วันนี้ (13 ธ.ค.2567) นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ระบุว่าตั้งแต่เช้าวันนี้ โรงพยาบาลหยุดให้บริการผู้ป่วยนอกที่ส่งต่อจากคลินิกชุมชนกว่า 30 แห่ง ซึ่งเป็นคู่สัญญาของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ส่งผู้ป่วยต่อมายังโรงพยาบาล เนื่องจากขาดสภาพคล่องทางการเงิน โดยในพื้นที่มีผู้ใช้บริการสิทธิบัตรทองกว่า 200,000 คน
ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. สปสช.ได้ปรับโมเดลการจ่ายเงินให้กับคลินิก และส่งผลให้โรงพยาบาลไม่ได้รับเงินมาแล้วกว่า 7 เดือน เป็นจำนวกว่า 60 ล้านบาท ทำให้โรงพยาบาลต้องหมุนเงินจากกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้สิทธิจ่ายเงินเองในการรักษา มาช่วยรองรับค่าใช้จ่ายฝั่งผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง และหลังจากนี้อาจต้องทยอยเลิกจ้างพนักงานประมาณ 400 คน ภายในสิ้นปี 2567
ด้าน ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. ยืนยันว่า ผู้ใช้บริการยังสามารถไปใช้บริการได้ที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะตามเดิม หากไม่ได้รับการบริการ หรือถูกเรียกเก็บค่าใช้จ่าย สามาถโทรไปร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1330 นอกจากนี้ สปสช.ได้เตรียมโรงพยาบาลในละแวกใกล้เคียงไว้รองรับผู้ใช้บริการแล้ว
ไทยพีบีเอสได้สำรวจคลินิกชุมชนแห่งหนึ่งย่านหลักสี่ กทม. พบผู้ป่วยสิทธิบัตรทองบางส่วนต้องผิดหวัง เนื่องจากไม่สามารถออกใบส่งตัวเพื่อส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะได้ โดยทางคลินิกได้ติดประกาศข้อความให้ผู้ใช้บริการโทรประสานผ่านสายด่วน สปสช.1330 ก่อนมาขอใบส่งตัว
ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองกลุ่มนี้บางคนกังวลใจ เพราะไม่ทราบว่าต้องไปรักษาต่อที่ใด หรือหากต้องเสียค่ารักษาเองก็อาจจะต้องขอเลื่อนนัดแพทย์ออกไปก่อน ขณะที่บางคนพยายามติดต่อไปที่สายด่วน สปสช.แต่คู่สายเต็ม ติดต่อไม่ได้ ทำให้ต้องกลับบ้านไปก่อน
สำหรับผู้ป่วยที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือสิทธิบัตรทอง ในกรุงเทพมหานคร เคยประสบปัญหาเรื่องการทำใบส่งตัวจากคลินิกคู่สัญญาของ สปสช.ที่เป็นคลินิกปฐมภูมิ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งคลินิกระบุว่าเป็นผลมาจากการปรับรูปแบบการจ่ายเงิน
นอกจากนี้ ยังมีกรณีเครือข่ายและสมาคมทางการแพทย์และสาธารณสุข เคยเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาการค้างจ่ายค่าบริการ และอัตราค่าบริการที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งทั้งหมดได้ดำเนินการแก้ไขมาอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นข้อห่วงใยของหลายฝ่ายว่าหากมีอัตราผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นในอนาคต ตามฐานประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้การเบิกจ่ายเงินมีปัญหาเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่
อ่านข่าว : สปส.แจ้งผู้ประกันตน ยังรักษาตัวที่ "รพ.มงกุฎวัฒนะ" ได้ถึงสิ้นปี 68
มงกุฎวัฒนะเตรียมถอนตัวจาก สปส. แจ้งผู้ประกันตนหา รพ.ใหม่
วันนี้ (13 ธ.ค.2567) ดร.นันทวัน วงศ์ขจรกิตติ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กล่าวว่า ตามที่มีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์อ้างตัวเป็นผู้กู้ยืมเงิน กยศ. โพสต์รีวิวการบิดหนี้ กยศ. โดยชักชวนผู้กู้ยืมเงิน ไม่ให้ชำระหนี้คืน และโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกบังคับคดีนั้น
กยศ.ขอเตือนว่าการเบี้ยวหนี้ด้วยการโอนทรัพย์สินไปให้ผู้อื่น โดยมีเจตนาไม่ให้ กยศ.ได้รับชำระหนี้นั้น นอกจาก กยศ.จะสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอเพิกถอนการโอนทรัพย์สินนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 แล้ว ผู้กู้ยืมเงินอาจมีความรับผิดทางอาญาฐานโกงเจ้าหนี้
ทั้งนี้ มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 ซึ่งกำหนดว่าผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือให้ความสะดวกในการกระทำความผิด จะเข้าข่ายผู้สนับสนุนซึ่งจะมีความผิดและได้รับโทษทางอาญาเช่นกัน โดยที่ผ่านมามีผู้กู้ยืมเงินได้ดำเนินการดังกล่าว ซึ่ง กยศ.ดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา ในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ไปแล้วกว่า 40 คน
กยศ.มีวัตถุประสงค์ให้โอกาสทางการศึกษาประชาชนผู้ขาดแคลน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เงินทุกบาทที่ผู้กู้ยืมเงินนำมาชำระหนี้จะส่งต่อถึงนักเรียนนักศึกษารุ่นต่อไป จึงขอให้ผู้กู้ยืมเงินมีจิตสำนึกในการชำระหนี้คืนทันทีที่มีโอกาส
อ่านข่าว :
กรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อโซเชียล ถึงนักแสดงหญิงคนหนึ่ง ให้สัม ภาษณ์ว่าเคยผ่านการทำ IVF มาถึง 4 ครั้ง โดยไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรสกับสามี จนทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการทำ IVF จะต้องมีการจดทะเบียนสมรสหรือไม่นั้น
วันนี้ (13 ธ.ค.2567) ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า สภาวะสังคมปัจจุบันที่หลายครอบครัวประสบปัญหาภาวะ “มีบุตรยาก” เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ถือเป็นความหวังในการช่วยให้ครอบครัวเหล่านี้ได้มีบุตร เพื่อการมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ด้วยการนำไข่และอสุจิมาผสมกัน ให้มีการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเพื่อให้เกิดตัวอ่อน แล้วนำตัวอ่อนย้ายกลับเข้าไปในโพรงมดลูกของภริยาเพื่อให้เกิดการฝังตัวและเกิดการตั้งครรภ์ต่อไป
ในการขอรับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ทั้งในส่วนของผสมเทียมและเด็กหลอดแก้วในสถานพยาบาลไทยนั้น พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 กำหนดให้จะต้องกระทำในสถานพยาบาลที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการให้บริการด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ซึ่งปัจจุบันมี 115 แห่ง
นอกจากนี้จะต้องกระทำในคู่สามีภริยาที่มีการจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือจดทะเบียนสมรสที่ต่างประเทศและกฎหมายไทยให้การรับรองเท่านั้น ไม่สามารถให้คู่สามีภริยาที่มิได้จดทะเบียนสมรสกระทำได้
ทันตแพทย์อาคม กล่าวอีกว่า แพทย์ผู้ให้บริการจะต้องมีการประเมินความพร้อมทั้งร่างกาย จิตใจ สภาพแวดล้อมก่อนให้บริการ เช่น ข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ปัจจัยด้านครอบครัว เศรษฐานะ อาชีพ กรณีที่พบความผิดปกติทางด้านสภาพจิตใจต้องผ่านการประเมินจากจิตแพทย์เพิ่มเติม ซึ่งการประเมินผู้รับบริการตามที่กฎหมายกำหนดนั้น
นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้รับบริการในการช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์แล้ว ยังเป็นการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ตามเจตนารมณ์ที่กฎหมายกำหนดอีกด้วย
ทั้งนี้ สบส.ย้ำให้ผู้ประกอบกิจการ และผู้ดำเนินการสถานพยาบาลทุกแห่งกวด ขันการให้บริการเทคโนโลยีช่วยทางการแพทย์ ซึ่งอยู่ในการดูแลของตนให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด สื่อสารทำความเข้าใจกับผู้รับบริการถึงเงื่อนไขในการรับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ในไทย
วันนี้ (12 ธ.ค.2567) ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานครขอรายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ของสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรุงเทพมหานครเวลา 07.00 น. ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ตรวจวัดได้ 28.9-56.4 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) พบว่าเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 33 พื้นที่ คือ
1.เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 : มีค่าเท่ากับ 56.4 มคก./ลบ.ม.
2.เขตคลองสาน บริเวณหน้าห้องสมุดใต้สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน : มีค่าเท่ากับ 47.7 มคก./ลบ.ม.
3.เขตทวีวัฒนา ทางเข้าสนามหลวง 2 : มีค่าเท่ากับ 47.6 มคก./ลบ.ม.
4.เขตบางกอกน้อย บริเวณหน้าสถานีตำรวจรถไฟบางกอกน้อย : มีค่าเท่ากับ 47.4 มคก./ลบ.ม.
5.เขตภาษีเจริญ หน้ามหาวิทยาลัยสยาม(ประมาณซอยเพชรเกษม 36) ทางเข้ามหาวิทยาลัย : มีค่าเท่ากับ 47.2 มคก./ลบ.ม.
6.เขตวังทองหลาง ด้านหน้าปั๊มน้ำมัน เอสโซ่ ซ.ลาดพร้าว 95 : มีค่าเท่ากับ 46.1 มคก./ลบ.ม.
7.เขตคลองสามวา ภายในสำนักงานเขตคลองสามวา : มีค่าเท่ากับ 44.9 มคก./ลบ.ม.
8.เขตธนบุรี ริมป้ายรถเมล์บริเวณแยกมไหศวรรย์ : มีค่าเท่ากับ 44.5 มคก./ลบ.ม.
9.เขตสัมพันธวงศ์ บริเวณหน้าหัวมุม ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ (วงเวียนโอเดียน) : มีค่าเท่ากับ 44.4 มคก./ลบ.ม.
10.เขตประเวศ ด้านหน้าห้างสรรพสินค้าซีคอน สแควร์ : มีค่าเท่ากับ 44.4 มคก./ลบ.ม.
11.เขตบางเขน ภายในสำนักงานเขตบางเขน : มีค่าเท่ากับ 43.8 มคก./ลบ.ม.
12.เขตคลองเตย ภายในสำนักงานเขตคลองเตย : มีค่าเท่ากับ 43.7 มคก./ลบ.ม.
13.เขตบางนา บริเวณหน้าห้าง สรรพสินค้าบิ๊กซี บางนา : มีค่าเท่ากับ 43.3 มคก./ลบ.ม.
14.เขตบางกอกใหญ่ บริเวณสี่แยกท่าพระ แขวงวัดท่าพระ : มีค่าเท่ากับ 43.2 มคก./ลบ.ม.
15.สวนทวีวนารมย์ เขตทวีวัฒนา : มีค่าเท่ากับ 43.0 มคก./ลบ.ม.
16.เขตตลิ่งชัน ถนนพุทธมณฑลสาย 1 ตัดกับถนนบรมราชชนนี : มีค่าเท่ากับ 42.5 มคก./ลบ.ม.
17.เขตพญาไท หน้าแฟลตทหารบกใกล้โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ตรงข้ามกระทรวงการคลัง : มีค่าเท่ากับ 42.0 มคก./ลบ.ม.
18.เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ด้านหน้าสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ : มีค่าเท่ากับ 41.4 มคก./ลบ.ม.
19.เขตพระโขนง ภายในสำนักงานเขตพระโขนง : มีค่าเท่ากับ 41.1 มคก./ลบ.ม.
20.เขตบางขุนเทียน ภายในสำนักงานเขตบางขุนเทียน : มีค่าเท่ากับ 41.0 มคก./ลบ.ม.
21.เขตบางซื่อ ภายในสำนักงานเขตบางซื่อ : มีค่าเท่ากับ 40.8 มคก./ลบ.ม.
22.เขตบางรัก ข้างป้อมตำรวจหน้าลานบางรักเลิฟลี่ พลาซ่า : มีค่าเท่ากับ 40.5 มคก./ลบ.ม.
23.สวนรมณีย์ทุ่งสีกัน เขตดอนเมือง : มีค่าเท่ากับ 40.4 มคก./ลบ.ม.
24.เขตหนองจอก บริเวณหน้าสำนักงานเขตหนองจอก : มีค่าเท่ากับ 39.9 มคก./ลบ.ม.
25.เขตบางพลัด ภายในสำนักงานเขตบางพลัด : มีค่าเท่ากับ 39.7 มคก./ลบ.ม.
26.สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เขตบางกอกน้อย : มีค่าเท่ากับ 39.6 มคก./ลบ.ม.
27.เขตลาดพร้าว ภายในสำนักงานเขตลาดพร้าว : มีค่าเท่ากับ 39.0 มคก./ลบ.ม.
28.เขตบางแค ภายในสำนักงานเขตบางแค : มีค่าเท่ากับ 38.8 มคก./ลบ.ม.
29.เขตสายไหม ป้ายรถเมล์ด้านหน้าสำนักงานเขตสายไหม : มีค่าเท่ากับ 38.7 มคก./ลบ.ม.
30.สวนเสรีไทย เขตบึงกุ่ม : มีค่าเท่ากับ 38.7 มคก./ลบ.ม.
31.เขตลาดกระบัง ด้านหน้าโรงพยาบาลลาดกระบังข้างป้อมตำรวจ : มีค่าเท่ากับ 38.6 มคก./ลบ.ม.
32.เขตสาทร สี่แยกหน้าสำนักงานเขตสาทร ซอย ถนนเซนต์หลุยส์ : มีค่าเท่ากับ 38.5 มคก./ลบ.ม.
33.เขตบางบอน ใกล้ตลาดบางบอน : มีค่าเท่ากับ 38.4 มคก./ลบ.ม.
