการลงทุนกับบริษัท อาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้อพิรุธของงบการเงิน แต่หลงเชื่อ นายวรัตน์พล และพรีเซนเตอร์มากกว่า จึงยอมจ่ายเงินลงทุน

อ่านข่าว : 

อายัดซูเปอร์คาร์ "บอสพอล" อีก 1 คัน จอดริมทางลาดพร้าว-วังหิน

คนใกล้ชิด "บอสพอล" ให้ปากคำ-ผู้เสียหายดิไอคอน พุ่ง 5.7 พันคน

"พล.ต.ต.จรูญเกียรติ" ยัน 3 คลิปดิไอคอนเป็นเสียงจริง 


ชวนคนไทยตรวจสุขภาพฟัน เนื่องในวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ

Mon, 21 Oct 2024 17:12:36

วันนี้ (21 ต.ค.2567) นายเดชอิศม์ ขาวทอง รมว.สาธารณสุข เปิดตัวกิจกรรม "Brush & Bright รอยยิ้ม สดใส คนไทยฟันดีทั่วทั้งแผ่นดิน" สร้างกระแสให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยเห็นความสําคัญของการดูแลสุขภาพช่องปาก หลายหน่วยงานแสดงเจตจํานงค์ขับเคลื่อนกิจกรรมนี้ตามบทบาทภารกิจของหน่วยงานตนเอง

ข้อมูลการสํารวจสภาวะสุขภาพช่องปากแห่งชาติ ครั้งที่ 9 พ.ศ.2566 ของประเทศไทย พบว่า คนไทย ในกลุ่มผู้สูงอายุ (60-74 ปี) มีฟันผุ และยังไม่ได้รับการรักษามากที่สุดถึงร้อยละ 60 รองลงมา คือ วัยทํางาน (35-44 ปี) ร้อยละ 52.9 และในเด็กอายุ 12 ปี ร้อยละ 49.7 และพบความชุกของโรคปริทันต์อักเสบในวัยทํางาน (35-44 ปี) มากที่สุด ร้อยละ 32.6 และผู้สูงอายุ (60-74 ปี) ร้อยละ 31.1

ทั้งนี้ การป้องกันโรคในช่องปากที่ดีที่สุด คือ Brush & Bright

Brush หมายถึง การแปรงฟันคุณภาพ ด้วยสูตร 2-2-2 ได้แก่ การแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน แปรงฟันนานอย่างน้อย 2 นาที และไม่รับประทานอาหารหลังการแปรงฟันนาน 2 ชั่วโมง เพื่อให้ ช่องปากสะอาดนานที่สุด

Bright หมายถึง การตรวจสุขภาพช่องปากโดยทันตบุคลากรปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อให้ทราบ สภาวะช่องปากตนเอง หากเกิดปัญหาในช่องปากจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ควรขัดทําความสะอาดฟัน หรือขูดหินปูนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อกําจัดคราบหินปูนที่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อจุลินทรีย์บริเวณขอบเหงือก ดูแลสุขภาพช่องปากตนเองอย่างสม่ำเสมอตามคําแนะนํา ทําให้มีสุขภาพช่องปากที่ดี ซึ่งส่งผลต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป

ในปี 2567 กรมอนามัยได้รับมอบหมายจาก สธ. จัดการรณรงค์ทางทันตสาธารณสุขภายใต้ชื่อโครงการ "คนไทยฟันดี สดุดีสมเด็จย่า" เพื่อเทิดพระเกียรติและรำลึกถึงพระมหากรุณาที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี "พระมารดาแห่งการทันตแพทย์ไทย" เนื่องในวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ

ใช้ "บัตรทอง" ทำฟันฟรี

สปสช. ร่วมสืบสานปณิธานดูแลสุขภาพช่องปากให้กับประชาชนไทยภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท โดยจัดสิทธิประโยชน์บริการที่ครอบคลุมการดูแลสุขภาพช่องปาก ดังนี้

ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า นอกจากนี้ประชาชนยังสามารถเข้ารับบริการที่ "คลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่น" ภายใต้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว เพียงสังเกตสติกเกอร์ตราสัญลักษณ์ 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งจะได้รับบริการ 5 รายการ ที่คลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่นปีละ 3 ครั้ง ได้แก่ บริการขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟัน เคลือบหลุมร่องฟัน และเคลือบฟลูออไรด์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งเมื่อครบ 3 ครั้งแล้ว หากยังจำเป็นต้องรักษาต่อก็สามารถใช้สิทธิได้ที่หน่วยบริการประจำตามสิทธิได้

ทั้งนี้สามารถดูรายชื่อคลินิกทันตกรรมที่เข้าร่วมได้ที่ https://www.nhso.go.th/page/dental-clinic หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

  1. สายด่วน สปสช. 1330
  2. ช่องทางออนไลน์
    •ไลน์ สปสช. พิมพ์ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6
    •Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

อ่านข่าวอื่น :

ฝุ่นมาแล้ว! ระลอกแรกกทม.-ปริมณฑลรับมือ 24-27 ต.ค.

คนใกล้ชิด "บอสพอล" ให้ปากคำ-ผู้เสียหายดิไอคอน พุ่ง 5.7 พันคน

“ทองคำ” ภาคบ่าย ดีดบวก 550 บาท ลุ้น “รูปพรรณ” ทะลุ 44,000


ศธ.เยียวยา-ส่งทีมดูแลสภาพจิตใจผู้ประสบภัย "บัสไฟไหม้"

Mon, 21 Oct 2024 16:03:00

วันนี้ (21 ต.ค.2567) พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุไฟไหม้รถโดยสารขณะเดินทางไปทัศนศึกษาของโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2 โดยมีผู้บริหารของ ศธ.

อาทิ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และผู้บริหาร สพฐ. ได้แก่ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ นายเสริมฤทธิ์ หวายฤทธิ์ธนกุล ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการ พร้อมด้วยผู้แทนของผู้ได้รับผลกระทบ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2 ผู้บริหาร คณะครูโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม เข้าร่วม ณ ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ

รมว.ศธ. ได้กล่าวแสดงความห่วงใยต่อครอบครัวของนักเรียนและครูที่เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บจากเหตุดังกล่าว ซึ่งมีผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด 46 คน ประกอบด้วย

จากนั้น รมว.ศธ. ได้ส่งมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้แทนของผู้ประสบเหตุที่มาเข้าร่วมในพิธี ประกอบด้วย ผู้แทนนักเรียนที่เสียชีวิต จำนวน 2 คน ผู้แทนครูที่เสียชีวิต จำนวน 2 คน ผู้แทนนักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 3 คน และครูที่ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 1 คน ตามลำดับ

ทั้งนี้ นอกจากการมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาแล้ว ศธ. และ สพฐ. ยังคงติดตามดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างใกล้ชิด และดูแลเยียวยาสภาพจิตใจของผู้ประสบเหตุทุกคนอย่างต่อเนื่อง ให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเข้มแข็ง ในส่วนของการขอพระราชทานเครื่องราชฯ และการเสนอขอรับบำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษ 7 ขั้น แก่ครูและนักศึกษาฝึกสอนที่เสียชีวิต ขณะนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการขอพระราชทานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการเยียวยาผู้เสียชีวิตตามสมควรต่อไป

พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ กล่าวว่า จากเหตุการณ์รถบัสทัศนศึกษาประสบอุบัติเหตุดังกล่าว ทางกระทรวงศึกษาธิการได้มอบให้ สพฐ. เป็นผู้รับผิดชอบในการเปิดรับบริจาคจากทุกภาคส่วน วันนี้จึงได้จัดพิธีมอบเงินบริจาคให้แก่ผู้ประสบเหตุโดยแบ่งเป็น 3 ก้อน ให้แก่ผู้เสียชีวิตทั้งนักเรียนและครู นักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บ และครูที่ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานต่าง ๆ เข้าไปช่วยเหลือเยียวยาทั้งผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเพื่อเป็นค่ารักษาและค่าเล่าเรียนต่อไป

สำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดได้รับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลโดยมีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รับผู้บาดเจ็บทุกคนไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ สำหรับเด็กๆ ที่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อหายดีแล้วหากไม่สามารถกลับมาเรียนหนังสือตามปกติได้ อาจจะให้จัดการเรียนการสอนแบบ Home School หรือเรียนแบบ Anywhere Anytime โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยได้ เพื่อให้เด็กได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังมีการเยียวยาทางด้านจิตใจให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ เพื่อให้รู้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกทอดทิ้ง และตอนนี้เด็ก ๆ ก็มีกำลังใจเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ในส่วนของอนุสรณ์สถานเราได้ข้อสรุปตรงกันว่าจะไม่มีการสร้างอนุสรณ์สถาน แต่จะเป็นการเติมเต็มความสุข เพิ่มคุณภาพการศึกษา และสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับนักเรียนในโรงเรียน เช่น สนามกีฬา สนามเด็กเล่น เป็นต้น เพื่อให้เด็ก ๆ นักเรียนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน

ขณะที่ในด้านความปลอดภัย ได้กำชับให้สถานศึกษาดำเนินการตามมาตรการความปลอดภัยต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด รวมถึงก่อนไปทัศนศึกษาให้ผู้ประกอบการนำรถโดยสารให้กรมการขนส่งทางบกตรวจสอบก่อนด้วย และเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น และต่อจากนี้หากมีผู้ประสงค์จะบริจาคเงินเพิ่มเติม ก็สามารถบริจาคให้กับทางโรงเรียนโดยตรงได้เลย รมว.ศธ. กล่าว

อ่านข่าวอื่น :

“คำร้อง” คายพิษส่อยุบสภาเร็ว สกัดแคนดิเดตนายกฯ หายเกลี้ยง

ย้ายสำเร็จ! พลายดอกแก้ว ยอมขึ้นรถมาบ้านหลังใหม่

ไปรษณีย์ไทยเปิดจอง iStamp-โปสต์การ์ด “หมูเด้ง”


ไปรษณีย์ไทยเปิดจอง iStamp-โปสต์การ์ด “หมูเด้ง”

Mon, 21 Oct 2024 15:01:00

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า จากความน่ารักของดาวเด่นแห่งสวนสัตว์เปิดเขาเขียว "น้องหมูเด้ง" หนึ่งใน Soft Power ของประเทศไทย ที่ทำให้ผู้คนหลงรักกันทั่วโลกจนเกิดเป็นกระแสความนิยมที่ถูกพูดถึงในทุกวงการ

ไปรษณีย์ไทยจับมือกับสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เผยแพร่ความสดใสของฮิปโปแคระตัวนี้ในรูปแบบของ iStamp หรือแสตมป์ส่วนตัว ที่นำภาพถ่ายตามติดชีวิตหนึ่งวันของน้องหมูเด้ง และโปสต์การ์ดภาพอิริยาบถที่น่าเอ็นดูมาจัดพิมพ์ เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมสะสมและแบ่งปันความสุขที่ดีต่อใจส่งต่อให้แก่ผู้อื่นได้ รวมทั้งยังมี iStamp คอลเลกชันพิเศษ ที่สามารถนำภาพของตนเองมาจัดทำเป็นแสตมป์ได้ด้วย ซึ่งแสตมป์ถือเป็นสื่อที่เปิดโลกการเรียนรู้และเป็นกระบอกเสียงของประเทศ

ความร่วมมือในครั้งนี้ นอกจากจะสร้างความสุขให้แก่ผู้คน ยังช่วยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์สัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทยอีกด้วย

สำหรับ iStamp เซต 4 ดวง สุดลิมิเต็ดที่สามารถใส่รูปถ่ายส่วนตัวเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำ (ขนาด A5) ราคาแผ่นละ 60 บาท ให้บริการจัดทำที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว หรือที่งานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 29 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ผู้ที่สนใจแสตมป์และสิ่งสะสมคอลเลกชันน้องหมูเด้งแบบพิมพ์สำเร็จ สามารถสั่งจองได้แล้ววันนี้ ทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ThailandPostMart โดยเริ่มจัดส่งและจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย.เป็นต้นไป สามารถหาซื้อได้ที่ ไปรษณีย์กลาง (บางรัก) ไปรษณีย์ไทยสำนักงานใหญ่ ร้าน Post Cafe’ สามเสนใน พิพิธภัณฑ์แสตมป์ไทย เคาน์เตอร์ไปรษณีย์ MBK Center และสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ทั้งคอลเลกชันนี้ ประกอบด้วย

อีกทั้งไปรษณีย์ไทยยังได้จัดกิจกรรมพิเศษ "ส่งความในใจไปรฯ ถึงหมูเด้ง" เชิญชวนให้ทุกคนร่วมกันส่งความในใจด้วยการเขียนไปรษณียบัตรหรือโปสต์การ์ด ใบละ 2 บาท ส่งถึงหมูเด้งได้ที่ ตู้ ปณ.หมูเด้ง สวนสัตว์เปิดเขาเขียว 20110 เพื่อติดบอร์ดที่สวนสัตว์ ให้โลกรับรู้ถึงตัวแทนความน่ารักและเป็นมิตรของประเทศไทย โดยจะรวบรวมและส่งต่อถึงสวนสัตว์เปิดเขาเขียว

