วันนี้ (10 ต.ค.2567) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" ภาพรวมความเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 โดยได้รับแรงกดดันจากเงินดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่อง หลังจากการเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC โดยกรรมการเฟดเห็นว่าในอนาคตเฟดไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยมากถึง 0.50% และแรงเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากมีแนวโน้มว่าอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์อาจบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ส่วนกองทุน SPDR ถือครองทองคำเท่าเดิม
ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม สหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ย. ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1% จากเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบรายเดือน หรือเพิ่มขึ้น 2.3% จากเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบรายปี และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
วิเคราะห์ราคาทอง ราคาทองคำปรับตัวลงต่อเนื่อง ซึ่ง High และ Low ยังคงต่ำกว่าวันก่อนหน้า และราคาทองคำยังเคลื่อนไหวต่ำกว่าเส้น SMA20 ทั้งนี้สัญญาณทางเทคนิคจาก MACD ยังคงบ่งชี้การปรับตัวลงได้ต่อ คาดว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวลงสู่แนวรับ 2,600 ดอลลาร์
ส่วนราคาทองตลาดโลกแนวรับ : 2,600 และ 2,584 ดอลลาร์ แนวต้าน : 2,625 และ 2,630 ดอลลาร์มีโอกาสที่ราคาทองคำปรับตัวลงสู่แนวรับ 2,600 ดอลลาร์ หากเปิดสถานะขายไว้ ให้ Let Profit Run หรือเปิดสถานะขายบริเวณ 2,625 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,630 ดอลลาร์ และจับตาบริเวณแนวรับ 2,600 ดอลลาร์ หากยังสามารถรับอยู่ให้ take profit แต่ถ้าหลุดแนวรับดังกล่าวให้เปิดสถานะขายอีกครั้ง เนื่องจากราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวลงแรง
ขณะที่ ราคาทองคำแท่ง 96.5%แนวรับ : 41,300 และ 41,200 บาท แนวต้าน : 41,600 และ 41,650 บาท ราคาทองคำแท่งมีแนวโน้มปรับตัวลงต่อเนื่อง หลังจากสัญญาณทางเทคนิคของราคาทองคำแท่ง เกิดสัญญาณขาย (Sell signal) จาก Modified Stochastic ทั้งนี้ราคาทองคำแท่งปรับตัวลงจากราคาทองโลกปรับตัวลง และเงินบาทชะลอการอ่อนค่า และเริ่มเคลื่อนไหวทรงตัว จับตาบริเวณแนวรับสำคัญที่ 40,900-41,000 บาท แนะนำ Wait & See
สำหรับราคาทองเปิดตลาดเช้านี้ ลบ 50 บาท (ครั้งที่ 2) ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 41,400 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 41,300 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 41,900 บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 40,553 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,610 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 33.49 บาทต่อดอลลาร์
ราคาทองรูปพรรณรวมค่ากำเหน็จ 500 บาท มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,675 บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 10,850 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 21,200 บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 41,900 บาท ภาพรวมราคาทองเดือน ต.ค. บวก 1,000 บาท
อ่านข่าว:
นักลงทุนแห่ซื้อ “ทองคำ” หลังกังวลสงครามตะวันออกกลาง
"ทองคำ" ดิ่ง 400 บาท เฟดผ่อนลดดอกเบี้ย เหลือครั้งละ 0.25%
"กรุงศรี" ชี้ ศก.ไทยโต 2.4% คาดกนง.ไม่ลดดอกเบี้ยปีนี้
วันนี้ ( 9 ต.ค.2567) นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ออมสินได้จัดตั้งบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด หรือ ARI-AMC ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ซึ่งล่าสุด บริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์จากธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารได้เตรียมแผนการโอนหนี้สินเชื่อที่เป็น NPLs ให้ ARI-AMC นำไปเข้ากระบวนการปรับโครงสร้างหนี้หรือไกล่เกลี่ยหนี้ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรนมากขึ้น
โดยทำการโอนหนี้ ครั้งที่ 1 จำนวนกว่า 130,000 บัญชี วงเงิน 11,000 ล้านบาท ประเภทสินเชื่อทั้งที่มีและไม่มีหลักประกัน และลูกหนี้มีบัญชีต่อราย จำนวน 1 บัญชี ซึ่งจะช่วยให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากการเป็นผู้เสียประวัติทางเครดิตได้ง่ายขึ้น กลับมามีสถานะหนี้ผ่อนปกติหรือหนี้ปิดบัญชีจะทำให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบในอนาคต และลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบนอกจากนี้ธนาคารจะทำการโอนหนี้อีก 2 ครั้ง ภายในต้นปี 2568 ซึ่งคาดว่าจะช่วยลูกหนี้ได้ทั้งหมดกว่า 400,000 บัญชี คิดเป็นมูลค่าเงินต้นกว่า 30,000 ล้านบาท
สำหรับ ARI-AMC มีวัตถุประสงค์เป็นธุรกิจเพื่อสังคม เพื่อรับซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงินของรัฐ มีทุนจดทะเบียนที่ 1,000 ล้านบาท ในสัดส่วนการร่วมทุนเท่ากันที่ 50:50 และมีระยะเวลาในการดำเนินการไม่เกิน 15 ปี ตามข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย
ระยะแรก ARI-AMC จะรับซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นการรับซื้อหนี้สินเชื่อทั่วไปทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน โดยเป็นกลุ่มลูกหนี้รายย่อย SMEs รวมถึง หนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ที่มีสถานะเป็นหนี้เสีย หนี้สูญ และ NPA ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ยอดหนี้ไม่เกิน 20 ล้านบาท ครอบคลุมหนี้ที่ยังไม่ดำเนินคดี และ ดำเนินคดีแล้วที่ยังมีสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย
อ่านข่าว:
โอกาส-รายได้-ความเสี่ยง ? เรื่องจริงที่ต้องรู้ก่อนเข้าทีม "ขายตรง"
BOI ไฟเขียวเยอรมัน ยักษ์ใหญ่โลกตั้งฐาน"ระยอง"ผลิตยางรถยนต์
แผนประทุษกรรมคดีหุ้น STARK "ผู้สอบบัญชี" คีย์สำคัญ ก.ล.ต.
วันนี้ (9 ต.ค.2567) นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการ ค้าไทย และตัวแทนประสานงานของกลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนกล่าวว่า ไทย-จีนมีความสัมพันธ์ทางทางการค้ามานาน ไม่เพียงแต่มีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยและจีนเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประสานงานและส่งเสริมธุรกิจ หนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า จะช่วยให้ความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างสองประเทศมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และยังช่วยลดอุปสรรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในด้านกฎหมายและข้อบังคับทางการค้า
โดยมีแผนดำเนินการสำคัญ 9 ประการ ประกอบด้วย
1. การประชาสัมพันธ์ข้อมูลเศรษฐกิจและการค้าที่เชื่อถือได้ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจของสังคมไทยต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน
2. การจัดการประชุมเป็นประจำระหว่างตัวแทนจากทั้งสองประเทศ เพื่อส่งเสริมการสื่อสารและการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจ
3. การส่งเสริมกิจกรรมการพบปะและแลกเปลี่ยนระหว่างธุรกิจไทยและจีน ผ่านงานสัมมนาและโครงการสาธารณกุศล
4. การร่วมมือในด้านการฝึกอบรมและการศึกษาเทคนิค เพื่อเสริมสร้างทักษะด้านกฎหมาย วัฒนธรรม และแนวปฏิบัติทางธุรกิจของทั้งสองประเทศ
5. การจัดงาน Supplies Matching และงานแสดงสินค้าเพื่อเพิ่มโอกาสในการร่วมมือในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น 5G อีคอมเมิร์ซ และโลจิสติกส์
6. การส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีสารสนเทศ
7. การให้บริการที่ปรึกษาทางธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการทำธุรกิจระหว่างสองประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
8. การเสริมสร้างความร่วมมือด้านสื่อมวลชน เพื่อเผยแพร่ผลสำเร็จจากการทำงานร่วมกันระหว่างไทยและจีน
9. การสนับสนุนให้ธุรกิจทั้งสองประเทศปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด
ด้าน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า นอกจากจีนจะเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยแล้ว จีนมีบทบาทสำคัญในฐานะพี่น้องที่ช่วยเกื้อกูลและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม หอการค้าฯ ถือเป็นองค์กรภาคเอกชนไทย มีเครือข่ายทั่วประเทศกว่า 156,000 ราย โดยเฉพาะเครือข่ายหอการค้าจังหวัดทุก มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแต่ละจังหวัดให้เจริญเติบโตมาจนถึงปัจจุบัน
รูปแบบการค้าสมัยใหม่ โดยเฉพาะ E-Commerce มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสองประเทศ จีนถือเป็นต้นแบบที่ดีที่สามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการผลิตและ Supply Chain ในการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการผลิตจนประสบความสำเร็จ และสามารถสร้างแพลตฟอร์มระดับโลกที่สามารถเปิดตลาดการค้าของจีนได้ทั่วโลก
ดังนั้น การเข้ามาลงทุนของจีนในในไทย นอกจากจะช่วยสร้างการจ้างงานและการเจริญเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังถือเป็นโอกาสสำคัญที่จีนจะช่วยให้ไทยสามารถยกระดับศักยภาพจากเทคโนโลยีและนวัตกรรมของจีน
มั่นใจว่าการจัดตั้ง กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน"จะเป็นอีกหนึ่งกลไกของภาคเอกชนไทยและจีน ในการพูดคุย หาแนวทางและมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการค้า
นายสนั่น กล่าวอีกว่า เวทีในการพัฒนาและยกระดับรูปแบบการค้า การลงทุน เพื่อนำเสนอไปยังรัฐบาลของสองประเทศ ให้ได้รับทราบถึงสถานการณ์ และความท้าทาย ตลอดจนโอกาสใหม่ ๆ เพื่อกำหนดนโยบายระหว่างประเทศที่สร้างสรรค์ร่วมกันต่อไป