อ่านข่าว :
เยาวชนไทยเรียกร้องมีส่วนร่วม แก้วิกฤตสภาพภูมิอากาศ
เริ่มแล้ว "งานกาชาด 2567" สวนลุมพินี 11-22 ธ.ค. กับหลากหลายกิจกรรมน่าสนใจ
วันนี้ (11 ธ.ค.2567) ตัวแทนเยาวชนไทยได้ยื่นข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางสำคัญในการจัดการกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศต่อรัฐบาลไทย โดยข้อเสนอแนะนี้อ้างอิงจาก ผลสำรวจของสวนดุสิตโพล ที่รวบรวมความคิดเห็นจากเยาวชนเกือบ 1,000 คนทั่วประเทศ และการประชุมหารือกับตัวแทนเยาวชน ข้อมูลชี้ว่า ร้อยละ 93 ของเยาวชนได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพกายและจิตใจของพวกเขา อีกทั้งร้อยละ 85 ของเยาวชนแสดงความพร้อมในการมีส่วนร่วมแก้ไขวิกฤตนี้ ทำให้ข้อเสนอของเยาวชนมุ่งเน้นให้มีมาตรการรับมือที่ชัดเจนและสร้างพื้นที่ให้เยาวชนมีบทบาทในการกำหนดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศอย่างแท้จริง
โดยเยาวชนได้ยื่นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายนี้ต่อกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หลังการประชุม COP29 ณ สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน เมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา โดยเน้นย้ำว่านโยบายด้านสภาพภูมิอากาศควรตอบสนองต่อความต้องการของเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และจัดให้มีกลไกที่เปิดโอกาสให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางรับมือวิกฤตในอนาคต
สิปโปทัย เกตุจินดา เยาวชนวัย 23 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะผู้แทนไทยในการประชุม COP29 กล่าวว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อทุกคน แต่เด็กและเยาวชนต้องแบกรับผลกระทบหนักที่สุดในระยะยาว เราจึงต้องมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา และต้องการให้รัฐบาลแสดงเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน พร้อมสนับสนุนให้เยาวชนเป็นผู้นำโครงการด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อปกป้องอนาคตของพวกเรา
การศึกษาของยูนิเซฟในปี 2566 แสดงให้เห็นว่า เด็กในประเทศไทยต้องเผชิญความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติมากขึ้น เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน ในปีนี้เหตุการณ์น้ำท่วมและดินถล่มทั่วประเทศส่งผลกระทบเด็กหลายแสนคนและสร้างความเสียหายแก่โรงเรียนหลายแห่ง สิ่งเหล่านี้สะท้อนความจำเป็นในการกำหนดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศที่มุ่งปกป้องสุขภาพและคุณภาพชีวิตของเด็กเป็นสำคัญ
ข้อเสนอต่อรัฐบาลยังประกอบด้วยการยกระดับความรู้ด้านสภาพภูมิอากาศในและนอกระบบการศึกษา การจัดเวทีให้เยาวชนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและทำกิจกรรมที่มีความหมาย สนับสนุนงบประมาณและการสนับสนุนวิชาการแก่โครงการด้านสภาพภูมิอากาศที่นำโดยเยาวชน รวมถึงการเพิ่มการลงทุนในการฝึกอบรมและเตรียมความพร้อมเด็กในการรับมือกับภัยพิบัติจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
นางคยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า เด็กและเยาวชนส่งสัญญาณชัดเจนว่าพวกเขาต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการแก้วิกฤตสภาพภูมิอากาศ ความมุ่งมั่นและแนวคิดของพวกเขามีพลังมาก แต่พวกเขาต้องการการสนับสนุน ทรัพยากร และพื้นที่ในการลงมือทำจริง ข้อเสนอของเยาวชนเรียกร้องให้รัฐบาล ภาคธุรกิจ และทุกภาคส่วนร่วมมือกับพวกเขา เพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะอนาคตของพวกเขาคือสิ่งที่กำลังอยู่ในความเสี่ยง และเราทุกคนต้องร่วมมือกันสนับสนุน"
การสำรวจและข้อเสนอแนะครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ #CountMeIn “โลกรวน เด็กเดือดร้อน รับฟังเสียงเด็ก” โดยองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ที่มุ่งเสริมพลังของเยาวชนในการจัดการวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ผลสำรวจของสวนดุสิตโพล จากกลุ่มตัวอย่างเยาวชนอายุ 14-24 ปี จำนวน 994 คนในเดือน ก.ย. พบว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพกายและจิตใจของพวกเขา รวมถึงรบกวนการศึกษา ความปลอดภัย และความสัมพันธ์ในครอบครัว
โดยร้อยละ 63 รายงานผลกระทบด้านสุขภาพ, ร้อยละ 56 ระบุถึงความลำบากในชีวิตประจำวัน และร้อยละ 41 ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจิต แม้เยาวชนต้องการมีส่วนร่วมในการแก้ไขวิกฤตนี้ แต่ร้อยละ 59 ยังไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมด้านนี้มาก่อน เนื่องจากขาดทรัพยากร การสนับสนุน และข้อมูลเกี่ยวกับช่องทางการมีส่วนร่วม
ยูนิเซฟยังได้สำรวจผ่าน U-Report ช่วงเดือน ส.ค. - ก.ย. โดยมีเยาวชน 769 คนทั่วประเทศร่วมตอบ ซึ่งผลสอดคล้องกับสวนดุสิตโพล สะท้อนถึงผลกระทบและความต้องการให้เยาวชนมีบทบาทในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง
อัซมานี เจ๊ะสือแม เยาวชนที่ได้เข้าร่วมงานประชุม COP28 เมื่อปี 2566 กล่าวว่า เสียงของเราในวันนี้ คือพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของวันพรุ่งนี้ เยาวชนไม่ได้เป็นเพียงผู้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเท่านั้น แต่คือพลังขับเคลื่อนสู่การสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ดังนั้นการที่มีภาครัฐ และภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องตระหนักถึงความสำคัญของการแก้ไขวิกฤตนี้อย่างเร่งด่วน ผ่านนโยบายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความหวัง ความมั่นคง และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับเด็กและเยาวชนในรุ่นปัจจุบันและอนาคต
ยูนิเซฟยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเข้าร่วมปฏิญญาว่าด้วยเด็ก เยาวชน และการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศ (Declaration of Children, Youth and Climate Action) ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นระดับโลกในการให้ความสำคัญกับสิทธิเด็ก ความต้องการ และเสียงของเด็กและเยาวชนในการจัดทำนโยบายและการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ โดยปฏิญญานี้เปิดตัวครั้งแรกในที่ประชุม COP25 โดยรัฐบาลชิลี และเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของเด็กและเยาวชนในฐานะตัวแทนแห่งการเปลี่ยนแปลง พร้อมเน้นว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศคือวิกฤตสิทธิเด็ก
อ่านข่าว : ครม.อนุมัติ มาตรการช่วยเหลือ SMEs - ลูกหนี้เปราะบาง
เริ่มแล้ว "งานกาชาด 2567" สวนลุมพินี 11-22 ธ.ค. กับหลากหลายกิจกรรมน่าสนใจ
สุมฟืน โยนเข้ากอง(ทัพ)ไฟ พท.ดันแก้ร่างพ.ร.บ.จัดระเบียบกลาโหม
งานกาชาดประจำปี 2567 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 - 22 ธันวาคม ณ สวนลุมพินี ซึ่งประชาชนสามารถเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่เวลา 11.00 - 22.00 น. และวันสุดท้ายปิดเวลา 23.00 น. เข้างานฟรี ปีนี้ยังคงมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ทั้งงานการกุศล และงานรื่นเริง จัดเต็ม 12 วัน 12 คืน มีอะไรบ้างชวนติดตาม
อ่านข่าว : Google เผยคำค้นยอดนิยม คนไทยสนใจอะไรในปี 2567
งานกาชาด 2567 ภายใต้แนวคิด "ทศมราชา 72 พรรษา ถวายพระพร" เนื่องในโอกาสมหามงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์พระบรมราชูปถัมภกสภากาชาดไทย เจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 รวมถึงเผยแพร่ภารกิจของสภากาชาดไทย
ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจหลายรูปแบบ มีการออกร้านกาชาดและบูธกิจกรรมมากมายจากทุกภาคส่วน อาทิ หน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคธุรกิจเอกชน สถาบันการศึกษา มูลนิธิ สมาคม และสโมสรต่าง ๆ
และหากใครสนใจซื้อสลากเพื่อทำบุญ พร้อมร่วมลุ้นของรางวัล สามารถซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้เช่นกัน ผ่านเว็บไซต์ https://www.iredcross.org/raffle/
อ่านข่าว : "แอ่วเหนือคนละครึ่ง" ใช้สิทธิ์ทะลุเป้า-หวังเพิ่มมาตรการท่องเที่ยว
- ถนนพระรามที่ 4 จำนวน 10 เส้นทาง ได้แก่ สาย 21E(4-7E), 45(3-9E), 47(3-41), 50(2-7), 67(3-43), 76(4-14), 141(4-24E), 514(1-54), 514E(1-55E), A3 และสาย 2-28
- ถนนวิทยุ จำนวน 7 เส้นทาง ได้แก่ สาย 13(3-38), 50(2-7), 62(3-42), 76(4-14), 514(1-54), A3, และสาย 2-28
- ถนนราชดำริ จำนวน 8 เส้นทาง ได้แก่ สาย 15(4-2), 24(2-39), 50(2-7), 76(4-14), 514(1-54), A3, 2-28 และสาย 4-35
- ถนนสารสิน จำนวน 5 เส้นทาง ได้แก่ สาย 13(3-38), 50(2-27), 514(1-54), A3 และสาย 2-28
ในปี 2567 กาชาดออนไลน์ จะพาผู้ชมไปเพลิดเพลิน กับกิจกรรมหลากหลายรูปแบบอย่างเต็มอิ่มตลอด 24 ชั่วโมง กิจกรรมที่คัดสรรมาให้อย่างอัดแน่น ผู้ที่สนใจสามารถเขาไปได้ที่เว็บไซต์ https://www.iredcross.org/map/
เที่ยว งานกาชาด ปีนี้ ชวนร่วมบริจาคโลหิตกลางสวน ซึ่งเจอกันในบรรยากาศแบบนี้ปีละ 1 ครั้ง ระหว่างวันที่ 12 - 22 ธันวาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 17.00 - 21.00 น. ซึ่งไปพบกันได้ที่ ตรงข้ามห้องสมุดประชาชน สวนลุมพินี (เข้าประตู 4 ฝั่งถนนราชดำริ) ใครที่สนใจก็อย่าลืม เตรียมกาย เตรียมใจ ให้พร้อม ก่อนบริจาคโลหิต
สภากาชาดไทย จัดให้มี "งานกาชาด" มหรสพการกุศลคู่คนไทยมาอย่างยาวนาน ครั้งแรกจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 มี.ค.2465 – 8 เม.ย. 2466 ซึ่งครั้งนั้นใช้วันที่ 1 เม.ย. เป็นวันปีใหม่ เรียกงานนี้ว่า "การรับประชาสมาชิก พ.ศ.2466" มีวัตถุประสงค์เพื่อหาประชาสมาชิกโดยเสียค่าบำรุง 1 บาทต่อปี
ครั้งนั้น ได้รับความสนใจจากผู้คน มีผู้สมัครกว่า 13,000 คน เนื่องจากสภากาชาดสยามจัดให้มีขบวนแห่รถยนต์ รถม้า และรถจักรยานที่ตกแต่งเป็นรูปต่าง ๆ เกี่ยวกับการอนามัย มีมหรสพแตรวงทหารบก ทหารเรือ จำอวด งานแห่กาชาดนี้จึงนับว่าเป็นต้นกำเนิดของงานกาชาดและเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดมหรสพเพื่อการหารายได้บำรุงสภากาชาดไทย มาจนถึงปัจจุบัน
ต่อมามีการเพิ่มกิจกรรม อาทิ การจัดแข่งขันว่าว การจัดขายลูกลอยกาชาด หรือลูกสวรรค์ ซึ่งในอดีตลูกสวรรค์จะมีเฉพาะในงานกาชาดเท่านั้น ซึ่งในปี พ.ศ.2472 มีกิจกรรม "สอยผลกัลปพฤกษ์" เพื่อชิงรางวัลเป็นครั้งแรก มีการจัดแสดงมอเตอร์ไซค์ไต่ถังเหล็ก สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้เข้าชม
ปี พ.ศ.2476 สภากาชาดไทยจัดให้มีการออกล็อตเตอรี่ราคาฉบับละ 1 บาท ในงานกาชาดเป็นครั้งแรก โดยให้ใช้ชื่อว่า "ลอตเตอรี่สภากาชาดสยาม" หรือที่ในปัจจุบันเรียกว่า "สลากกาชาด" และ ในปี พ.ศ. 2495 แผนกกุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จัดให้มีการประกวดสุขภาพเด็ก ในงานวันกาชาดขึ้นเป็นครั้งแรก
ในปี พ.ศ.2504 มีการประกวด "ธิดากาชาด" ต่อมาเปลี่ยนชื่อการประกวดเป็นการสรรหา "กุลบุตร - กุลธิดากาชาด" เพื่อคัดสรรผู้แทนเยาวชนไทยที่ดี เก่ง รอบรู้ สุขภาพดี และมีจิตสำนึกในการบำเพ็ญประโยชน์ในสังคม นอกจากนี้ พ.ศ.2505 รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานการแสดงบัลเลต์ประกอบเพลงพระราชนิพนธ์เรื่อง "มโนราห์" โดยพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการจัดฉาก แสง สี ด้วยพระองค์เอง
ต่อมา ในปี 2563 สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ปรับรูปแบบการจัดงานเป็นงานกาชาดวิถีใหม่ เนื่องจากการระบากทำให้มีการจำกัดการรวมตัว การเดินทางหยุดชะงัก เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดในกลุ่มประชาชนที่มาเที่ยวชมงานกาชาด จึงถือเป็นครั้งแรกของการยกงานกาชาดมาอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ อีกด้วย
ครั้งนั้นมีการรวบรวมกิจกรรมและจำลองบรรยากาศงานกาชาด ณ สวนลุมพินี มาไว้บน www.งานกาชาด.com งานการชาด จึงได้ถูกจัดขึ้นในรูปแบบคู่ขนานทั้ง ONGROUND และ ONLINE เป็นต้นมา
การออกแบบตราสัญลักษณ์สภากาชาดไทย ในปัจจุบัน (2565) ออกแบบโดยใช้ "ค่าสี" และ "รูปแบบ" เดียวกันกับกาชาดสากล คำว่า "สภากาชาดไทย" ใช้อักษรแบบมีหัว ซึ่งเป็นต้นแบบพยัญชนะภาษาไทยที่สร้างความหนักแน่นน่าเชื่อถือ ใช้ตัวหนังสือสีดำ เพื่อความชัดเจน อ่านง่าย สะท้อนถึงความใส่ใจ ในการสื่อสารไปยังประชาชนทุกกลุ่มทุกวัย อีกทั้ง สระ "ไ" ในคำว่า สภากาชาดไทย ยังออกแบบคล้าย "รูปหัวใจ" แสดงถึงการพร้อมให้บริการด้วยจิตอาสา