ทั้งนี้ รายได้ส่วนหนึ่งมอบให้แก่องค์การสวนสัตว์เพื่อช่วยผู้ประสบอุทกภัย และช่วยเหลือสวัสดิภาพสัตว์ป่าต่อไป สอบถามเพิ่มเติมฝ่ายบริหารลูกค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์บริการไปรษณีย์ โทร 0 2573 5480, 0 2573 5463

อ่านข่าว : ไม่น่ารัก! แจ้งความเอาผิดนักท่องเที่ยวจีนยิงหนังสติ๊กในสวนสัตว์ 

ชวนหน่วยงาน-เอกชนทำกิจกรรมกับ "หมูเด้ง" ช่วยผู้ประสบอุทกภัย 

เปิดใจแอดมิน "เบนซ์" ผู้จัดการ "หมูเด้ง" ดาราสาวแห่งเขาเขียว 


20 ปี "คดีตากใบ" เงื่อนไขไฟใต้ครั้งใหม่

Sun, 20 Oct 2024 17:56:00

หากนับถอยหลัง "คดีตากใบ" เหลือเวลาอีกเพียง 5 วัน ก็จะหมดอายุความ  แต่หากผู้ซึ่งรับผิดชอบ-บัญชาการ-สั่งการ โดยเฉพาะ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี  อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ยังคงหายตัวอย่างปริศนา เรื่องนี้อาจเป็นเงื่อนไขที่อาจทำให้สถานการณ์ไฟใต้รุนแรง  

เหตุการณ์ "ไฟใต้" เปรียบเสมือนฝันร้าย ที่สะสมรื้อรังมานานกว่า 2 ทศวรรษ หรือกว่า 20 ปีเต็ม แม้ว่ารัฐบาลหลายยุค-หลายสมัย ต่างปรับเปลี่ยนนโยบาย - ยุทธศาสตร์ ชนิดที่เรียกได้ว่า "ลองผิด-ลองถูก" หรือสลับกันไปมาระหว่างนโยบายการเมือง-นำการทหาร หรือการทหาร-นำการเมือง เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทสถานการณ์

แต่มีข้อสังเกตถึงการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ แม้จะเป็นโจทย์ใหญ่ของ "รัฐบาล-แพทองธาร" แต่กลับไม่ถูกบรรจุไว้เป็น "วาระแห่งชาติ" แต่เขียนกรอบนโยบายกว้าง ๆ ตามที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถ้อยแถลงต่อรัฐสภา คือการส่งเสริมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม สนับสนุนการพูดคุยเพื่อสันติภาพและสันติสุข

อ่านข่าว แสงสุดท้าย "ตากใบ" โศกนาฏกรรม ในวันคดีใกล้หมดอายุความ

ผศ.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผอ.ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี สะท้อนภาพความจริงใจของ 2 นายกฯ จากพรรคเพื่อไทย ตลอด1 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีความชัดเจนกับนโยบายจนออกดอก-ออกผล รวมถึงมิติความยุติธรรม ในคดีการสลายการชุมนุมในพื้นที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ที่กำลังจะหมดอายุความ 25 ต.ค.นี้ 

ส่วนผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ ชี้ว่า หากรัฐบาลไม่สามารถนำคนผิดจาก "คดีตากใบ" มาลงโทษทางกระบวนการยุติธรรมได้ จะส่งผลให้สถานการณ์ภาคใต้กลับมาเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่อาจไม่พอใจ และไม่ยอมรับความชอบธรรมของรัฐบาล ในการบริหารจัดการความยุติธรรม และอาจเป็นเงื่อนไขทำให้เกิดความรุนแรงได้

การเรียกร้องความยุติธรรม และยังไม่ได้รับการปฏิบัติจะมีผลอย่างมากต่อการยอมรับต่อรัฐบาล และกังวลว่าจะเป็นเงื่อนไขของการทำให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่อาจจะเพิ่มมากขึ้นหลัง 25 ต.ค.นี้

ถ้ายังไม่จัดการปัญหา ยังไม่คาดว่าจะเป็นเชิงสัญลักษณ์อย่างเดียวหรือจะลุกลามบานปลาย แต่จะเป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงความไม่พอใจอะไรต่างๆ

สอดคล้องกับความเห็นของ รศ.เอกรินทร์ ต่วนศิริ อ.ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มองว่า ตลอดกว่า 1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลบอกจะพัฒนาในพื้นที่ และจะมีคณะพูดคุยแล้วแต่ความคืบหน้าที่ทำให้สังคมไทย ได้เห็นในการบริหารราชการแผ่นดิอยู่ในภาวะวิกฤต

อีก 3-4 วันจะครบรอบ 20 ปีคดีตากใบ ถ้ารัฐบาลไม่แสดงให้เห็นถึงความจริงจังและจริงใจในการแก้ปัญหา เชื่อว่ารัฐบาลต้องเผชิญกับศึกหนักในภาคใต้

อ่านข่าว ศาลนราธิวาส รับฟ้องคดีตากใบ นัดสอบคำให้การ 12 ก.ย.นี้

ไม่สายแก้คดีตากใบ

รศ.เอกรินทร์ ใช้คำว่า "ไม่สายเกินไป" หากรัฐบาลใช้อำนาจพิเศษแก้ปัญหา "คดีตากใบ" ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ก่อนคดีนี้จะหมดอายุความ ด้วยอ้างอิงกระบวนการยุติธรรมต้องเท่าเทียม

ขณะที่ผศ.ศรีสมภพ ไม่ชี้ชัดถึงบทสรุป "คดีตากใบ" จะกระทบกับการพูดคุยสันติภาพ-สันติสุข กับกลุ่มบีอาร์เอ็นหรือไม่

แต่การเปิดโต๊ะพูดคุยกับ "กลุ่มบีอาร์เอ็น" ครั้งล่าสุด มีลงนามข้อตกลงร่วมกันในการ "ร่างแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม" หรือเจซีพีพี เพื่อกำหนดขั้นตอนในการขับเคลื่อน ทั้งเรื่องการยุติความรุนแรง การมีส่วนร่วมทางการเมือง กระบวนการพูดคุยสาธารณะ และการแสวงหาทางออกในทางการเมือง ซึ่งขณะนี้เดินหน้าไปกว่าร้อยละ 70 แล้ว

และจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่เดือนม.ค.2547 ถึง ส.ค.2567 มีข้อมูลจากศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภายใต้ โดยพบเหตุการณ์ความรุนแรงรวม 22,737 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 7,632 คน บาดเจ็บอีก 14,274 คน ทั้งนี้แนวโน้มความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้มีทิศทางที่ลดลง

เสนอแก้ "คดีอาญา-คอร์รัปชัน" ไม่มีอายุความ

เวทีเสวนา "คดีอาญาตากใบขาดอายุความ-ความรับผิดชอบใคร จะดำเนินคดีต่อได้หรือไม่” มีนักวิชาการ นักกฎหมาย และทนายความในคดีเข้าร่วมเสวนา โดยมีญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ตากใบ และ สส.เข้าร่วมรับฟังด้วย

รศ.ปกป้อง ศรีสนิท คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอให้รัฐบาลแก้กฎหมายเรื่องอายุความในคดีอาญา เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ถูกกล่าวหาในคดี ใช้ช่องว่างหลบหนีไปต่างประเทศ แล้วกลับไทยเมื่อหมดอายุความ

รวมถึงการแก้กฎหมาย มาตรา 95 ไม่ให้มีอายุความ กรณีความผิดที่เจ้าหน้าที่รัฐ ทำประชาชนจนถึงแก่ความตาย เช่นเดียวกับคดีทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งก่อนหน้านี้กฎหมาย ป.ป.ช. เกี่ยวกับคดีทุจริตมีการแก้ไขว่าหากมีการหลบหนีจะไม่นับระยะเวลาเป็นอายุความ จึงชี้ว่าถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องแก้ไขกฎหมายอาญา

คดีตากใบหากมองในทางเทคนิคกฎหมายอาญา และสิทธิมนุษยชน มีความเป็นไปได้แต่น่าจะยาก ยังกล่าวว่าการออกกฏหมายเพื่อเอาผิดภายหลังได้หรือไม่ ไม่สามารถทำได้

อ่านข่าว เครือข่ายทนายความ ยื่นฟ้อง 9 จนท.รัฐ "คดีตากใบ" 25 เม.ย.นี้

เวทีเสวนาคดีตากใบ

เวทีเสวนาคดีตากใบ

รศ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์  กล่าวว่า คดีตากใบศาลจังหวัดนราธิวาส ประทับรับฟ้องในวันที่ 23 ส.ค.นี้ ในข้อหารวมกันฆ่า ร่วมกันพยายามฆ่า และหน่วงเหนี่ยวกังขังจนเป็นเหตุถึงแก่ความตาย หากยังไม่สามารถนำผู้ต้องหาและจำเลยในคดีเข้าสู่กระบวนการได้ 

คาดว่าศาลจะสั่งให้คดีหมดอายุความ ในวันที่ 25 ต.ค.นี้ แต่ยกมาตรา 29 ของรัฐธรรมนูญ วางหลักไว้ ซึ่งหากคดีหมดอายุความแล้ว ไม่ได้ความความว่าจะพ้นผิด แต่ว่าลงโทษไม่ได้ เพราะหมดอายุความ และคาดหวังจากรัฐบาลเรื่องเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นอีก แนะควรแก้กฎหมาย ม.95 เรื่องอายุความ “ไม่มีอายุความ“ กรณีความผิดที่เจ้าหน้าที่รัฐทำแก่ประชาชน

ความเจ็บปวดของญาติ “ไม่มีหมดอายุความ”

ส่วนญาติผู้เสียชีวิตจากคดีตากใบ เปิดเผยถึงความรู้สึกด้วยน้ำตา ถามหาความยุติธรรม 20 ปี ที่แม้คดีจะหมดอายุความ แต่ความเจ็บปวดของญาติ “ไม่มีหมดอายุความ” 

โดยเฉพาะกรณีที่สำนวนคดีหายไป ย้ำถาม “หายไปได้ยังไง” หน่วยงานรัฐโยนไปมาปัดความรับผิดชอบ พอญาติฟ้องเอง แต่กลับมีสำนวนคดีใหม่จากรัฐ

เรียกร้องให้รัฐบาลออกมาขอโทษอย่างใจจริงในฐานะรัฐบาลกำกับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งหากยังขาดความยุติธรรมก็อย่าหวังว่าจะเกิดความสงบสันติภาพในจังหวัดชายแดนใต้
ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุตากใบ ความเจ็บปวดของญาติไม่มีวันหมดอายุความ

ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุตากใบ ความเจ็บปวดของญาติไม่มีวันหมดอายุความ

ด้าน นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร แสดงความกังวล และเป็นห่วงต่อสถานการณ์ความไม่สงบ เพราะอาจเกิดความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้ พร้อมเรียกร้องให้ตำรวจ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ใช้เวลาที่เหลืออยู่อีก 5 วัน ก่อนคดีตากใบจะหมดอายุความ ติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหา และจำเลย เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล

อ่านข่าว

เครือข่ายทนายความ ยื่นฟ้อง 9 จนท.รัฐ "คดีตากใบ" 25 เม.ย.นี้

 

 


จับตา Thai-PAN จ่อแถลง "องุ่นไชน์มัสแคท" พบสารเคมีตกค้าง

Sun, 20 Oct 2024 13:18:00

วันนี้ (20 ต.ค.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) เตรียมแถลงผลการสุ่มตรวจสารเคมีตกค้างในผลไม้ยอดฮิต "องุ่นไชน์มัสแคท"  หรือ ไซมัสคัส นำเข้าจากจีน (Shine Muscat)  

โดยระบุว่า เปิดเผยสถานที่จำหน่ายองุ่นไชน์มัสแคท จากการสุ่มซื้อเพื่อนำมาตรวจสารพิษตกค้างโดย Thai-PAN และนิตยสารฉลาดซื้อ เมื่อต้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมา Thai-PAN และนิตยสารฉลาดซื้อ ได้เก็บตัวอย่างองุ่นมาทั้งหมด 24 ตัวอย่าง จาก 15 สถานที่จำหน่ายในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ดังนี้ บิ๊กซี ท็อปส์ โลตัส แม็คโคร วิลล่า มาร์เก็ท แม็กซ์แวลู GOURMET MARKET  GO WHOLESALE Freshket ร้านผลไม้ ย่านอนุสาวรีชัยสมรภูมิ ร้านผลไม้ ตลาดสี่มุมเมือง ร้านผลไม้ ตลาดไท ร้านผลไม้ ตลาดไอยรา ร้านผลไม้ ตลาด อตก. ร้านขายผลไม้ออนไลน์