ขณะที่ นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน กล่าวเสริมว่า หอการค้าไทย-จีน พร้อมสนับสนุนการจัดตั้ง กลไกประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีนอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญที่จะเสริมสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้งและรอบด้านของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนของสองประเทศ และเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการกระชับความสัมพันธ์อย่างแนบแน่น เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี 2568
ด้าน นางสาว เฉิน หวา ประธานสภาสมาคมการค้าวิสาหกิจจีนในประเทศไทย กล่าวว่า เป็นก้าวสำคัญที่แสดงถึงความมุ่งมั่นที่การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าสองประเทศ และเชื่อมั่นว่าการดำเนินการตามแผนทั้ง 9 ข้อจะวางรากฐานที่มั่นคงยิ่งขึ้นสำหรับความร่วมมือระหว่างไทยและจีนในอนาคต และจะนำพาทั้งไทยและจีนไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น
สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคต กลไกนี้จะเป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ ส่งเสริมการค้าและการลงทุนที่สอดคล้องกับกฎหมายและข้อบังคับของทั้งสองประเทศ รวมถึงสนับสนุนสื่อมวลชนในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีและเป็นกลางระหว่างสังคมไทยและจีน
อ่านข่าว:
BOI ไฟเขียวเยอรมัน ยักษ์ใหญ่โลกตั้งฐาน"ระยอง"ผลิตยางรถยนต์
โอกาส-รายได้-ความเสี่ยง ? เรื่องจริงที่ต้องรู้ก่อนเข้าทีม "ขายตรง"
ส่องข้อห้าม "ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ" หลังเลื่อนเคาะชื่อไม่มีกำหนด
วันนี้ (9 ต.ค.2567) นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เพื่อเป็นสร้างความเชื่อมั่น แก่ผู้บริโภค และขยายช่องทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้สินค้า GI เป็นสินค้าสำคัญที่ขับเคลื่อนนโยบาย Soft Power ตามนโยบายของรัฐบาล ล่าสุดกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศขึ้นทะเบียน กระท้อนนาปริกสตูล เป็นสินค้า GI ลำดับ 2 ของจ.สตูลต่อจากสินค้าจำปาดะสตูล และเป็นสินค้าที่ขึ้นทะเบียน GI สร้างมูลค่าทางการตลาดกว่า 73,000 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้กระทรวงมีนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยใช้ประโยชน์จากการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI เพื่อคุ้มครองสินค้าท้องถิ่นชุมชนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในพื้นที่แหล่งผลิตสินค้าในแต่ละท้องถิ่น สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า
สำหรับกระท้อนนาปริกสตูล ถูกปลูกในพื้นที่บ้านนาปริกจ.สตูล นับว่าเป็นแหล่งปลูกกระท้อนที่มีมานานกว่า 30 ปี พื้นที่ใกล้ทะเล มีฝนตกชุกในช่วงฤดูฝน ทำให้มีแหล่งน้ำใต้ดินจำนวนมาก ปริมาณน้ำเพียงพอและมีความชื้นที่เหมาะกับการปลูกกระท้อน ด้วยแหล่งภูมิศาสตร์นี้ประกอบกับกระบวนการปลูกที่พิถีพิถันของเกษตรกร
กระท้อนนาปริกสตูลมีรสชาติที่หวานอร่อย เนื้อหนานุ่ม ปุยหุ้มเมล็ด หนาฟู ไม่เหนียว สามารถรับประทานเนื้อได้จนเกือบถึงเปลือกผล มีความโดดเด่น อัตลักษณ์ชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากกระท้อนในพื้นที่อื่นๆ
โดยพันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือพันธุ์อีล่า ด้วยผลใหญ่ยักษ์ เปลือกบาง ใช้ช้อนตักกินแบบสบายๆ เนื้อปุยนิ่ม อร่อยกำลังดี อร่อยจนโด่งดัง และมีชื่อเสียงแพร่หลาย
นอกจากนี้ ยังมีพันธุ์ ปุยฝ้าย พันธุ์นิ่มนวล พันธุ์เขียวหวาน และพันธุ์ทับทิม ทั้งนี้ กระท้อนนาปริกสตูลนับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของจ.สตูล ซึ่งถูกผลักดันให้สินค้าสามารถนำเข้าแข่งขันในตลาดโลกได้ อีกทั้งยังเป็นสินค้าภูมิปัญญาที่มีการถ่ายทอดเทคนิคและวิธีการปลูกจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อคงคุณภาพที่ดีและความเป็นเอกลักษณ์จนถึงปัจจุบัน ซึ่งสร้างรายได้เข้าจังหวัดสตูลและเกษตรกรในพื้นที่ และมีการขยายผลไปสู่การเชื่อมโยงท่องเที่ยวชุมชน
อ่านข่าว:
ก.อุตฯเล็งใช้ยาแรง สั่ง สมอ. เร่งปราบสินค้านำเข้ามาตรฐานต่ำ
"ทองคำ" ดิ่ง 400 บาท เฟดผ่อนลดดอกเบี้ย เหลือครั้งละ 0.25%
โอกาส-รายได้-ความเสี่ยง ? เรื่องจริงที่ต้องรู้ก่อนเข้าทีม "ขายตรง"
วันนี้ (9 ต.ค.2567) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า เพื่อตอกย้ำศักยภาพของไทยในการเป็นฐานการผลิตยางรถยนต์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูงระดับโลก ทั้งด้านความปลอด ภัย และสิ่งแวดล้อม ตามกติกาใหม่ของโลก
เช่น EUDR ต้องตรวจสอบย้อนกลับไปถึงการทำสวนยางที่ไม่ทำลายป่า เพื่อก้าวสู่วิถีเกษตรยั่งยืน ซึ่งไทยมีความพร้อมในเรื่องดังกล่่าว การขยายฐานผลิตยางรถยนต์ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบยางธรรมชาติ และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยแล้ว ยังจะช่วยเสริมซัพพลายเชนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้มั่นคงและแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย
ล่าสุดคณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการ ได้อนุมัติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนโครงการผลิตยางล้อสำหรับรถยนต์และยานพาหนะอื่น ๆ (Radial Tires) ของบริษัท คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ในการเพิ่มมูลค่าลงทุนอีก 13,411 ล้านบาท โดยจะก่อสร้างอาคารโรงงานใหม่และส่วนต่อขยายของโรงงานเดิม ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 จ.ระยอง
เพื่อขยายกำลังการผลิตยางล้อสำหรับยานพาหนะจากเดิม 4.8 ล้านเส้น เพิ่มอีกปีละ 3 ล้านเส้น รวมเป็นทั้งหมด 7.8 ล้านเส้นต่อปี และจะจ้างงานในพื้นที่เพิ่มเติมกว่า 600 คน เมื่อรวมกับการจ้างงานเดิม 900 คน จะเป็นทั้งหมดกว่า 1,500 คน โดยจะใช้วัตถุดิบหลักจากในประเทศทั้งสิ้น ได้แก่ ยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ ปีละกว่า 1,700 ตัน
สำหรับคอนติเนนทอลกรุ๊ป ประเทศเยอรมนี เป็นผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่อันดับ 4 ของโลก ในปี 2566 กลุ่มธุรกิจยางรถยนต์ของบริษัท สามารถสร้างรายได้กว่า 14,000 ล้านยูโร หรือกว่า 5 แสนล้านบาท มีโรงงานผลิตยางรถยนต์ 20 แห่งใน 16 ประเทศทั่วโลก ได้เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยเป็นเวลา 15 ปี และได้จัดตั้งโรงงานที่จังหวัดระยอง หนึ่งในโรงงานขนาดใหญ่ในเครือคอนติเนนทัล
และเป็นโรงงานที่สามารถบรรลุมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานในระดับสูงที่สุด โดยใช้เครื่องจักรสมัยใหม่ที่ประหยัดพลังงาน มีการใช้ระบบอัตโนมัติในการขนย้ายวัตถุดิบและสินค้า อีกทั้งได้ติดตั้งแผงโซลาร์ขนาด 6.7 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนถึงร้อยละ 13 ของการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในโรงงาน
เลขาธิการบีโอไอ กล่าวอีกว่าการขยายลงทุนครั้งใหญ่ของคอนติเนนทอล เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์และรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยโรงงานใน จ.ระยอง จะเป็นฐานการผลิตสำคัญ เพื่อจำหน่ายยางล้อให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์และผู้ใช้งานทั่วไป
ทั้งกลุ่มรถยนต์นั่ง รถบรรทุกขนาดเล็ก รถจักรยานยนต์ รวมถึงกลุ่มยางรถยนต์เกรดพรีเมียม เช่น รุ่น MaxContact MC7 และยางสมรรถนะสูงสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าจะมีความต้องการยางล้อสมรรถนะสูงและมีความทนทานเป็นพิเศษ เพื่อรองรับระบบส่งกำลังและอัตราเร่งที่แตกต่างจากรถยนต์สันดาปภายใน โดยราคายางรถยนต์ไฟฟ้าจะสูงกว่ายางรถยนต์ทั่วไปถึง 2 - 3 เท่า
ทั้งนี้อุตสาหกรรมยางรถยนต์ เป็นองค์ประกอบสำคัญในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์ ปัจจุบันประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกยางรถยนต์อันดับ 2 ของโลก รองจากจีน ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2563 – 2567) มีผู้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนผลิตยางรถยนต์ จำนวน 41 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 112,000 ล้านบาท
โดยมีผู้ผลิตระดับโลกที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยแล้ว เช่น มิชลิน (ฝรั่งเศส), บริดจสโตน (ญี่ปุ่น), กู๊ดเยียร์ (สหรัฐอเมริกา), คอนติเนนทัล (เยอรมนี), ซูมิโตโม รับเบอร์ (ญี่ปุ่น), โยโกฮามา ไทร์ (ญี่ปุ่น), จงเช่อ รับเบอร์ (จีน), ปริงซ์ เฉิงซาน ไทร์ (จีน), หลิงหลง (จีน), เซนจูรี่ ไทร์ (จีน), แม็กซิส (ไต้หวัน) เป็นต้น ถือว่าเป็นการตอกย้ำไทยฐานการผลิตยางรถยนต์อันดับ 2 ของโลกของไทย
อ่านข่าว:
ส่องข้อห้าม "ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ" หลังเลื่อนเคาะชื่อไม่มีกำหนด
"กรุงศรี" ชี้ ศก.ไทยโต 2.4% คาดกนง.ไม่ลดดอกเบี้ยปีนี้
ก.อุตฯเล็งใช้ยาแรง สั่ง สมอ. เร่งปราบสินค้านำเข้ามาตรฐานต่ำ
23 มิ.ย.2567 ดีเอสไอ นำตัว "ชนินทร์ เย็นสุดใจ" อดีตผู้บริหาร บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ต้องหา ในคดีหุ้น STARK ซึ่งกลับจากหนีคดีอยู่ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หลังก่อนหน้านี้มีการจับกุมตัว "วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ"ทายาทอาณาจักรสี TOA ไปแล้ว คดีนี้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา หลังคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร้องขอให้เข้าไปตรวจสอบ พบมีผู้เสียหายถึง 4,704 ราย มูลค่าความเสียหาย 14,778 ล้านบาท