จะพาไปย้อนดู ตราสัญลักษณ์สภากาชาดไทย ในแต่ละยุค เป็นอย่างไรบ้าง
ในรอบ 100 ปี สถานที่งานกาชาดในความทรงจำถือกำเนิด ที่ "ท้องสนามหลวง" สู่ "พระราชอุทยานสราญรมย์" จนปี พ.ศ.2481 ย้ายมาจัดที่สถานเสาวภา กระทั่งปี พ.ศ.2500 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 องค์สภานายิกาสภากาชาดไทย ทรงมีพระราชเสาวนีย์โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายสถานที่จัดงานมายังบริเวณสวนอัมพร ลานพระบรมรูปทรงม้า และสนามเสือป่า จนถึงปี พ.ศ. 2559
ปี พ.ศ.2561 นี้ งานมหรสพการกุศลครั้งยิ่งใหญ่ของคนไทยจะถูกกล่าวขานและบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อร่วมเฉลิมฉลอง 125 ปี สภากาชาดไทย ร้อยดวงใจส่งต่อการให้ที่งดงาม กับกิจกรรมสืบสานอัตลักษณ์งานกาชาดในสวนสวย ใจกลางกรุงเทพ ณ สวนลุมพินี ถ.พระรามที่ 4
ปี2566 งานกาชาดใช้ชื่อ "งานวันกาชาด 100 ปี พุทธศักราช 2566" เพื่อร่วมย้อนวันวานงานกาชาด ภายใต้แนวคิด "รื่นรมย์สุขฤดี ณ ที่แห่งการให้ #RedCrossFairCenturyOfCharity" สื่อความหมายว่า 100 ปี งานกาชาด นับเป็นศตวรรษแห่งการให้จากมหรสพรื่นเริงการกุศลคู่คนไทยที่จัดต่อเนื่องมายาวนาน
ในปีนี้ "งานกาชาด ประจำปี 2567" จะมีขึ้นตั้งแต่วันที่ 11 - 22 ธ.ค. ณ สวนลุมพินี เขตปทุมวัน โดยทุกคนจะได้พบกับกิจกรรมการเล่นเกมเพื่อชิงรางวัลมากมาย รวมทั้งมีเวทีการแสดง ต่าง ๆ และพลาดไม่ได้กับอาหารรสเลิศที่ร้านของดีกรุงเทพมหานคร 50 เขต (6 กลุ่มเขต) ณ บริเวณด้านหน้าศูนย์นันทนาการลุมพินี (โซน 3.21) ภายในพื้นที่สวนลุมพินี อีกด้วย
สุดท้ายใครไปเที่ยว งานกาชาด 2567 ที่สวนลุมพินี โปรดระมัดระวังทรัพทย์สินมีค่า เนื่องจากมีผู้เที่ยวชมงานเป็นจำนวนมาก
อ่านข่าว : สอบคุณสมบัติ “กิตติรัตน์” นั่งปธ.บอร์ดแบงก์ชาติยาวถึงต้นปี
ราคา “ทองคำ” บวก 500 บาท ปรับตัวสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์
"สมศักดิ์" สั่งย้าย ผอ.รพ.กันทรลักษณ์ พัก 2 จนท.ซ้อมคนไข้ตาย
วันนี้ (11 ธ.ค.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ารื้อโครงสร้างเหล็กชิ้นส่วนสะพานถล่ม ถ.พระราม 2 โดยทีมวิศวกรส่งผู้เชี่ยวชาญขึ้นกระเช้าตรวจสอบ Segment หรือแผ่นคอนกรีตอัดแรงสำเร็จรูป น้ำหนักกว่า 100 ตัน ซึ่งมีลักษณะเอนและเสี่ยงจะร่วงลงมาได้ตลอดเวลา แม้ก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญจะนำโซ่ 7 เส้น เชือกผ้าใบ รวมถึงใช้เครนมาพยุงไว้ แต่จากการประเมินแล้วยังมีความเสี่ยง
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย ทีมวิศวกรวางแผนจะใช้เครนพยุงก้อนแผ่นคอนกรีตอัดแรงสำเร็จรูปใหม่ ด้วยการนำเครนไปคล้องไว้บริเวณช่องว่างตรงกลางของแผ่นคอนกรีตอัดแรงสำเร็จรูป เพื่อตัดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
เนื่องจากวันนี้ (11 ธ.ค.) ทีมวิศวกรวางแผนเคลื่อนย้ายเหล็กสีน้ำเงิน หรือโครงถัก Main Truss ที่ถล่มลงมาผิดรูป เป็นลักษณะตัววี และกดทับแผ่นคอนกรีตอัดแรงสำเร็จรูป น้ำหนักกว่า 100 ตัน ซึ่งจุดนี้ทีมวิศวกรระบุว่าเป็นการรื้อส่วนที่ยากที่สุดของลอนเชอร์ที่ถล่มลงมา เนื่องจากมีการทับซ้อนกันหลายส่วน ซึ่งที่ผ่านมาผู้เชี่ยวชาญได้ขึ้นไปตัดชิ้นส่วนที่เกี่ยวพันกันออกอย่างต่อเนื่อง
หากสามารถใช้เครื่องมือตามหลักวิศวกรรมตัดถ่างโครงเหล็กลักษณะตัววีได้ หลังจากนี้ขั้นตอนต่อไปจะนำแผ่นคอนกรีตอัดแรงสำเร็จรูปออก ซึ่งหากเป็นไปตามแผน การรื้อถอนโครงสร้างฯ ส่วนอื่นๆ จะสามารถเคลื่อนย้ายได้และทันกรอบระยะเวลาที่วางไว้ แต่ทีมวิศวกรย้ำว่าทุกขั้นตอนต้องพิจารณาความเหมาะสมหน้างาน โดยยึดความปลอดภัยเป็นหลักและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ
ขณะที่นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง ระบุว่า การดำเนินงานที่ผ่านมาทีมวิศวกรได้เตรียมการอย่างละเอียดและดำเนินงานทุกขั้นตอน มีการติดตามผลตรวจวัดและควบคุมการเคลื่อนตัวของโครงสร้างตลอดการดำเนินงาน ทำให้มั่นใจว่าการรื้อถอนจะแล้วเสร็จตามกำหนด
หากนับจากวันนี้ (11 ธ.ค.) ทีมวิศกรจะมีเวลาอีก 3 วันในการรื้อถอนโครงสร้าง แม้ยืนยันว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกรอบเวลา แต่ต้องประเมินปัจจัยเสี่ยงหน้างาน เพราะทุกขั้นตอนการรื้อถอนต้องคำนึกถึงความปลอดภัยเป็นหลัก
อ่านข่าว
เคลียร์พื้นที่คานถล่มพระราม 2 แล้ว 70% คาดเปิดจราจร 14 ธ.ค.
สอบคุณสมบัติ “กิตติรัตน์” นั่งปธ.บอร์ดแบงก์ชาติยาวถึงต้นปี
ย้อน "เหตุการณ์สุดช็อก" โลกต้องจำ ปี 2567
วันนี้ (11 ธ.ค.2567) นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สำนักงานประกันสังคม แจ้งให้ ผู้ประกันตน มาตรา 33 และมาตรา 39 สามารถเปลี่ยนสถานพยาบาลประจำปี 2568 ได้ ตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค.2567 ถึงวันที่ 31 มี.ค.2568 ผ่าน 4 ช่องทาง ดังนี้
1. ยื่นแบบการเลือกสถานพยาบาลในการรับบริการทางการแพทย์ (สปส. 9-02) ที่สำนักงานประกันสังคมทุกแห่งทั่วประเทศ
2.ทำรายการผ่านเว็บไซต์ สำนักงานประกันสังคม นั้นคือ www.sso.go.th
3. ทำรายการผ่าน Application "SSO Plus"
4.ทำรายการผ่าน Line official account (Line OA) โดยเพิ่มเพื่อน Line @ssothai และเพื่อความสะดวก แนะนำยื่นเปลี่ยนสถานพยาบาลผ่านทางเว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th หรือ Application "SSO Plus" เพื่อไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางไปยื่นเอกสาร
ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกของผู้ประกันตน สถานพยาบาลที่ประสงค์จะเปลี่ยน ควรเป็นสถานพยาบาลซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดที่ทำงาน หรือพักอาศัยอยู่
โดยผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลประกันสังคม ได้จากนายจ้าง หรือตรวจสอบผ่านทางเว็บไซต์ของ สำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th หรือ โทรสายด่วน 1506
และกรณีที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 สำนักงานประกันสังคมจะแจ้งรายงานผ่านทางสถานประกอบการ ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 39 แจ้งทางข้อความ (SMS) ผ่านหมายเลขโทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้กับสำนักงานประกันสังคม
สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 และผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่ไม่ประสงค์เปลี่ยนสถานพยาบาลสามารถใช้บริการทางการแพทย์จากสถานพยาบาลเดิมได้ตามปกติ ทั้งนี้ กรณีผู้ประกันตนที่สิ้นสภาพจากการเป็นผู้ประกันตน สามารถใช้สิทธิรักษาพยาบาลต่อไปได้อีก 6 เดือน นับแต่วันที่สิ้นสภาพ
ผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบสิทธิการรักษาพยาบาลขได้ที่เว็บไซต์ของ สำนักงานประกันสังคม, แอปพลิเคชัน SSO plus+ สถานพยาบาลในโครงการประกันสังคมทุกแห่งทั่วประเทศ เครื่อง Smart Kiosk ของกระทรวงมหาดไทย หรือ Line @ssothai หรือโทรสายด่วน 1506
อ่านข่าว : สอบคุณสมบัติ “กิตติรัตน์” นั่งปธ.บอร์ดแบงก์ชาติยาวถึงต้นปี
ราคา “ทองคำ” บวก 500 บาท ปรับตัวสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์
"สมศักดิ์" สั่งย้าย ผอ.รพ.กันทรลักษณ์ พัก 2 จนท.ซ้อมคนไข้ตาย
วันนี้ (11 ธ.ค.2567) ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานครขอรายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ของสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรุงเทพมหานคร เวลา 07.00 น. ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ตรวจวัดได้ 26.8-48.6 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) พบว่าเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 28 พื้นที่ คือ
1.เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 : มีค่าเท่ากับ 48.6 มคก./ลบ.ม.
2.เขตประเวศ ด้านหน้าห้างสรรพสินค้าซีคอน สแควร์ : มีค่าเท่ากับ 46.9 มคก./ลบ.ม.
3.เขตวังทองหลาง ด้านหน้าปั๊มน้ำมัน เอสโซ่ ซ.ลาดพร้าว 95 : มีค่าเท่ากับ 46.4 มคก./ลบ.ม.
4.เขตบางนา บริเวณหน้าห้าง สรรพสินค้าบิ๊กซี บางนา : มีค่าเท่ากับ 44.8 มคก./ลบ.ม.
5.เขตภาษีเจริญ หน้ามหาวิทยาลัยสยาม(ประมาณซอยเพชรเกษม 36) ทางเข้ามหาวิทยาลัย : มีค่าเท่ากับ 44.2 มคก./ลบ.ม.
6.เขตคลองสาน บริเวณหน้าห้องสมุดใต้สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน : มีค่าเท่ากับ 44.2 มคก./ลบ.ม.
7.เขตบางเขน ภายในสำนักงานเขตบางเขน : มีค่าเท่ากับ 43.6 มคก./ลบ.ม.
8.เขตคลองสามวา ภายในสำนักงานเขตคลองสามวา : มีค่าเท่ากับ 43.5 มคก./ลบ.ม.
9.สวนรมณีย์ทุ่งสีกัน เขตดอนเมือง : มีค่าเท่ากับ 43.2 มคก./ลบ.ม.
10.เขตบางกอกน้อย บริเวณหน้าสถานีตำรวจรถไฟบางกอกน้อย : มีค่าเท่ากับ 42.6 มคก./ลบ.ม.
11.เขตราษฎร์บูรณะ ภายในสำนักงานเขตราษฎร์บูรณะ : มีค่าเท่ากับ 42.1 มคก./ลบ.ม.
12.เขตธนบุรี ริมป้ายรถเมล์บริเวณแยกมไหศวรรย์ : มีค่าเท่ากับ 41.6 มคก./ลบ.ม.
13.เขตหนองจอก บริเวณหน้าสำนักงานเขตหนองจอก : มีค่าเท่ากับ 41.2 มคก./ลบ.ม.
14.เขตสัมพันธวงศ์ บริเวณหน้าหัวมุม ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ (วงเวียนโอเดียน) : มีค่าเท่ากับ 40.8 มคก./ลบ.ม.
15.เขตตลิ่งชัน ถนนพุทธมณฑลสาย 1 ตัดกับถนนบรมราชชนนี : มีค่าเท่ากับ 40.6 มคก./ลบ.ม.
16.เขตบางกอกใหญ่ บริเวณสี่แยกท่าพระ แขวงวัดท่าพระ : มีค่าเท่ากับ 40.2 มคก./ลบ.ม.
17.เขตมีนบุรี สวนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ตรงข้ามสำนักงานเขตมีนบุรี : มีค่าเท่ากับ 39.8 มคก./ลบ.ม.
18.สวนเสรีไทย เขตบึงกุ่ม : มีค่าเท่ากับ 39.7 มคก./ลบ.ม.
19.เขตพญาไท หน้าแฟลตทหารบกใกล้โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ตรงข้ามกระทรวงการคลัง : มีค่าเท่ากับ 39.6 มคก./ลบ.ม.
20.เขตสายไหม ป้ายรถเมล์ด้านหน้าสำนักงานเขตสายไหม : มีค่าเท่ากับ 39.4 มคก./ลบ.ม.
21.เขตบางซื่อ ภายในสำนักงานเขตบางซื่อ : มีค่าเท่ากับ 39.2 มคก./ลบ.ม.
22.เขตทวีวัฒนา ทางเข้าสนามหลวง 2 : มีค่าเท่ากับ 39.1 มคก./ลบ.ม.
23.เขตพระโขนง ภายในสำนักงานเขตพระโขนง : มีค่าเท่ากับ 39.1 มคก./ลบ.ม.
24.เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ด้านหน้าสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ : มีค่าเท่ากับ 38.8 มคก./ลบ.ม.
25.สวนหลวงพระราม 8 เขตบางพลัด : มีค่าเท่ากับ 38.7 มคก./ลบ.ม.
26.เขตคันนายาว บริเวณปากทางถนนสวนสยามตัดกับถนนรามอินทรา : มีค่าเท่ากับ 37.9 มคก./ลบ.ม.
27.สวน 60 พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เขตลาดกระบัง : มีค่าเท่ากับ 37.7 มคก./ลบ.ม.
28.เขตบึงกุ่ม ภายในสำนักงานเขตบึงกุ่ม : มีค่าเท่ากับ 37.7 มคก./ลบ.ม.
สำหรับปัจจัยที่เกี่ยวข้อง คาดการณ์แนวโน้มสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อฝุ่น PM 2.5 โดยสภาพทางอุตุนิยมวิทยาในช่วงวันที่ 11 - 18 ธ.ค.2567 การระบายอากาศส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ "อ่อน" ขณะที่ชั้นบรรยากาศใกล้ผิวพื้นยังคงเกิดอินเวอร์ชั่นที่ระดับต่ำ ทำให้มลพิษทางอากาศแพร่กระจายได้อย่างจำกัด ส่งผลให้ความเข้มข้นของฝุ่นละอองมีแนวโน้มทรงตัวถึงเพิ่มขึ้นในระยะ 2-3 วัน จากนั้นค่อยๆ ลดลง และคาดการณ์วันนี้ เมฆบางส่วนกับมีหมอกในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส
จากการตรวจสอบข้อมูลจุดความร้อน (hotspot) ผ่านดาวเทียม จากหน่วยงาน NASA ไม่พบจุดความร้อนที่ดาวเทียมตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติจากค่าความร้อนบนผิวโลกบริเวณพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ขณะที่สำนักสิ่งแวดล้อมได้ประสานแจ้งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เพิ่มความเข้มงวดการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง เพื่อเป็นการบรรเทาความรุนแรงของสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพอนามัยของประชาชน และขอเชิญชวนส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและทุกภาคส่วน โดยช่วยกันปรับเปลี่ยน พฤติกรรมและลดกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดฝุ่นละออง เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพ “5 วิธีลดฝุ่น คุณก็ทําได้”
1. หมั่นทําความสะอาดบ้านด้วยวิธีเช็ดฝุ่น
2. งดเผาขยะ งดจุดธูป
3. ปลูกต้นไม้ช่วยดูดซับมลพิษดักจับฝุ่นละออง
4.เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ
5. ดับเครื่องยนต์ขณะจอดรถ ตรวจสภาพเครื่องยนต์ไม่ให้มีค่าควันดํา เกินมาตรฐาน
อ่านข่าว :
เคลียร์พื้นที่คานถล่มพระราม 2 แล้ว 70% คาดเปิดจราจร 14 ธ.ค.