เบื้องต้นผลตรวจออกมาแล้ว แต่นักวิชาการกำลังเปรียบเทียบกับค่า MRL (Maximum Residue Limits) อันเป็นค่าที่บ่งบอกถึง ปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุดที่สามารถมีได้ และวิเคราะห์ประเภท ความเป็นอันตรายอย่างละเอียดอยู่ รอผล 

ทั้งนี้ Thai-PAN เคยได้ตรวจสารพิษตกค้างในองุ่นแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน ในครั้งนั้น พบว่า 100% ของตัวอย่างองุ่นที่ถูกสุ่มมาตรวจในปี 2565 มีสารพิษตกค้าง

โดยผลการตรวจสารพิษในองุ่นไซมัสแคทจากการสุ่มซื้อครั้งนี้ เวลา 10.00 น. วันที่ 24 ต.ค. นี้ ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเผยแพร่ผ่าน Facebook Live ในเพจ เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) แห่งนี้ และนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค  

ขณะเพจ  BIOTHAI ระบุว่า รถไฟแค่เที่ยวเดียวขนองุ่นจีนมากถึง 463 ตันถึง กทม.ใครดูแลความปลอดภัย โ

ก่อนหน้านี้สำนักข่าวซินหัวของจีน รายงานว่ารถไฟสินค้าห่วงโซ่ความเย็น บรรทุกองุ่นสด จำนวน 463.5 ตัน จากเขตปกครองซินเจียงอุยกูร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ออกเดินทางจากด่านนานาชาติอุรุมชี เมื่อวันที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา เดินทางมาถึงกทม.แล้ว นับเป็นครั้งแรกที่องุ่นสดของซินเจียง ออกเดินทางมายังต่างประเทศ ถือว่าเป็นช่องทางโลจิสติกส์ใหม่ ทำให้คนไทยได้กินผลไม้สดจากจีน

อ่านข่าว “หนานหนิง-ฉงชิ่ง” ประตูสู่จีนแผ่นดินใหญ่ โอกาสทองผลไม้ไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับองุ่นไซมัสคัสแคท จากจีนพบว่ามีช่องทางการขายผ่านทางห้างและร้านค้าปลีกแล้ว ยังสามารถหาซื้อได้ตามรถเร่ขายผลไม้ ซึ่งบางเจ้ามีราคาเพียงกล่องละ 50 บาท หรือขาย 3 กล่อง 100 บาทส่วนตามตลาดนักจะมีราคาขายตั้งแต่ 100-120 บาท ขึ้นกับขนาดและความสวยของพวงองุ่น ขณะที่ผู้บริโภคที่ซื้อองุ่นจากจีน จะต้องลุ้นว่าองุ่นมีทั้งรสเปรี้ยว หรือหวาน และบางครั้งก็จืด ซึ่งแล้วแต่ล็อตการนำเข้า 

ขณะที่หลังมีกระแสข่าวเรื่องสารพิษตกค้างในองุ่น ยังเกิดความเห็นที่แตกออกเป็น 2 ทางและมีข้อเสนอแนะทั้งเรื่องการตรวจสอบสารพิษ ก่อนนำเข้าที่นักวิชาการบางคนก็มองว่าต้องผ่านการสุ่มตรวจมาก่อน ส่วนบางคนมองว่าสารพิษที่ตรวจสอบอาจพบเห็นหรือมีปริมาณน้อยหรือพอดีกับค่ามาตรฐานหรือไม่ 

อ่านข่าว :

อายัดซูเปอร์คาร์ "บอสพอล" อีก 1 คัน จอดริมทางลาดพร้าว-วังหิน

ไปรษณีย์ไทยเปิดจอง iStamp-โปสต์การ์ด “หมูเด้ง”

จับกระแสการเมือง: วันที่ 21 ต.ค.2567 ดินเนอร์ เคลียร์ใจ (นิรโทษกรรม) การเมือง "เท้ง" ไม่เห็นด้วยยุบเพื่อไทยและ 6 พรรคร่วม


แชร์ด้วยใจตรองด้วยเหตุผล ตรวจสอบก่อนส่งต่อ "ข่าวเด็กหาย"

Sat, 19 Oct 2024 19:14:00

วันนี้ (19 ต.ค.2567) เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา ให้คำแนะนำว่าสังคมที่มีความตื่นตัวเรื่องเด็กหายเป็นเรื่องน่าชื่นชม แต่เพื่อให้การแชร์ข้อมูลมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การช่วยเหลือเด็กหายได้จริง ควรพิจารณาว่า

ต้นฉบับของข้อมูลมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ เป็นญาติหรือไม่
หากเป็นการคัดลอกข้อมูลมาโพสต์จากคนไม่ใช่ญาติ
จะไม่มีความน่าเชื่อถือ

จึงแนะนำให้แชร์ประกาศจากต้นฉบับหรือเพจองค์กรที่น่าเชื่อถือ ที่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว หรือส่งข้อมูลมาศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา เพื่อเป็นตัวกลางตรวจสอบ และทำกระบวนการตามหาเด็ก และป้องกันปัญหาเรื่องดิจิทัลฟุตพริ้นท์ หรือ ร่องรอยในโลกออนไลน์ กรณีพบตัวเด็ก และเวลาผ่านไปนานแล้ว

สำหรับองค์กรที่ทำงานเรื่องคนหาย จะมีวิธีการวิเคราะห์สาเหตุการหายตัวไป ซึ่งหากคนหายเป็นเด็ก และระบุว่า มีการลักพาตัวไป ต้องดูเรื่องอายุด้วย เพราะการลักพาตัวในประเทศไทย ไม่ใช่รูปแบบขบวนการ หากอายุต่ำกว่า 12 ปี ต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติม

เช่น มีการแจ้งความของคนในบ้านหรือไม่ ใครเป็นผู้ดูแลเด็ก มีฝ่ายที่ต้องการนำเด็กไปเลี้ยงหรือไม่ ซึ่งหากวินิจฉัยได้ว่า มีพ่อแม่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า ก็ต้องวิเคราะห์ว่า เด็กพลัดหลงได้ด้วยตัวเองหรือไม่ เพราะบางราย อาจมีพัฒนาการทางสมองช้า หรือมีอาการออทิสติก มีโอกาสพลัดหลงเข้าไปในที่รกร้าง ถึงแก่ชีวิตได้ด้วยตนเอง รวมถึงสภาพพื้นที่ และพฤติกรรมของเด็ก แต่ต้องดูข้อบ่งชี้เพิ่มเติม เช่น ปากคำของพ่อแม่ และความกระตือรือร้นในการแจ้งความ

สำหรับผู้ปกครองที่บุตหลานหายตัวไป ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำว่า นอกจากต้องเร่งไปแจ้งความ ให้ส่งข้อมูลมาที่ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา จะตรวจสอบความน่าเชื่อถือ และทำการประกาศ ซึ่งเมื่อทำกระบวนการตามหาเด็กหายจนพบ จะมีการลบข้อมูลประกาศทั้งหมดออกจากระบบทันที

อ่านข่าวอื่น :

กลุ่มเปราะบางด้านจิตใจ-การเงิน เป้าหมายหลักชักจูง "หลอกลงทุน"

รู้จัก "ไวยาวัจกร" ผู้จัดการ "เงิน" แทนพระสงฆ์


รู้จัก "ไวยาวัจกร" ผู้จัดการ "เงิน" แทนพระสงฆ์

Sat, 19 Oct 2024 17:40:00

พระธรรมวินัยที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินเงินทอง

ในพระวินัยปิฎก มีการบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องของการรับทองและเงินไว้ว่า พระภิกษุสงฆ์นั้นไม่สามารถรับทองและเงินได้ตามพระวินัยบัญญัติ ไม่ว่าจะรับเองหรือให้ผู้อื่นรับก็ตาม ในที่สุด แม้ยินดีก็ยังเป็นอาบัติ และหากรับเงินทองแล้ว ก็ต้องเสียสละเงินทองนั้นในท่ามกลางสงฆ์ อาบัติดังกล่าวจึงจะพ้นไปได้ อาบัติชนิดนี้จึงเรียกว่า "นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์" หรือ "นิสสัคคิยวัตถุ" ที่แปลว่า อันทำให้ต้องสละสิ่งของ ภิกษุต้องอาบัติประเภทนี้ ต้องสละสิ่งของที่ทำให้ต้องอาบัติก่อน จึงจะปลงอาบัติตก ส่วนสิ่งของที่ทำให้ต้องนิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ เรียกว่า "นิสสัคคิยวัตถุ" เช่น เงิน ทอง ที่เป็นเหตุนั้นจำต้องสละก่อนจึงจะปลงอาบัติตก

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

อธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น กฎในพระวินัยเกี่ยวกับการรับเงิน ข้อห้ามนี้ถูกระบุชัดเจนในพระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก พระสงฆ์จะต้องละเว้นจากการสะสมทรัพย์สินใด ๆ รวมถึงเงินทอง โดยสามารถรับสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ซึ่งเรียกว่า ปัจจัย 4

หากผู้มีจิตศรัทธาปรารถนาจะถวายเงิน พระสงฆ์ไม่สามารถรับเงินได้โดยตรง ต้องให้ผู้ศรัทธาฝากเงินนั้นไว้กับไวยาวัจกร หรือฝากไว้ในบัญชีของวัด ซึ่งเงินเหล่านั้นจะถูกใช้ในกิจการของวัด เช่น บำรุงซ่อมแซมอาคาร หรือทำบุญต่าง ๆ แต่ไม่ใช่เพื่อการใช้จ่ายส่วนตัวของพระสงฆ์

แต่ในบางพื้นที่ การปฏิบัติเรื่องการรับเงินอาจแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมและการตีความของพระสงฆ์หรือวัดแต่ละแห่ง แม้พระสงฆ์ส่วนใหญ่จะพยายามปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด แต่ในบางกรณีก็อาจเห็นพระสงฆ์รับเงินหรือใช้เงิน ซึ่งเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดการถกเถียงกันในสังคมไทย

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

รู้จักไวยาวัจกร ผู้จัดการเงินแทนพระ

ตามพระวินัย มีไวยาวัจกรที่ปรากฏในสิกขาบทที่ 10 จีวรวรรคที่ 1 นิสสัคคิยปาจิตตีย์ความว่า "ถ้าใคร ๆ นำทรัพย์มาเพื่อค่าจีวรแล้วถามภิกษุว่า ใครเป็นไวยาวัจกรของเธอ ถ้าภิกษุต้องการจีวร ก็พึงแสดงคนวัดหรืออุบาสก ว่าผู้นี้เป็นไวยาวัจกรของภิกษุทั้งหลาย ครั้นเขามอบหมายไวยาวัจกรนั้นแล้ว สั่งภิกษุว่า ถ้าต้องการจีวร ให้เข้าไปหาไวยาวัจกร ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาเขา

มาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 บัญญัติไว้ว่า การแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์ เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระภิกษุอันเกี่ยวกับตำแหน่งปกครอง คณะสงฆ์ตำแหน่งอื่น ๆ และไวยาวัจกร ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎมหาเถรสมาคม ซึ่งหลักเกณฑ์และวิธีการในการแต่งตั้ง ถอดถอน ไวยาวัจกร กำหนดไว้ในกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 18 (พ.ศ. 2536) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนไวยาวัจกร มีดังนี้

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ไวยาวัจกร หมายถึง คฤหัสถ์ผู้ได้รับแต่งตั้งให้มีหน้าที่เบิกจ่ายนิตยภัต และจะมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาจัดการทรัพย์สินของวัดได้ ตามที่เจ้าอาวาสมอบหมายเป็นหนังสือ ซึ่งคฤหัสถ์ผู้จะได้รับการแต่งตั้งเป็นไวยาวัจกร ต้องประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้

  1. เป็นชาย มีสัญชาติไทย นับถือพระพุทธศาสนา
  2. มีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์
  3. เป็นผู้มีหลักฐานมั่นคง
  4. เป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ไวยาวัจกรได้
  5. เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองตามระบอบรัฐธรรมนูญ
  6. ไม่เป็นผู้ที่มีร่างกายทุพพลภาพ ไร้ความสามารถ หรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบหรือมีโรคเป็นที่รังเกียจแก่สังคม
  7. ไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี เช่น มีความประพฤติเสเพล เป็นนักเลงการพนัน เสพสุราเป็นอาจิณ หรือติดยาเสพติดให้โทษ
  8. ไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
  9. ไม่เป็นผู้ที่เคยถูกลงโทษให้ออกจากราชการ หรือองค์การของรัฐบาล หรือบริษัท ห้างร้านเอกชน ในความผิดหรือมีมลทินมัวหมองในความผิดเกี่ยวกับการเงิน
  10. ไม่เป็นผู้ที่เคยถูกลงโทษจำคุก เว้นแต่ความผิดที่เป็นลหุโทษหรือความผิดอันได้กระทำโดยประมาท