ต้นเดือน พ.ย.นี้ พงศ์เทพ เทพกาญจนา ประธานคณะทำงานศึกษาแผนประทุษกรรม กรณี บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) จะนำข้อสรุปรายงาน เสนอต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และ ก.ล.ต. พร้อมหน่วยงานเกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขต่อไป เนื่อง จากคดีนี้สร้างความเสียหายต่อตลาดทุนมูลค่ามหาศาล
เป็นเวลากว่า 4 เดือน ที่คดีดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในขณะเดียวกัน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม มีคำสั่งแต่ตั้งคณะทำงานแผนประทุษกรรม กรณี บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) โดยมอบหมายให้ นายพงศ์เทพ เป็นประธานคณะทำงานศึกษาแผนประทุษกรรมกรณี บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) เริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา-ปัจจุบัน กว่าจะได้ข้อยุติ และสามารถตรวจสอบแผนประทุษกรรม เส้นทางการปั่นหุ้น การทำธุรกรรม การแจ้งข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่ากระบวนการขั้นตอนทั้งหมด มีที่มาอย่างไร
บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) ก่อตั้งโดย "วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ" ทายาทอาณาจักรสี TOA ได้ไปซื้อบริษัท Phelps Dodge ซึ่งเป็นผู้ผลิตสายไฟฟ้า สัญชาติอเมริกันในไทย ที่กำลังมีปัญหาด้านธุรกิจ เมื่อปี 2558 โดยมี "ชนินทร์ เย็นสุดใจ" อดีตผู้บริหาร รพ.พญาไท เข้าร่วมหุ้นซื้อกิจการดังกล่าว หลังเข้าซื้อกิจการไม่นานบริษัท Phelps Dodge จากที่เคยขาดทุนก็พลิกกลับมามีกำไร กระทั่งปี 2562 ได้เข้าตลาดหุ้นโดยใช้ช่องทางลัด (backdoor listing)
กล่าวคือ ให้บริษัทสยามอินเตอร์มัลติมีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ SMM ซึ่งอยู่ในตลาดหุ้นอยู่แล้ว เข้าซื้อกิจการ โดยนำเงินจากกลุ่มของนายวนรัชต์ มาซื้อ และได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน SMM รวมทั้งสิ้นร้อยละ 95.6 หลังเข้าตลาดหุ้นสำเร็จ ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ และทีมงานของผู้บริหาร เปลี่ยนชื่อบริษัทจาก SMM เป็น STARK ทำธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิล
ต่อมาช่วงปลายปี 2565 บริษัท STARK เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนกับสถาบันการเงินหลายแห่ง มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อบริษัท LEONI Kabel และ LEONIsche Holding ซึ่งทำธุรกิจขายสายไฟฟ้าสำหรับ EV และสถานีชาร์จจากเยอรมนี เสมือนเป็นการต่อยอดธุรกิจปกติ แต่หลังจากได้เงินเพิ่มทุนครบแล้ว ทางบริษัท STARK กลับยกเลิก
ในปี 2565 บริษัท STARK ไม่ยอมส่งงบการเงินตามกำหนด และยังเลื่อนการส่งงบอีก 2ครั้ง ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องขึ้นเครื่องหมาย SP (ห้ามซื้อขายหุ้น) ในเดือน มี.ค.2566 เป็นเวลา 3 เดือน
อย่างไรก็ตาม ความเสียหายไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะบริษัท STARK เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบกับธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นปล่อยกู้ให้กับ STARK ด้วย ส่งผลให้ "ชนินทร์" และผู้บริหารบางส่วนตัดสินใจลาออก และยอมรับว่ามีการฉ้อโกงทางบัญชี
แม้ในภายหลังบริษัทจะกลับมาซื้อขายได้อีกครั้ง ราคาหุ้น STARK ก็ร่วงเกินกว่าร้อยละ 90 แล้ว เป็นเหตุ ก.ล.ต.เข้าไปตรวจสอบและพบว่า บริษัท STARK, ชนินทร์, วนรัชต์ และบุคคลอื่น รวม 10 ราย ร่วมกันใช้ข้อมูลเท็จ ระหว่างปี 2564-2565 ตกแต่งงบการเงิน ปกปิดความจริง กระทำโดยทุจริตหลอกหลวง ให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของประชาชน มีการถ่ายโอนทรัพย์สินไปประเทศอังกฤษ กว่า 8,000 ล้านบาท
ดังนั้น ก.ล.ต.จึงร้องมายังดีเอสไอ และ ปปง. ให้เข้าไปตรววจสอบและดำเนินคดี ขณะเดียวกัน ก.ล.ต.ได้มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องไว้ เนื่องจากพบคนบางกลุ่ม เข้าไปตกแต่งบัญชีเพื่อสร้างยอดขายปลอม ทำให้หุ้นของกลุ่ม STARK ขึ้นไปอยู่ในดัชนีหุ้น และเป็นนิยมในตลาดหลักทรัพย์ มีการโอนและยักย้ายเงินที่กู้จากธนาคาร และเงินจากผู้ซื้อหุ้นกู้ไปยังต่างประเทศ
"ปปง. เข้าไปตรวจสอบพบมีอดีตผู้บริหารบางคน ได้ทำการถ่ายโอนทรัพย์สินไปต่างประเทศ ทั้งอังกฤษและสิงคโปร์ ทรัพย์ส่วนหนึ่งที่ตามได้ อยู่ที่สิงคโปร์ โดยยึดได้เพียงกว่า 3,000 ล้านบาท" พงศ์เทพ ประธานคณะทำงานศึกษาแผนประทุษกรรมกรณี บริษัท สตาร์คฯ เปิดเผย
และอธิบายว่า จากแผนประทุษกรรมคดีดังกล่าว แสดงให้เห็นลำดับเหตุการณ์สำคัญ ๆ ว่า ในแต่ละช่วงเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตั้งแต่นำบริษัทฯ เข้าตลาดหลักทรัพย์ และให้ผู้สอบบัญชีตรวจสอบ วิธีการสวอปหุ้น การทำธุรกรรม การเปลี่ยนตัวผู้สอบบัญชี การโอนเงินไปต่างประเทศ การแจ้งผู้ค้าฯ การแจ้งข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์ ทำให้เห็นว่า แต่ละจุดมีช่องว่างอย่างไร โดยเฉพาะช่วงระยะเวลาที่เกิดความเสียหาย มีการโอนถ่าย โยกย้ายทรัพย์ การหลบหนี จนถึงขั้นตอนการยึดอายัดทรัพย์
"ข้อสรุปที่ได้ คณะทำงานฯ ก็จะมีมาตรเสนอ ทั้งมาตราป้องกัน, ปราบปรามช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหาย ซึ่งเรื่องนี้ ก.ล.ต.จะมีบทบาทมากที่สุด ด้วยเหตุบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ต้องให้ข้อมูลและส่งงบดุล อีกทั้ง ยังมีอำนาจกำกับดูแล เพื่อป้องกันไม่การทุจริต โดยเฉพาะผู้สอบบัญชี ในฐานะผู้กุมข้อมูลทั้งหมด ซึ่งจะทราบข้อมูลของบริษัทที่จดทะเบียนมากที่สุดด้วย"
หากตรงสอบลึกลงไปจริง ๆ ก็จะทราบว่า บริษัทไหนทำบัญชีถูกต้องหรือไม่ เพราะต้องถามคู่ค้าว่า เป็นหนี้จริงหรือไม่ ขณะเดียวกันคู่ค้าก็ต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับผู้สอบบัญชีว่า มีหนี้ และธุรกรรมแบบนี้จริงหรือไม่
พงศ์เทพ กล่าว เมื่อถูกถาม มีการฮั้วระหว่างบริษัทคู่ค้าและผู้ตรวจสอบบัญชีได้หรือไม่ว่า ตามปกติ ไม่มีเหตุผลที่คู่ค้าจะให้ข้อมูลเท็จกับผู้สอบบัญชี กฎหมายไทย ก.ล.ต.จะขึ้นทะเบียนผู้สอบบัญชีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ แต่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนสำนักตรวจสอบบัญชี ต่างจากในต่างประเทศที่ตลาดหลักทรัพย์จะคุมผู้ตรวจสอบบัญชีได้ จึงต้องเสนอ ก.ล.ต. ให้แก้ไขปรับปรุง เพราะหากผู้สอบบัญชี รู้เห็นการทุจริต หรือทำไม่ถูกต้อง เขาจะรู้คนเดียว
และหากมีสำนักตรวจสอบบัญชี ก็จะสามารถตรวจได้ทั้งระบบ โดยเฉพาะสำนักตรวจสอบบัญชีที่มีชื่อเสียง จะต้องทำประกันความรับผิดไว้ ในกรณีที่ปัญหาบริษัทประกันก็ต้องจ่าย ซึ่งตามปกติสำนักตรวจสอบบัญชีต้องมีทีมทำงานอยู่แล้ว
ประธานคณะทำงานศึกษาแผนประทุษกรรมฯ ชี้ว่า การปกปิด หรือให้ข้อมูลเท็จต่อสาธารณชน ผู้ตรวจสอบบัญชีจะมีบทบาทสำคัญมาก หรือการใช้ข้อมูลวงในปั่นหุ้น แม้ ก.ล.ต.จะมีโปรแกรมตรวจสอบความผิดปกติ ซึ่งความผิดแต่ละประ เภท ก็มีเทคนิค บางประเภทใช้ AI และเครื่องมือตรวจสอบได้ แต่การให้ข้อมูลเท็จ หรือดูการสั่งซื้อ ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และนำมาวิเคราะห์ ซึ่ง AI ตรวจสอบไม่ได้
สำหรับในส่วนของ ก.ล.ต. แม้ปัจจุบันจะมีวางโครงสร้างป้องกันหลายส่วน แต่ในฐานะประธานคณะทำงานฯ คดีดังกล่าว ระบุว่า ต้องมีการปรับ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอกฎหมาย ให้อำนาจบุคลากรของ ก.ล.ต. สามารถสอบสวนคดีและความผิดเองได้ โดยทำหน้าที่เหมือนพนักงานสอบสวน และส่งคดีให้อัยการ พิจารณาได้โดยตรง เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการทำงานและเพิ่มความรวดเร็วในการตรวจสอบ
ส่วน ดีเอสไอ ก็ต้องปรับระบบเพื่อไม่ให้พนักงานสอบสวนทำงานซ้ำซ้อนกับสิ่งที่ ก.ล.ต. ทำคือ ให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษไปร่วมทำงานกับ ก.ล.ต. เพื่อให้คดีเป็นไปในแนวทางเดียวกัน เพื่อทั้งตำรวจและดีเอสไอ นำข้อมูลมาใช้ได้เลย
พงศ์เทพ ยังกล่าวถึงมาตรการเยียวยาผู้เสียหายว่า มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ซื้อหุ้นกู้จากบริษัทโดยตรง และผู้ที่ซื้อหุ้นใหม่ ซึ่งตามกฎหมายผู้เสียหายจากคดีความผิดมูลฐานในคดีฟอกเงิน สามารถรับส่วนแบ่งจากทรัพย์ที่ ปปง.ยึดอายัดได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ถือหุ้นกู้จะไม่ค่อยมีปัญหา
ส่วนผู้ที่ซื้อหุ้นสามัญในตลาด หรือ ซื้อหุ้นเอง จะมีปัญหาด้านข้อกฎหมายว่า เป็นผู้เสียหายในความผิดมูลฐานหรือไม่ หากไม่ใช่ ก็จะไม่สามารถมาขอส่วนแบ่งตรงนี้ได้ เป็นประเด็นที่ฝ่ายผู้ถือหุ้นสามัญในตลาดหลักทรัพย์ ยังมีปัญหา
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ทางออกของกลุ่มผู้ที่ซื้อหุ้นใหม่ กฎหมายปัจจุบัน แก้ปัญหาให้ไม่ได้ แต่กระทรวงยุติธรรม อาจให้กองทุนยุติธรรมเข้าไปช่วยเหลือ จัดหาทนายเพื่อช่วยฟ้องร้อง หรืออีกแนวทางหนึ่ง คือ ก.ล.ต. อาจนำเงินการค่าปรับผู้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ซึ่งเหลือจากการหักค่าใช้จ่ายแล้ว ก็จะส่งกลับกระทรวงการคลัง โดยขอให้นำเงินส่วนนี้มาตั้งกองทุนเพื่อเยียวยาผู้เสียหายในบางกรณี ก็มีความเป็นไปได้
ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ก.ล.ต.ก็มีเงินจากการปรับส่วนนี้ปีละหลายร้อยล้านบาท หากนำมาใช้จัดตั้งกองทุนเพื่อเยียวยาผู้เสียหาย เพราะหากรอจนกว่าคดีจะสิ้นสุด คงต้องใช้เวลานาน และไม่ทันกับความเสียหายที่เกิดขึ้น
โดยคณะทำงานฯ คาดว่า ต้นเดือน พ.ย.นี้ การสรุปแผนประทุษกรรมคดีดังกล่าวจะแล้วเสร็จแน่นอน หลังการประชุมนัดสุดท้ายกลางเดือนต.ค.เพื่อนำข้อสรุปทั้งหมด อาทิ การแก้ไขกฎหมาย การจัดระบบ การทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น เสนอต่อ รมว.ยุติธรรม จัดเวทีถอดบทเรียนและรับฟังความคิดเห็น และนำมาปรับปรุง เนื่องจากคดีนี้มีผู้เสียหายจำนวนมากและมูลค่าความเสียสูง