"ไขสันหลังอักเสบ" เกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติเสี่ยงพิการ เสียชีวิต
คกก.โรคติดต่อฯ เห็นชอบ 3 แนวทางฉีดวัคซีน "หัด-ไอกรน-HPV"
จุดเริ่มต้นจากพื้นที่ไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์ รกร้าง เป็นพื้นที่ทิ้งขยะ วัยรุ่นมั่วสุม สู่โครงการเกษตรสร้างสุขเกษตรแปลงรวม พัฒนาและจัดสรรให้ครัวเรือนคนจนที่ไม่มีที่ดินทำกินได้ทำเกษตร โอกาสสำหรับครัวเรือนเปราะบางหรือครัวเรือนยากจนบ้านนาเกียรตินิยม ต.สะแกโพรง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์
โดยโมเดลแก้จน ทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ภายใต้การสนับสนุนโดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ผ่านการใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมกับศักยภาพบริบทของชุมชนท้องถิ่นและครัวเรือนยากจน และพลังหนุนเสริมจากหน่วยงานภาคี หวังช่วยเหลือให้หลุดพ้นออกจากกับดักความยากจน ด้วยการปลูกพืชผักเพื่อให้มีแหล่งอาหารในครัวเรือน ให้พออยู่พอกิน ลดรายจ่าย ตามแนวทางของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ต่อมาขยายเป็นรถมอเตอร์ไซด์พุ่มพวง กระจายสินค้าของชุมชน สู่ผู้บริโภคชุมชนข้างเคียง
ดร.พิสมัย ประชานันท์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย ฝ่ายวิจัยและพัฒนานวัตกรรมท้องถิ่น และหัวหน้าโครงการวิจัยฯ เปิดเผยว่า พื้นที่บ้านนาเกียรตินิยม หมู่ 17 ต.สะแกโพรง ได้เข้าร่วมโครงการบูรณาการความร่วมมือการแก้ไขปัญหาความยากจนด้วยโมเดลเกษตรแปลงรวมแก้จนเพื่อการแก้ปัญหาความยากจนในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ เมื่อปี 2565 ต่อเนื่องมาถึงปี 2567
โดยในปี 2564 จากการค้นหากลุ่มเป้าหมายครัวเรือนเปราะบาง หรือครัวเรือนยากจน ที่ผ่านการสอบทานในระบบ PPP Connext ผลจากการสอบทานข้อมูลพบว่าจาก 23 อำเภอของบุรีรัมย์ อ.เมือง มีครัวเรือนยากจนสูงอันดับ 1 และ ต.สะแกโพรง มีครัวเรือนคนจนมากเป็นลำดับที่ 1 ของ อ.เมือง คือมีจำนวน 734 ครัวเรือน มีคนจนอาศัยอยู่ จำนวน 3,299 คน และพื้นที่ ต.สะแกโพรง ยังพบว่า บ้านนาเกียรตินิยม มีครัวเรือนคนจนอาศัยอยู่มากถึง 51 ครัวเรือน จำนวนคนจน 198 คน เป็นคนจนที่จัดอยู่ในกลุ่มอยู่ยากและอยู่พอได้ซึ่งไม่มีที่ดินทำกิน
“โครงการแก้จนอยู่กับประเทศไทยมาอย่างยาวนาน แต่สิ่งที่ต้องทำโดยทีมวิจัย ต้องมีอะไรที่แตกต่างจากการแก้จนทั่วไป แต่สิ่งที่สำคัญคือความต่อเนื่องและสามารถส่งไม่ต่อไปยังพื้นที่อื่นๆ ได้”
อ่านข่าว : ชุบชีวิตคนจน "ผักอินทรีย์แปลงรวม" จ.สุรินทร์ ตามแนวทางบ้าน-วัด-โรงเรียน
ดร.พิสมัย ระบุว่า เป้าหมายแรกคือ ทำอย่างไรที่ทำให้คนจนของ จ.บุรีรัมย์ สามารถมีแสงสว่าง มีที่ยืนทางสังคม ไม่ได้มองว่าต้องทำให้ชาวบ้านมีรายได้มีอาชีพ แต่มองว่าคนจน กลุ่มเปราะบาง ได้เห็นตัวตนและทำให้ชาวบ้านมองเห็นคุณค่าในตัวเอง
“เพราะฉะนั้นโครงการแก้จนของบุรีรัมย์ จึงมองของเรื่องการเกื้อกูลกัน เกื้อกูลกันของคนบุรีรัมย์ บุรีรัมย์เรื่องของเศรษฐกิจสุดโต่ง เรื่องรากหญ้าสุดเตี้ยเช่นกัน ทำอย่างไรให้ลดช่องว่างนี้ให้ได้ ที่จะทำให้ครัวเรือนยากจน เป็นจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของบุรีรัมย์”
จุดเด่นของสะแกโพรง คือชาวบ้านมีทักษะการทำเกษตร และในหมู่บ้านยังมีพื้นที่สาธารณะ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ จำนวน 4 ไร่ และมีแหล่งน้ำซึ่งสามารถใช้เพื่อการเกษตรได้ เมื่อนักวิจัยได้นำข้อมูลเข้าหารือกับผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และนายกองค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อชี้แจงวัตถุประสงค์ของโครงการ จึงได้รับความร่วมจากผู้นำชุมชนช่วยประชาสัมพันธ์โครงการ และได้รับสมัครครัวเรือนคนจนกลุ่มเป้าหมายที่มีความประสงค์และสมัครใจเข้าร่วมโครงการ จำนวน 37 ครัวเรือน
ผลการดำเนินงานพื้นที่บ้านนาเกียรตินิยม สามารถยกระดับทุนดำรงชีพ 5 ด้าน ให้กับครัวเรือนยากจน 37 ครัวเรือน ให้ดีขึ้นตามลำดับ กล่าวคือ
ด้านที่ 1 การยกระดับทุนมนุษย์ ผ่านการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างความรู้และทักษะอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ ด้วยการ ปลูกพืชแบบผสมผสาน ทำปุ๋ยน้ำหมักอินทรีย์ชีวภาพ ทำสารชีวภัณฑ์กำจัดแมลง ทำปุ๋ยหมักอินทรีย์ การเผาถ่านและทำน้ำส้มควันไม้ และการจัดกิจกรรมการศึกษาดูงาน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ให้มีความหวังและเป้าหมายการพัฒนาร่วมกัน
ด้านที่ 2 การยกระดับทุนทางสังคม มีการรวมกลุ่มสมาชิกเกษตรแปลงรวม และการจดทะเบียนวิสาหกิจชุมชนเกษตรสร้างสุข มีกิจกรรมร่วมกัน ทำให้เกิดการพึ่งพาซึ่งกันและกัน เกิดสังคมเอื้ออาทร แบ่งปัน เป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
ด้านที่ 3 การยกระดับทุนทางเศรษฐกิจ มีการใช้พื้นที่สาธารณะและพื้นที่รอบครัวเรือน ปลูกพืช ผัก สามารถลดรายจ่ายและมีรายได้เพิ่มจากการขายพืชผักในเกษตรแปลงรวม
ด้านที่ 4 การยกระดับทุนทรัพยากรธรรมชาติ ได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่สาธารณะ 4 ไร่ จัดเป็นพื้นที่แปลงรวม เพื่อปลูกพืช ผัก พัฒนาสิ่งแวดล้อม ได้ใช้แหล่งน้ำของชุมชน เป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์และเพิ่มคุณค่า
ด้านที่ 5 การยกระดับทุนทางกายภาพ มีการจัดสรรและพัฒนาพื้นที่ ให้ครัวเรือนคนจนมีที่ดินทำกินเพิ่มขึ้น ครัวเรือนละ 1 แปลง ซึ่งสามารถเป็นสิทธิ ให้ลูกหลานในครอบครัวเป็นพื้นที่ทำกินต่อ ๆ กันไปได้
“และสิ่งที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง รูปธรรมความสำเร็จแปลงรวมสร้างสุขที่เป็นการเพิ่มพื้นที่ทางสังคมให้กับครัวเรือนยากจนและกลุ่มเปราะบาง”
คนบุรีรัมย์ต้องดูแลซึ่งกันและกัน ทั้งคนที่มีความเป็นอยู่ที่ดี และคนที่จำเป็นต้องดูแล เพราะทรัพยากรบุรีรัมย์มีจำกัด แต่ความคิดสร้างสรรค์คนบุรีรัมย์ไม่จำกัด และความคิดสร้างสรรค์ของทุกคน คือความคิดที่สำคัญสำหรับมาเติมเต็มในเรื่องการดูแลคน ทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย และทุกสถานะ
เอกปริญญ์ รักษา ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 17 บ้านนาเกียรตินิยม ต.สะแกโพรง ระบุว่า อยากพัฒนาพื้นที่รกร้าง ให้เกิดประโยชน์สำหรับพื้นที่ สำหรับโครงการเกษตรสร้างสุขเริ่มต้นจากการประชาคม และชาวบ้านเห็นไปแนวทางเดียวกัน จนได้มีครัวเรือนยากจนเข้าร่วมโครงการ 37 ครัวเรือน และได้มีการส่งเสริมให้ความรู้ และสิ่งที่สำคัญคือการพาชาวบ้านทำเพื่อให้เกิดกำลังใจ
ผลของการทำเกษตรแปลงรวม ทำให้ชาวบ้านมีความสุขมากขึ้นจากเดิมในปี 2561 ที่ประสบปัญหาโควิด-19 ที่ประชาชนต้องอยู่ภายในบ้าน
คนเฒ่าคนแก่ที่อยู่บ้านเลี้ยงหลาน เพราะลูกต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัด ทำให้มีการพูดคุยกับชาวบ้านมากขึ้น ทำให้หลายครัวเรือนต้องเจอกับภาวะซึมเศร้า แต่เกษตรแปลงรวมเป็นช่วยที่ช่วยเพิ่มความสุขให้กับชาวบ้าน โดยได้มีการพูดคุยกับเพื่อนบ้านมากขึ้น
“ผักที่ปลูกได้ไม่ใช่แค่เพียงขายเท่านั้น แต่ยังใช้ผักในการไปช่วยงานบุญงานกุศลในหมู่บ้าน ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการจัดงานแต่ละครั้ง”
ยังลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน จากการซื้อผัก และเกิดการแลกเปลี่ยนกันระหว่างแปลงใกล้เคียง โดยลดค่าใช้จ่าย เดือนละ 900 บาท และมีอาหารบริโภคในครัวเรือน และครอบครัวคนจนมีรายได้ เพิ่ม เดือนละ 1,200 บาท
อีกทั้งชุมชนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาความยากจนบนฐานทรัพยากรของตนเอง เกิดกลุ่มทางสังคมเกื้อกูลและพื้นที่การเรียนรู้ แบ่งปันสร้างความมั่นคงทางอาหาร เกิดการสร้างงานและอาชีพให้กับคนจน ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ยกระดับคุณภาพชีวิตครัวเรือนยากจน
นายจำเริญ แหวนเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า เกษตรแปลงรวมเป็นโอกาสของชุมชน เป็นโมเดลที่จะสามารถไปรองรับกับพื้นที่สาธารณะ ประกอบกับมีครอบครัวคนจนที่มีทักษะด้านการเกษตร
เชื่อว่าความยากจนยังไม่สามารถหมดไปได้ โดยภาวะเศรษฐกิจ โดยระบบ ด้วยความซับซ้อนของสังคม แต่การทำเครือข่ายให้เข็มแข็ง ด้วยความร่วมมือของเครือข่ายระดับจังหวัด ระดับพื้นที่ ที่จะแก้ไขปัญหาความยากจนให้เกิดความยั่งยืน และเชื่อมโยงไประดับภูมิภาค
“โมเดลรถพุ่งพวงยังเป็นกระบอกเสียง และเป็นออเดอร์ให้กับสินค้าปลายทาง เป็นลักษณะความผูกพันระหว่างพ่อค้ากับผู้ผลิต”
“รถพุ่มพวงแก้จน” เป็นโมเดลแก้จนที่สร้างอาชีพและเพิ่มรายได้ให้กับครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการ ที่เน้นการกระจายสินค้าจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภคในชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียง
“พี่ยาว” สุรศักดิ์ มุมทอง หนึ่งในสมาชิกโครงการปลูกผักแปลงรวม ที่กลายเป็นคนขายผักรถพุ่มพวง ควบคู่กับการปลูกผักบนพื้นที่ที่ได้จัดสรร 4 แปลง
พี่ยาวเล่าว่าแต่เดิมพี่ยาวทำงานโรงงานในเมืองหลวงแต่ช่วงโควิด-19 เลยตัดสินใจที่จะกลับมาอยู่บ้านเกิด กว่า 20 ปีที่ทำงานเกี่ยวกับโรงงานเครื่องจักร จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่ต้องกลับมาอยู่บ้านเกิดโดยไร้ทุนสำรอง
ประจวบเหมาะกับทางมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์มีโครงการปลูกผักแปลงรวม และได้รับการสนับสนุนตั้งแต่ปรับพื้นที่ ระบบน้ำ เมล็ดพันธุ์ ซึ่งพี่ยาวได้รับการจัดสรรแปลงผักมา 4 แปลง ครั้งแรกเริ่มปลูกพริก เพราะคิดว่าทุกหลังคาเรือนต้องกินพริก และเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดในบรรดาสินค้าทั้งหมด ตามมาด้วย คะน้า กวางตุ้ง ต้นหอม ผักชี ส่วนสมาชิกรายอื่นๆ ส่วนใหญ่จะปลูกผักที่ใช้ประกอบอาหารในครัวเรือน ไม่ว่า จะเป็น หอม กระเทียม ผักชีลาว ผักบุ้ง มะเขือ ถั่วฝักยาว ฯลฯ
กระทั่งได้ผลผลิตมีคุณภาพ ถูกยกระดับสู่มาตรฐาน GAP เริ่มได้รับความสนใจจากพ่อค้าที่เดินทางมารับซื้อ แต่การเข้ามารับซื้อนั้นทำให้สมาชิกมองว่าถูกกดราคา พี่ยาวจึงเริ่มหันมาเป็นผู้ขายเอง เพราะไม่อยากให้ผักปลอดสารพิษถูกกดราคา
พี่ยาวเริ่มโดยการรับซื้อผักจากชาวบ้าน ไปจำหน่ายในราคาถุงละ 20 บาท โดยได้ส่วนแบ่งถุงละ 3 บาท และให้ชาวบ้าน 17 บาท
“แรกๆ ไม่กล้าขายเพราะไม่เคยขายของมาก่อน แต่ก็ขับรถไป แวะตามชุมชนต่างๆ บ้าง มีคนเรียกซื้อบ้าง พอขายไปเรื่อยๆ เริ่มมีคนรู้จักตอนนี้ขายดีไม่เหลือผักกลับมาเลย”
กว่า 1 ปีที่พี่ยาวใช้รถมอเตอร์ไซต์พ่วงเป็นร้านค้าเคลื่อนที่ไปยังชุมชนหมู่บ้านต่างๆ จนมีลูกค้าประจำและร้านอาหารที่คอยอสั่งผักจากพี่ยาวเป็นประจำเพราะมั่นใจว่าได้รับประทานผักที่ปลอดภัยมีความแตกต่างจากผักในท้องตลาด
เมื่อได้เงินจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล 10,000 บาท พี่ยาวจึงนำเงินมาต่อเติมหลังคารถพ่วง เพราะผักที่ขายจะโดนแดด เหี่ยวเร็ว ที่ยาวต้องคอยรดน้ำและเอาผ้าคลุมไว้ ซึ่งค่าต่อเติมหลังคา รวมกับค่าช่างหมดไปประมาณ 4,000 บาท ส่วนที่เหลือพี่ยาวเก็บไว้เป็นทุนในการซื้อผักและเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือน
ซึ่งอาทิตย์หนึ่งพี่ยาวจะออกขายผักประมาณ 3 วัน ขึ้นอยู่กับผักของสมาชิกที่ออกผลผลิตในช่วงนั้น ขายตั้งแต่ 13.00-18.00 น. กำไรต่อวัน 500-600 บาท
มีความสุขกับการได้ใช้ชีวิตที่บ้านเกิด ได้อยู่กับครอบครัว มีอาชีพ มีรายได้ และอากาศสดชื่น สุขภาพก็ดี
อ่านข่าว :
น้ำผึ้งชันโรงเสม็ดขาว สุดยอด Superfood ต้านโรคอัลไซเมอร์-มะเร็ง
โมเดลแก้จน เติมความรู้-สร้างอาชีพ ลดรุนแรงชายแดนใต้
วันนี้ (10 ธ.ค.2567) นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการรื้อถอนโครงสร้างเหล็ก Launching Gantry (LG) และชิ้นส่วนสะพานคอนกรีตที่ได้รับความเสียหายบนทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) อย่างใกล้ชิด
