"คลัง"ชี้เศรษฐกิจฟื้น ปรับ GDP ปี 67 จาก 2.4% ขยับเป็น 2.7%

Fri, 26 Jul 2024 16:57:31

วันนี้ (26 ก.ค.2567) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.7% ปรับเพิ่มจากประมาณการครั้งก่อน ณ เดือนเม.ย. อยู่ที่ 2.4% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยได้รับแรงสนับสนุนเนื่องจาก 3 ปัจจัยสำคัญ

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง

ได้แก่ การส่งออกสินค้ามีสัญญาณขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดการณ์ซึ่งคาดว่าจะขยายตัว 2.7% เพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนที่ 2.3% จากอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าสำคัญขยายตัวได้ดีขึ้นโดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา จีน และยูโรโซน โดยมีการปรับตัวขึ้นของ GDP ประเทศคู่ค้า 15 ประเทศหลักที่ 3.2% เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนที่ 3.1%

ภาคการท่องเที่ยวที่โตอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวน และรายได้ที่ได้รับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศสูงกว่าที่คาดการณ์ สะท้อนผลตอบรับที่ดีจากมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (วีซ่าฟรี) ให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีรายจ่ายต่อหัวสูง

ปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 36 ล้านคน ขยายตัวสูงต่อเนื่องที่ 27.9% ต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนที่ 35.7 ล้านคน

รมช.คลังกล่าวอีกว่า รายจ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวคาดอยู่ที่ 47,000 บาท/คน/ทริป เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนที่อยู่ที่ 44,600 บาท/คน/ทริป โดยรวมภาคการท่องเที่ยวทั้งปี 2567 คาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 1.69 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.4% จากปีก่อน

 

และปัจจัยหนุนสุดท้าย คือ การเบิกจ่ายภาครัฐที่ดีกว่าที่คาดการณ์ และมีทิศทางดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงท้ายของปีงบประมาณ 2567 โดยคาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายได้ 3.24 ล้านล้านบาท คิดเป็น 90% ของงบประมาณทั้งหมดแบ่งเป็นรายจ่ายประจำที่คาดว่าจะทำได้ 99.5% และรายจ่ายลงทุน 57.5% ส่วนรายจ่ายเหลื่อมปีและรายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจคาดว่าจะอยู่ที่ 94% และ 95% ตามลำดับ

ขณะเดียวกัน การบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัว 4.5% เพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนที่ 3.5% ส่วนหนึ่งจากรายได้เกษตรกรขยายตัว 8% และภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริง (Real VAT) ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้การใช้จ่ายและการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 3.6%

ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการทางการคลังและมาตรการด้านสินเชื่อและสภาพคล่องของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.6%

ขณะที่ด้านเสถียรภาพภายในประเทศอยู่ในระดับมั่นคง คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ที่ 0.6% ต่อปี ดุลบริการมีแนวโน้มเกินดุล ตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2567 เกินดุล 11.0 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 2.4% ของ GDP

ทั้งนี้ การประมาณการ GDP ณ เดือน ก.ค. ยังไม่ได้นับรวมผลที่คาดว่าจะได้รับในระบบเศรษฐกิจที่เกิดจากโครงการ Digital Wallet

โครงการดิจิทัลวอลเล็ตมีกระทบผลเชิงบวกที่ไม่สามารถคำนวณเป็นเม็ดเงินหรือเป็นตัวเลขได้ แต่มั่นใจว่าส่งผลช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว 1.2-1.8% ตลอดช่วงระยะเวลาใช้จ่าย 6 เดือน

ทั้งนี้ เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะสามารถเติบโตได้ตามเป้า 3% จากมาตรการอื่นๆ ที่รัฐบาลจะเพิ่มเติมลงไป เช่น สินเชื่อซอฟต์โลนออมสิน มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ มาตรการทางภาษีในการดึงดูดการลงทุน รวมทั้งการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ

อย่างไรก็ตาม ยังควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่าง ๆ ที่เริ่มรุนแรงมากขึ้น อาจเป็นข้อจำกัด และส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เช่น สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอล และอิหร่าน

การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีน และสหรัฐอเมริกา และความกังวลเรื่องข้อพิพาททะเลจีนใต้เกี่ยวกับการอ้างกรรมสิทธิ์หลังมีการซ้อมรบของกองทัพเรือจีน และรัสเซียในบริเวณดังกล่าวซึ่งผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา และทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยด้วย