ธุรกิจขายตรง หรือ "ขายตรง" (Direct Selling) คือ การขายสินค้าและบริการ "โดยตรง" ให้กับผู้บริโภค โดยไม่ผ่านตัวแทนจำหน่ายหรือร้านค้าปลีก ซึ่งการทำธุรกิจรูปแบบนี้มักจะอาศัย "ตัวแทนขาย" หรือ สมาชิกที่สมัครเข้ามาเป็นเครือข่าย ในการแนะนำและจำหน่ายสินค้าให้กับผู้บริโภค ผู้ขายมักจะทำการขายผ่านการสาธิตผลิตภัณฑ์ การจัดประชุมทางธุรกิจ หรือ การนำเสนอสินค้าให้กับกลุ่มเป้าหมายที่บ้านหรือที่ทำงาน
1.ขายตรงแบบเดี่ยว (Single-Level Direct Selling : SLS)
การที่ "ตัวแทน" ซื้อสินค้ามาจากบริษัทและนำไปจำหน่ายให้กับลูกค้าทั่วไปโดยตรง ตัวแทนจะได้กำไรจากส่วนต่างของราคาซื้อและราคาขาย
2.ขายตรงแบบเครือข่าย (Multi-Level Marketing: MLM)
เป็นรูปแบบที่ผู้ขายสร้าง "ทีมขาย" หรือเครือข่ายได้ เมื่อสมาชิกในเครือข่ายขายสินค้า ผู้ขายที่แนะนำก็จะได้รับส่วนแบ่งรายได้เป็นค่าคอมมิชชันในรูปแบบของ "การขายทางอ้อม" นอกจากนี้ยังมีระบบการจ่ายค่าตอบแทนที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้ขายขยายเครือข่ายของตนเองเพิ่มขึ้น
ธุรกิจขายตรงมักมีลักษณะโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน แต่มีองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
ข้อดี
ข้อเสีย
ธุรกิจขายตรงในยุคออนไลน์ (Online Direct Selling) คือ การเปลี่ยนจากกลยุทธ์นัดเจอ พบปะ พูดคุย ชวนเข้าทีมแบบหน้าตรง รวมถึงการขายสินค้าและบริการ ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ เช่น สื่อสังคมออนไลน์ เว็บไซต์ และแอปพลิเคชันการซื้อขาย ไปยังลูกค้าโดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวแทนจำหน่ายแบบดั้งเดิมหรือการเปิดหน้าร้านออฟไลน์ วิธีนี้ทำให้ตัวแทนสามารถทำธุรกิจได้ตลอด 24 ชั่วโมง และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทั่วโลก และยังช่วยขยายฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
ธุรกิจขายตรง แม้จะมีข้อดีหลายประการ เช่น ความยืดหยุ่นในการทำงาน โอกาสในการสร้างรายได้เสริม และการพัฒนาทักษะส่วนตัว แต่ก็มีข้อควรระวังที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนเข้าร่วมธุรกิจขายตรง โดยเฉพาะในยุคที่มีความเสี่ยงจากการฉ้อโกงและการใช้ประโยชน์จากระบบเครือข่ายมากขึ้น
1.ความเสี่ยงจากธุรกิจขายตรงที่เป็นแชร์ลูกโซ่ (Pyramid Scheme) เพราะแชร์ลูกโซ่เป็นระบบที่ผู้เข้าร่วมต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าร่วม และรายได้จะมาจากการชักชวนผู้อื่นมาร่วมธุรกิจแทนที่จะมาจากการขายสินค้าและบริการจริง หากคิดจะลงทุนในธุรกิจขายตรง ควรตรวจสอบว่าธุรกิจขายตรงนั้นมีการขายสินค้าจริง และรายได้หลักมาจากการขายสินค้า ไม่ใช่จากการรับสมัครสมาชิกใหม่ หากรายได้ส่วนใหญ่เน้นจากการรับสมัครหรือการลงทุนล่วงหน้า ธุรกิจดังกล่าวอาจเป็นแชร์ลูกโซ่
2.ค่าธรรมเนียมการเข้าร่วมและการลงทุนที่สูง ธุรกิจขายตรงบางแห่งอาจมีการเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้า หรือมีการลงทุนในสต็อกสินค้าจำนวนมาก ทำให้ผู้เข้าร่วมต้องลงทุนด้วยเงินจำนวนมากในช่วงแรก ควรตรวจสอบเงื่อนไขการเข้าร่วมธุรกิจว่ามีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายหรือไม่ การเข้าร่วมธุรกิจขายตรงที่ดีไม่ควรบังคับให้ผู้เข้าร่วมต้องซื้อสินค้าจำนวนมากหรือจ่ายเงินเพื่อสิทธิพิเศษในการขาย
3.ผลตอบแทนที่เกินจริง ธุรกิจขายตรงบางแห่งอาจโฆษณาผลตอบแทนหรือรายได้ที่สูงเกินจริง เพื่อดึงดูดให้ผู้คนเข้าร่วม ควรพิจารณาถึงความสมเหตุสมผลของรายได้ที่คาดหวัง หากมีการโฆษณาว่าจะสามารถทำเงินจำนวนมากในเวลาอันสั้น ควรระวังธุรกิจนั้นว่าอาจเป็นการหลอกลวง
4.บังคับให้ซื้อสต็อกสินค้าเกินความจำเป็น บริษัทบางแห่งอาจบังคับให้ตัวแทนขาย ต้องซื้อสินค้าจำนวนมาก เพื่อให้มีสิทธิ์ขายหรือเพื่อรักษาสถานะในเครือข่าย ควรเลือกธุรกิจที่ไม่บังคับให้ตัวแทนขายต้องซื้อสินค้าจำนวนมากเกินความจำเป็น
5.ความท้าทายในการสร้างรายได้จริง ธุรกิจขายตรงหลายแห่งมักโฆษณาว่าทุกคนสามารถประสบความสำเร็จและทำรายได้สูงได้ แต่ในความเป็นจริง ผู้ขายส่วนใหญ่อาจไม่ได้รับรายได้ที่สูงเท่าที่โฆษณาไว้ หากไม่มีทักษะการขายหรือไม่สามารถขยายเครือข่ายได้ดี อาจทำให้รายได้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
ที่มา :
- Direct Selling Association สมาคมขายตรง สหรัฐอเมริกา
- "แนวโน้มธุรกิจขายตรงในยุคดิจิทัล" วารสารการตลาด
- "การศึกษารูปแบบธุรกิจขายตรงในประเทศไทย" วารสารธุรกิจและการจัดการ
วันนี้ (9 ต.ค.2567) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" ภาพรวมความเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ราคาทองคำโลกปรับตัวลงแรง ซึ่งตลาดคาดว่าเฟดไม่รีบลดดอกเบี้ย โดยคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ในการประชุมเดือนพ.ย. และเดือนธ.ค. นอกจากนี้ราคาทองคำมีแรงเทขาย หลังรายงานว่าธนาคารกลางจีน (PBOC) ไม่ได้ซื้อทองคำเข้าสู่ระบบทุนสำรองติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ในเดือนก.ย. ส่วนกองทุน SPDR ถือครองทองคำเท่าเดิม
ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม ติดตามการเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC และการแถลงของประธานเฟดสาขาแอตแลนต้า วิเคราะห์ราคาทองราคาทองคำปรับตัวลงต่ำกว่าเส้น SMA20 ซึ่งปรับตัวลงเข้าใกล้ 2,600 ดอลลาร์ รวมถึงสัญญาณทางเทคนิคจาก MACD ยังคงเกิด Bearish MACD และจาก Modified Stochastic ยังคงเกิดเส้นตัดกันลงมา ทำให้คาดว่าราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลงได้ต่อ
ราคาทองตลาดโลกแนวรับ : 2,615 และ 2,600 ดอลลาร์แนวต้าน : 2,630 และ 2,650 ดอลลาร์ แนวโน้มราคาทองคำอาจปรับตัวลงระยะสั้น สามารถเปิดทำกำไรระยะสั้น โดยเปิดสถานะขายบริเวณ 2,630 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,640 ดอลลาร์ และ Take profit บริเวณ 2,600 ดอลลาร์
ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5%แนวรับ : 41,500 และ 41,400 บาท แนวต้าน : 41,800 และ 42,000 บาท สัญญาณทางเทคนิคของราคาทองคำแท่ง เข้าสู่ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และเริ่มเกิดสัญญาณขาย (Sell signal) หากเก็งกำไรระยะสั้น แนะนำให้ขายทำกำไรไปก่อน เนื่องจากระยะสั้นราคาทองคำแท่งอาจจะปรับตัวลง หากเข้าซื้อรอบใหม่ แนะนำ Wait & see
สำหรับราคาทองเปิดตลาดเช้านี้ ลบ 300 บาท และลงครั้งละ 50 อีก 2 ครั้ง ทำให้ราคาเช้านี้ ทองคำร่วง 400 บาท ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 41,500 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 41,400 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 42,000 บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 40,659.12 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,618 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 33.47 บาทต่อดอลลาร์
ราคาทองรูปพรรณรวมค่ากำเหน็จ 500 บาท มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,688 บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 10,875 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 21,250 บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 42,000 บาท ภาพรวมราคาทองเดือน ต.ค. บวก 1,050 บาท
อ่านข่าว:
“ทองคำ”ลบ 100 บาท “รูปพรรณ”ขายออก 42,350 บาท
“ทองคำ” ปิดตลาด บวก 250 บาท ลุ้นราคาทะลุ 45,000 บาท
นักลงทุนแห่ซื้อ “ทองคำ” หลังกังวลสงครามตะวันออกกลาง
เมื่อวันที่ 8 ต.ค.2567 คณะกรรมการสรรหาประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ เป็นประธานคณะกรรมการสรรหา แต่งตั้งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ บอร์ดแบงก์ชาติ แทนที่นายปรเมธี วิมลศิริ ที่ซึ่งสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่ง
โดยมีรายงานในการประชุม มีมติเคาะเลือก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) ท่ามกลางเสียงคัดค้าน ถึงการนำบุคคลที่เกี่ยวโยงการเมือง เข้ามาแทรกแซงการทำงานของแบงก์ชาติ จากการสรรหาประธานบอร์ดแบงก์ชาติคนใหม่
แม้คณะกรรมการสรรหาฯ ยังไม่ประกาศผลการคัดเลือกอย่างเป็นทางการ แต่การออกมาแสดงพลังคัดค้าน อาจตอกย้ำถึง ความเห็นขัดแย้งเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้ได้รับการคัดเลือก
ทั้งนี้ ในระเบียบว่าด้วยการประชุมของคณะกรรมการคัดเลือก การเสนอชื่อ การพิจารณา และการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานกรรมการหรือกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551
กำหนดคุณสมบัติ ต้องห้าม ประธานบอร์ดแบงก์ชาติไว้ 8 ข้อ ได้แก่
(1) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(2) เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต
(3) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับ ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(4) เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่ง มาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
(5) เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของ พรรคการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
(6) เป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งใดในสถาบันการเงิน เว้นแต่เป็นการดำรง ตำแหน่งเนื่องจากมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ
(7) เป็นกรรมการหรือผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือมีส่วนได้เสีย อย่างมีนัยสำคัญในนิติบุคคล ซึ่งมีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของ ธปท. ดังเช่น
(ก) นิติบุคคลที่เข้าเป็นคู่สัญญาทางธุรกิจ หรือกำลังจะเป็นคู่สัญญาทางธุรกิจ กับ ธปท. อันมีลักษณะที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ขัดแย้งกับการปฏิบัติหน้าที่ของ ธปท.