ในการแต่งตั้งไวยาวัจกรของวัดใด เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าอาวาสวัดนั้นปรึกษา สงฆ์ในวัดพิจารณาคัดเลือกคฤหัสถ์ผู้มีคุณสมบัติดังกล่าว เมื่อมีมติเห็นชอบในคฤหัสถ์ผู้ใดก็ให้เจ้าอาวาสแต่งตั้งคฤหัสถ์ผู้นั้นเป็นไวยาวัจกร โดยอนุมัติของเจ้าคณะอำเภอ และการแต่งตั้งไวยาวัจกรนั้น อาจจะแต่งตั้งคนเดียวหรือหลายคนก็ได้

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ไวยาวัจกรจะพ้นจากหน้าที่เมื่อ

  1. ตาย
  2. ลาออก
  3. พ้นจากความเป็นคฤหัสถ์
  4. เจ้าอาวาสผู้แต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งหน้าที่
  5. ขาดคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ได้กำหนดไว้
  6. ให้ออกจากหน้าที่
  7. ถูกถอดถอนออกจากหน้าที่

ไวยาวัจกรเป็นผู้ที่ช่วยให้พระภิกษุสงฆ์ไม่ต้องอาบัติในการรับเงินทอง รวมถึงเป็นผู้ช่วยจัดการธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินเงินทองได้ทั้งหมด รองศาสตราจารย์ ดนัย ปรีชาเพิ่มประสิทธิ์ อาจารย์สาขาวิชาปรัชญา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า หากพระภิกษุสงฆ์มีไวยาวัจกรประจำวัดและเคร่งครัดในเรื่องเงินทองตามพระธรรมวินัยนี้ บทบาทของไวยาวัจกรดังกล่าวน่าที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ของพระภิกษุที่เป็นของส่วนตัวได้ดีขึ้น

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

รองศาสตราจารย์ ดนัย ได้สรุปข้อมูลไว้ว่า พระภิกษุสงฆ์จะรับเงินและทองได้โดยไม่ผิดพระวินัยบัญญัติ มีเพียงการให้กัปปิยการกหรือผู้มีจิตศรัทธาเป็นผู้ถือเงินและทองนั้นไว้ แล้วให้เปลี่ยนเป็นปัจจัย 4 ที่เหมาะสมกับความต้องการของสงฆ์เท่านั้น จึงจะไม่เป็นอาบัติ โดยพระภิกษุสงฆ์ห้ามยุ่งเกี่ยวแม้กระทั่งสั่งว่าให้เงินทองนั้นไปวางไว้ที่ใด ถึงแม้ว่าพระภิกษุสงฆ์จะไม่รับเงินทองนั้น แต่เป็นผู้บริหารจัดการเงินทองนั้นให้เป็นปัจจัย 4 เองก็ดี ปัจจัย 4 เหล่านั้นย่อมเป็นอกัปปิยะแก่ภิกษุสงฆ์ทั้งหมด

พระไตรปิฎกห้าม แต่ กฎหมายไทยไม่ได้ห้าม "พระถือเงิน"

การศึกษาเรื่อง สิทธิทางทรัพย์สินของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ของ นรา ถิ่นนัยธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องสิทธิทางทรัพย์สินของพระภิกษุไว้โดยเฉพาะ การจัดการกับทรัพย์สินของพระภิกษุจึงเป็นไปตามหลักทั่วไปตามมาตรา 1336 มาตรา 1622 มาตรา 1623 และ มาตรา 1624 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ทรัพย์สินที่พระภิกษุได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศตกเป็นกรรมสิทธิ์ของพระภิกษุ ซึ่งพระภิกษุสามารถที่จะจำหน่ายไปในระหว่างชีวิตหรือทำพินัยกรรมกับทรัพย์สินเหล่านั้นได้ รวมถึงสามารถนำกลับไปเป็นทรัพย์สินส่วนตัวภายหลังจากลาสิกขาได้อีกด้วย

ทำให้พระภิกษุที่ไม่ยึดมั่นในพระธรรมวินัย ใช้ประโยชน์จากบทบัญญัติของกฎหมายนี้ในการแสวงหาทรัพย์สินจากความเชื่อความศรัทธาของประชาชน เพื่อประโยชน์ของตนเอง ในขณะที่ทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายในการตัดกรรมสิทธิ์หรือจำกัดการใช้สิทธิกับทรัพย์สินประเภทนี้ ทำให้บางกรณีพระภิกษุอาจใช้สิทธิโดยไม่เหมาะสมกับความเป็นสมณเพศได้

ซึ่งจากกฎหมายที่บัญญัติไว้เช่นนี้ ทำให้พบปัญหาเกี่ยวกับสิทธิทางทรัพย์สินของพระภิกษุแบ่งได้เป็น 3 ข้อ

  1. กฎหมายเปิดโอกาสให้พระภิกษุถือครองและจำหน่ายทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ
  2. กฎหมายไม่ได้กำหนดเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินที่เป็นของบุคคลก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ให้สอดคล้องกับสถานะของความเป็นพระภิกษุ
  3. กฎหมายไม่ได้กำหนดเกี่ยวกับเรื่องความสามารถในการทำนิติกรรมของพระภิกษุ และผลของการทำนิติกรรมที่ขัดต่อพระธรรมวินัย
ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

บทความเรื่อง เงินกับคุณค่าทางจริยะ : กรณีพระภิกษุจับเงิน อธิบายความเกี่ยวกับการรับเงินของพระสงฆ์ในปัจจุบันไว้โดยละเอียด เริ่มแรกระบุว่า จะมีกลุ่มคนอยู่ 2 กลุ่มที่มีความเห็นต่างเรื่องพระสงฆ์และเงิน

กลุ่มแรกนั้นอาจไม่ต้องขยายความเพิ่ม เพราะคำตอบมีอยู่เพียงว่า การรับเงินของพระสงฆ์ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็คือความผิด แต่สิ่งที่ต้องขยายความมากขึ้นคือแง่คิดของกลุ่มที่ 2 ที่ยอมรับว่า ผิดแต่... โดยส่วนขยายคำว่าแต่ ก็ขึ้นอยู่กับบริบทของสังคม กาลเวลา ที่เปลี่ยนไป

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ที่มา : 
- โครงการวิจัยส่วนหนึ่งในโครงการวิจัยพุทธศาสน์ศึกษา ของศูนย์พุทธศาสน์ศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  2552 โดย รองศาสตราจารย์ ดนัย ปรีชาเพิ่มประสิทธิ์ อาจารย์สาขาวิชาปรัชญา คณะศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- สิทธิทางทรัพย์สินของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา โดย นรา ถิ่นนัยธร ดุษฎีนิพนธ์ นิติศาสตรดุษฎีบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
- เงินกับคุณค่าทางจริยะ : กรณีพระภิกษุจับเงิน โดย พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี (เหมประไพ) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวด

อ่านข่าวอื่น : 

CIB เผย 10 วัน ยอดผู้เสียหาย “ดิไอคอน” ทั่วปท. ทะลุ 4,583 คน

ราชทัณฑ์แจง "เมธี” แค่เห็นหน้า อยู่คนละแดนไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้

“กันต์ – แซม” ยอมกักโรคเพิ่มเป็นเพื่อน “บอสพอล” รวม 6 วัน

 

 

 


ตร.พบตัวเด็ก 7 ขวบอยู่ในห้องกับแม่ที่คอนโดฯ หลังโพสต์ลูกหาย

Fri, 18 Oct 2024 08:38:00

วันนี้ (18 ต.ค.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีแม่โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อช่วงเย็นวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่าลูกสาววัย 7 ขวบหายตัวไปจากพื้นที่บริเวณโรงเรียน ภายในสุขุมวิทซอย 31 ต่อมาแม่ได้ลบโพสต์ดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่ามีการแสดงความคิดเห็นในเชิงลบและเบื้องต้นได้ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนแล้ว ปัจจุบันยังไม่เจอตัวน้องอมยิ้มแต่อย่างใด

ขณะที่ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ จัดชุดเร่งติดตามหาตัวน้องอมยิ้ม ร่วมกับสืบสวน สน.ทองหล่อ โดยตำรวจพยายามติดต่อกับแม่ของเด็ก แต่ไม่สามารถติดต่อได้ และจากการตรวจสอบกับพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ พบว่ายังไม่มีการแจ้งความเรื่องเด็กหาย จึงทำให้ตำรวจไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับแม่และเด็ก

ต่อมา ตำรวจวางแผนกระจายกำลังตามหาที่พักของแม่เด็กที่เคยไปพักอาศัย จนกระทั่งสืบสวนทราบว่าแม่เด็กได้พักอาศัยที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในย่าน ถ.รัชดาภิเษก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าแม่เด็กอยู่ภายในห้องพักดังกล่าว จึงได้เรียกและพยายามพูดคุย แต่แม่เด็กไม่เปิดประตูห้องให้

เจ้าหน้าที่ใช้เวลาเจรจาประมาณ 1 ชั่วโมง จนเวลาประมาณ 21.30 น. เจ้าหน้าที่ใช้วิธีการโทรศัพท์คุยกับน้องอมยิ้มและทราบว่าเด็กอยู่ภายในห้องพักดังกล่าวด้วย จึงได้ให้แม่เด็กเปิดประตูและดันเข้าไปภายในห้อง กระทั่งพบตัวน้องอมยิ้มในที่สุด

เบื้องต้นพบว่าเด็กปลอดภัยและพูดคุยยิ้มแย้มกับตำรวจ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้พาแม่และน้องอมยิ้มไป สน.ทองหล่อ เพื่อพูดคุยซักถามตามกระบวนการ

ด้าน พ.ต.อ.พันษา อมราพิทักษ์ ผู้กำกับการ สน.ทองหล่อ เปิดเผยว่า ผลจากการพูดคุยพบว่าแม่เด็กไม่ค่อยพูด แต่รับว่าเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ขณะนี้มีแฟนเป็นชาวต่างชาติ และก่อนหน้านี้เคยมีปัญหาทางสมอง แต่ไม่รุนแรง ซึ่งตำรวจเตรียมหารือกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพื่อติดตามดูแลเด็ก

อ่านข่าว

DSI ค้นระบบหลังบ้าน "ดิไอคอนกรุ๊ป" เตรียมดึงข้อมูลสอบสวนเพิ่ม

"พลังงาน" ส่งสัญญาณตรึงดีเซล 33 บาท/ลิตร ถึงสิ้นปี 67

วันแรก! เสียงสะท้อนสลาก N3 ที่ขายน้อย-แก้ปัญหาหวยใต้ดินไม่ได้


"พิพัฒน์" รับข้อเสนอโฮมเนทสากล ดูแลผู้รับงานไปทำที่บ้าน

Thu, 17 Oct 2024 19:41:48

วันนี้ (17 ต.ค.2567) เวลา 09.00 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน ให้การต้อนรับนางโจเซฟีน พาริลลา ประธานกรรมการโฮมเนทสากล และคณะ ในโอกาสเข้าพบเพื่อเยี่ยมคารวะ และหารือแนวทางการกำหนดนโยบาย และมาตรการด้านแรงงานเกี่ยวกับอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 177 ว่าด้วยงานที่รับไปทำที่บ้าน ค.ศ.1996 โดยมีนายสิรภพ ดวงสอดศรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ตนเอง พร้อมด้วยปลัดฯ และผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ยินดีต้อนรับคณะโฮมเนทสากลเป็นอย่างยิ่งที่ให้ความสำคัญในการรณรงค์ ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาแรงงานนอกระบบ หรือผู้รับงานไปทำที่บ้าน เป็นกลุ่มหนึ่งที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และช่วยส่งเสริมสิทธิสวัสดิการ การคุ้มครองทางสังคม กฎหมาย และความปลอดภัยในการทำงาน

กระทรวงแรงงาน พร้อมรับฟังข้อมูลประเด็นปัญหาและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบาย และมาตรการด้านแรงงาน รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 177 ว่าด้วยงานที่รับไปทำที่บ้าน ค.ศ.1996 ในการแก้ไขปัญหาให้แก่กลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้าน และพัฒนาแรงงานนอกระบบในประเทศไทย

นายพิพัฒน์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าของ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน ว่า ขณะนี้ยังมีคำนิยามและข้อกำหนดบางข้อที่ยังไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาไอแอลโอฉบับที่ 177 ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายฉบับดังกล่าวก่อนที่จะให้สัตยาบันได้ ซึ่งกระทรวงแรงงานยินดีที่จะรับฟังข้อเรียกร้องจากโฮมเนทสากล เพื่อขยายขอบเขตความคุ้มครองให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศ

ทั้งนี้ ปัจจุบันกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาและเตรียมความพร้อมรองรับการให้สัตยาบันอนุสัญญา C 177 และได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อขยายการคุ้มครองแก่ผู้รับงานไปทำที่บ้านให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน และให้สอดคล้องกับอนุสัญญา C 177 มากยิ่งขึ้น โดยขณะนี้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอยู่ระหว่างเร่งรัดให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเสนอความคิดเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ปัจจุบันยังไม่ได้มีหนังสือให้หน่วยงานยืนยันร่างแต่อย่างใด

กระทรวงแรงงาน มีแต่ละกรมเข้าส่งเสริมกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านให้มีทักษะฝีมือ มีอาชีพ มีรายได้ และมีหลักประกันทางสังคมที่ดี ไม่ว่าจะเป็นกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จะเข้าไป Up skill ให้ผู้รับงานไปทำที่บ้านและมอบเครื่องมือให้ไว้ประกอบอาชีพ กรมการจัดหางานส่งเสริมแหล่งเงินทุนให้กลุ่มผู้รับงานไปเป็นต้นทุนในการประกอบอาชีพ สูงสุด 300,000 บาท และสำนักงานประกันสังคมส่งเสริมให้กลุ่มผู้รับงานไปทำงานที่บ้านได้เข้าประกันสังคมมาตรา 40 เพื่อให้มีหลักประกันทางสังคม

ด้านนางมาร์ธา เชน ผู้ร่วมก่อตั้งโฮมเนทสากล กล่าวว่า ในนามคณะโฮมเนทสากลขอขอบคุณ รมว.แรงงาน และผู้บริหารกระทรวงแรงงานที่เปิดโอกาสให้เข้าพบหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และรับฟังข้อเสนอจากโฮมเนทสากล เพื่อให้ประเทศไทยได้ผลักดันสัตยาบันอนุสัญญา ให้เป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียในการดูแลคุณภาพชีวิตของผู้รับงานไปทำที่บ้าน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันผลักดันในการดูแลกลุ่มผู้รับงานไปทำที่บ้านต่อไป


ส่องทิศทางวงการหนังสือกระเตื้อง 1.7 หมื่นล้าน - "อีบุ๊ก" มาแรง สูงวัยนิยม

Thu, 17 Oct 2024 13:34:00

ช่วงรอยต่อระหว่างสื่อเก่าและสื่อใหม่ ที่หมายถึง สื่อโทรทัศน์, หนังสือพิมพ์, วิทยุ และนิตยสาร สู่รูปแบบดิจิทัล ระบบอินเทอร์เน็ต ที่ทำให้ผู้คนหันไปสนใจบริโภคข่าวสารจากสื่อออนไลน์ในหลากหลายรูปแบบผ่านจอโทรศัพท์มือถือช่องทางการรับข่าวสารที่เพิ่มขึ้น และการเติบโตของ E-Book ถือเป็นช่วงขาลงของวงการหนังสือ เช่นเดียวกับร้านหนังสือที่ลดลง มีการปรับลดขนาด และเพิ่มสินค้า Non book และบางส่วนกลายเป็นร้านหนังสือแปรสภาพ ไปอยู่บนออนไลน์ แต่กระนั้นก็ตามก็ไม่ได้ทำให้กลุ่มคนรักการอ่านหนังสือน้อยลง แต่เป็นเพียงอ่านจากโลกคนละใบ

เมื่อเทียบกับสถิติย้อนหลัง คนไทยอ่านหนังสือมากขึ้น โดยผลการสํารวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าคนไทยอ่าน เพิ่มขึ้นจากเฉลี่ยวันละ 39 นาทีในปี 2551 เป็นเฉลี่ยวันละ 80 นาทีในปี 2561 และ 113 นาทีในปี 2566

อีกทั้งเหตุการณ์โรคระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตและพฤติกรรมการอ่านและซื้อหนังสือของคนไทย ปี 2564 พบว่า ภาพรวมธุรกิจหนังสือเติบโตถึงร้อยละ 20 จากการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์

ธีรภัทร เจริญสุข กรรมการสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย

ธีรภัทร เจริญสุข กรรมการสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย

นายธีรภัทร เจริญสุข กรรมการสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย และ อนุกรรมการการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านหนังสือ กล่าวว่า วงการหนังสือในอดีตและปัจจุบัน สิ่งแตกต่างที่เห็นอย่างชัดเจน คือในอดีตความบันเทิงของผู้รับสื่อรับสาร มีแค่โทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือ แต่ในทุกวันนี้การรับสื่อสารของผู้ชม หรือผู้บริโภคมีช่องทางมากมายหลายหลาก ทั้งบนมือถือ และสื่อโซเชียลต่าง ๆ

อ่านข่าว : ความหวัง "สถาบันหนังสือ" ซอฟต์พาวเวอร์ นับ 1 กับงบ 69 ล้าน

ตลาดหนังสืออดีตถึงปัจจุบัน

ขาลงของวงการหนังสือเป็นช่วงปี 2562 ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างสื่อใหม่และสื่อเก่า ที่ทำให้ผู้คนไปสนใจรับสื่อออนไลน์มากกว่า แต่สำหรับช่วง โควิด-19 เป็นช่วงที่คนมีเวลา อยู่กับบ้านมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายหนังสือกระเตื้องขึ้นจนถึงปัจจุบัน

มูลค่าตลาดหนังสือ

จะเห็นได้ว่าหลังสถานการณ์โควิด-19 หนังสือกระดาษส่วนแบ่งการตลาดเริ่มกระเตื้องขึ้น โดยข้อมูลจากยอดขายหนังสือในงานหนังสือ ตั้งแต่งานหนังสือ ปี 2560 จนถึงงานสัปดาห์แห่งชาติ ครั้งที่ 52 และ สัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 22 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มี.ค.-8 เม.ย.2567 ดังนี้

E-Book มาแรง สูงวัยนิยมอ่าน

จากผลสำรวจของสมาคมผู้จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยที่ร่วมกับทางคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า คนอ่าน E-Book ไม่ใช่เด็ก แต่เป็นกลุ่มผู้ที่มีอายุแล้ว เพราะ E-Book สามารถขยายตัวหนังสือได้ใหญ่ขึ้น รวมทั้งมีฟังก์ชันช่วยอ่าน ช่วยออกเสียง

เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว E-Book มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 12% และเพิ่มเป็น 20% ในปี 2567 ตลาด E-Book แนวโน้มมีเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ทั้งนี้ตลาด E-Book โตขึ้น หนังสือก็ไม่ได้ลดน้อยลงไป แต่จะโตขึ้นไปด้วยกัน

E-Book ไม่ได้ทำให้ยอดขายหนังสือน้อยลง บางครั้ง E-Book ทำให้หนังสือขายดีด้วยซ้ำไป เป็นเพราะเมื่ออ่านเรื่องราวจาก E-Book อ่านในออนไลน์แล้ว คนอ่านอยากได้หนังสือจากเรื่องราวที่ชื่นชอบมาสะสม และเป็นเจ้าของ

กลุ่มตัวอย่างแจกแจงสัดส่วนของหนังสือที่ซื้อในปีที่ผ่านมา ว่าซื้อในรูปแบบพิมพ์บนกระดาษ รูปแบบ

E-Book และ รูปแบบหนังสือเสียงด้วยสัดส่วนร้อยละเท่าใด ให้รวมกันแล้วได้จำนวนเต็มเป็น 100 ผลดังภาพ 27 พบว่า

ทั้งนี้ การซื้อหนังสือในรูปแบบพิมพ์บนกระดาษด้วยสัดส่วนสูงกว่ารูปแบบอื่นอยู่ที่ ร้อยละ 66 -75 รองลงมาคือ อีบุ๊กที่มีส่วนแบ่งสูงสุดในกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป ร้อยละ 32 ตามด้วยหนังสือเสียงที่กลุ่มตัวอย่างซื้อเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 1-2 อาจเป็นเพราะปัจจุบันหนังสือเสียงภาษาไทยยังมีช่องทางการขายน้อยและมีหนังสือให้เลือกน้อย

เมื่อเปรียบเทียบกับพฤติกรรมการอ่านหนังสือ ที่พบว่ากลุ่มตัวอย่างอ่านหนังสือในรูปแบบกระดาษและอีบุ๊กพอ ๆ กัน แต่เมื่อถามถึงรูปแบบหนังสือที่ซื้อ กลับพบว่ามีสัดส่วนการซื้อหนังสือกระดาษมากกว่าอาจเป็นไปได้ว่า อีบุ๊กที่อ่านส่วนหนึ่งอาจได้มาจากการดาวน์โหลด ไม่ได้ซื้อ สอดคล้องกับผลในข้อก่อนหน้าที่พบว่าการดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ตเป็นวิธีการได้มาซึ่งหนังสือที่อ่านที่ใช้มากเป็นอันดับสองรองจากการซื้อ

ในขณะที่หนังสือเล่มที่เป็นกระดาษอาจยังไม่มีทางเลือกเป็น E-Book หากต้องการอ่านก็จำเป็นต้องซื้อ หรือบางคนอาจซื้อเพื่อเก็บสะสม ซึ่งจะอยู่ในรูปของหนังสือกระดาษมากกว่า

สำนักพิมพ์-ร้านหนังสือ สวนทางกระแสเศรษฐกิจ

ในช่วงที่ผ่านมาร้านหนังสือปิดตัวลงไปเยอะ แต่ในทางกลับกันก็มีร้านหนังสือที่เกิดขึ้นใหม่ด้วยเช่นกัน สำหรับร้านหนังสือที่ปิดตัวลงนั้นเป็นร้านหนังสือที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบแฟรนไชส์ หรือ Chain Store และมีการขายในรูปแบบดั้งเดิม ซึ่งจะโดนอีคอมเมิร์ซแย่งตลาด เพราะกลุ่มอีคอมเมิร์ซ แพลตฟอร์มต่างๆ มีโค้ตในการลดราคาสินค้า และสามารถส่งถึงบ้านได้เลยโดยที่ไม่ต้องไปหน้าร้าน

จากสถิติร้านหนังสือที่เป็นร้านขายออนไลน์ เพิ่มมากขึ้น ประมาณ 500 ร้านค้า หรือที่เรียกว่า “ร้านหนังสือแปรสภาพ” เพราะลดต้นทุนในการเช่าหน้าร้าน จะทำให้สะดวกขึ้น รวมถึงแผงนิตยสาร และหนังสือพิมพ์ ที่ปิดไปทั้งหมด ที่มูลค่าการตลาดหายไปทั้งหมด หันไปอยู่ในโซเชียล

สำหรับร้านหนังสือที่ยังเปิด และไม่ใช่ Chain Store ที่เป็นสมาชิกของสมาคมผู้จัดพิมพ์ 33 แห่ง แต่ทั้งนี้ยังมีร้านหนังสืออีกจำนวนมากที่ไม่ได้เป็นสมาชิกสมาคมผู้จัดพิมพ์อีกจำนวนมากโดยเฉพาะต่างจังหวัด

ในส่วนสำนักพิมพ์ โดยเฉพาะสำนักพิมพ์ที่ทำนิตยสารและหนังสือพิมพ์ ที่ปิดตัวลง เนื่องจากนิตยสารและหนังสือพิมพ์ periodic เป็นการออกตามเวลา แต่ทุกวันนี้เป็นการสื่อสารข่าวสารแบบเรียลไทม์ โดยในปี 2563 สำนักพิมพ์และร้านหนังสือมีอยู่ 282 แห่ง แต่ปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 418 แห่ง

สำนักพิมพ์ที่ปิดตัว อาจจะเป็นสำนักพิมพ์ที่ทำหนังสือไม่ตรงกับตลาดในปัจจุบัน หรืออาจเป็นปัญหาการบริหารในตัวองค์กรเอง

ทั้งนี้ต้นทุนหนังสือที่เพิ่มขึ้นเป็นเพราะค่าครองชีพต่างๆ เพิ่มขึ้นทุกรูปแบบ ทั้งค่าน้ำมัน ค่าขนส่ง ค่ากระดาษ แต่สิ่งที่ไม่เพิ่มคือ ค่าแรง ที่เพิ่มขึ้นไม่ทันกับค่าครองชีพ หนังสือก็เช่นกันที่ขึ้นราคาตามค่าครองชีพ

ถามว่าหนังสือแพงแล้วเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงหนังสือไหม? แต่ค่าแรงหรือค่าจ้าง หรือเงินเดือน ของคนไทย มันถูกเกินไป จนไม่สามารถจ่ายสินค้าวัฒนธรรมได้