โดยเผยว่า ขณะนี้ทีมวิศวกรและเจ้าหน้าที่ได้ทำการรื้อถอนโครงสร้างเหล็ก Launching Gantry (LG) และชิ้นส่วนสะพานคอนกรีต มีความคืบหน้าแล้ว 70% คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดการจราจรได้ตามปกติภายในวันที่ 14 ธันวาคม 2567
สำหรับความคืบหน้าล่าสุด ณ เวลา 14.00 น. มีดังนี้
• ฝั่งขาออก: ทีมวิศวกรได้รื้อถอนโครงสร้างเหล็ก LG ส่วนหน้าและส่วนหลังเรียบร้อยแล้ว และกำลังดำเนินการตัดโครงสร้างส่วนกลางที่เชื่อมกับชิ้นส่วน Segment
• ฝั่งขาเข้า: ทีมวิศวกรได้ทำการปลด Segment ทั้งหมด และเลื่อนโครงสร้าง LG ไปยังจุดที่ปลอดภัย พร้อมติดตั้งเครื่องตรวจวัดการเคลื่อนตัวเพื่อความปลอดภัย
อธิบดีกรมทางหลวงกล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินงานที่ผ่านมาทีมวิศวกรได้เตรียมการอย่างละเอียดและดำเนินงานทุกขั้นตอนโดยเน้นความปลอดภัยเป็นหลัก ประกอบกับการติดตามผลของระบบตรวจวัดและควบคุมการเคลื่อนตัวของโครงสร้างตลอดการดำเนินงาน ทำให้มั่นใจว่าการรื้อถอนจะแล้วเสร็จตามกำหนด
ทั้งนี้ กรมทางหลวงร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ได้วางแผนบริหารการจราจร โดยจะเปิดช่องจราจรพิเศษเพิ่มอีก 1 ช่องทาง เพื่อระบายปริมาณรถ และอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน รวมทั้งประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจในการอำนวยความสะดวก และขอความร่วมมือประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทาง หากมีความจำเป็นต้องสัญจร โปรดเผื่อเวลาในการเดินทาง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมทางหลวง โทร.1586
อ่านข่าว :
ทีมวิศวกรเดินหน้าเคลื่อนย้าย "โครงถัก" พังถล่ม ถ.พระราม 2
รื้อถอนโครงเหล็ก Truss ถนนพระราม 2 - วสท.ร่วมตรวจสอบ
อัปเดตคานถล่ม ถ.พระราม 2 เสียชีวิต 4 สูญหาย 2 บาดเจ็บ 9 คน
วันนี้ (10 ธ.ค.2567) นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ไขสันหลังอักเสบ เป็นภาวะความผิดปกติที่เกิดจากการอักเสบของไขสันหลัง อันเนื่องมาจากการติดเชื้อ การอักเสบจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ หรือไม่ทราบสาเหตุ โดยมากผู้ป่วยมักมีอาการผิดปกติทางระบบประสาท ที่เกิดขึ้นในระยะเวลารวดเร็วเป็นวัน อาการผิดปกติจะขึ้นกับตำแหน่งที่มีความผิดปกติ เช่นอาการชาแขนขาหรือลำตัว อาการอ่อนแรงด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้านของร่างกาย สูญเสียความสามารถในการทรงตัว ถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ออก บางครั้งผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวดไฟช็อต แสบร้อน คัน หรือรับความรู้สึกผิดปกติไปจากเดิมร่วมด้วยก็ได้
สำหรับแนวทางการตรวจวินิจฉัย จะเริ่มจากการซักประวัติ ตรวจร่างกายทางระบบประสาทอย่างละเอียดโดยแพทย์ และมีการส่งตรวจเอกซเรย์เพื่อยืนยันตำแหน่งและลักษณะความผิดปกติว่า มีการอักเสบเกิดขึ้นจริงหรือเกิดจากสาเหตุอื่น ร่วมกับการส่งตรวจเลือดและเจาะตรวจน้ำไขสันเพื่อหาสาเหตุของการอักเสบว่าเกิดจากการติดเชื้อชนิดใด หรือเกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติชนิดไหน เมื่อทราสาเหตุที่จำเพาะ จะนำไปสู่กระบวนการรักษาให้ตรงตามสาเหตุ เช่น
หากพบว่าเกิดจากการติดเชื้อ เช่นจากเชื้อไวรัสงูสวัด ก็จะได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสชนิดฉีด หากเกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น Neuromyelitis Optica (NMO) หรือ Multiple Sclerosis (MS) ก็จะได้รับการรักษาด้วยวิธีภูมิคุ้มกันบำบัด อาทิ การให้สเตียรอยด์ฉีดขนาดสูง การฟอกน้ำเหลือง หรือให้ยากลุ่มยาเคมีบำบัด สำหรับผลการรักษาจะขึ้นกับสาเหตุ ความรุนแรง และระยะเวลาในการเข้าถึงการรักษา ยิ่งรักษาเร็วก็จะทำให้โอกาสหายขาดสูง
อ่านข่าว : หมอแถลง "ผิง ชญาดา" ไขสันหลังอักเสบ-ติดเชื้อกระแสเลือดตาย
นพ.ชลภิวัฒน์ ตรีพงษ์ นายแพทย์ชำนาญการ สาขาประสาทวิทยา สถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า จากข้อมูลของสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ ที่เก็บข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี พบว่า มีผู้ป่วยที่มีอาการไขสันหลังอักเสบจากภูมิคุ้มกันชนิดผิดปกติชนิด NMO และ MS จำนวน 405 คน แต่ยังไม่มีตัวเลขของภาวะไขสันหลังอักเสบจากสาเหตุอื่น ๆ
นอกเหนือจากการรักษาภาวะไขสันหลังอักเสบ กระบวนการรักษายังต้องเฝ้าระวังและป้องกันภาวะแทรกซ้อน ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้มักเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มาก เช่น การติดเชื้อในระบบหายใจหรือระบบทางเดินปัสสาวะ หากลุกลามจะนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือดเป็นเหตุถึงแก่ชีวิตได้ ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อาจจะเกิดแผลกดทับ หรือเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายและหลุดไปอุดตันเส้นเลือดแดงใหญ่ในปอดเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้เช่นกัน นอกจากนี้ ในผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน สเตียรอยด์ หรือยากลุ่มยาเคมีบำบัดเพื่อรักษาอาการอักเสบของไขสันหลัง จะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยลดลง เป็นเหตุให้เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนที่รุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้
หากมีอาการผิดปกติทางระบบประสาท หรือสงสัยว่าความผิดปกติของท่านจะเกิดขึ้นจากระบบประสาท แนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์หรือแพทย์เฉพาะทางระบบประสาทโดยเร็ว เพื่อให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที เพราะการได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่รวดเร็ว จะช่วยให้ได้รับผลการรักษาที่ดี หลงเหลือภาวะทุพลภาพน้อยที่สุด
อ่านข่าว :
รมว.สธ.ยัน "ผิง ชญาดา" เสียชีวิต ไม่ได้เกิดจาก "นวดบิดคอ"
สสจ.อุดรธานี จ่อแถลง "ผิง ชญาดา" ปมนวดดัดคอเสียชีวิต
แฟนเพลงอาลัย "ผิง ชญาดา" เสียชีวิต
วันนี้ (9 ธ.ค.2567) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ถึงกรณีการเสียชีวิตของ "ผิง ชญาดา" ที่ระบุว่ามีสาเหตุมาจากการนวดบิดคอ ที่ร้านนวดแห่งหนึ่งใน จ.อุดรธานี ว่า ได้รับรายงานเรียบร้อยแล้ว โดยผู้เสียชีวิตได้มีอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดเมื่อย เป็นเวลาหลายวัน ตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค.2567 และไปตรวจที่โรงพยาบาล 28 ต.ค.2567 ซึ่งเข้าออกโรงพยาบาลหลายครั้ง โดยมีการเอ็กซเรย์ และทำเอ็มอาร์ไอ โดยเป็นภาพที่ชัดเจนว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการนวดแผนไทย ซึ่งตนก็อยากให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากรายงานพบว่า วันที่ 6-11 พ.ย.2567 ผู้เสียชีวิต ได้เข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.อุดรธานี ได้แอดมิทแผนกกระดูกและข้อ โดยแพทย์ตรวจพบว่า แขนขาอ่อนแรง และตรวจเอ็มอาร์ไอ เพิ่ม พบว่า ไม่มีกระดูกคอหักหรือเคลื่อน ตรวจโดยเจาะน้ำไขสันหลัง สรุปวินิจฉัยเป็น โรคไขสันหลังอักเสบ ซึ่งได้ให้ยารักษา หลังจากนั้นอาการเริ่มดีขึ้นจึงกลับไปพักที่บ้าน แต่หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ ยังมีอาการเกร็งกระตุกตามร่างกาย จนวันที่ 22 พ.ย.2567 มีอาการเกร็งและอ่อนแรงมากขึ้น จึงเข้าไอซียู รพ.อุดรธานี มีอาการช็อคจากติดเชื้อในกระแสเลือด และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2567 ส่วนรายละเอียดทั้งหมดนั้น ตนขอให้รอฟังจากผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนี้ ขอให้มั่นใจ เพราะผลการตรวจเอ็มอาร์ไอ เป็นที่ชัดเจนแล้ว ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยียืนยัน จึงขอให้ประชาชนสบายใจ
อ่านข่าว : หมอแถลง "ผิง ชญาดา" ไขสันหลังอักเสบ-ติดเชื้อกระแสเลือดตาย
ดร.นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรม สบส.กล่าวว่า เมื่อได้รับทราบข้อมูลการเสียชีวิต ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุการรับบริการนวด ก็ได้สั่งการให้ศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 8 ประสานงานกับ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี ในการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยทันที โดยจากการตรวจสอบพบว่า ร้านนวดซึ่งถูกกล่าวอ้างนั้น ตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี เปิดให้บริการนวดตัว นวดเท้า มีการขออนุญาตประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2562
และในระหว่างเข้าตรวจสอบพบผู้ให้บริการนวด จำนวน 7 คน โดยผู้ให้บริการทั้ง 7 คน มีการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ซึ่งจากการตรวจสอบในเบื้องต้นก็พบว่าร้านนวดดังกล่าว มีการดำเนินการตามมาตรฐานตามกฎหมายอย่างถูกต้อง แต่เพื่อให้เกิดความกระจ่างต่อสาเหตุการเสียชีวิต และให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย พนักงานเจ้าหน้าที่จะมีการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม และส่งต่อให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบว่าการให้บริการนวดถูกต้องตามแบบแผนการนวดหรือไม่ และเพื่อป้องกันมิให้เกิดความสูญเสีย หรือผลกระทบต่อประชาชนผู้รับบริการอีกในอนาคต
อ่านข่าว : กรมแพทย์แผนไทยฯ แนะข้อควรรู้ก่อน "นวด" ห้ามใน 6 อาการ-โรค
กรม สบส. จะดำเนินการเชิงรุกในการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนในการเลือกรับบริการร้านนวด ยกระดับผู้ให้บริการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น มีการติดตาม ประเมินผล จัดระเบียบสถานประกอบการเพื่อสุขภาพทั่วประเทศให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดปรับบทลงโทษผู้ประกอบการและหมอนวดเพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสมเพื่อให้เกิดความตระหนักและระมัดระวังในการให้บริการ
ด้าน ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวว่า การให้บริการของสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ทั้งสปา หรือนวดเพื่อสุขภาพนั้น ล้วนเป็นบริการที่มีความใกล้ชิดกับผู้รับบริการ หากขาดการควบคุมคุณภาพมาตรฐานย่อมก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการบาดเจ็บ การแพร่เชื้อโรค หรือมีการล่วงละเมิดทางเพศได้ ดังนั้นจึงต้องเลือกรับบริการจากสถานประกอบการเพื่อสุขภาพที่ได้มีการอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่
โดยสามารถตรวจสอบจากหลักฐานสำคัญ 3 ประการ ซึ่งจะแสดงไว้ ณ จุดบริการ ได้แก่ 1.มีการแสดงใบอนุญาตประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพที่ออกโดยกรม สบส.หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด 2.มีการแสดงตราสัญลักษณ์มาตรฐาน สบส. เป็นรูปมือจีบสีทองและดอกกล้วยไม้สีม่วง 3.หากเป็นสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ประเภทสปา จะต้องมีการแสดงใบอนุญาตของผู้ดำเนินการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพอีกด้วย หากตรวจแล้วไม่มีการแสดงหลักฐาน หรือแสดงไม่ครบ ก็ไม่ควรรับบริการเพราะอาจจะเกิดอันตรายได้
ทั้งนี้ เพื่อความมั่นใจประชาชนสามารถตรวจสอบใบอนุญาตได้ว่าจริงหรือไม่โดยแสกนดูข้อมูลใน QR Code ในใบอนุญาตว่าตรงกันหรือไม่ และสามารถตรวจสอบรายชื่อร้านนวดและผู้ให้บริการที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้ที่เว็บไซต์กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (https://hss.moph.go.th/)
อ่านข่าว : ขอกล้องติดหน้าอก เร่งทำสำนวน 7 ตำรวจรุมทำร้ายผิดคัน ส่ง ป.ป.ช.