อ่านข่าว:

เคาะ 2 ล้านราย ลงทะเบียน “ดิจิทัล วอลเล็ต” สัปดาห์หน้า

ส่งออกไทยอืด 6 เดือน ขยาย 2 % สนค.ชี้ เหตุการค้าโลกยังป่วน

อสังหาฯ ชะลอ ฉุดราคาที่ดินเปล่าร่วง “REIC” ชี้ผู้ประกอบการเมินซื้อสะสม


"นอมินี" รุกกวาดเศรษฐกิจไทย เอเลียนสปีชีส์ ยึดพื้นที่ท่องเที่ยว

Fri, 26 Jul 2024 16:18:00

เหตุการณ์การชกต่อย ท้าตี ระหว่างชาวต่างชาติและคนไทย ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ในจังหวัดท่องเที่ยว หลายๆครั้ง ไม่ได้สะท้อนว่า เป็นเหตุการณ์ คนไทยรังแกชาวต่างชาติอย่างเดียว แต่อีกด้านหนึ่งชี้ให้เห็นว่า จังหวัดท่องเที่ยวดังๆ กลายเป็นพื้นที่ถูกยึดครองจากนักท่องเที่ยวสัญชาติ ต่าง ๆ ที่เข้ามาท่องเที่ยวและลงทุนทำธุรกิจอยู่ในพื้นที่

ข้อมูลจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ล่าสุด ระบุว่า ในปี 2567 มีการตรวจสอบธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคลที่มีลักษณะนอมินี หรือ การให้คนไทยถือหุ้นแทนคนต่างด้าวเพื่อหลีกเลี่ยงการขออนุญาตประกอบธุรกิจตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 พบว่า มีจำนวน 26,000 ราย

ส่วนใหญ่เข้ามาทำธุรกิจท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและรีสอร์ต เบื้องต้นล็อคเป้า 9 จังหวัดเป้าหมายท่องเที่ยวที่สุ่มเสี่ยงจะมีทุนเทาเข้ามาครอบครองพื้นที่ คือ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ชลบุรี ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และกรุงเทพฯ

จากการคัดกรองเชิงลึกของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า 6 จังหวัดเป้าหมาย มี ชลบุรี เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี กทม. ประจวบฯที่มีกลุ่มทุนเทาเข้าข่ายนอมินี โดยขณะนี้กรมฯได้ออกหนังสือขอดูหลักฐานเพิ่มเติม

จังหวัดท่องเที่ยว เป้าหมาย นอมินีทุน “ยุโรป จีน อินเดีย ปากีสถาน”

ไทยพีบีเอส ออนไลน์ ตรวจสอบข้อมูลธุรกิจที่เข้าข่ายในลักษณะนอมินี ย้อนหลัง ตั้งแต่ปี 2558-2565 โดยปี 2558 พบเข้าข่าย 13 ราย , ปี 2559 เข้าข่าย 15 ราย , ปี 2560 เข้าข่าย 4 ราย , ปี 2561 เข้าข่าย 2 ราย , ปี 2562 เข้าข่าย 4 ราย , ปี 2563 เข้าข่าย 5 ราย และปี 2565 เข้าข่าย 3 ราย ซึ่ง ทั้งหมด ได้ส่งให้ ดีเอสไอ ตรวจสอบเชิงลึกไปแล้ว และได้ ดำเนินคดี ความผิดเกี่ยวกับนอมินีแล้วรวม 66 ราย

โดยปี2564 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบ พฤติกรรมของกลุ่มทุน ที่อาจเข้าข่ายเป็นความผิดนอมินี มากสุดถึง 145 ราย เป็นธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง 44 ราย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเกี่ยวเนื่อง 89 ราย ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท 3 ราย และ ธุรกิจบริการ 9 ราย

ปี2566 ดำเนินคดีแค่ 8 ราย จากผลตรวจปี2566 จำนวน 15,000 ราย ตรวจเชิงลึกพบ 400 รายที่ส่อจะเข้าข่าย แต่สุดท้ายจับได้ 8 ราย ส่งดำเนินคดีแล้ว