หนังสือไม่มีวันตาย

ต้องแยกให้ออกระหว่างขายกระดาษ หรือ ขายเนื้อหาที่อยู่ในกระดาษ ถ้ามองว่าขายกระดาษก็จะตายไปในวันหนึ่ง แต่ถ้าขายเรื่องราวขายความรู้ ขายภูมิปัญญาที่อยู่ในสื่อชนิดหนึ่ง ก็จะไม่มีวันตาย

ย้อนกลับไปสมัยที่คนจารึกบนใบลาน มาในปัจจุบันเปลี่ยนเป็นกระดาษ เป็นแค่การเปลี่ยนมีเดีย ในอนาคตอาจจะเปลี่ยนเป็นอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด หรือ ฮอโลแกรม ซึ่งเมื่อถึงวันนั้นจะเรียกว่าหนังสืออยู่หรือเปล่า

การทำหนังสือคือการทำเนื้อหาเพื่อส่งให้ผู้อ่าน ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับมีเดียใดมีเดียหนึ่งไปตลอดกาล

ทิศทางอุตสาหกรรมหนังสือในอนาคต

เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว หนังสือมีมูลค่าสูงสุดอยู่ที่ 40,000 ล้านบาท ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งเป็นมูลค่าการตลาดของสื่อสิ่งพิมพ์ประเภท นิตยสาร และหนังสือพิมพ์ และปี 2563 มูลค่าการตลาดอยู่ที่ 12,500 ล้านบาท

นายธีรภัทร มองว่ามูลค่าตลาด หรือธุรกิจอุตสาหกรรมหนังสือในหนังสือเล่ม และสื่ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ตอนนี้ฟื้นตัวเกือบเท่าเดิมแล้วปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 17,000 ล้านบาท และในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 18,000 ล้านบาท และหวังว่าจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

ซอฟต์พาวเวอร์อุตสาหกรรมหนังสือไทย

อุตสาหกรรมหนังสือภายในประเทศ ที่จะสร้างความเข้มแข็งในการซื้อขายแลกเปลี่ยน อ่านและ ผลิต ทั้งนักเขียน นักอ่าน รวมถึงผู้คนในวงการ ระบบนิเวศของอุตสาหกรรมหนังสือ ซึ่งได้รับการสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นการอบรมนักเขียน นักแปล บรรณาธิการ หรือสื่อสิ่งพิมพ์โดยภาพรวม เพื่อสร้างให้เกิดบรรยากาศ เรียนรู้ และบรรยากาศของการอ่านหนังสือ
ซึ่งการจัดการมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 29 นี้ ได้รับการสนับสนุนส่วนหนึ่งจาก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม มีการจัดกิจกรรมการส่งเสริมการอ่านหนังสือนิทานให้เด็ก เพื่อปลูกฝังการอ่านตั้งแต่วัยเด็ก มีนิทรรศการการโชว์หนังสือปกสวย 100 เล่ม ซึ่งคัดเลือกมาจากหนังสือที่ตีพิมพ์ในปีนี้ เพื่อส่งเสริมนักออกแบบ ในรูปแบบของปกหนังสือ จะทำให้เกิดวงจรให้คนมามองเห็น ผู้ออกแบบปกและสามารถจ้าง งานต่อไปได้ สร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมหนังสือให้กว้างขวางยิ่งขึ้น รวมถึงการแนะนำหนังสือ จากนักเขียนที่สามารถแปลหนังสือออกไปยังต่างประเทศ ได้

นอกจากนี้ยังมีการเชิญนักเขียนจากต่างประเทศ มาพูดคุยสร้างแรงบันดาลใจและแลกเปลี่ยนเทคนิคต่างๆ กับนักเขียนไทย รวมถึงนักอ่านไทยด้วย

อีกส่วนเป็นการผลักดันนักเขียนไทยออกไปต่างประเทศ ในการจัดการ Book Fair ในนานาชาติ ซึ่งในแผนงานปีหน้ามีงานที่ไทเป โซล แฟรงก์เฟิร์ต และมาเลเซีย รวมทั้งการออกไปโรดโชว์ ขายหนังสือขายลิขสิทธิ์ ต่างประเทศ มีศักยภาพในการแปลและเผยแพร่ หนังสือไทยให้เป็นที่รู้จัก ในนานาชาติ

นอกจากนี้ยังมีแผนงานที่ร่วมกันพัฒนากับซอฟต์พาวเวอร์สาขาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ละคร รวมถึงท่องเที่ยว กีฬา เพื่อนำหนังสือเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง ของซอฟต์พาวเวอร์สาขาอื่น เพราะว่าความรู้หรือคอนเทนต์ เข้าไปอยู่ในทุกที่ได้เช่นเดียวกัน

นรีภพ จิระโพธิรัตน์ นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย

นรีภพ จิระโพธิรัตน์ นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย

ส่งเสริมการอ่าน-การเขียนให้เยาวชน

สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย อีกหนึ่งองค์กรที่มีบทบาทเป็นตัวกลางเชื่อมโยงนักเขียน นักอ่าน ทั้งระดับภูมิภาค ประเทศ และระหว่างประเทศ โดย นางนรีภพ จิระโพธิรัตน์ นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ทางสมาคมฯ ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมและปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนรักการอ่าน โดยการร่วมกับองค์กรอื่นๆ จัดกิจกรรมตามสถาบันศึกษา เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา ได้ฝึกสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบของตัวเอง และสร้างนักเขียนเพื่ออุตสาหกรรมหนังสือ อีกทั้งยังส่งเสริมการเขียน ทั้งเรื่องสั้น สารคดี กวี ให้กับกลุ่มคนที่ต้องการก้าวเข้าสู่เส้นทางนักเขียน รวมถึงการจัดประกวดผลงานในหลายๆ เวที เพื่อเปิดพื้นที่ให้นักเขียนหน้าใหม่ ทั้งนี้นางนรีภพ มองว่า

การส่งเสริมการอ่าน และการเขียนต้องควบคู่ไปด้วยกัน

ทั้งนี้นางนรีภพ มองว่า อยากให้รัฐบาลเล็งเห็นถึงฐานการศึกษาด้านวรรณกรรม เห็นความสำคัญของงานวรรณกรรม โลกเปลี่ยนไป การอ่านหนังสือ เป็นฐานสำคัญเพื่อให้การดำรงชีวิตไม่ผิดพลาด

ภาพ : สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย

ภาพ : สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย

“หนังสือ” คุณค่ามากกว่าการการอ่าน

ในยุคปัจจุบัน ยุคที่เทคโนโลยีรุกคืบ เป็นเพียงตัวเลือกและการเพิ่มช่องทางในการอ่าน ถือเป็นข้อดีที่แพลตฟอร์มต่างๆ เข้าถึงกลุ่มคนอ่านได้ง่ายขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับความชอบ ความสะดวกของแต่ละคนที่จะเลือกเสพ แต่ทั้งนี้ไม่ได้ทำให้คนกลุ่มคนรักการอ่านลดน้อยลง

หนังสือกระดาษยังมีคุณค่าที่สำคัญ คือ การเป็นเจ้าของ การได้หยิบมาอ่านทุกเมื่อที่ต้องการ การได้สัมผัสกับรูปเล่ม ได้อรรถรส เข้าถึงความรู้สึกได้มากกว่า หนังสือยังมีเสน่ห์ในตัวของมันเอง แต่สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นการเช่าใช้ เป็นการขอใช้บริการเพื่อให้ได้อ่านชั่วครั้งชั่วคราว

ในอนาคตคงได้เห็นหนังสือในรูปแบบที่หลากหลายมากกว่ารูปเล่มที่จับต้องได้ และพฤติกรรมคนอ่านตามความชอบของแต่ละแพลตฟอร์ม

และไม่รู้ว่าในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะมีแพลตฟอร์มอื่นๆ เกิดขึ้นอีก มีอะไรที่มากขึ้น แต่เชื่อว่าคนก็ยังอ่าน เพียงแต่จะอ่านจากช่องทางไหนก็เท่านั้นเอง

“นักเขียน” ยุคดิจิทัล

นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ระบุว่านักเขียนหลายคนมีกำลังก็จะแปลหนังสือของตัวเองเป็นภาษาต่างๆ เพื่อให้หนังสือได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น และอีกหลายคนมีผลงานอยู่ในห้องสมุดของต่างประเทศ เป็นการสร้างสรรค์งานเขียน ในรูปแบบต่างๆ ที่กว้างขวางอย่างไร้ขีดจำกัด

รวมทั้งโครงการวรรณกรรมสัมพันธ์อาเซียน เป็นการรวบรวมเรื่องสั้นจากนักเขียนอาเซียน เป็นการส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานสร้างสรรค์วรรณกรรมของไทยและวรรณกรรมประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนไปสู่วงการนักอ่าน อีกทั้งยังขยายวงกว้างออกไปสู่นานาประเทศในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งนับเป็นการต่อยอดและขยายผลในวงวรรณกรรมอาเซียน

อ่านข่าว :

11 วันฉ่ำๆ มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 กับหนังสือกว่า 2 ล้านเล่ม

"วันหนังสือและลิขสิทธิ์สากล" เริ่มต้นตั้งแต่น้อยค่อยๆ ปลูกฝัง "นิสัยรักการอ่าน"

เปิดรายชื่อนวนิยาย 8 เล่ม ชิงรางวัลซีไรต์ 2567


น้ำตาจระเข้คนดัง เรียกร้องความสนใจหรือบังคับคนให้อภัย ?

Wed, 16 Oct 2024 12:29:00

ความเชื่อโบราณว่ากันว่า จระเข้จะร้องไห้ขณะที่กำลังกินเหยื่อ ซึ่งเป็นการแสดงออกที่ขัดแย้งกันอย่างมาก เพราะในขณะที่กำลังกินอาหารอยู่ แต่กลับแสดงอาการเศร้าโศกเสียใจ จึงนำมาเปรียบเทียบกับคนที่แสดงความรู้สึกไม่จริงใจ แต่จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์และกายวิภาคของจระเข้ พบว่าจระเข้มีต่อมน้ำตาที่ช่วยหล่อลื่นดวงตาขณะที่อยู่บนบก แต่การหลั่งน้ำตาของจระเข้นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกแต่อย่างใด เป็นเพียงปฏิกิริยาทางสรีรวิทยาธรรมชาติ

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

สำนวน "น้ำตาจระเข้" จึงเป็นสำนวนที่สื่อถึงการแสดงออกที่ขัดแย้งกับความรู้สึกภายในใจ เป็นการแสดงออกที่ไม่จริงใจเพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือเพื่อกลบเกลื่อนพฤติกรรมที่ไม่ดี แม้ว่าความเชื่อเดิมเกี่ยวกับจระเข้ที่ร้องไห้ขณะกินเหยื่อจะไม่เป็นความจริงทั้งหมด แต่สำนวนนี้ก็ยังคงเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

รู้ไหม? ร้องไห้ไม่ได้แปลว่า "เศร้า"

แม้ว่าการร้องไห้จะถูกเชื่อมโยงกับความเศร้าหรือความเจ็บปวดทางอารมณ์ แต่ทางวิทยาศาสตร์พบว่าการร้องไห้สามารถเกิดขึ้นจากอารมณ์หลากหลายรูปแบบ นักวิจัยได้ศึกษาและอธิบายลักษณะของ "น้ำตา" ที่เป็นผลผลิตจากการร้องไห้ และพบว่า ลักษณะของหยดน้ำตาจากการร้องไห้ที่เกิดจากอารมณ์ต่าง ๆ นั้น มีองค์ประกอบทางเคมีและลักษณะทางกายภาพที่ต่างกันตามสาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำตา 

1.การร้องไห้จากความสุข (Tears of Joy) 

เป็นกระบวนการที่สมองพยายามปรับสมดุลอารมณ์ที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความตื่นเต้นที่มากเกินไป จึงเกิด "น้ำตา" ที่มีสารเคมีที่ทำให้ร่างกายรู้สึกดี เช่น โดปามีน (Dopamine) และออกซิโทซิน (Oxytocin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความรักและความสัมพันธ์ น้ำตาที่เกิดจากความสุขมักมีการระเหยที่ช้ากว่า และ มีความหนืดน้อยกว่า เนื่องจากการตอบสนองของระบบประสาทที่เกิดจากอารมณ์บวก

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

2.การร้องไห้จากความโกรธและความผิดหวัง (Tears of Anger or Frustration)

หลายคนร้องไห้เมื่อรู้สึกโกรธหรือผิดหวัง กรณีนี้เกิดจากอารมณ์ที่เข้มข้นมากเกินไป จนร่างกายต้องระบายออก ในบางกรณีอาจเป็นการระบายความตึงเครียดทางจิตใจที่เกิดจากการขัดแย้งภายในหรือความไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้