จากอำนาจสู่ล่มสลาย ปิดฉาก "อัล-อัสซาด" ครองซีเรียนาน 53 ปี
ปรับค่าแรง 400 บาท กกร.ชี้ 90% ไม่เห็นด้วยขึ้นค่าแรงทั่วประเทศ
วันนี้ (9 ธ.ค.2567) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2567 ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ 2 เรื่อง คือ แนวทางปฏิบัติในการเพิ่มความครอบคลุมของวัคซีนในโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน ได้แก่ โรคหัดและโรคไอกรน เนื่องจากยังพบรายงานผู้ป่วยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคใต้ และการสานต่อนโยบายฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV เพื่อลดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตด้วยมะเร็งปากมดลูกในหญิงไทย
ทั้งนี้ จะเร่งรัดการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน และคางทูม (MMR) ในเด็กอายุ 0-5 ปี ในจังหวัดที่มีความครอบคลุมวัคซีนต่ำกว่าร้อยละ 95 หรือการเข้าถึงบริการสาธารณสุขไม่เพียงพอ โดยจัดโครงการเพิ่มการเข้าถึงวัคซีนหัด (Reach Out Program) เช่น จัดหน่วยวัคซีนเคลื่อนที่รณรงค์ในชุมชน เฝ้าระวังอาการสงสัยโรคหัด หากพบผู้ที่มีอาการสงสัยให้รีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษา
เน้นความครอบคลุมการได้รับวัคซีนไอกรนในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ทุกพื้นที่ให้ได้มากกว่าร้อยละ 90 และเน้นการให้วัคซีนไอกรนชนิดไร้เซลล์ในหญิงตั้งครรภ์ทุกราย เพื่อให้เด็กแรกคลอดมีภูมิคุ้มกันต่อโรคไอกรน รวมถึงเฝ้าระวังอาการสงสัยโรคไอกรน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กนักเรียน หากพบผู้ที่มีอาการสงสัยให้รีบพบแพทย์
ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งจะเป็นการให้เข็มที่ 2 ในกลุ่มเป้าหมายอายุ 11-20 ปี ที่เคยฉีดเข็มที่ 1 มาแล้ว และให้วัคซีน HPV ชนิด 9 สายพันธุ์ เป็นเข็มที่ 1 สำหรับนักเรียนหญิง ชั้น ป.5 ปีการศึกษา 2567 ในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. 2568 (ก่อนปิดภาคเรียน) ส่วนกลุ่มเป้าหมายนอกเหนือจากนักเรียนหญิงชั้น ป.5 ที่ยังไม่ได้รับการฉีดเข็มที่ 1 ในปีที่แล้ว จะให้บริการในเดือน มี.ค.-เม.ย.2568 ตั้งเป้าหมายการฉีดให้ได้มากกว่า 1 ล้านโดส เพื่อลดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตด้วยมะเร็งปากมดลูกในหญิงไทย ซึ่งจะมีกิจกรรม Kick-off วัคซีน HPV 5 ภาคทั่วประเทศ เริ่มครั้งแรกวันที่ 20 ธ.ค.2567 ที่ จ.ปทุมธานี
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า อีกเรื่องคือ เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เรื่องการเพิ่มเติมผู้แทนจากหน่วยงานของรัฐในคณะทำงานประจำช่องทางเข้าออก ประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ จ.นราธิวาส 3 ด่าน คือ พรมแดนสุไหงโก-ลก พรมแดนบูเก๊ะตา และพรมแดนตากใบ รวมถึงรับทราบนโยบายการสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการจัดซื้อจัดหาวัคซีน
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ กรมควบคุมโรค และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้ดำเนินการหาแนวทางการสนับสนุนการดำเนินงานของ อปท.ในส่วนที่เกี่ยวข้อง และแจ้งต่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์โรคติดต่อที่สำคัญ ได้แก่ โรคไข้หวัดนก ซึ่งสถานการณ์ทั่วโลกยังมีรายงานผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่พบผู้ป่วยมีประวัติสัมผัสสัตว์ปีกและโคนม และในปีนี้พบการระบาดของโรคไข้หวัดนกในประเทศเพื่อนบ้านทั้งในคนและสัตว์
แม้ประเทศไทยจะไม่พบผู้ป่วยไข้หวัดนกในคนมาตั้งแต่ปี 2549 แต่ยังมีความเสี่ยงและต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากมีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีการระบาด มีการเดินทางระหว่างประเทศ มีการค้าขายและเคลื่อนย้ายสัตว์ปีกมีชีวิต
ส่วนโรคไข้หวัดใหญ่ พบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และมีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในโรงเรียนและเรือนจำ ปัจจุบันพบการระบาดในศูนย์ดูแล/ฟื้นฟูผู้สูงอายุและสถานสงเคราะห์มากขึ้น และโรคโควิด 19 พบผู้ป่วยเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับปี 2566 ที่พบผู้ป่วยเพิ่มสูงในช่วงเดือน พ.ย.-ม.ค. ส่วนผู้เสียชีวิตพบเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีการรวมกลุ่มและเคลื่อนย้ายของผู้คนเป็นจำนวนมาก ขอให้ประชาชนเข้มการป้องกันโรค โดยการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ล้างมือบ่อย ๆ หากมีอาการป่วยทางเดินหายใจ ให้สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง
อ่านข่าว : กรมแพทย์แผนไทยฯ แนะข้อควรรู้ก่อน "นวด" ห้ามใน 6 อาการ-โรค
หมอแถลง "ผิง ชญาดา" ไขสันหลังอักเสบ-ติดเชื้อกระแสเลือดตาย
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เปิดข้อมูล 10 ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง ใน อบจ.
วิถีชีวิตผู้คนในปัจจุบัน พึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่การค้นคว้าหา ความรู้ทุกด้านตามที่ต้องการ คนรุ่นใหม่มีเส้นทางอนาคตมากมายหลากหลายขึ้น อีกทั้งค่าครองชีพที่สูงขึ้นกลายเป็นค่านิยมที่ทำให้คนรุ่นใหม่มีความคิดว่า “ใบปริญญา และการเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ได้มีความสำคัญต่อชีวิต”
คุณภาพการศึกษามหาวิทยาลัยไทย กลายเป็นปัจเจกในการตัดสินใจของการเลือกเข้าศึกษาต่อ หลังเข้ามารับตำแหน่ง อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หวังให้มหาวิทยาลัยไทยก้าวไปสู่ระดับโลก ด้วยแนวคิดปรับลุคใหม่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้เป็น “Global University”
“งานการศึกษาไม่ใช่เรื่องของระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัย การศึกษาที่มีคุณภาพที่ดีอยู่ที่การบริหาร การบริหารการศึกษาคือการเปลี่ยนชีวิตคน” คำกล่าวของ “ดร.วิเลิศ ภูริวัชร” อดีตลูกหม้อของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนเข้ามารับตำแหน่งหลังเรียนจบในตำแหน่งคณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ และอดีตหัวหน้าภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จนก้าวเป็น “อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”
รายการ “คุยนอกกรอบ กับ สุทธิชัย หยุ่น” จับเข่าสนทนากับ ดร.วิเลิศ ทำให้เห็นว่า แม้ในยุคที่เทคโนโลยีล้ำหน้า การศึกษาก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อยกระดับชีวิตของทุกคนในสังคม
หากถามว่าการเปลี่ยนชีวิต จำเป็นจะต้องเรียนมหาวิทยาลัยหรือไม่ ? ดร.วิเลิศ ตอบทันที “ไม่จำเป็น” แต่ในเชิงของสังคม และความเป็นไปของโลกใบนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ในชีวิตจริงเวลาไปสมัครงานใบปริญญายังมีความจำเป็น “บางคนไม่มีใบปริญญา อาจมีความรู้มากกว่าคนที่ใบปริญญาก็ได้ แต่คำถาม คือ จะบอกเขาได้อย่างไรว่าเรามีความรู้ ความเชี่ยวชาญแค่ไหน และจะมีอะไรเป็นสิ่งยืนยันตัวเอง”
ปริญญาไม่ได้เป็นตัววัดคุณค่าชีวิตคน แต่เป็นหลักฐานทางกายภาพที่ยืนยันได้ ว่า แต่ละคนผ่านการเรียนรู้ที่เป็นขั้นเป็นตอนระดับหนึ่งมาพอสมควร
ดังนั้นจุดยืนของมหาวิทยาลัย ไม่ใช่แค่เพียงการให้ความรู้ ต้องทำให้เห็นว่ามหาวิทยาเป็นพื้นที่ ทักษะชีวิต (Life Skills) “ความรู้ล้าสมัยได้ แต่ความฉลาดที่พัฒนากันขึ้นมาจากประสบการณ์, ความคิดของคน, Soft skills, การปรับตัว, การเข้าใจสังคม, มิตรภาพ จะอยู่ชั่วกัลปาวสาน กับคนคนนั้นไปตลอด”
และมหาวิทยาลัยจึงเปรียบได้กับพื้นที่สร้างภูมิปัญญา ภูมิความคิด และความฉลาดที่ติดตัวไปพร้อมกับจิตสำนึกในการช่วยเหลือสังคม นี่คือบทบาทของมหาวิทยาลัยที่ไม่สามารถถูกแทนที่ได้โดยเทคโนโลยี
“Global University” หรือการเป็นศูนย์กลางการศึกษา เป็นสิ่งที่ “ดร.วิเลิศ” อยากไปให้ถึงเป้าหมาย แม้วันนี้อาจยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็ได้มีการวางยุทธศาสตร์ไว้แล้ว ทั้งระยะสั้น 1 ปี ระยะกลาง 3 ปี ระยะยาว 5 ปี เพื่อทำให้คนในองค์กรรู้ว่าควรจะไปทางทิศไหน มีเป้าหมายเดียวกัน
“ความเป็น Global ต่างกับ International เพราะเราอาจไม่รู้สึกเลยว่า เป็นแบรนด์ของต่างชาติ มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เช่นเดียวกับการก้าวไปสู่ความเป็น Global University”
การสร้างแบรนด์มหาวิทยาลัยในระดับโลก ไม่ใช่แค่เพียงการพัฒนาคุณภาพการศึกษา แต่ยังสามารถยกระดับเศรษฐกิจ เพิ่ม GDP ให้สูงขึ้นได้ จากการเข้ามาเรียนของคนในต่างประเทศมากขึ้น การใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยไม่ต่ำกว่า 3-4 ปี จึงทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนมากกว่าการเดินทางมาท่องเที่ยว
“ความรู้ทุกที่มันเหมือนกัน แต่ทำไมคนเหล่านั้น ถึงไปเรียนที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ หรือมหาวิทยาลัยชั้นนำในหลายประเทศ หากมองแง่หนึ่งบางทีมหาวิทยาลัยไม่ได้ทำให้คนเก่งขึ้น แต่คนที่เก่งสุด ๆ เขาไปรวมตัวกัน เป็นการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน คนเก่ง ย่อมรู้ว่าพระอาทิตย์ขึ้นด้านไหน และจะวิ่งไปหาแสงเสมอ เพื่อรวมตัวกัน และการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน”
โดยปัจจุบันจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้วางกลยุทธ์ด้วยการนำเทคโลยีเข้ามาใช้ สร้างการเรียนรู้ผ่านนวัตกรรม แพลตฟอร์มต่าง ๆ ด้วยการจับมือประสานหลักสูตรร่วมกับมหาวิทยาลัยระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT), มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บนพื้นฐานที่ไม่ละทิ้งความเป็นตัวตนของตัวเอง
“เราต้องเป็นมหาวิทยาลัยที่นำงานวิจัยไปใช้ได้จริง ขณะเดียวกันก็จะต้องไม่เพิกเฉยกับนักวิจัยที่ทำให้อันดับของมหาวิทยาสูงขึ้น ดังนั้นกลยุทธการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน โดยที่เราสามารถทำให้ตัวของเราเป็นนานาชาติ และเราก็ไม่ทิ้งรากเหง้าตัวตนของเราที่ต้องดูแลทั้งประเทศควบคู่กันไป”
ปัจจุบัน คนเกิดน้อย จำนวนผู้เรียนลดลง ในขณะที่ผู้ใหญ่ยังอยากเรียนอยู่ ดังนั้นการขยายตลาดการศึกษาในรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งปกติจะรับเฉพาะผู้ที่อยู่ในช่วงอายุ 18-30 ปี แต่ปัจจุบันได้เปิดรับผู้ที่มีอายุ 40 – 50 ปี ขณะเดียวกันเด็กอายุ 8-13 ปี ก็มาเรียนได้
“การปรับกลยุทธ์แรกต้องเล่นไปที่ข้อกำหนดที่สามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต บางครั้งคนรุ่นเก่าก็ต้องเรียนรู้จากเด็กรุ่นน้องในเรื่องของเทคโนโลยี หรือ เอไอ ส่วนคนรุ่นใหม่ก็จะได้ประสบการณ์จากคนรุ่นเก่า ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้” รวมถึงการเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ได้มีการนำมาปรับใช้ รวมถึงการหาพาร์ทเนอร์ให้เด็กเข้าไปฝึกงาน ที่บางคนก็สามารถทำงานได้ทันที
อย่างที่สอง คือการใช้เทคโนโลยี และเอไอ เป็นแค่ส่วนเสริม เพราะส่วนหลักคือการสร้างประสบการณ์ เพิ่มวิธีคิดอย่างเป็นระบบ การเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่น การเอาความรู้มาปรับใช้ การสร้างมิตรภาพ และความทรงจำ ที่เอไอไม่สามารถให้ได้ “อาจารย์ให้การบ้าน เด็กให้เอไอทำมาส่ง ผมบอกว่าอย่าปฏิเสธเอไอเลย ให้เด็กทำการบ้านมาส่งใช้เอไอ แล้วให้เด็กแก้ในส่วนที่ดีกว่าเอไอนำเสนอ ก็จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้เด็กได้”
“คนแต่ละคนพรสวรรค์ต่างกัน วันนี้เราชอบมองคุณค่าไม่เหมือนกัน ไม่ได้แปลว่า เด็กทุกคนต้องเป็นแพทย์ เด็กทุกคนต้องรู้ AI คนที่เชี่ยวชาญเรื่องศิลปะก็มี บางคนอาจชอบรำ หน้าที่ของมหาวิทยาลัยคือ ให้เขาเติบโต ตามแบบฉบับของตัวเอง อย่างสวยงามที่สุด”
ดร.วิเลิศ ย้ำว่า อยากให้มองจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นพื้นที่ที่เปลี่ยนชีวิตของคนได้ “มีทั้งไอคิว อีคิว และเอคิว (การปรับตัว)” เชื่อว่าการสอนที่ดีไม่ใช่แค่การสอนให้เป็นคนดี แต่ต้องสอนให้คนใจดีไม่ใช่แค่การกระทำ “คนที่ทำผิด คนที่ไปขโมยของเพราะเขาไม่รู้สึกผิดต่อการกระทำ ความยาก คือ ทำอย่างไรที่จะปลูกฝังเขาได้”
แม้เราจะเก่งวิชาชีพใด เราจะเก่งแค่นั้นไม่ได้ ต้องรู้ในวิชาชีพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เรียกว่า soft skills เช่น การเป็นแพทย์ที่ต้องเข้าใจปัญหาทางจิตของคน, เข้าใจบริบทเงื่อนไขชีวิตของตัวเอง ทั้งหมดคือการบ่มเพาะปัญญาของคน และถ้าเรามีแบบนี้อยู่ข้างในแล้ว เราไม่ต้องกลัวเลย
พบกับรายการ: คุยนอกกรอบกับสุทธิชัย หยุ่น ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เวลา 21.30-22.00 ทุกวันพฤหัสบดี
อ่านข่าว : "สนธิ" ยื่น "นายกฯ" ยกเลิก "MOU 44 - JC 44"
กรมแพทย์แผนไทยฯ แนะข้อควรรู้ก่อน "นวด" ห้ามใน 6 อาการ-โรค
หมอแถลง "ผิง ชญาดา" ไขสันหลังอักเสบ-ติดเชื้อกระแสเลือดตาย
วันนี้ (9 ธ.ค.2567) องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ เปิดข้อมูล “10 ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง” ในองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่เกิดขึ้นในรอบ 20 ปี (2547-2567) พบจำนวนทุจริตน้อยกว่าที่สังคมรับรู้หรือมีการร้องเรียน มีหลายคดีเงียบ
ขณะที่คนทำผิดส่วนใหญ่กลับรอด เฉพาะ “10 ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง” ที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมนั้น รวมมูลค่าความเสียหายประมาณการไม่น้อยกว่า 377 ล้านบาท
ปี 2566 นายพรชัย โควสุรัตน์ อดีตนายก อบจ.อุบลราชธานี 3 สมัยระหว่างปี 2547-58 กับพวกถูกร้องเรียนมากถึง 42 คดี ป.ป.ช.ชี้มูลไปแล้วหลายคดี มูลค่าความเสียหายรวมสูงถึง 114 ล้านบาท ทำให้นายพรชัยกลายเป็นนายก อบจ. ที่มีคดีทุจริตมากที่สุดในประเทศไทย หลายคดีถูกศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุก รวมระยะเวลาจำคุกกว่า 30 ปี ปัจจุบันนายพรชัยอยู่ในสถานะหนีคดี
ปี 2554 เกิดอุทกภัยในจังหวัด ทำให้ อบจ.ปทุมธานี จัดซื้อถุงยังชีพ 2 ครั้ง รวม 6,000 ถุง มูลค่า 3 ล้านบาท เป็นเหตุให้ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายชาญ พวงเพ็ชร์ และพวกรวม 12 คน ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และละเลยไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่
เมื่อศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้องคดี ส่งผลให้ นายชาญ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่แม้จะเพิ่งชนะการเลือกตั้งได้เป็นนายก อบจ.ปทุมธานี ต่อมาปี 2567 ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 6 ปี 18 เดือน นอกจากนี้ นายชาญ ยังมีคดีจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายราคาแพงเกินจริงถึงกว่า 40 ล้านบาท ปัจจุบันเรื่องอยู่ระหว่างไต่สวนของ ป.ป.ช.