(ข) นิติบุคคลที่อยู่ภายได้การกำกับหรือตรวจสอบของ ธปท. เว้นแต่เป็น การดำรงตำแหน่งเนื่องจากมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ
(8) เป็นคู่สัญญาหรือเป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญาหรือกิจการของ ธปท.อันมี ลักษณะที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ขัดแย้งกับการปฏิบัติหน้าที่ของ ธปท. โดยให้ใช้บังคับกับคู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลที่จะได้รับการเสนอชื่อด้วย
ทั้งนี้ นายกิตติรัตน์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยจากที่ประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทยเมื่อเดือน ต.ค.2555
วันที่ 7 พ.ค.2557 นายกิตติรัตน์ ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องในการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จากตำแหน่งเลขาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยขาดความชอบธรรม
ต่อมาในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ.2562 นายกิตติรัตน์ได้สมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 11 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง เนื่องจากพรรคเพื่อไทยมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากกว่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพึงมีตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
ปี 2560 นายกิตติรัตน์ ขึ้นศาลเบิกความคดีจำนำข้าว โดยเป็นพยาน ชี้แจ้งถึงเหตุผลในการจัดทำโครงการดังกล่าว
ในปี 2563 นายกิตติรัตน์ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ให้เป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
เมื่อปี 2564 หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด นายกิตติรัตน์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ กับพวก ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต โดยละเว้นไม่ควบคุมดูแลหรือสั่งการให้มีการตรวจสอบ กรณีองค์การคลังสินค้าคัดเลือกบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ให้เป็นผู้ส่งมอบข้าวให้ BULOG ประเทศอินโดนีเซีย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นางวิเรขา สันตะพันธุ์ เลขานุการคณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ฝ่ายเลขานุการฯ มีความจำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนสำหรับการพิจารณาของที่ประชุม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอขยายระยะเวลาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเพื่อให้การพิจารณาคัดเลือกมีความรอบคอบที่สุด และจะรวบรวมกลับมานำเสนอคณะกรรมการคัดเลือกฯ โดยเร็ว แต่ยังไม่กำหนดวันที่ชัดเจน
อ่านข่าว :
ธปท.ยัน "เมธี" นั่งบอร์ดค่าจ้างได้แม้เกษียณ
"กรุงศรี" ชี้ ศก.ไทยโต 2.4% คาดกนง.ไม่ลดดอกเบี้ยปีนี้
ก.อุตฯเล็งใช้ยาแรง สั่ง สมอ. เร่งปราบสินค้านำเข้ามาตรฐานต่ำ
วันนี้ (8 ต.ค.67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่ได้สั่งการให้การรถไฟฯ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมระลอกใหม่ในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมทั้งดูแลการเดินทางของผู้โดยสารอย่างใกล้ชิดนั้น
ล่าสุด ได้รับรายงานจากการรถไฟฯ ว่า ระดับน้ำบริเวณสถานีรถไฟเชียงใหม่ และทางรถไฟลดลงแล้ว สามารถกลับมาเปิดให้บริการเดินรถในเส้นทางสายเหนือให้แก่พี่น้องประชาชนได้ตามปกติอีกครั้ง ในช่วงเย็นวันนี้ (8 ต.ค.2567)
อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่การรถไฟฯ ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงเกิดน้ำท่วมทั่วประเทศ จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเข้าแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที ตลอดจนจัดเตรียมความพร้อมในการดูแลอำนวยความสะดวกต่างๆ แก่ผู้ใช้บริการ ให้เดินทางถึงจุดหมายได้อย่างสะดวก และปลอดภัย
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งทำความสะอาด และจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในสถานี โดยเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยในการใช้เส้นทาง พร้อมทั้งสั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายการช่างโยธา ลงพื้นที่สำรวจตรวจสอบความปลอดภัยของสภาพเส้นทางรถไฟ
รวมถึงระบบอาณัติสัญญาณ โดยเฉพาะบริเวณที่เคยถูกน้ำท่วมและระดับน้ำลดลงแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการตรวจสอบและปรับปรุงทางเสร็จเรียบร้อย ทำให้ขณะนี้สถานีเชียงใหม่และขบวนรถไฟสายเหนือทุกขบวน พร้อมกลับมาให้บริการได้ตามปกติอีกครั้ง ในเย็นวันนี้ ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป
นายวีริศ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา ในช่วงที่เกิดน้ำท่วมและปิดสถานีเชียงใหม่ การรถไฟฯ อำนวยความสะดวกการเดินทางให้ผู้ใช้บริการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างเต็มที่ โดยจัดรถโดยสารขนถ่ายจากสถานีนครลำปาง สถานีลำพูน และสถานีเชียงใหม่ได้อย่างปลอดภัย
นอกจากนี้ ยังจัดตั้งโรงครัวเคลื่อนที่ ณ สถานีนครลำปาง คอยให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อดูแลและให้ความช่วยเหลือพนักงาน ลูกจ้าง และผู้โดยสาร ที่ได้รับความเดือนร้อน สามารถสร้างรอยยิ้มและความประทับใจให้แก่ผู้ใช้บริการทุกคน ทั้งนี้ การรถไฟฯ พร้อมเคียงข้างทุกการเดินทาง เพื่อให้ประชาชนถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 หรือ เฟซบุ๊กแฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย ตลอด 24 ชั่วโมง
อ่านข่าว : น้ำ "เชียงใหม่" กระจายลง "ลำพูน" กระทบ 3 โซนใหญ่
เตือน 16 ชุมชน กทม.รับมือน้ำทะเลหนุน-เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำ
ครม.เคาะอัตราเดียว 9,000 บาทเยียวน้ำท่วมทุกครัวเรือน
วันนี้ ( 8 ต.ค.2567) ศูนย์วิจัยกรุงศรีฯ วิเคราะห์เศรษฐกิจไทย ในเดือนส.ค.ได้แรงหนุนหลักจากการส่งออก ขณะที่การฟื้นตัวในรายสาขาอื่นยังเปราะบาง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)รายงานเศรษฐกิจโดยรวมเดือนส.ค.ทรงตัวจากเดือนก่อน โดยส่งออกสินค้าที่ไม่รวมทองคำขยายตัวต่อเนื่อง บวก 3.6% ส่วนหนึ่งเป็นปัจจัยชั่วคราวจากการเร่งส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปไปยังประเทศคู่ค้าที่ขาดแคลน การส่งออกยางไปอินเดีย
ขณะที่ภาคท่องเที่ยวชะลอลงตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง ลบ 6.7% โดยเฉพาะจากจีนและมาเลเซียหลังเร่งไปมากในช่วงก่อนหน้า ด้านการใช้จ่ายในประเทศ การบริโภคภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย บวก0.5% ตามการใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทน
ส่วนการลงทุนภาคเอกชนลดลง ลบ 3.3% จากหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ ด้านการผลิตอุตสาหกรรมกลับมาหดตัว ลบ3.0% หลังจากเร่งไปในเดือนก่อน กอปรกับสินค้าคงคลังในหลายหมวดยังอยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีฯ บังได้ประเมินแรงส่งจากการใช้จ่ายในประเทศที่แผ่วลงในช่วงไตรมาส 3 อาจกลับมากระเตื้องขึ้นได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการโอนเงินให้กับกลุ่มเปราะบางรายละ 10,000 บาท วงเงินรวม 1.45 แสนล้านบาท โดยภาครัฐดำเนินการโอนแล้วในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะส่งผลบวกต่อ GDP ปีนี้ บวก 0.2% -0.3%
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกรุงศรีฯ ยังคงประมาณการอัตราการเติบโตของ GDP ในปี 2567 ไว้ที่ 2.4% เนื่องจากผลบวกจากมาตรการข้างต้นอาจถูกลดทอนด้วยผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยที่สร้างความเสียหายในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยในกรณีฐาน (Base Case)
วิจัยกรุงศรีคาดว่าจะมีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมจะอยู่ที่ประมาณ 8.6 ล้านไร่ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรและทรัพย์สินอื่นๆ รวมแล้วประมาณ 46.5 พันล้านบาท หรือคิดเป็น -0.27% ของ GDP และหากกรณีเลวร้ายสุด (Worst case) พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเพิ่มเป็น 11 ล้านไร่ มีมูลค่าความเสียหายรวม 59.5 พันล้านบาท หรือคิดเป็น ลบ 0.34% ของ GDP
ทั้งนี้คาดว่า กนง.ยังคงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนต.ค.นี้ แต่มีแนวโน้มเริ่มปรับลดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 หลังจากที่ นายพิชัย ชุณหวชิร รมว.คลังหลังหารือกับผู้ว่าธปท.ในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็น กรอบเงินเฟ้อ การแก้ไขหนี้ครัวเรือน และการแลกเปลี่ยนสถานการณ์เศรษฐกิจ พร้อมกับยืนยันว่ายังสนับสนุนหลักการการลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
สำหรับการประชุมกนง.ครั้งล่าสุดในเดือนส.ค.ที่ผ่านมา มีมติ 6 ต่อ 1 ให้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% เนื่องจากประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่โน้มเข้าสู่ศักยภาพและการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน ส่วนการประชุมครั้งถัดไปจะมีขึ้นสัปดาห์หน้าในวันที่ 16 ต.ค.นี้ ซึ่งนับเป็นการประชุมครั้งที่ 5 ของปีนี้
โดยศูนย์วิจัยกรุงศรีฯคาดการณ์ว่ากนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% ตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้ จากปัจจัยสนับสนุน ดังนี้ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง โดยคาดว่าการเติบโตของ GDP จะปรับดีขึ้นสู่ 3.6% ในไตรมาส 4 จากราว 2.3% ในไตรมาส 3 จากแรงส่งของภาคท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภาครัฐที่เร่งขึ้นหลังจากล่าช้าในช่วงก่อนหน้า
มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศจากการโอนเงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ และ อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3% ภายในสิ้นปี 2567 ล่าสุดอัตราเงินเฟ้อเดือนกันยายนอยู่ที่ 0.61%
อย่างไรก็ตาม คาดว่ากนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งๆ ละ 0.25% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เนื่องจาก ภาวะการเงินที่มีแนวโน้มตึงตัวขึ้น โดยการเพิ่มขึ้นของหนี้เสีย (NPLs) จะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริง ผลเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายทยอยลดลง และ ช่องว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายระหว่างสหรัฐฯ และไทยที่แคบลง
หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแรงกดดันจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน จากปัจจัยเหล่านี้ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะลดลงสู่ระดับ 2.00% ภายในสิ้นปี 2568
อ่านข่าว:
ก.อุตฯเล็งใช้ยาแรง สั่ง สมอ. เร่งปราบสินค้านำเข้ามาตรฐานต่ำ
SME ชี้ไม่ได้รับอานิสงส์แจกเงินหมื่น - ชง "คนละครึ่งภาคแรงงาน"
“ทองคำ” ปิดตลาด บวก 250 บาท ลุ้นราคาทะลุ 45,000 บาท
วันนี้ ( 8 ต.ค.2567) นายอุดม ศรีสมทรง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ภาคเหนือตอนล่าง ซึ่งเป็นทางน้ำผ่านและภาคกลาง ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำ ไม่ว่าจะเป็น กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี กรมฯได้ร่วมกับพาณิชย์จังหวัดและนายตรวจชั่งตวงวัด
โดยตรวจสอบผู้ประกอบการโรงสีและท่าข้าวในพื้นที่เพาะปลูกที่ เพื่อดูแลไม่ให้มีการกดราคารับซื้อข้าวเปลือก หรือหักลดน้ำหนักความชื้นและสิ่งเจือปนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด และให้มีการแสดงราคารับซื้ออย่างชัดเจน เปิดเผย ไม่คิดค่าชั่งน้ำหนักข้าวเปลือกที่รับซื้อ รวมทั้งใช้เครื่องชั่งและเครื่องวัดความชื้นที่ผ่านคำรับรองถูกต้องตามกฎหมาย
เพื่อป้องไม่ให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาสกดราคารับซื้อ ข้าวจากเกษตรกรเพราะปัจจุบันอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวเปลือกที่กำลังออกสู่ตลาด จึงต้องมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด
จากการตรวจสอบการรับซื้อข้าวเปลือกจากผู้ประกอบการรับซื้อ พบว่า ข้าวเปลือกเจ้า ความชื้นไม่เกิน 15% ราคา 9,300-9,800 บาท/ตัน ข้าวเกี่ยวสด ความชื้น 25% ราคา 8,300–8,800 บาท/ตัน บางพื้นที่ข้าวเปลือกมีความชื้นสูง ราคาปรับลดตามคุณภาพความชื้น เนื่องจากเกษตรกรเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนกำหนด ประกอบกับมีผลตกชุกในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม ในการตรวจสอบเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2567 ที่ผ่านมา พบผู้ประกอบการใช้เครื่องวัดความชื้นคำรับรองสิ้นอายุ จำนวน 1 ราย นายตรวจชั่งตวงวัดได้จับกุมส่งพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์ ดำเนินการตาม มาตรา 70 แห่งพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ.2542
เตือนให้ผู้ประกอบการรับซื้อข้าวเปลือก ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากพบว่ามีการกดราคารับซื้อ ต้องระวางโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นานอุดมกล่าวอีกว่า กรณีไม่แสดงราคารับซื้อตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขการรับซื้อ หรือมีการคิดค่าชั่งน้ำหนักข้าวเปลือกที่รับซื้อ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 กรณีรับซื้อข้าวโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือทั้งปรับทั้งจำ ตามพ.ร.บ.การค้าข้าว พ.ศ.2489
ส่วนกรณีใช้เครื่องชั่งตวงวัด ที่ไม่มีเครื่องหมายรับรองหรือคำรับรองสิ้นอายุในการซื้อขายสินค้า ต้องระวางโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีโกงเครื่องชั่งหรือใช้เครื่องชั่งตวงวัดที่มีการดัดแปลงแก้ไข ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 280,000 บาท ตามพ.ร.บ.มาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542
อ่านข่าว:
SME ชี้ไม่ได้รับอานิสงส์แจกเงินหมื่น - ชง "คนละครึ่งภาคแรงงาน"
“ทองคำ”ลบ 100 บาท “รูปพรรณ”ขายออก 42,350 บาท
สนค. ชี้ แจกเงินหมื่น ช่วยดันยอดขายร้านค้าพุ่ง
วันนี้ ( 8 ต.ค.2567) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีสินค้าทุนต่ำจากต่างประเทศเข้ามาตีสินค้าไทยในประเทศซึ่งสร้างความเสียให้กับผู้ประกอบการไทยเป็นอย่างมาก
ดังนั้นเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมไทยจากการนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน กระอุตสาหกรรมได้สั่งให้ สมอ. ยกระดับการบังคับใช้กฎหมายร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
ในการป้องกันและปราบปรามสินค้าไม่ได้มาตรฐาน สร้างความเป็นธรรมในตลาดการค้าให้กับผู้ประกอบการ SMEs ไทย เพื่อให้แข่งขันได้ในเวทีการค้าโลก และขยายการส่งออกสินค้าไทยผ่าน E-Commerce ซึ่งจะเป็นการปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย เพื่อรับโอกาสใหม่ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของโลก
นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวว่า ได้มีการหารือกับ สคบ. เมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา ในการยกระดับการบังคับใช้กฎหมายภายใต้พระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ.2511 และพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 เพื่อควบคุมสินค้านำเข้าภายใต้มาตรฐานบังคับ ทั้ง 144 มาตรฐาน ครอบคลุมสินค้า 308 รายการ ที่โฆษณาจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องแสดงรายละเอียดสินค้า เครื่องหมายมาตรฐาน มอก. และ QR code ให้เห็นชัดเจนตามที่กำหนด
หากฝ่าฝืนผู้นำเข้า ผู้โฆษณา และผู้จำหน่ายต้องได้รับโทษ กรณีผู้นำเข้าไม่เป็นผู้ได้รับใบอนุญาต มีโทษปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท จำคุกไม่เกิน 2 ปี หากเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตแต่ไม่แสดงเครื่องหมายมาตรฐานกับสินค้า มีโทษปรับไม่เกิน 3 แสนบาท ส่วนผู้โฆษณาและผู้จำหน่ายมีโทษปรับไม่เกิน 5 แสนบาท จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ
หากพบว่าสินค้านำเข้าในหมวด 144 มาตรฐาน 308 รายการ ที่จำหน่ายในประเทศทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ ไม่แสดงรายละเอียดสินค้า เครื่องหมายมาตรฐาน และ QR code จะเอาผิดทั้งผู้นำเข้า ผู้โฆษณา และผู้จำหน่ายขั้นเด็ดขาดโดยไม่มีการละเว้น
นอกจากนี้ ยังได้หารือในประเด็นการบังคับให้ผู้นำเข้า ต้องจัดทำคู่มือการใช้งานของสินค้าที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของประชาชนผู้บริโภค โดย สมอ. และ สคบ. อยู่ระหว่างร่วมกันบูรณาการกฎหมายที่เกี่ยวข้องของทั้ง 2 หน่วยงาน เพื่อบังคับให้ผู้นำเข้าต้องจัดทำคู่มือการใช้งานภาษาไทย เพื่อความปลอดภัยของประชาชน
อ่านข่าว:
สนค. ชี้ แจกเงินหมื่น ช่วยดันยอดขายร้านค้าพุ่ง
บขส.ตรวจเข้มรถโดยสาร ก่อนให้บริการช่วงหยุดยาว 12 -14 ต.ค.
SME ชี้ไม่ได้รับอานิสงส์แจกเงินหมื่น - ชง "คนละครึ่งภาคแรงงาน"
"น้องหมูเด้ง" หรือ ฮิปโปแคระ ที่กำลังเป็นดาวเด่นในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ปัจจุบันจัดเป็นอีกหนึ่งซอฟต์พาวเวอร์ของไทย ที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจแห่เข้าชมอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงขณะนี้ ยังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ให้กับผู้ประกอบการ SME ได้ในหลายธุรกิจเลยทีเดียว
กระแสน้องหมูเด้ง ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ทยอยเดินทางเข้ามาเยี่ยมชมความน่ารักน้องหมูเด้งอย่างไม่ขาดสาย แม้จะเป็นวันธรรมดา ส่งผลให้รีสอร์ตที่พักในพื้นที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว ได้รับอานิสงส์ มีนักท่องเที่ยวจองห้องพักเต็ม ในช่วงนี้เพื่อเตรียมเข้าเยี่ยมชมน้องหมูเด้งให้ทันในช่วงเช้า
นายณรงวิทย์ ชดช้อย ผู้อำนวยการสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ยอมรับว่า กระแสน้องหมูเด้ง ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมสวนสัตว์มากขึ้นเป็นเท่าตัว
เพราะหากเทียบกับก่อนที่น้องหมูเด้งจะเกิด มีคนเข้ามาเที่ยวสวนสัตว์เปิดเขาเขียว เดือนละประมาณ 70,000 คน และตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 เป็นต้นมา มียอดนักท่องเที่ยว พุ่งขึ้นเป็น 84,000 คน เดือนสิงหาคมประมาณ 98,000 คน และสถิติล่าสุด เดือนกันยายนที่ผ่านมา มีประชาชนเข้ามาเที่ยวมากถึง 162,000 คน
"ตั้งเป้าหมายเดือนกันยายนไว้ที่ 70,000 คน แต่กลับมีนักท่องเที่ยวมากกว่าเท่าตัว และในเดือนตุลาคมจะเป็นช่วงที่ปิดเทอม คาดว่าจะมีเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 7,000 คน"
ด้าน ผศ.เอกก์ ภทรธนกุล หัวหน้าภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า หมูเด้งมีกระแส จะต้องมีการคุ้มครองสิทธิ์ เพื่อไม่ให้ถูกเคลมสิทธิ์ ซึ่งเข้าใจว่าปัจจุบันองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยกำลังดำเนินการอยู่ ส่วนการที่จะทำให้หมูเด้งถูกกล่าวถึง ว่าจุดกำเนิดมาจากประเทศไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องต่อยอด โดยสร้างคาแรคเตอร์ของน้องหมูเด้ง ให้สอดรับกับความเป็นไทย และนำไปใช้ประโยชน์ทางสังคมและภาคการศึกษาได้อีกด้วย
ตัวอย่างกระแสของน้องหมูเด้ง ที่ทำให้มีธุรกิจต่างๆ ได้นำมาต่อยอดในเชิงเศรษฐกิจ สร้างรายได้ที่ดีให้กับผู้ประกอบการ SME ในหลายธุรกิจ เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์ตกแต่งโทรศัพท์มือถือ สติ๊กเกอร์ไลน์ หมอน ตุ๊กตา และขนมเค้ก
อย่างร้านเบเกอรี่ ที่นำรูปร่างลักษณะหมูเด้งมาผลิตเป็นขนมเค้ก ได้รับการตอบรับที่ดี มียอดสั่งออเดอร์จำนวนมาก กวาดรายได้ไปแล้วหลักแสน
สำหรับสินค้าของที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับน้องหมูเด้ง ที่กำลังได้รับความนิยมขนาดนี้ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย อยู่ระหว่างประกาศให้ผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ร่วมออกแบบ โลโก้น้องหมูเด้ง เพื่อจัดทำให้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ และนำไปใช้เป็นตราสัญลักษณ์ และลิขสิทธิ์ประกอบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ขององค์การสวนสัตว์ฯ อย่างเป็นทางการ
แต่ตามกฎหมายแล้วกรมทรัพย์สินทางปัญญา ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า หากมีนักท่องเที่ยวหรือบุคคลใด ที่ถ่ายถาพน้องหมูเด้ง หรือวาดรูปขึ้นมาเองก็สามารถทำได้ แต่หากมีผู้นำผลงานที่ทำขึ้นมาแล้วไปทำซ้ำ ดัดแปลง ละเมิดลิขสิทธิ์ เผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต ทางเจ้าของลิขสิทธิ์สามารถดำเนินการทางกฏหมายได้ โดยมีค่าปรับไม่เกิน 800,000 บาท จำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับความคืบหน้าการจัดทำลิขสิทธิ์ สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับน้องหมูเด้ง ผู้อำนวยการสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ระบุว่า ขณะนี้ได้ยื่นการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ไปที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว ซึ่งก็อยู่ระหว่างการรออนุมัติจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา
อ่านข่าว :
หลงรัก "หมูเด้ง" สาวบินข้ามโลก 18 ชม.เจอเซเลบ 4 ขาเมืองไทย
"หมูเด้ง" รันวงการบิตคอยน์ เมลเบิร์นส่ง "เพสโต้" ประชันความดัง
เปิดใจแอดมิน "เบนซ์" ผู้จัดการ "หมูเด้ง" ดาราสาวแห่งเขาเขียว
วันนี้ (8 ต.ค.2567) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" ภาพรวมความเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากแรงกดดันเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างมาก โดยตลาดคาดการณ์ว่ามีโอกาสน้อยที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนพ.ย. นอกจากนี้สถานการณ์ในตะวันออกกลางยังไม่ขยายวงกว้างขึ้น แต่นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ที่อาจกระทบต่อราคาน้ำมัน ส่วนกองทุน SPDR ถือครองทองคำเท่าเดิม
ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม สหรัฐจะเปิดเผยดุลการค้าเดือนส.ค. ตลาดคาดว่าขาดดุล 70.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากขาดดุล 78.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ราคาทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ ราคาทองคำแท่งยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเข้าใกล้ 42,000 บาท ซึ่งสัญญาณทางเทคนิคยังบังชี้การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำแท่ง แต่ก็เริ่มเข้าสู่ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought)
อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นยังคงคาดว่าราคาทองคำแท่งมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น ซึ่งราคาทองคำแท่งได้รับแรงหนุนจากค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง ซึ่งเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าได้ต่อแนะนำ Let Profit Run
สำหรับราคาทองเปิดตลาดเช้านี้ ลบ 100 บาท ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 41,850 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 41,750 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 42,350บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 40,992.76 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,636 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 33.56 บาทต่อดอลลาร์
ราคาทองรูปพรรณรวมค่ากำเหน็จ 500 บาท มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,731 บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 10,963 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 21,425 บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 42,350 บาท ภาพรวมราคาทองเดือน ต.ค. บวก 1,450 บาท
อ่านข่าว:
“ทองคำ” ปิดตลาด บวก 250 บาท ลุ้นราคาทะลุ 45,000 บาท
“ทองคำ” บวก 300 บาท เงินบาทอ่อนหนุนราคาพุ่ง
นักลงทุนแห่ซื้อ “ทองคำ” หลังกังวลสงครามตะวันออกกลาง
เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2567 นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ออกมาเสนอหลังจากประเมินว่าเงิน 10,000 บาทที่ช่วยกลุ่มเปราะบางกว่า 14.5 ล้านคน ไม่ได้ส่งผลดีต่อเอสเอ็มอี จึงมีการเสนอ "คนละครึ่งภาคแรงงาน" คือรัฐบาลจัดสรรงบประมาณเบื้องต้น 50,000 ล้านบาท โดยแจกจ่ายให้กับแรงงานไทยทั้งในระบบและนอกระบบเดือนละ 1,000 บาทต่อคน ต่อเนื่อง 3 เดือน และใช้เงินซื้อสินค้าหรือบริการกับเอสเอ็มอีและรายย่อยที่ขึ้นทะเบียนเข้าร่วมโครงการนี้
ทั้งนี้ มองว่าจะได้ประโยชน์ 4 ด้านคือ กระตุ้นเศรษฐกิจและกระจายรายได้ เพราะคนละครึ่งรัฐช่วยเหลือค่าครองชีพครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งเป็นเงินของประชาชนเอง, เพิ่มสภาพคล่องในระบบฐานราก, ใช้โอกาสนี้เปิดโอกาสให้รายย่อยนอกระบบมาอยู่ในระบบฐานผู้ทำการค้าในระบบของภาครัฐ และใช้ข้อมูลจากโครงการนี้ตรวจสอบและพัฒนาแรงงานหรืออาชีพเพื่อลดภาระรัฐบาลในอนาคต
นายแสงชัย ยกตัวอย่าง แรงงานตามมาตรา 40 มีประมาณ 20 ล้านคน กลุ่มนี้เมื่อได้เงิน 1,000 บาท เขาก็จะสมทบเงินที่มีอีก 1,000 บาทเพื่อการใช้จ่าย ก็เท่ากับคูณสองที่จะมีเข้าระบบ เงินที่รัฐจัดสรร 50,000 บาทก็จะเพิ่มเป็น 1-2 แสนล้านบาทกับงบที่ใช้ 1,000 บาท หากทำต่อเนื่อง 3 เดือน เงินเข้าระบบเศรษฐกิจก็จะเพิ่มอีก 1-2 เท่า ก็จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็ว ซึ่งเรื่องนี้หากมีโอกาส สมาพันธ์จะเสนอแนวคิดผ่านเวทีต่างๆ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ต้องเสนอเพราะจากการสอบถามและสำรวจการใช้จ่ายเงิน 10,000 บาทของผู้ได้รับสิทธิตามเป้าหมายรัฐบาล 14.5 ล้านคน ธุรกิจเอสเอ็มอียังไม่ได้รับอานิสงส์จากงบประมาณนี้ และเห็นว่าการใช้จ่ายบางส่วนไม่ตรงวัตถุประสงค์ เช่น ซื้อสุรา ยาเสพติด การใช้จ่ายจึงเป็นแบบกระจุกตัว ไม่ได้กระจายทั่วถึงเหมือนโครงการคนละหนึ่ง โครงการเราเที่ยวด้วยกัน หรือโครงการอีซี่-อีรีซีท ที่เป็นการใช้จ่ายของประชาชนโดยรวม
อ่านข่าว
สนค.ชี้แจกเงินหมื่น ช่วยดันยอดขายร้านค้าพุ่ง
รมว.ท่องเที่ยวแจง "เราเที่ยวด้วยกัน" ไม่ทันกระตุ้นเศรษฐกิจสิ้นปี
เชียงใหม่น้ำลด เริ่ม Big Cleaning คาดเศรษฐกิจเสียหาย 2 พันล้าน
วันนี้ (7 ต.ค.2567) นายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการฯ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า บขส.เตรียมดูแลด้านความปลอดภัยของรถโดยสารและอำนวยความสะดวกรองรับการเดินทางช่วงวันหยุด วันนวมินทรมหาราช ซึ่งเป็นวันหยุดยาวต่อเนื่อง 3 วัน วันที่ 12 – 14 ต.ค.2567 คาดว่า จะมีผู้โดยสารเดินทางกลับต่างจังหวัดเป็นจำนวนมาก โดย บขส.คาดการณ์จะมีผู้โดยสารเดินทางทั้งเที่ยวไป – เที่ยวกลับ เฉลี่ยวันละ 80,000 – 90,000 คน ใช้รถโดยสาร (รถ บขส., รถร่วม, รถตู้) เฉลี่ยวันละ 6,000 – 7,000 เที่ยววิ่ง
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กองซ่อมบำรุง, กองกิจการเดินรถ, งานส่งเสริมกิจการขนส่ง และงานป้องกันอุบัติเหตุ กองคุ้มครองผู้โดยสาร นำเจ้าหน้าที่และพนักงาน เข้าตรวจสภาพ รถโดยสาร บขส. และ รถร่วมฯ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางของผู้โดยสารที่มาใช้บริการ และเตรียมรถโดยสารให้พร้อมก่อนออกบริการประชาชน เพื่อความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจในการเดินทาง ดังนี้
1.วันที่ 7 ต.ค.2567 ออกตรวจรถโดยสาร บขส. และ รถร่วมฯ ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) หรือหมอชิต 2, 2.วันที่ 10 ต.ค.2567 ออกตรวจรถโดยสาร บขส. และ รถร่วมฯ ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารบรมราชชนนี (สายใต้ใหม่), 3.วันที่ 11 ต.ค.2567 ออกตรวจรถโดยสาร บขส. และ รถร่วมฯ สถานีขนส่งหมอชิต 2
นายอรรถวิท กล่าวต่อว่า สำหรับการตรวจสภาพรถโดยสาร จะเน้นการตรวจอุปกรณ์ส่วนควบและอุปกรณ์ความปลอดภัยภายในรถโดยสาร เช่น ยางรถ, เข็มขัดนิรภัย, ถังดับเพลิง, ค้อนทุบกระจก และทางออกประตูฉุกเฉิน เพื่อให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน หากมีเหตุฉุกเฉินสามารถนำมาใช้งานได้ทันที ขณะเดียวกันหากพบรถโดยสารที่บกพร่อง อุปกรณ์ส่วนควบไม่เป็นไปตามมาตรฐานเงื่อนไขการเดินรถจะแจ้งให้รถโดยสารคันดังกล่าว นำไปแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนนำมาให้บริการผู้โดยสารต่อไป
นอกจากนี้ยังได้แจกคู่มือแผ่นพับให้พนักงานขับขับรถ และพนักงานบริการประจำรถ (บริกร) เกี่ยวกับเรื่องความรู้ ป้องกัน ลดเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน ป้องกันเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ซึ่งจะมีขั้นตอนวิธีการใช้ถังดับเพลิง, การใช้ค้อนทุบกระจกและทางออกฉุกเฉิน รวมทั้งกำชับให้พนักงานบริการประจำรถ ประชาสัมพันธ์แนะนำผู้โดยสารให้ทราบข้อมูลด้านความปลอดภัยขณะใช้บริการรถโดยสารอีกด้วย
อ่านข่าว : รถบัสทัศนศึกษาไฟไหม้เสียชีวิต 25 คน-เจ็บ 8 คน
ขนส่งฯ ยึดรถบัส 5 คันในเครือบริษัทเกิดเหตุไฟไหม้ ที่อู่โคราช
ขนส่งสิงห์บุรีตรวจรถบัส 5 คัน พบซ่อนถังแก๊สที่ไม่ขออนุญาต
วันนี้ ( 7 ต.ค.2567) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" ภาพรวมเคลื่อนไหวที่ผ่านมา พบว่าราคาทองคำโลกปรับตัวลงต่อเนื่อง แต่ก็ยังปรับตัวลงไม่มากนัก ซึ่งราคาทองคำได้รับแรงกดดันจากเงินดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่อง หลังข้อมูลการจ้างงานสหรัฐแข็งแกร่ง ทำให้ตลาดคาดหวังที่เฟดจะลดดอกเบี้ยครั้งใหญ่น้อยลง โดยล่าสุดตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้งในเดือนพ.ย. และธ.ค. ซึ่งสอดคล้องกับการส่งสัญญาณของเฟด
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนก็ยังลังเลที่จะขายทองคำ จากสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่อาจรุนแรงมากขึ้น นอกจากนี้ความต้องการทองคำค้าปลีกในอินเดียปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากมีเทศกาลที่จะจัดขึ้น
ทั้งนี้ วิเคราะห์ราคาทอง ราคาทองคำ spot มีสัญญาณการปรับตัวลง จากสัญญาณทางเทคนิคทั้ง MACD และ Modified Stochastic ของราคาทองคำใน Timeframe Day เกิดสัญญาณขาย (Sell Signal) ทำให้คาดว่าราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลงสู่แนวรับ 2,625-2,630 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม คาดว่าการปรับตัวของราคาทองคำอาจยังไม่มากนัก
โดยราคาทองตลาดโลกแนวรับ 2,630 และ 2,620 ดอลลาร์ แนวต้าน 2,660 และ 2,670 ดอลลาร์ คาดราคาทองคำอาจปรับตัวลง แต่คาดว่าอาจปรับตัวลงไม่มากนัก สามารถเปิดสถานะขายบริเวณ 2,660 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,670 ดอลลาร์ และ Take profit บริเวณ 2,625-2,630 ดอลลาร์
ขณะที่ราคาทองคำแท่งในประเทศ 96.5%แนวรับ : 41,600 และ 41,500 บาท แนวต้าน : 41,900 และ 42,000 บาทราคาทองคำแท่งปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งได้แรงหนุนจากค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง หลังดอลลาร์แข็งค่าจากตัวเลขการจ้างงานสหรัฐแข็งแกร่งเกินคาด ทั้งนี้สัญญาณทางเทคนิคของราคาทองคำแท่งมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น ทำให้คาดว่าราคาทองคำแท่งยังเป็นขาขึ้น มีโอกาสแตะ 42,000 บาท แนะนำ Let Profit Run
สำหรับราคาทองคำปิดตลาด วันนี้ บวก 250 บาท (ครั้งที่ 6) ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 41,950 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 41,850 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 42,450บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 41,098.76 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,655 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 33.43 บาทต่อดอลลาร์
รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงสถานการณ์ราคาทองคำว่า ทองคำ ผันผวนมาก หากสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางยังร้อนแรงอาจทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกทดสอบระดับ 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ในเร็วๆนี้ และอาจทำให้ราคาทองในประเทศพุ่งแตะระดับ 45,000 บาทต่อหนึ่งบาททองคำและเป็นขาขึ้นยาว หากสงครามขยายวงเพิ่มขึ้นอีก
อ่านข่าว:
5 จังหวัดรับเงิน 10,000 บาทมากที่สุด โคราชอันดับ 1
นักลงทุนแห่ซื้อ “ทองคำ” หลังกังวลสงครามตะวันออกกลาง
“ทองคำ” บวก 300 บาท เงินบาทอ่อนหนุนราคาพุ่ง
วันนี้ ( 7 ต.ค.2567) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่มิจฉาชีพได้ใช้กลอุบายหลอกลวงภาคธุรกิจและประชาชน โดยแอบอ้างชื่อหน่วยงานราชการเพื่อให้ประชาชนเกิดความหลงเชื่อเปิดช่องทางเชื่อมต่อข้อมูลและบัญชีทางการเงินให้กับมิจฉาชีพจนสูญเสียทรัพย์สินและเงินในที่สุด
ทั้งนี้กรมฯ ไม่มีนโยบายทักหาประชาชนก่อน หากได้รับการติดต่อให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็นมิจฉาชีพ และขอให้ใช้ความระมัดระวังขั้นสูงในการทำธุรกิจ พร้อมแจกคาถา 3 ไม่ ไม่ทักหา ไม่โหลดไลน์ (ปลอม) ไม่เสียเงิน หากเผลอรับให้รีบวางสายทันที
ขอย้ำเตือนประชาชนให้ใช้ความระมัดระวังในการทำธุรกรรมกับผู้ที่ไม่รู้จักไม่กดลิ้งค์หรือกดดาวน์โหลดไฟล์เอกสารใดๆ เพราะอาจเป็นช่องทางที่มิจฉาชีพใช้เชื่อมต่อกับระบบแอปพลิเคชันในโทรศัพท์และควบคุมการทำงานของเโทรศัพท์เพื่อดูดเงินในบัญชีไป
ดังนั้น หากได้รับการติดต่อและใช้ชื่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าหรือนำตราสัญลักษณ์ของกรมฯ ไปใช้ ควรตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนว่าเป็นมิจฉาชีพหรือไม่ ซึ่งกรมฯไม่มีนโยบายทักหาธุรกิจและประชาชนก่อน โดยเฉพาะผ่านช่องทางออนไลน์หรือโซเชียลมีเดีย
สำหรับพฤติกรรมการหลอกลวงของมิจฉาชีพ มักจะแอบอ้างให้ประชาชนหรือธุรกิจเกิดความกลัวโดยแจ้งว่าให้ดำเนินการบางประการ เช่น เร่งอัพเดทข้อมูลนิติบุคคล การตรวจสอบพบความผิดปกติในการทำธุรกิจ เป็นต้น หากไม่ทำตามจะมีโทษทางกฎหมาย พร้อมให้ดาวน์โหลด Line เพื่อเชื่อมต่อข้อมูล หากเหยื่อหลงเชื่อก็จะถูกมิจฉาชีพดูดเงินทางโทรศัพท์ทันที
นอกจากนี้ ยังมีการปลอมหนังสือรับรองนิติบุคคลและเอกสารทางทะเบียนเพื่อหลอกให้เชื่อใจร่วมลงทุนทางธุรกิจ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจทั้งที่ไม่มีการจดทะเบียนนิติบุคคลจริง ขอให้นักลงทุนหรือประชาชนก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนนิติบุคคลจากช่องทางให้บริการของ กรมฯเท่านั้น ได้แก่ แอปพลิเคชัน DBD e-Service และ www.dbd.go.th เลือกหัวข้อ บริการออนไลน์ และ DBD DataWarehouse+
อย่างไรก็ดี ขอความร่วมมือประชาชนที่เคยได้รับการติดต่อจากบุคคลที่สงสัยว่าเป็นมิจฉาชีพหรือได้รับเอกสารปลอม ไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เพื่อหยุดยั้งการกระทำของมิจฉาชีพไม่ให้บุคคลอื่นตกเป็นเหยื่อต่อไป
อ่านข่าว:
สนค. ชี้ แจกเงินหมื่น ช่วยดันยอดขายร้านค้าพุ่ง
รมว.ท่องเที่ยวแจง "เราเที่ยวด้วยกัน" ไม่ทันกระตุ้นเศรษฐกิจสิ้นปี
5 จังหวัดรับเงิน 10,000 บาทมากที่สุด โคราชอันดับ 1
วันนี้ ( 7 ต.ค.2567 ) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือน ก.ย.2567 เท่ากับ 108.68 เทียบกับ ส.ค.2567 ลดลง 0.10% เทียบกับเดือน ก.ย.2566 เพิ่มขึ้น 0.61% เป็นบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6
โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งสูงกว่าช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อน และผักสดบางชนิดได้รับความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่เพาะปลูกสำคัญ แต่ราคาแก๊สโซฮอล์และน้ำมันเบนซินปรับลดลงในทิศทางที่สอดคล้องกับราคาน้ำมันในตลาดโลก ขณะที่สินค้าและบริการอื่น ๆ ราคาส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก และหากรวมเงินเฟ้อ 9 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) เพิ่มขึ้น 0.20%
อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อพื้นฐาน เดือน ก.ย.2567 เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก เพิ่มขึ้น 0.11% เมื่อเทียบกับเดือน ส.ค.2567 และเพิ่มขึ้น 0.77% เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย.2566 เฉลี่ย 9 เดือน ปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) เพิ่มขึ้น 0.48%
นายพูนพงษ์กล่าวว่า คาดการณ์เงินเฟ้อเดือน ต.ค.2567 จะอยู่ที่ 1.25% ส่วนทั้งไตรมาส 4 จะอยู่ที่ประมาณ 1.49% โดยปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น มาจากราคาน้ำมันดีเซลที่กำหนดเพดานไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 30 บาทต่อลิตร ผลกระทบจากน้ำท่วมในบางพื้นที่ ทำให้ราคาผักสดปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็เป็นเพียงระยะสั้น สินค้าและบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวมีแนวโน้มสูงขึ้น
โดยเฉพาะค่าตั๋วเครื่องบิน ที่สอดคล้องกับฤดูกาลท่องเที่ยว แต่ก็มีปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อลดลง เช่น ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกต่ำกว่าปีก่อน โดยขณะนี้เฉลี่ย 70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปีก่อนเฉลี่ย 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เงินบาทแข็งค่า ส่งผลให้ต้นทุนสินค้านำเข้าถูกลง โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีสัดส่วนในตะกร้าเงินเฟ้อสูง และผู้ประกอบการค้าส่งค้าปลีกรายใหญ่ จะจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดต่อเนื่อง หลังภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกไปแล้ว
ส่วนการแจกเงิน 10,000 บาท ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ สนค.ได้มีการสำรวจร้านค้า 133 ร้านค้าทั่วประเทศ เช่น ร้านหน่ายข้าวสาร เนื้อสัตว์ ผลไม้ และร้านขายของชำ พบว่า ยอดจำหน่ายสินค้าภายในร้านเพิ่มขึ้น ร้านค้าที่มียอดขายดีขึ้น แต่ราคาสินค้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น ร้านข้าวสาร ยอดดีขึ้น 65% ร้านขายเนื้อสุกร ยอดเพิ่ม 56 % ร้านไข่ไก่ ยอดขายเพิ่ม 51.5% ร้านขายของชำ ยอดขายดีขึ้น 61.7% ร้านผลไม้ ยอดขายดีขึ้น 51% และร้านไก่สด ยอดขายดีขึ้น 49%
ประชาชนมีกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นแต่ไม่ได้มีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น แสดงให้เห็นว่าการแจกเงิน 10,000 บาท ช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางจริง
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2567 จากเดิมระหว่าง 0.0–1.0% ค่ากลาง 0.5% เป็นระหว่าง 0.2–0.8% ค่ากลาง 0.5% ภายใต้สมมติฐาน อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) อยู่ที่ 2.3-2.8% น้ำมันดิบดูไบ 75-85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน 34.5-35.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
ด้าน รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ปลายปีนี้ คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นจากราคาพลังงานและอาหาร จากผลกระทบการขยายวงของสงครามตะวันออกกลาง ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ส่งผลให้เงินเฟ้อรอบนี้จะเป็นเงินเฟ้อสูงจากสงครามและภัยพิบัติทางธรรมชาติ เป็นปัญหาทางด้านอุปทาน เป็น Supply Shocks ราคาสินค้าแพงขึ้นไม่ได้เกิดจากอุปสงค์ร้อนแรงเลย และ อุปสงค์ของโลกก็ยังฟื้นตัวอย่างอ่อนแอโดยเฉพาะในจีน
การแข็งค่าของเงินบาทช่วยบรรเทาแรงกดดันราคาพลังงานและเงินเฟ้อได้เพียงแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น การลดสัดส่วนการใช้จ่ายทางด้านพลังงานต่อจีดีพี การอนุรักษ์และประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมีความสำคัญอย่างยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้
ทั้งนี้การเข้าร่วมสงครามโดยตรงของอิหร่านกับอิสราเอลครั้งนี้ จะตามมาด้วยการมีการตอบโต้กันไปมาทางการทหารและการคว่ำบาตรกันทางเศรษฐกิจขยายวงมากขึ้น หากสงครามลุกลามสู่การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานในการผลิตน้ำมันและส่งออกน้ำมันในอิหร่านและตะวันออกกลางโดยอิสราเอลและพันธมิตร หรือ อิหร่านในฐานะผู้คุมเส้นทางการขนส่งน้ำมันในอ่าวเปอร์เซีย อาจตัดสินใจปิดช่องแคบฮอร์มุซตอบโต้ชาติตะวันตก (เป็นไปได้น้อย)
ไม่ว่าเกิดกรณีหนึ่งกรณีใดเกิดขึ้น คาดการณ์ได้ว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอาจพุ่งทะลุ 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ในเวลาอันรวดเร็ว อาจทำให้ราคาน้ำมันในไทยขึ้นไปอยู่ที่ระดับสูงกว่าหนึ่งเท่าตัวได้ในเวลาอันสั้น
รศ. ดร. อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า หากเกิดการสู้รบกันในบริเวณใกล้ช่องแคบฮอร์มูซ จะส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานโลกรุนแรงเช่นเดียวกัน เพราะ ช่องแคบฮอร์มุซเป็นทางออกมหาสมุทรทางเดียวของบริเวณส่วนใหญ่ของประเทศที่ส่งออกปิโตรเลียมในอ่าวเปอร์เซีย ข้อมูลขององค์การว่าด้วยข้อมูลด้านพลังงานแห่งสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เฉลี่ยในแต่ละวันจะมีเรือบรรทุกน้ำมัน 15 ลำที่บรรทุกน้ำมันราว 16.5 - 17 ล้านบาร์เรลที่เดินทางออกจากช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งทำให้เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในโลก
การขนส่งน้ำมันจากช่องแคบเป็นจำนวน 40% ของการขนส่งทางเรือทั้งหมด และ 20% ของการขนส่งน้ำมันทั่วโลก หากสงครามขยายวงและมีการปิดช่องแคบจะทำให้อุปทานน้ำมันหายไปจากตลาดน้ำมันโลกประมาณ 1 ใน 5 ในทันที จะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไทยนำเข้าพลังงานและน้ำมันจากตะวันออกกลางมากกว่า 50-52% ของการนำเข้าสินค้ากลุ่มทั้งหมดของไทย ดังนั้นไทยอาจต้องสำรองน้ำมันหรือพลังงานเพิ่มกว่าระดับปรกติเพราะอาจมีปัญหาการขาดแคลนพลังงานหรือการชะงักของการขนส่งน้ำมันได้
อ่านข่าว:
นักลงทุนแห่ซื้อ “ทองคำ” หลังกังวลสงครามตะวันออกกลาง
ผู้ส่งออกห่วง "ข้าวไทย" ราคาร่วง อินเดียยกเลิกแบนส่งออก
"Future Food" โปรตีนแมลงทหารเสือ ทางเลือกใหม่"คนรักสุขภาพ"