"น้ำตา" ที่เกิดจากความโกรธหรือผิดหวัง จะมีส่วนประกอบของโปรตีนและฮอร์โมนความเครียด เช่นเดียวกับน้ำตาจากความเศร้า แต่จะมีการหลั่งมากขึ้นในสภาวะที่มีระดับอะดรีนาลีน (Adrenaline) สูง ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อความเครียดและความตื่นเต้น มีระดับของสารสื่อประสาท เช่น นอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) สูงขึ้น

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

3.การร้องไห้จากความกลัว (Tears of Fear)

เมื่อเกิดความกลัวที่มากจนร่างกายไม่สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามได้อย่างเหมาะสม สมองอาจเลือกการตอบสนองแบบร้องไห้ เพื่อดึงดูดความสนใจและช่วยขอความช่วยเหลือทางสังคมจากผู้อื่น เป็นกลไกการอยู่รอดที่เชื่อมโยงกับวิวัฒนาการ

น้ำตาจากความกลัวมักจะมีลักษณะคล้ายน้ำตาที่หลั่งออกมาจากความโกรธ เนื่องจากทั้งสองอารมณ์กระตุ้นระบบ "fight or flight" ในร่างกาย การตอบสนองของระบบประสาทอัตโนมัติทำให้เกิดการปลดปล่อยสารสื่อประสาทและฮอร์โมนที่คล้ายกัน เช่น อะดรีนาลีนและคอร์ติซอล ลักษณะหยดน้ำตาจะมีความหนืดและความเข้มข้นของสารเคมีที่ช่วยเตรียมร่างกายในการตอบสนองต่อภัยคุกคาม

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

4.การร้องไห้จากความเศร้า (Tears of Sadness)

น้ำตาที่เกิดจากการร้องไห้จากความเศร้า จะมีระดับโปรตีนและฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) สูงกว่าน้ำตาจากอารมณ์ประเภทอื่น นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบที่เป็นโปรตีนสูง บ่งบอกถึงการตอบสนองต่อความเครียดที่มากขึ้นในร่างกาย มีสารลิวซีนเอนเคฟาลิน (Leucine Enkephalin) ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับการบรรเทาความเจ็บปวดตามธรรมชาติของร่างกาย

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

5.การร้องไห้เพื่อสร้างสัมพันธ์ทางสังคม (Social Bonding)

การร้องไห้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียใจหรืออารมณ์เชิงลบเสมอไป แต่ยังมีบทบาทในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม การร้องไห้อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นหรือเพื่อแสดงออกถึงความใกล้ชิดและความไว้วางใจ เมื่อคนร้องไห้ในสถานการณ์ที่มีคนอื่นอยู่ด้วย มักจะส่งผลให้เกิดความเห็นอกเห็นใจและการตอบสนองทางสังคมจากคนรอบข้าง

การร้องไห้ในสถานการณ์ที่มีคนอยู่รอบข้าง น้ำตาที่หลั่งออกมาจะส่วนประกอบที่แตกต่างจากน้ำตาทางอารมณ์ทั่วไป มีลักษณะที่เบาบางและแห้งเร็ว เนื่องจากเป็นการร้องไห้ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารและสร้างสัมพันธ์มากกว่า

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ที่น้ำตาไหล เพราะอารมณ์ในใจหรือแค่ฝุ่นเข้าตา

การร้องไห้อาจไม่ได้บ่งบอกถึงความเสียใจอย่างแท้จริง มีการศึกษาทางจิตวิทยา พยายามหาวิธีแยกแยะว่าการร้องไห้ครั้งไหนมาจากอารมณ์ที่แท้จริงหรือการแสร้งทำ โดยมีข้อสังเกต ดังนี้

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ในแง่ของจิตวิทยา อาจยากที่จะสังเกตได้ว่า น้ำตาที่ไหลออกมานั้น มาจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงในจิตใจหรือไม่ หากเกิดจริง ก็ต้องแยกลงไปอีกว่ามาจากความรู้สึกอะไร ดีใจ เสียใจ เศร้าใจ แต่ในเชิงวิทยาศาสตร์ หากนำ "น้ำตา" ไปวิเคราะห์โมเลกุล ฮอร์โมน ก็ย่อมเห็นเป็นหลักฐานประจักษ์ได้ว่า เป็นน้ำตาของมนุษย์ หรือ น้ำตาจระเข้ 

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

อ่านข่าวอื่น :

ลุยตรวจคลินิกดิไอคอนกรุ๊ป โยง "บอสหมอเอก"

ใช่หรือไม่ ? The Last Boss "ธเนตร วงษา" เกี่ยวพัน "บอสพอล"

"บอสพอล" ขอเลื่อนเข้าชี้แจง สคบ. ปมดิไอคอนกรุ๊ป

 

 


ใช่หรือไม่ ? The Last Boss "ธเนตร วงษา" เกี่ยวพัน "บอสพอล"

Wed, 16 Oct 2024 10:52:37

วันนี้ (16 ต.ค.2567) เฟซบุ๊ก ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โพสต์ข้อความว่า

"จริง ๆ แล้วกุนซือของบอสพอล หรือบอสคนสุดท้าย เคยพยายามโทรและนัดพบผมมาหลายครั้ง ในหลายปีแล้ว ทั้งชวนเล่นการเมือง ทั้งชวนทำธุรกิจ ผ่านนักข่าวคนหนึ่ง แต่ผมไม่เคยสนใจ จนเมื่อวานสายลับได้พูดถึงในรายการถกไม่เถียง ทำให้ผมนึกย้อนมาได้ ว่าบอสคนสุดท้าย ผู้เป็นอาจารย์ของบอสพอล และปรามาจารย์ของธุรกิจขายตรงแบบเครือข่ายคือ ……… "บอส ธ" ผู้เป็นเจ้าของวลี #ขยันถูกที่ปีเดียวรวย"

ที่มา : เฟซบุ๊ก ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ

ที่มา : เฟซบุ๊ก ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ

และในเวลาต่อมา เฟซบุ๊ก ทนายคลายทุกข์ โพสต์ข้อความเกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องเดียวกันต่อจากโพสต์ของทนายตั้ม "ธเนตร วงษา แจ้งทนายเดชาว่าบอสพอล เคยทำงานกับตัวเองมา 7 ปีแต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ the icon เมื่อสักครู่นี้" 

ที่มา : เฟซบุ๊ก ทนายคลายทุกข์

ที่มา : เฟซบุ๊ก ทนายคลายทุกข์

เรียกว่าชาวเน็ตยังไม่ทันทำการบ้านว่า "บอส ธ" ที่ทนายตั้มทิ้งคำใบ้ไว้เป็นใคร ทนายเดชาก็เฉลยให้เสร็จสรรพ

อ่านข่าว : สคบ. เรียก "บอสพอล" ชี้แจงปม "ดิไอคอนกรุ๊ป"

รู้จัก "ธเนตร วงษา" เจ้าของวลี ขยันถูกที่ปีเดียวรวย  

พ่อแม่หย่าร้าง ความรู้สึกที่สัมผัสเป็นประจำก็คือ "ความหิว" ผมทำงานทุกอย่างที่เป็นรายได้ อะไรไม่ผิดกฎหมายและได้เงิน ทำทั้งนั้น วันนี้ธุรกิจมีรายได้ 185 บาท/นาที มีบ้านหลังใหญ่ มีรถยุโรปหลายคัน เดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก มีภรรยาเป็นดารา ผมประสบความสำเร็จมีความสุขมาก

ที่มา : เฟซบุ๊ก ธเนตร วงษา ผู้สมัครผู้ว่า กทม. เบอร์14 รถไม่ติด เศรษฐกิจดี สุขภาพแข็งแรง

ที่มา : เฟซบุ๊ก ธเนตร วงษา ผู้สมัครผู้ว่า กทม. เบอร์14 รถไม่ติด เศรษฐกิจดี สุขภาพแข็งแรง

บางส่วนของข้อความรีวิวโดยนักเขียน ธเนตร วงษา เจ้าของหนังสือ ขยันถูกที่ปีเดียวรวย ที่พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2559 ธเนตร บอกว่าตนเองเป็นนักธุรกิจพันล้าน ประสบความสำเร็จจากธุรกิจเครือข่าย ที่ขออาสาทำงานรับใช้คนกรุงเทพฯ ไม่ได้ขายฝัน ทำได้จริง ในสนามเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปี 2563 

เขาบอกว่าตัวเขาเองอยู่เหนือทุกวิกฤตเศรษฐกิจ ตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 จนถึงปัจจุบัน เพราะวางแผนการเงินมาเป็นอย่างดี เป็นคนแข็งแรงเพราะออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องมากว่า 40 ปี 

เมื่อส่องโปรไฟล์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ธเนตร วงษา ผู้สมัครผู้ว่า กทม. เบอร์14 รถไม่ติด เศรษฐกิจดี สุขภาพแข็งแรง พบว่าโพสต์ล่าสุดเมื่อปี 2565 เจ้าตัวยังคงโพสต์เรื่องราวส่วนใหญ่เกี่ยวกับ การให้คำปรึกษาเรื่องการลงทุน 

ในวันที่ 16 ส.ค.2565 ยังได้โพสต์ข้อความว่า ท่าน สมหมาย เอี่ยมสะอาด ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะทำงาน นายธเนตร วงษา อดีตผู้สมัครผู้ว่า กทม.เบอร์ 14 และ บิ๊กป๋วย ใจไทย หรือ นายเกียรติตระกูล ใจไทย เป็นคณะทำงานด้านการเมือง ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี - ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 อยู่ในคณะ ดร.ประกาสิต เลิศมุกดา ประธานคณะทำงานด้านการเมือง ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 

ที่มา : เฟซบุ๊ก ธเนตร วงษา ผู้สมัครผู้ว่า กทม. เบอร์14 รถไม่ติด เศรษฐกิจดี สุขภาพแข็งแรง

ที่มา : เฟซบุ๊ก ธเนตร วงษา ผู้สมัครผู้ว่า กทม. เบอร์14 รถไม่ติด เศรษฐกิจดี สุขภาพแข็งแรง

นอกจากนั้น ในอดีตยังพบว่า ธเนตร มักโพสต์ทั้งข้อความและรูปภาพเป็นข้อคิด ให้กำลังใจเชิงบวก และความสำเร็จของบุคคลดังระดับโลกทั้งในไทยและต่างประเทศ ภาพที่ตนเองเคยออกรายการโทรทัศน์ต่าง ๆ และภาพของตนเองที่ถ่ายรูปกับเงินจำนวนมาก เช่น เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2560 มีภาพของ ธเนตร และ ภรรยา นั่งคู่กัน พร้อมธนบัตรจำนวนมากวางตรงหน้า และข้อความใต้ภาพ ที่ระบุว่า ในเวลานั้นตนเองมีรายได้ติดอันดับที่ 38 ของโลก

ที่มา : เฟซบุ๊ก ธเนตร วงษา ผู้สมัครผู้ว่า กทม. เบอร์14 รถไม่ติด เศรษฐกิจดี สุขภาพแข็งแรง

ที่มา : เฟซบุ๊ก ธเนตร วงษา ผู้สมัครผู้ว่า กทม. เบอร์14 รถไม่ติด เศรษฐกิจดี สุขภาพแข็งแรง

ทำงานอย่างไรให้ได้เดือนละแสน-ล้าน
บริหารเวลา ..บริหารเงิน และเลือกธุรกิจอย่างไร ? ให้มีรายPassive income 1แสน-10ล้าน/ด
โดย ธเนตร วงษา (ปัจจุบันมีรายได้ติดอันดับที่ 38 ของโลก)
ณ ตึกThe9 ( ตึก A ) ชั้น17 (อยู่หลังห้างเซ็นทรัลพระรามเก้า ประมาณ100เมตร)เวลา 13.00-15.00 น.