ส่วนปี2567 ข้อมูลจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เอาจริงเอาจังในการกวาดล้างทุนเทา สามามรถ ดำเนินคดี ผู้ต้องหาได้ 231 ราย ในฐานะนิติบุคคล จำนวน 96 ราย ในฐานะบุคคล จำนวน 135 คน แยกเป็นผู้ต้องหาชาวต่างชาติที่ จำนวน 98 คน ประกอบด้วย ชาวรัสเซีย 67 คน ชาวจีน 4 คน ชาวยูเครน 3 คน ชาวอินเดีย 3 คน และสัญชาติอื่นๆ อีก 21 คน ในฐานความผิด พรบ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 และยังมีผู้ต้องหาชาวไทย จำนวน 37 ราย

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตรวจสอบอย่างเข้มข้น โดยล็อกเป้าจังหวัดท่องเที่ยวเป็นหลัก เช่น ที่จ.เชียงใหม่ มีการสอบเชิงลึกจำนวน 34 ราย แต่เบื้องต้นไม่พบความผิดตามพ.ร.บ. ต่างด้าวฯ แต่เหลืออีก 52 ราย ที่ต้องลงพื้นที่ตรวจสอบเพิ่มเติม

ส่วนที่จ.ภูเก็ต พบว่า 52 รายที่เข้าข่าย โดย 7 รายที่ยังไม่พบความผิดปกติ ขณะที่เขตกรุงเทพฯ ย่าน รัชดา ห้วยขวาง ปากคลองตลาด จากการลงพื้นที่ พบว่า 22 ราย ยังไม่พบความผิดปกติเช่นกัน และในพื้นที่กรุงเทพฯ มีเพียง 7 รายที่ยื่นเอกสารหลักฐานการถือครองหุ้นส่วน ซึ่งได้มีการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อตรวจสอบเชิงลึกแล้ว

นอกจากนี้ ยังได้มีการคัดกรองข้อมูลนิติบุคคลกลุ่มเสี่ยงเบื้องต้น ซึ่งกลุ่มเป้าหมายเน้นธุรกิจท่องเที่ยว และเกี่ยวเนื่อง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม/รีสอร์ท และโลจิสติกส์ โดยได้ออกหนังสือให้นิติบุคคลชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและการลงทุน รวม 6 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ชลบุรี ภูเก็ต ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานีและกรุงเทพมหานคร รวม 495 ราย

สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักที่กรมจะเร่งลงพื้นที่ตรวจสอบในปีนี้ มีจำนวน 392 ราย และจะตรวจสอบเพิ่มเติมอีก 103 ราย แบ่งเป็น เป้าหมายของกรมฯ 29 ราย, ธุรกิจท่องเที่ยวตาม MOU จำนวน49 ราย และกลุ่มเป้าหมายหน่วยงานพันธมิตร จำนวน 25 ราย

อย่างไรก็ตามกรมฯได้ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานประกอบการแล้ว 8 ครั้งใน 6 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต กรุงเทพฯ ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และสุราษฎร์ธานี เหลือในเขตกรุงเทพมหานคร คาดว่าจะลงพื้นที่ตรวจสอบในช่วงเดือนส.ค. นี้

จากข้อมูลยังพบอีกว่า นักลงทุน 6 อันดับแรกที่เข้ามาลงทุนในไทย ได้แก่ 1.จีน 2.รัสเซีย 3.อังกฤษ 4.ฝรั่งเศส 5.เกาหลีใต้ และ 6.อินเดีย โดยธุรกิจที่ตรวจพบมีหลากหลายประเภทธุรกิจ ซึ่งกรมฯจะเน้นตรวจสอบธุรกิจตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.ต่างด้าว และคนต่างด้าวสนใจลงทุน ได้แก่ ธุรกิจซื้อขาย ให้เช่า อสังหาริมทรัพย์ นายหน้าตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจท่องเที่ยว ร้านอาหาร เป็นต้น

นางอรมณ กล่าวว่า ปัญหานอมินิในการธุรกิจท่องเที่ยว ทั้งที่ เชียงใหม่ ชลบุรี สุราษฎร์ ภูเก็ต ชลบุรี พัทยา ที่มีกลุ่มทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มทุนจากรัสเซีย หรือกลุ่มทุนจากยุโรป กลุ่มทุนจีน ที่ รวมถึงกลุ่มทุน อินเดียและปากีสถานที่ลงทุนกระจายทั่วพื้นที่ของจังหวัดท่องเที่ยวหลักๆของไทย ซึ่เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหาการเข้ามาถือครองอย่างไม่เป็นธรรมและป้องกันไม่ให้เข้ามาสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจไทย

เครือข่ายใหญ่ไทย รัสเซีย-จีน แบ่งโซนสัมปทาน

แหล่งข่าวจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว กล่าวว่า ธุรกิจที่กลุ่มทุนเหล่านี้เข้ามาลงทุน ส่วนใหญ่จะเป็น ธุรกิจบันเทิงและร้านอาหาร ร่วมถึงอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในอดีตเป็นกลุ่มรัสเซีย แต่ปัจจุบันมีหลากหลายกลุ่ม ทั้ง กลุ่มทุนจีน อินเดีย ยุโรป เข้ามาทั้งหมด ซึ่งกลุ่มที่เข้ามาแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน เช่น จ.ภูเก็ต ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มรัสเซีย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพเพราะเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว

โดยจะจะมีศูนย์กลางที่เป็นเครือข่าย กลุ่มจีน รัสเซีย ปากีสถาน เรียกตัวเองว่า “แก็ง” คุมพื้นที่ต่างๆแม้ว่าจะมีไม่ถึง 10 กลุ่ม แต่ก็สร้างความเสียหายให้กับคนในพื้นที่รวมถึงเศรษฐกิจในพื้นที่ด้วย ซึ่งพบว่ามีคนไทยที่มีความเชื่อมโยงในกลุ่มทุนหลายกลุ่ม มีการแบ่งโซนรับผิดชอบ ซึ่งจะมีบริษัทรับทำบัญชีที่จะทราบดี มีการชิงพื้นที่ และรู้ว่าจะติดต่อใครได้

กลุ่มจีนเทาที่เข้ามาลงทุนในไทย คือ คนกลุ่มนี้จะเข้ามาสร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจไทยเช่นในอดีต อย่าง ทัวร์ศูนย์เหรียญที่เคยสร้างความเสียหายให้กับระบบท่องเที่ยวของไทยที่กำลังกลับมาอีกครั้ง

ข้อมูลจากกองธุรกิจ พบว่า เม็ดเงินที่ทุนจีนเข้ามาจดทะเบียนใหม่ในช่วง 3 ปี พบว่า ในปี 2566 เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ทั้ง 3 จังหวัด คือ ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต โดยเพิ่มสูงสุดใน ชลบุรี เพิ่มขึ้นเป็น 846 ล้านบาท

ขณะที่ทุนรัสเซีย พบว่า นับตั้งแต่ช่วงปี 2562 จนถึง ปลายเดือนเม.ย.ปีนี้ ชาวรัสเซียเดินทางเข้ามาใน จ.ภูเก็ต สูงถึง 92,764 คน จากจำนวนชาวรัสเซียที่เดินทางเข้ามาในจังหวัดต่างๆประเทศไทย 115,329 คน หรือคิดเป็นจำนวน ร้อยละ 81 เมื่อเทียบกับชาวรัสเซียที่เดินทางเข้ามาในจังหวัดอื่นๆ

 ชาวรัสเซีย ที่เข้ามาจดทะเบียน มีจุดประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่สงวนไว้ให้กับคนไทย

ข้อมูลการขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทฯ จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า มีสถิติสูงขึ้น นับตั้งแต่ปี 2559 - 2565 โดยมีชาวรัสเซียยื่นจดทะเบียนก่อตั้งบริษัทในพื้นที่ภูเก็ต เฉลี่ย 30 บริษัทต่อปี แต่เมื่อเทียบกับช่วงปี2566 จนถึงเดือนมี.ค.ปีนี้ พบว่า มีชาวรัสเซียจดทะเบียนบริษัทเพิ่มสูงถึง 1,603 บริษัทถือว่าสูงขึ้นกว่า 50 เท่า และ บริษัทฯส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ต

สำหรับ สัดส่วนการลงทุนจากสัญชาติรัสเซีย ปี 2566 เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จาก 3 จังหวัด คือ ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต โดยเพิ่มสูงสุดในภูเก็ต มูลค่าเพิ่มขึ้น 29.38 ล้านบาทและยังพบอีก 4 จังหวัด คือ ชลบุรี กระบี่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี มีการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนการลงทุนของต่างชาติเทียบกับไทยสูงขึ้นในทุกๆปี ตั้งแต่ 2564-2567