ช่วงปี 2549-2550 นางสุนี สมมี อดีตนายก อบจ.ลำปาง พร้อมพวก 9 คน ร่วมกันทุจริตโครงการจ้างเหมาขุดลอกลำน้ำ ต่อมา ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด เพราะพบว่ามีการ “จัดฉากตั้งบริษัทรับเหมา” เพื่อเข้าร่วมประมูลรับงานมากถึง 29 โครงการ มีการทำใบเสนอราคาเท็จ ยื่นเสนอราคาเท็จ และปลอมลายมือชื่อกรรมการเปิดซองสอบราคา เพื่อใช้เบิกจ่ายเงินงบประมาณ มีการจ่ายเงินทอน คิดเป็นเงินเกือบ 100 ล้านบาท แถมยังใช้สำนักงาน อบจ. ลำปาง เป็นที่แบ่งเงินทุจริต
ส่วนผู้รับเหมาที่ทำงานจริงรับเงินแค่ 60 % ศาลพิพากษาจำคุกรวม 116 ปี แต่ให้คงจำคุกจริง 50 ปี นอกจากนี้ นางสุนียังถูกจำคุก 8 ปี จากคดีทุจริตจ้างเหมาถมดินอีก 7 โครงการ และมีคดีฐานยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ ศาลฎีกาสั่งห้ามดำรงตำแหน่งการเมือง 5 ปี จําคุก 1 เดือน ปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 1 ปี
ปี 2565 นายชาติชาย เจียมศรีพงษ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายก อบจ.พิจิตร กับพวก ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดจากการมีผลประโยชน์ทับซ้อนในการจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ซึ่งตนดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฯ นั้นด้วย
เมื่อสมาคมฯ มีหนังสือขอรับเงินสนับสนุนจาก อบจ. พิจิตรโดยไม่มีรายละเอียดค่าใช้จ่ายในโครงการประกอบการพิจารณา นายชาติชาย อนุมัติเบิกจ่ายเงินตลอด 3 ปี เป็นเงินรวม 15,654,115.12 บาท
ซึ่งเงินก้อนนี้สมาคมกีฬาฯ ได้ส่งต่อให้แก่ทีมสโมสรฟุตบอลที่นายชาติชายเป็นที่ปรึกษาสโมสรฟุตบอลพิจิตรเอฟซี และผู้จัดการสนาม สโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ได้มีคำพิพากษาจำคุก 9 ปี 12 เดือน ปัจจุบันคดียังไม่สิ้นสุด จำเลยมีสิทธิ์อุทธรณ์ได้
ปี 2565 นายจุลพันธ์ ทับทิม อดีตนายก อบจ.กำแพงเพชร ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดฐานทุจริตจัดซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกาย และศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุก 12 ปี คดีนี้ยังไม่สิ้นสุด จำเลยมีสิทธิ์อุทธรณ์ได้
ต่อมาปี 2567 ก็ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดคดีทุจริตจัดซื้อหนังสือและสื่อการเรียนการสอน 3 โครงการมูลค่ารวม 2 ล้านบาท ด้วยวิธีพิเศษ ฐานละเลยปฏิบัติหน้าที่อันจะเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง คดีนี้หมดอายุความแล้ว
ปี 2561 นายวรวิทย์ บุรณศิริ อดีตนายก อบจ. พะเยา ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดจากการจัดซื้อท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก งบประมาณ 241,800 บาท เพื่อนำไปใช้แก้ไขปัญหาน้ำท่วมในจังหวัด
ต่อมาปี 2564 ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษนายวรวิทย์ บุรณศิริ จำคุก 2 ปี และปรับ 40,000 บาท แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี นอกจากนี้ นายวรวิทย์ยังถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดในคดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพาราเพื่อแจกจ่ายให้กับเกษตรกร 426,250 ต้น งบประมาณ 17,050,000 บาท ปัจจุบันคดีนี้อยู่ในชั้นศาลพิจารณา
ปี 2567 นพ.สำเริง แหยงกระโทก อดีตนายก อบจ.นครราชสีมา ถูก ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีทุจริตโครงการก่อสร้างถนนหลายโครงการ โดยศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุก 25 ปี ส่วนบริษัทผู้รับเหมา 3 รายถูกปรับรายละ 40,000 บาท โดยกรรมการผู้มีอำนาจลงนามทุกรายโดนโทษจำคุก อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังสามารถอุทธรณ์ต่อได้ คดีนี้จึงยังไม่สิ้นสุด
ปี 2565 ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายก อบจ.สมุทรปราการ กับพวก ทุจริตการจัดสรรเงินอุดหนุนวัดในจังหวัดสมุทรปราการ ระหว่างปี 2554-2556 รวม 68 โครงการ งบประมาณรวม 836,129,125 บาท
โดยเงินเหล่านี้จะต้องนำไปใช้เพื่อบูรณะบำรุงวัด และเตาเผาศพ แต่กลับมีเงินทอนครึ่งหนึ่งของเงินอุดหนุนที่วัดเหล่านี้ควรจะได้ มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท โดย ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดและทำส่งสำนวนให้กับอัยการสูงสุดเพื่อส่งฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
ระหว่างปี 2551-2552 นายนวพล บุญญามณี อดีตนายก อบจ.สงขลา กับพวก ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด เริ่มที่คดีแรก ทุจริตโครงการส่งเสริมพัฒนาสุขภาพประชาชนโครงการตรวจสุขภาพผู้สูงอายุ ด้วยการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ พร้อมชี้มูลความผิดเอกชนที่เป็นสถานพยาบาล ฐานร่วมกันสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการทุจริตต่อการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐด้วย ปัจจุบันคดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
คดีที่สอง ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดการสมยอมกันเสนอราคาโครงการจัดซื้อกุ้งก้ามกราม 40 ล้านตัว งบประมาณ 10,000,000 บาท โดยเอื้อประโยชน์แก่ผู้เสนอราคาบางราย คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฯ พิพากษาจำคุก 7 ปี
คดีที่สาม ทุจริตการสำรวจออกแบบโครงการก่อสร้างทางหลวงชนบท 30 เส้นทางวงเงินรวม 8,068,000 บาท ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ตัดสินจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
คดีที่สี่ คดีนำรถยนต์ราชการไปจำนำที่บ่อนการพนัน ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 18 ปี 24 เดือน คดีที่ห้า ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโครงการจ้างสำรวจและออกแบบ ถนนลาดยางทางหลวงชนบทศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุก 2 ปี
มีข้อสังเกตว่า จังหวัดสงขลายังมีคดีทุจริตพัวพันอดีตนายก อบจ. มากกว่าจังหวัดใดในประเทศไทย เมื่อนับรวมอีก 2 ราย คือ นายนิพนธ์ บุญญามณี และนายอุทิศ ชูช่วย
ช่วงโควิดระบาดปี 2563 นายนิรันดร์ ด่านไพบูลย์ นายก อบจ. ลำพูน (ในขณะนั้น) จัดซื้อชุดของใช้ประจำวันเพื่อแจกผู้สูงอายุ (Care Set) วงเงิน 16,343,000 บาท ต่อมา ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดตามกฎหมายอาญาและกฎหมายฮั้ว แล้วยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ
จนมีคำพิพากษาในปี 2566 ให้จำคุกเจ้าของบริษัทที่เกี่ยวข้อง คนละ 2 ปี ปรับ 120,000 บาท ให้จำคุกรองปลัด อบจ. 3 ปี และร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 5,918,769.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่ อบจ.ลำพูน
ส่วน รองนายก อบจ. 2 คน ปลัด 1 คน และรองปลัด 1 คน ศาลพิพากษา ให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี ปรับคนละ 100,000 บาท และให้ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 5,918,769.80 บาท พร้อมดอกเบี้ย สำหรับ นายก อบจ.ลำพูน ศาลพิพากษายกฟ้อง ปัจจุบัน ป.ป.ช. กำลังเตรียมการขออุทธรณ์คำพิพากษาต่อไป
นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ระบุว่า จากผลโพลโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (2567) ระบุว่า ประชาชนกว่าร้อยละ 95 รับรู้ว่า มีคอร์รัปชันงบประมาณท้องถิ่นใน อบจ.เป็นจำนวนเงินมหาศาล
และตามสถิติของ ป.ป.ช.พบว่า คอร์รัปชันในการจัดซื้อจัดจ้าง ถูกร้องเรียนมากที่สุด เฉพาะปี 2566 ปีเดียว มีการร้องเรียนมากถึง 827 เรื่อง ไม่นับการร้องเรียนผ่านหน่วยงานอื่น ๆ อีก ได้แก่ ป.ป.ท., สตง., ตำรวจสอบสวนกลางและศูนย์ดำรงธรรม อีกจำนวนหนึ่ง แต่ข้อมูลทุจริตจัดซื้อขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกลับหายากมาก
ยิ่งไปกว่านั้นตัวเลขคดีที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดหรือศาลตัดสินแล้วกลับพบน้อยมาก หากสืบค้นจากเว็บไซต์ ป.ป.ช. ในช่วงปี 2554-2563 พบข้อมูลแค่ 11 คดี จากนั้นไม่พบการอัพเดทข้อมูลอีกเลย
นอกจากนั้นยังพบอีกว่า ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา มีคดีร่ำรวยผิดปกติน้อยมาก กล่าวคือ พบคดีร่ำรวยผิดปกติที่ศาลตัดสินยึดทรัพย์แล้ว 1 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีอีกเพียง 2 คดีเท่านั้น
อ่านข่าว : ยกเลิกสัญญา-ริบเงิน 53 ล้านผู้รับเหมาทิ้งงาน "สนามบินตรัง"
กรมแพทย์แผนไทยฯ แนะข้อควรรู้ก่อน "นวด" ห้ามใน 6 อาการ-โรค
วอนอย่าซ้ำเติม "ชาล็อต ออสติน" สูญเงิน 4 ล้านแถลง 10 ธ.ค.