ล่าสุดชื่อของอดีตผู้ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. คนนี้กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง เมื่อมีการใบ้ถึง "บอสคนสุดท้าย" ผู้เป็นปรมาจารย์ของ "บอสพอล" บิ๊กบอส The iCON group โดยที่เจ้าตัวรีบติดต่อทนายเดชาว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แม้จะเคยรู้จักกันเมื่อ 7 ปีก่อนก็ตาม

อ่านข่าวอื่น :

"ลีซอ" ยันเป็นผู้เสียหาย "ดิไอคอน"สูญเงินกว่า 2 แสน

ปปง.สั่งอายัดทรัพย์สิน 125 ล้านบาท "ดิไอคอน-บอสพอล-กันต์"


"เครือข่ายภาคประชาชน" เรียกร้องรัฐจริงใจ ต่อกรณี "คดีตากใบ"

Wed, 16 Oct 2024 10:49:54

วันที่ 15 ต.ค.2567 เครือข่ายภาคประชาชนจัดกิจกรรมและออกแถลงการณ์ต่อกรณีการดำเนินคดีสลายการชุมนุมหน้า สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส บริเวณอนุสรณ์สถานสื่อสันติภาพ อ.เมืองนราธิวาส

อ่านข่าว : ศาลนราธิวาสสืบพยาน "คดีตากใบ" ญาติหวังผู้ต้องหามอบตัวสู้คดี

หลังวันนี้จำเลยทั้ง 7 คน ยังไม่มาแสดงตัวต่อศาล ตามนัดเบิกคำให้การ และเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่สามารถติดตามจับกุมตามหมายจับได้แม้แต่คนเดียว

โดยนักกิจกรรมได้อ่านรายชื่อของผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมทั้ง 85 คน พร้อมยืนไว้อาลัย และอ่านแถลงการณ์ “ตากใบต้องไม่เงียบ” เพื่อทวงถามความจริงใจของรัฐบาลต่อการ

นำตัวคนผิดมาลงโทษ ก่อนคดีจะหมดอายุความ และต้องยุติอาชญากรรมที่เกิดจากรัฐ รวมถึงยุติวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด

โดยกิจกรรมนี้เกิดขึ้นหลังวันนี้ จำเลยทั้ง 7 คน ไม่มาศาลตามนัดและเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่สามารถควบคุมตัวมาขึ้นศาลได้แม้แต่คนเดียว แต่ศาลจังหวัดนราธิวาสยังไม่จำหน่ายคดี ไปจนกว่าจะถึงเวลา 24.00 น. วันที่ 25 ต.ค. ที่คดีจะหมดอายุความ และนัดประชุมคดีใหม่วันที่ 28 ต.ค.นี้

ด้านนายรัษฎา มนูรัษฎา ทีมทนายความฝ่ายโจทย์คดีตากใบ ระบุว่า อยากให้จำเลยมาพิสูจน์ข้อเท็จจริง เพราะหากหลบหนีจนคดีหมดอายุความ ก็จะเป็นการขาดอายุความแค่ทางกฎหมาย แต่อายุความในความรู้สึกของประชาชนไม่มีวันขาด พร้อมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้มีการติดตามผู้ต้องหาที่หลบหนีทั้งในและต่างประเทศ

“แม้คดีจะหมดอายุความไปแล้ว แต่หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมของเราที่มีหน้าที่ ต้องหันมาตรวจสอบดูว่า สิ่งที่ผ่านมาเกือบ 20 ปี คุณมีหน้าที่ แต่ได้ทำเต็มความสามารถแล้วหรือยัง ทำไมต้องรอให้ชาวบ้านลุกขึ้นมาฟ้องคดีเอง เมื่อคดีใกล้จะหมดอายุความ ทำไมหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง ต้องมาดูว่า ได้ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์หรือยัง” นายรัษฎา กล่าว

ด้าน น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ระบุว่า จากการตรวจสอบข้อมูลมีผู้ต้องหาในคดีตากใบที่ถูกออกหมายจับโดย สภ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 20 ก.ย.โดยพบว่า 2 คนยังคงรับราชการ และอีก 1 คนเพิ่งเกษียณอายุราชการ เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2567 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลขับ แต่ก็มีคำถามว่า หากสุดท้ายแล้วคดีนี้จะดำเนินคดีได้แค่พลขับ แต่ไม่สามารถดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง ที่เป็นผู้ออกคำสั่งได้ จะมีความเป็นธรรมกับทุกคนจริงหรือไม่

อ่านข่าว : ลอบวางระเบิดใกล้ฐานชุดคุ้มครองตำบลโต๊ะเด็ง นราธิวาส

ญาติ "คดีตากใบ" หวังทวงคืนความยุติธรรม จนลมหายใจสุดท้าย

ศาลไม่จำหน่าย “คดีตากใบ” ขีดเส้นตาย “7 ผู้ต้องหา”

 


"เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์" สุดล้ำค่าถูกยกย่องเป็น "เรือมรดกโลก"

Tue, 15 Oct 2024 19:46:00

ริ้วขบวนพระราชพิธีเรืออันวิจิตรงดงามใน "ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค" ที่มีเพียงประเทศไทยประเทศเดียวในโลก กำลังกลับมาปรากฎสู่สายตาชาวไทยและชาวต่างชาติอีกครั้ง และจะเป็นอีกครั้งในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ในการสืบสานประเพณีอันงดงาม และสุดยิ่งใหญ่กับ "ขบวนเรือพระราชพิธี" อีกหนึ่งความภาคภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรมของชาติไทย

วันที่ 15 ตุลาคม 2567 ซ้อมใหญ่ครั้งแรกของการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหาร

วันที่ 15 ตุลาคม 2567 ซ้อมใหญ่ครั้งแรกของการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหาร

อ่านข่าว : ความเป็นมา "เรือพระราชพิธี" ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค

ในวันที่ 27 ตุลาคม 2567 งานพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดย "ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค" เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารคในครั้งนี้ ใช้เรือพระราชพิธีจำนวนทั้งสิ้น 52 ลำ ความยาว 1,280 เมตร กว้าง 90 เมตร ใช้กำลังพลประจำเรือรวม 2,399 นาย

การจัดรูปขบวนเรือพระราชพิธี จํานวน 52 ลํา แบ่งออกเป็น 5 ริ้ว 3 สาย ดังนี้

1. ริ้วสายกลาง ซึ่งเป็นเรือสายสำคัญ ประกอบด้วย เรือพระที่นั่ง 4 ลำ ดังนี้

นอกจากนี้มีเรืออีเหลืองเป็นเรือกลองนอก เรือแตงโมซึ่งเป็นเรือของผู้บัญชาการขบวนเรือเป็นเรือกลองใน พร้อมด้วยเรือตำรวจนอก และเรือตำรวจ รวมทั้งสิ้น 10 ลำ

2. ริ้วสายใน ขนาบข้างสายเรือพระที่นั่ง มีเรือทองขวานฟ้า และเรือทองบ้าบิ่น เป็นเรือประตูหน้าเรือเสือทยานชล และเรือเสือคำรณสินธุ์เป็นเรือพิฆาต เรือรูปสัตว์ 8 ลำ (เรืออสุรวายุภักษ์ เรืออสุรปักษี เรือกระบี่ปราบเมืองมาร เรือกระบี่ราญรอนราพณ์ เรือครุฑเหินเห็จ เรือครุฑเตร็จไตรจักร เรือพาลีรั้งทวีป และเรือสุครีพครองเมือง)

และปิดท้ายริ้วสายในด้วยเรือเอกไชยเหินหาว และเรือเอกไชยหลาวทอง ซึ่งเป็นเรือคู่ชัก รวมทั้งสิ้น 14 ลำ

3. ริ้วสายนอก ประกอบด้วยเรือดั้ง และเรือแซง สายละ 14 ลำ รวมทั้งสิ้น 28 ลำ

ภาพบรรยากาศการฝึกการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค (ซ้อมย่อยครั้งที่ 5)  วันที่ 3 กันยายน 2567

ภาพบรรยากาศการฝึกการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค (ซ้อมย่อยครั้งที่ 5) วันที่ 3 กันยายน 2567

เรือพระที่นั่ง 4 ลำ 

อ่านข่าว : ซ้อมใหญ่ครั้งแรก ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค

เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ งดงามตระการตา

วันที่ 15 ตุลาคม 2567 ซ้อมใหญ่ครั้งแรกของการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหาร

วันที่ 15 ตุลาคม 2567 ซ้อมใหญ่ครั้งแรกของการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหาร

ใน "ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค" ครั้งนี้ มีการจัดเตรียมเรือพระราชพิธี รวม 52 ลำ และหนึ่งในเรือพระราชพิธีที่สำคัญอย่างมาก คือ "เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์" 

"เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์" เป็นเรือพระที่นั่งชั้นสูงสุด ซึ่งเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ และพระบรมราชินี โดยเมื่อปี 2562 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ได้เสด็จโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพิธีพระบรมราชาภิเษก

เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อเรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ ทราบได้จาก บทเห่เรือของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ หรือ เจ้าฟ้ากุ้ง ที่ทรงประพันธ์ไว้ว่า

สุพรรณหงส์ทรงพู่ห้อย งามชดช้อยลอยหลังสินธุ์ เพียงหงส์ทรงพรหมมินทร์ ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม
การอัญเชิญเรือพระที่นั่งไปยังท่าราชวรดิฐ เพื่อผูกทุ่นประกอบกาพย์เห่เรือเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2567

การอัญเชิญเรือพระที่นั่งไปยังท่าราชวรดิฐ เพื่อผูกทุ่นประกอบกาพย์เห่เรือเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2567

เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เป็นหนึ่งในเรือพระราชพิธีที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย โดดเด่นด้วยความสง่างามและมีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นเรือในขบวนพยุหยาตราชลมารค ซึ่งจัดขึ้นในโอกาสพิเศษต่าง ๆ เช่น พิธีบรมราชาภิเษก และการถวายผ้าพระกฐินหลวง 

"เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์" ลำปัจจุบันนี้ เป็นเรือสร้างใหม่สมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) แล้วเสร็จในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) โดยมี พล.ร.ต.พระยาราชสงคราม (กร หงสกุล) เป็นนาวาสถาปนิกผู้ต่อเรือสุพรรณหงส์ โดยจัดให้มีการประกอบพิธีปล่อยเรือลงน้ำเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2454

โขนเรือเป็นรูปหงส์ เป็นเรือพระที่นั่งกิ่ง หมายถึง เรือที่เป็นเครื่องประดับยศ เป็นเรือพระที่นั่งชั้นสูง มีโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นใดประทับเป็นแต่บางครั้ง โปรดฯ ให้เป็นเรือทรงผ้าไตรหรือผ้าทรงสะพักพระพุทธรูป หรือพานพุ่มดอกไม้ เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์

หัวเรือพระที่นั่งนี้มี "โขนเรือ" เป็นรูปหัวของ "หงส์" ลำตัวเรือทอดยาวคือส่วนตัวหงส์ จำหลักไม้ ลงรักปิดทองประดับกระจก มีพู่จามรีห้อย ปลายพู่เป็นแก้วผลึก ภายนอกทาสีดำ ท้องเรือภายในทาสีแดง ตอนกลางลำเรือทอดบัลลังก์กัญญา หรือ บุษบกไว้สำหรับเป็นที่ประทับ

เรือมีความยาว 46.15 เมตร กว้าง 3.17 เมตร ลึกจนถึงท้องเรือ 94 เซนติเมตร กินน้ำลึก 41 เซนติเมตร น้ำหนัก 15 ตัน ใช้กำลังพลประกอบด้วย ฝีพาย 50 คน นายเรือ 2 คน นายท้าย 2 คน คนถือธงท้าย 1 คน พลสัญญาณ 1 คน คนถือฉัตร 7 คน คนขานยาว 1 คน คนขานยาวทำหน้าที่ในการร้องขานเพลงเรือโดยฝีพายจะร้องเห่เรือพร้อมกันไปตามจังหวะร่วมกับเรือลำอื่น ๆ

"เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์" ถูกยกย่องให้เป็นเรือมรดกโลก

ในปี 2535 องค์การเรือโลกแห่งสหราชอาณาจักร ได้พิจารณามอบรางวัลเรือโลก แก่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ โดยคณะกรรมการองค์การ World Ship Trust เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญรางวัลเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เหรียญรางวัลมรดกทางทะเล ขององค์การเรือโลกประจำปี พ.ศ.2535 (The World Ship Trust Heritage Award "Suphannahong Royal Barge")

จากนั้นพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานเหรียญรางวัลดังกล่าวแก่ อธิบดีกรมศิลปากร

วันที่ 15 ตุลาคม 2567 ซ้อมใหญ่ครั้งแรกของการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหาร

วันที่ 15 ตุลาคม 2567 ซ้อมใหญ่ครั้งแรกของการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหาร

ปัจจุบัน เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์จัดแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์เรือพระราชพิธี ในกรุงเทพฯ เมื่อไม่มีการใช้งานในพระราชพิธี ผู้สนใจสามารถเข้าชมเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์และเรือพระราชพิธีอื่น ๆ ได้ที่นี่

เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ไม่เพียงเป็นพาหนะในพระราชพิธีเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของพระราชอำนาจ ความเป็นสิริมงคล และศิลปวัฒนธรรมอันงดงามของชาติไทยที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน

อ้างอิงข้อมูล : กองทัพเรือ, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี, กรมศิลปากร, พระลาน

อ่านข่าว : พม.ตั้งงบฯ ปี 68 ให้ พอช.สร้างบ้านราคาถูก ซ่อมบ้านคนพิการ-สูงอายุ

เช็กเงื่อนไข! ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ มี.ค.2568

ตร.เตรียมเชิญ "บอสพอล" ให้ข้อมูลปม จนท.เรียกรับผลประโยชน์