จากการลงพื้นของเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในจังหวัดท่องเที่ยว พบว่า มี 37 คน ในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ 35 คน ที่สมุย โดยมี 4 คนที่เข้าข่ายเป็นนอมินีอย่างชัดเจน ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในธุรกิจเช่า/ซื้อสังหาริมทรัพย์ นายหน้า ธุรกิจท่องเที่ยว

ขายชื่อ “จดทะเบียนธุรกิจ -ถือหุ้น” พฤติการณ์นอมินีไทย

สำหรับพฤติกรรมคนไทยที่ยอมให้นักลงทุนต่างชาติใช้ชื่อไปจดทะเบียนธุรกิจ จะได้ค่าตอบแทนเป็นเงิน 3,000 บาทต่อปีต่อหนึ่งบริษัท บางรายอาจจะใช้ชื่อจดทะเบียนบริษัทมากกว่า 10 แห่งขณะที่นายหน้าหรือกรรมการผู้ถือหุ้นบริษัทบัญชีจะได้ค่าตอบแทน 3-5 หมื่นบาทต่อบริษัท

และอีกรูปแบบ คือ ชาวต่างชาติที่ถือวีซ่าท่องเที่ยว จะติดต่อ นายหน้าให้จดทะเบียนบริษัท หรือ ใช้ชื่อบริษัท ที่นายหน้าจดทะเบียนจัดตั้งไว้ แต่ไม่มีการประกอบกิจการจริง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทคนไทยถือหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้กรรมการคนไทยรับรอง ยื่นของ Visa non-b และนำไปขอ work permit ให้กับต่างชาติกลุ่มนี้ ต้องการได้รับสิทธิ์อยู่ในประเทศไทย 1 ปี และ เปิดบัญชีธนาคารได้หรือมี Digital wallet

คนไทยที่เป็นนอมินี สังเกตได้ไม่ยาก พฤติกรรมที่พบ คือ เป็นพนักงานบริษัทรับทำบัญชี รวมไปถึงเครือญาติ เข้าไปนั่งเป็นกรรมการผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 51 ต่อ 49 บางรายถือหุ้นถึง 130 บริษัทฯซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ถ้าเทียบกับพฤติกรรมหลายๆอย่างๆ

กฎหมายไทย โทษไม่แรง เปิดช่องสมยอม

นางอรมน กล่าวว่า การกระทำความผิดนอมินีส่วนใหญ่เกิดจากคนไทยยอมรับผลประโยชน์ หรือสมยอม หรือมีที่ปรึกษา กฎหมาย/สำนักงานบัญชีแนะนำ ขอย้ำให้คนไทยระมัดระวังและอย่าให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือ ถือหุ้นแทนคนต่างด้าวเพื่อให้คนต่างด้าวสามารถประกอบธุรกิจ

อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 - 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังมีโทษปรับรายวันอีกวันละ 10,000 - 50,000 บาท จนกว่าจะเลิกฝ่าฝืน

ซึ่งที่ผ่านมากรมได้ร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรในการแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจท่องเที่ยว ระหว่าง 6 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการท่องเที่ยว สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมสอบสวนคดีพิเศษ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

มีการลงนามใน MOU ร่วมกัน เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2566 ที่ผ่านมา เพื่อให้การดำเนินงานด้านการประสานแลกเปลี่ยนข้อมูล การกำกับดูแลและการป้องปราม การส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยว และการจัดศูนย์ปฏิบัติการร่วมแก้ไขปัญหามีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น และจะมีการหารือร่วมกันในแผนการปฏิบัติงานร่วมกันต่อไป

ปัญหาการถือครองทรัพย์สินแทนต่างชาติยังคงฝั่งรากลึกอยู่ในสังคมไทย ตราบใดที่คนไทยบางส่วนยังคงเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนอยู่และเจ้าหน้าที่รัฐบางคนที่ฉวยโอกาสช่องโหว่ทางกฎหมาย เปิดทางให้กลุ่มทุนเทาเข้ามาหาผลประโยชน์ในไทยอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ ยากที่จะหาทางออกได้

อ่านข่าว:

ไทยเนื้อหอม 6 เดือน เงินลงทุนพุ่ง 4.5 แสนล้าน บีโอไอเร่งโรดโชว์

น่าห่วง! 500 ธุรกิจสมุนไพรเสี่ยงปิดยังไม่ผ่าน GMP

เช็ก! เงื่อนไข "ดิจิทัลวอลเล็ต" ขั้นตอนลงทะเบียน "ทางรัฐ"

 


ส่งออกไทยอืด 6 เดือน ขยาย 2 % สนค.ชี้ เหตุการค้าโลกยังป่วน

Fri, 26 Jul 2024 15:32:00

วันนี้ (26 ก.ค.2567) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า ปัจจุบันบรรยากาศการค้าโลกเริ่มมีความวิตกกังวลต่อแนวโน้มการใช้มาตรการกีดกันทางการค้า ทั้งยังมีความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งในหลายประเทศ นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี เช่น การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า ยังส่งผลให้ความต้องการของเครื่องยนต์สันดาปฯ หดตัวลงอย่างชัดเจน

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกของไทยครึ่งแรกของปี 2567 การส่งออก มีมูลค่า 145,290.0 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 2.0 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 150,532.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 3.0 ดุลการค้าครึ่งแรกของปี 2567 ขาดดุล 5,242.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เฉพาะเดือนมิ.ย. มีมูลค่า 24,796.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ติดลบร้อยละ 0.3 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 24,578.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 0.3 ดุลการค้า เกินดุล 218.0 ล้านเหรียญสหรัฐ

โดยการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร กลับมาติดลบ ในรอบ 3 เดือน ที่ร้อยละ 3.3 ซึ่งสินค้าสำคัญที่ส่งออกติดลบ เช่น ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง น้ำตาลทราย เครื่องดื่ม เป็นต้น ส่วนสินค้าเกษตรที่ส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าว ยางพารา ไก่แปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ เป็นต้น

ขณะที่การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม กลับมาขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน ที่ร้อยละ 0.3 มีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ

ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว เช่น ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 54.2 หดตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ครึ่งแรกของปีการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว ร้อยละ 2.0

สำหรับตลาดส่งออกสำคัญ เช่น สหรัฐฯ CLMV ตะวันออกกลาง และลาตินอเมริกา ยังคงติดลบ เล็กน้อยตามความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า แต่มีบางตลาดที่ยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้ (1) ตลาดหลัก หดตัวร้อยละ 1.3 ตามการหดตัวของการส่งออกไปตลาดจีน ญี่ปุ่น และอาเซียน (5)

แต่ขยายตัวต่อเนื่องในตลาดสหรัฐฯ และ CLMV และกลับมาขยายตัวในตลาดสหภาพยุโรป (27) ส่วงนตลาดรอง ขยายตัวร้อยละ 2.5 ในตลาดเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา ส่วนตลาดที่หดตัว เช่น ทวีปออสเตรเลีย รัสเซียและกลุ่ม CIS และสหราชอาณาจักร ตลาดอื่น ๆ

ผอ.สนค. กล่าวถึง แนวโน้มการส่งออกในปี 2567 ว่า จะขยายตัวได้ตามเป้าหมายร้อยละ 1-2  โดยมีปัจจัยบวกจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร และการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลที่สนับสนุนความต้องการสินค้าที่เกี่ยวข้อง ขณะที่มีปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์ภัยแล้งที่ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรออกสู่ตลาดลดลง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่

สงครามกลางเมืองในหลายประเทศ ปัญหาค่าระวางเรือที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจของคู่ค้าบางประเทศฟื้นตัวได้ค่อนข้างล่าช้า รวมถึงการเลือกตั้งในหลายประเทศสร้างความไม่แน่นอนทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอท่าทีนโยบายของรัฐบาลใหม่

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า การส่งออกครึ่งปีแรกทำได้ดีขยายตัวถึง 2% ท่ามกลางปัญหารุมเร้า ส่วนครึ่งปีหลัง น่าจะส่งออกได้ใกล้เคียงกับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 โดยแต่ละเดือนหากทำได้ 23,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งปี 2567 ก็จะโต 1% แต่หากเพิ่มความพยายามเข้าไปอีกก็จะได้ 2% โดยมีปัจจัยหนุน คือ เงินบาทอ่อนค่า ค่าระวางเรือที่ไม่น่าจะปรับขึ้นสูงไปกว่าปัจจุบัน หลังจากปรับขึ้นจากปกติมาแล้ว 3-4 เท่า และกำลังซื้อของคู่ค้าก็น่าจะเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