จากกรณีนักร้องสาว "ผิง ชญาดา" เสียชีวิต เมื่อวานนี้ (8 ธ.ค.2567) โดยเจ้าตัวเคยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า มีอาการอ่อนแรงหลังการนวดบิดคอ
ล่าสุด สสจ.อุดรธานี แถลงว่าการเอ็กซเรย์พบว่านักร้องคนดังกล่าวไม่มีปัญหากระดูกหักบริเวณต้นคอ แต่พบว่าเป็นไขสันหลังอักเสบ ต่อมาติดเชื้อกระแสเลือดเสียชีวิต
วันนี้ (9 ธ.ค.2567) นพ.เทวัญ ธานีรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า การนวดไทยเป็นกระบวนการดูแลสุขภาพที่ต้องมีหลักการหรือองค์ความรู้ในการนวดตามแนวเส้นประธานสิบ ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย บรรเทาอาการปวดเมื่อย
สำหรับการนวดไทย แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ การนวดเพื่อผ่อนคลาย หรือนวดเพื่อสุขภาพ และการนวดเพื่อการรักษา ประกอบด้วย 1.หลักสูตรนวดเพื่อสุขภาพ 150 ชั่วโมง กลุ่มนี้จะไม่มีการบิด ดัด เป็นการนวด คอ บ่า แขน ขา สะบักและหลัง วัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
2.หลักสูตรการนวดเพื่อการรักษา เป็นหลักสูตรการเรียนตั้งแต่ 330 ชั่วโมง 372 ชั่วโมง 800 ชั่วโมง และ 1,300 ชั่วโมง เพื่อบำบัดรักษาแต่ละกลุ่มอาการ เช่น กลุ่มปวดกล้ามเนื้อ นิ้วล๊อค หัวไหล่ติด เข่าเสื่อม อัมพฤกษ์ อัมพาต
ส่วนผู้ให้บริการด้านการนวดมี 3 ประเภท คือ ให้บริการนวดเพื่อสุขภาพ (หมอนวด) เรียน 150 ชั่วโมง อยู่ในกำกับของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) และ พ.ร.บ.ปฏิบัติงานในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ร้านนวดเพื่อสุขภาพ และสปา, ผู้ช่วยแพทย์แผนไทย เรียนตั้งแต่ 330 ชั่วโมง 372 ชั่วโมง 800 ชั่วโมง และ 1,300 ชั่วโมง อยู่ในกำกับของสภาการแพทย์แผนไทย ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล และคลินิก ทั้งภาครัฐและเอกชน, แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ ที่มีใบประกอบวิชาชีพ จากสภาการแพทย์แผนไทย ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล และคลินิกทั้งภาครัฐและเอกชน
ทั้งนี้ ข้อห้ามของผู้บริการ ได้แก่ ห้ามนวดบริเวณที่เป็นมะเร็ง, ผู้ที่มีไข้สูงเกิน 38.5 องศา, บริเวณที่มีอาการอักเสบ บวม แดง ร้อน, ผู้ที่มีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ, กระดูกแตก หัก ปริ ร้าว ที่ยังไม่หายดี และโรคติดเชื้อทางผิวหนังทุกชนิด
ส่วนข้อควรระวัง ได้แก่ สตรีมีครรภ์, ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง, ใส่อวัยวะเทียมหลังผ่าตัดกระดูก, ผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุน กระดูกบาง และผู้ที่เพิ่งกินอาหารอิ่มใหม่ ๆ (ไม่เกิน 30 นาที) และก่อนให้บริการนวดไทย
อ่านข่าว : หมอแถลง "ผิง ชดาญา" ไขสันหลังอักเสบ-ติดเชื้อกระแสเลือดตาย
แฟนเพลงอาลัย "ผิง ชญาดา" เสียชีวิต
แพทย์เตือน "นวดบิด-สะบัดคอ" ต้องระวัง "อัมพฤกษ์"
วันนี้ (9 ธ.ค.2567) นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี (สสจ.อุดรธานี) แถลงข่าวกรณีนักร้องหมอลำ “ผิง ชญาดา” เสียชีวิต ซึ่งครอบครัวตั้งข้อสังเกตว่า อาจมาจากการนวดบริเวณต้นคอ ที่ร้านนวดในพื้นที่เขตเทศบาลนครอุดรธานีนั้น
นพ.สมชายโชติ กล่าวว่า จากการลงไปตรวจสอบ และพูดคุยกับครอบครัวแล้วได้รับข้อมูลของผู้ป่วยได้เข้ารักษาในวันที่ 5 ต.ค. มีอาการเริ่มต้นปวดคอ บ่า ไหล่ และอ้างว่ามีการนวดบีบคอด้วย หลังจากนั้นเริ่มปวดท้ายคอ ชา แขน แต่กลับไปนวดร้านเดิม ต่อมา 2 สัปดาห์อาการไม่ดีขึ้น และไปนวดร้านเดิม และอีก 2 สัปดาห์ก็มีอาการหนักพลิกตะแคงด้านขวาไม่ได้
ซึ่งจากการตรวจเอ็กซเรย์ของแพทย์พบว่า ผู้ป่วยมีอาการแขน ขา อ่อนแรง ไม่มีปัญหากระดูกหักบริเวณต้นคอ แพทย์จึงเจาะหลัง และพบว่าผู้เสียชีวิตเป็นไขสันหลังอักเสบ จึงมีการให้ยาตามหลักวิชาชีพ โดยหลังจากให้ยาอาการดีขึ้น จึงให้กลับไปพักที่บ้าน
กระทั่งวันที่ 18 พพ.ย.ที่ผ่านมา พบว่าผู้ป่วยมีอาการเกร็ง กระตุก กระทั่งเข้าไอซียู จึงนำส่งโรงพยาบาล และเข้าไอซียูวันที่ 22 พ.ย.นี้ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด
ขณะที่การตรวจสอบร้านนวดที่ผู้เสียชีวิตอ้างว่าไปนวด เบื้องต้น พบว่ามีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีหมอนวด 7 คน ทั้งหมดผ่านการอบรม และมีใบประกอบวิชาชีพ
ส่วนการนวดจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตครั้งนี้หรือไม่ ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป ซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการดำเนินการของญาติ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข พร้อมให้ความร่วมมือในการพิสูจน์ทราบ
อย่างไรก็ตาม เรื่องการนวดไทย ถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์อย่างหนึ่งที่จะมากระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีการควบคุมโดยหน่วยงานภาครัฐ แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่อยู่ในการควบคุม ซึ่งในส่วนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้มอบหมายให้ทีมเจ้าหน้าที่ของ สสจ.อุดรธานี ร่วมแสดงความเสียใจและพูดคุยกับญาติ
อ่านข่าว แฟนเพลงอาลัย "ผิง ชญาดา" เสียชีวิต
ส่วนที่บ้านของ ผิง ชญาดา ญาติได้บำเพ็ญกุศลศพ เป็นคืนที่ 2 แต่ยังไม่ระบุวันฌาปนกิจศพ เนื่องจากครอบครัวยังติดใจการเสียชีวิตว่า สาเหตุที่ทำให้ลูกสาวป่วยโรคไขสันหลังอักเสบ มาจากการนวด ที่ทำให้กระดูกคอคดหรือไม่
กรณีนักร้องสาว "ผิง ชญาดา" หรือ น.ส.ชญาดา พร้าวหอม ลูกทุ่งหมอลำเสียชีวิต กะทันหันโดยครอบครัว เชื่อว่าสาเหตุมาจาก "การนวดบิดคอ" ในร้านนวดไทยที่ จ.อุดรธานี ก่อนจะกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง และเสียชีวิต
วันนี้ (9 ธ.ค.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี (สสจ.) ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านนวดแผนโบราณแห่งหนึ่ง ริมสวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม เขตเทศบาลนครอุดรธานี ที่ถูกอ้างถึงว่า เป็นร้านที่ผิง ชญาดา ผู้เสียชีวิตมานวดเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา
จากการตรวจสอบพบว่า มีหมอนวดที่มีใบอนุญาต 2 คน ส่วนอีก 5 คนอยู่ระหว่างการตรวจสอบ หากไม่มีใบอนุญาตจะถือว่าผิดกฎหมายซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบและเก็บข้อมูลทั้งหมด โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อ โดยวันนี้ (9 ธ.ค.) นายแพทย์สาธารณสุข จ.อุดรธานี จะแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์ด้วยตัวเอง
อ่านข่าว แฟนเพลงอาลัย "ผิง ชญาดา" เสียชีวิต
นางนิชาภา ชยะธนะภัทร ผู้จัดการร้าน ระบุว่า ร้านเปิดตั้งแต่ปี 2548 หมอนวดที่ร้านมีจำนวนเปลี่ยนแปลงตามวัน และบางคนมาทำงานชั่วคราว จึงไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้ให้บริการ ผิง ชญาดา
ยืนยันว่า ร้านไม่มีการนวดหักคอเพราะอันตราย และไม่ได้อยู่ในหลักสูตรที่เรียนมา แต่ยอมรับว่าไม่สามารถควบคุมการสื่อสารระหว่างหมอนวดและลูกค้าได้
นักกายภาพบำบัดหญิง อารีรัตน์ บุตรศรีภูมิ จากอารีคลินิกกายภาพบำบัด ระบุว่า กระดูกต้นคอ เป็นจุดที่ต้องระวัง และนักกายภาพบำบัดเองก็จะไม่ใช้วิธีการใดที่รุนแรงในการบำบัดรักษา
กระดูกต้นคอ เป็นส่วนที่มีความละเอียดอ่อนมาก จะไม่ใช้เทคนิคที่มีความรุนแรงรักษาคนไข้ แต่จะเน้นความปลอดภัย ออกกำลังกายเพื่อลดอาการบาดเจ็บ
ขณะที่นายพิทักษ์ โยธา นายกสมาคมจารวีโยธาเพื่ออนุรักษ์นวดแผนไทย ข้อมูลว่า การบิด หรือดัดร่างกาย อาจทำให้คนที่มีโรคประจำตัว เช่น มะเร็ง ไขข้อเสื่อม ความดันโลหิตสูง หรือคนที่ประสบอุบัติเหตุมา ได้รับบาดเจ็บเพิ่ม จนทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้
การบิดดัดคอ เป็นข้อห้ามของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และบางทีหมอนวดอาจจะบิดตามเสต็ปพลิ้วไปพลิ้วมาและผู้มารับบริการอาจจะเกร็งเกร็งกระดูกไม่ตามไปด้วยเสี่ยงบางเจ็บและอัมพฤกษ์ได้
เช่นเดียวกับ อาจารย์แพทย์แผนไทย ที่เห็นผลเอกซเรย์กระดูกต้นคอของผู้เสียชีวิต บอกว่า ผู้เสียชีวิตน่าจะมีปัญหาที่กระดูกคอข้อที่ 4-5 ซึ่งเป็นจุดที่เชื่อมกับสมองและกระดูกสันหลัง รวมถึงระบบประสาทและเส้นเลือดใหญ่สำคัญ โดยการนวดบริเวณคอและกลางสันหลังต้องระวังเป็นพิเศษ
มีข้อมูลระบุว่า ปัจจุบันมีร้านนวดที่มีใบอนุญาตถูกต้อง มีกว่า 20,00 แห่งทั่วประเทศ และมีหมอนวดกว่า 300,000 แสนคน ที่ผ่านการรับรองจาก กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ส่วนหมอนวดที่ไม่มีใบอนุญาตคาดว่ามีอยู่เกือบ 2 แสนคน
สำหรับเหตุการณ์นี้ ผิง ชญาดา โพสต์ข้อมูลเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 6 พ.ย. บอกเล่าประสบการณ์เตือนภัย เกี่ยวกับการนวดบิดคอ ระบุว่า หลังจากนวดใน จ.อุดรธานี เพื่อบรรเทาอาการปวดไหล่ เธอเริ่มมีอาการปวดท้ายทอย ชา และปวดร้าวลามทั่วร่างกาย หลังการนวดครั้งที่ 3 อาการทรุดหนักจนร่างกายใช้งานได้ไม่ถึง 50 % และขอให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ที่ชอบนวด
นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานีจะแถลงกรณีนักร้องหมอลำ 'ผิง ชญาดา' เสียชีวิต หลังนวดต้นคอที่ร้านนวด ผู้จัดการร้านยืนยันการนวดคอเป็นข้อห้าม ไม่ทราบตัวผู้นวด เนื่องจากไม่มีหมอนวดประจำ#ผิงชญาดา #ชญาดา #นักร้อง #นักร้องเสียชีวิต #นวดบิดคอ #นวด #ข่าวที่คุณวางใจ #ThaiPBSnews pic.twitter.com/Yq3HW3kZBV
— Thai PBS News (@ThaiPBSNews) December 9, 2024
วันนี้ (8 ธ.ค.2567) ญาติ และชาวบ้าน ช่วยจัดเตรียมสถานสวดอภิธรรมศพ น.ส.ชญาดา พร้าวหอม อายุ 20 ปี หรือ "ผิง ชญาดา" ลูกทุ่งหมอลำ ภายในบ้านพัก อ.พิบูลย์รักษ์ จ.อุดรธานี หลังเสียชีวิตเช้าวันนี้ เพื่อนชายคนสนิท และครอบครัว เชื่อว่า สาเหตุมาจากการนวดคลายเส้น ก่อนจะกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
อ่านข่าว : แฟนเพลงอาลัย "ผิง ชญาดา" เสียชีวิต
แม่ เล่าว่า ตัวเองเป็นหมอนวดแผนโบราณ น้องผิงมีอาการปวดไหล่และคออยากให้แม่นวดให้ แต่ด้วยตนเพิ่งผ่าตัดมาจึงนวดให้ไม่ได้ น้องผิงจึงไปนวดที่ร้านนวดแผนโบราณ ใกล้สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคมก่อนจะมีอาการป่วย
ขณะที่ช่วงบ่ายวันนี้ เจ้าหน้าที่ศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 8 อุดรธานี และกลุ่มงานการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี ลงตรวจสอบร้านนวดแผนโบราณริมสวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม ซึ่งถูกระบุว่า เป็นร้านที่ ผิง ชญาดา มาใช้บริการว่าเกี่ยวข้องหรือไม่
ผู้จัดการร้านนวด ให้ข้อมูลว่า หมอนวดส่วนใหญ่ เป็นหมอนวดชั่วคราว แต่ทางร้านจะตรวจสอบก่อนว่ามีใบอนุญาตและขึ้นทะเบียนหรือไม่ ส่วนการนวดแบบบิด หรือ ดัดร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณคอ สำหรับหมอนวดที่ผ่านการฝึกอบรมจะเป็นหนึ่งในข้อห้ามอยู่แล้วเพราะเสี่ยงอันตราย
ลำดับเหตุการ ที่ "ผิง ชญาดา" ได้โพสต์แจงอาการป่วย ในเฟซบุ๊กของตัวเองไว้ เมื่อวันที่ 6 พ.ย. ระบุว่า เป็นคนชอบนวด และมีหลายคนสอบถามเข้ามาถึงอาการป่วย ก็เลยขอชี้แจง โดยไล่เรียงเหตุการณ์ว่า เริ่มต้นจากรู้สึกปวดไหล่เลยไปนวด ในขั้นตอนนวดถูกระบุว่า มีการบิดคอด้วย แต่ตอนนั้นยังมีอาการปกติ หลังจากนั้น 2 วัน ปวดท้ายทอย แต่คิดว่าเป็นผลข้างเคียงจากการนวด ก็เลยกินยาระงับอาการ
ผ่านไปอีก 1 สัปดาห์ มีอาการชาลงแขน ก็เลยไปนวดเป็นครั้งที่ 2 กับหมอนวดคนเดิม และครั้งนี้ก็มีการบิดคอด้วยเช่นกัน ผ่านไปอีก 2 สัปดาห์ มีอาการปวดตึงมากขึ้น นอนหงาย-คว่ำไม่ได้ แต่ยังติดว่าเป็นผลจากการนวดตามปกติก็เลยไปนวดเป็นครั้งที่ 3 แต่ครั้งนี้เปลี่ยนหมอนวด แต่พอกลับมาก็เริ่มมีอาการคล้ายไฟช็อตปลายนิ้ว คันมาก ร้อน ๆ หนาว ๆ และอีกราว 2 สัปดาห์ อาการหนักขึ้น จนยกแขนขวาไม่ได้ เพราะอ่อนแรง
ส่วนในเฟซบุ๊กของผู้ที่ถูกระบุว่า เป็นแฟนของ "ผิง ชญาดา" ลำดับเหตุการณ์ช่วงเข้ารับการรักษาไว้ว่า วันที่ 23 พ.ย. ผิงถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล ด้วยอาการหายใจลำบาก ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ วันที่ 24 พ.ย. ติดเชื้อในกระแสเลือด และโรคเก่ากำเริบ มีอาการช็อก วันที่ 25 พ.ย. ต้องเจาะคอ เพราะคาดว่าจะต้องใส่เครื่องช่วยหายใจเกิน 7 วัน
และวันที่ 27 พ.ย. ถูกย้ายเข้าห้องไอซียู เพราะความดันต่ำมีอาการช็อก และต้องให้ยาฆ่าเชื้อทางคอ จนมาถึงวันที่ 1 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันที่ 5 ของการรักษาในห้องไอซียู พบว่าหัวใจเต้นช้า และตรวจเจอสมองบวม กระทั่งวันนี้ ช่วง 06.00 น. "ผิง ชญาดา" ได้เสียชีวิตลง
อ่านข่าว : แพทย์เตือน "นวดบิด-สะบัดคอ" ต้องระวัง "อัมพฤกษ์"
รวบชาย-หญิงกว่า 120 คน เปิดห้องโรงแรม จัดปาร์ตี้ยาเสพติด
ตร.บุกทลายบ่อน ย่านดอนเมือง รวบนักพนันกว่า 100 คน