 อ่านข่าว:

 เช็ก! เงื่อนไข "ดิจิทัลวอลเล็ต" ขั้นตอนลงทะเบียน "ทางรัฐ"

อสังหาฯ ชะลอ ฉุดราคาที่ดินเปล่าร่วง “REIC” ชี้ผู้ประกอบการเมินซื้อสะสม

เคาะ 2 ล้านราย ลงทะเบียน “ดิจิทัล วอลเล็ต” สัปดาห์หน้า


ศาลสั่ง กทม.-กรุงเทพธนาคม จ่ายหนี้ BTS สายสีเขียว 1.2 หมื่นล้าน

Fri, 26 Jul 2024 11:56:40

วันนี้ (26 ก.ค.2567) ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.2226/2565 ระหว่างบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ผู้ฟ้องคดี) กับกรุงเทพมหานคร กับพวกรวม 2 คน (ผู้ถูกฟ้องคดี) โดยคดีดังกล่าว ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน

คำตัดสินของศาลชั้นต้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วยบางส่วนจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันจ่ายหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวน 2,348,659,232.74 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 2,199,091,830.27 บาท

หนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 2 จำนวน 9,406,418,719.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 8,786,765,195.47 บาท

ตามอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งประกาศโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับเงินกู้สกุลเงินบาท บวกร้อยละ 1 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้แก่ผู้ฟ้องคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น

อ่านข่าว

จ่อฟ้องแพ่งค่าเสียหายคดี สวล."ปลาหมอคางดำ"

เคาะ 2 ล้านราย ลงทะเบียน “ดิจิทัล วอลเล็ต” สัปดาห์หน้า

เช็ก 107 เส้นทางใหม่ ตามแผนปฏิรูปรถเมล์ เริ่มบริการ 25 ก.ค.67


อสังหาฯ ชะลอ ฉุดราคาที่ดินเปล่าร่วง “REIC” ชี้ผู้ประกอบการเมินซื้อสะสม

Thu, 25 Jul 2024 16:08:00

วันนี้ ( 25 ก.ค.2567) นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนามีการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง มีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจและการลงทุนภายในประเทศที่ฟื้นตัวช้าในช่วงที่ผ่านมา

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

ประกอบกับปัจจัยลบที่สำคัญที่เกี่ยวกับการยกเลิกมาตรการผ่อนปรน LTV ภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงเกินกว่า90 % ของ GDP ภาวะดอกเบี้ยนโยบายยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง 2.50 % รวมถึงสถาบันการเงินได้พิจารณาสินเชื่อด้วยเกณฑ์ที่เข้มงวดมากในปัจจุบัน ส่งผลต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยและการขอสินเชื่อของผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย

ปัจจัยลบดังกล่าวส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เกิดการชะลอตัวมากในช่วงที่ผ่านมา อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความต้องการซื้อที่ดินเพื่อสะสมลดลง เนื่องจากผู้ประกอบการจะต้องมีต้นทุนการถือครองที่ดินจากการจ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

โดยในปี 2567 รัฐไม่มีมาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อีกทั้งผู้ประกอบการบางส่วนได้ขยายตลาดออกไปยังจังหวัดหลักในภูมิภาคอื่น จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อุปสงค์ของที่ดินในกรุงเทพฯ - ปริมณฑลโดยรวมชะลอตัวลงด้วย

ทั้งนี้ รายงานดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ไตรมาส 2 /67 มีค่าดัชนีเท่ากับ 398.2 จุด เพิ่มขึ้น  5.8 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  แต่ลดลง2.4 % เมื่อเทียบกับไตรมาส1/67หน้าซึ่งแสดงให้เห็นว่า การเติบโตของราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนายังคงมีการปรับตัวขึ้นในทิศทางที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับอัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5 ปี ในช่วงก่อนเกิดวิกฤต COVID-19

นายวิชัย กล่าวอีกว่า ไตรมาส 2 ปี 2567 พบว่า โซนที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) อันดับ 1 ที่ดินโซนนครปฐม ที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินสูงขึ้นร้อยละ 82.1 ,ที่ดินในโซนกรุงเทพชั้นใน เช่น จตุจักร ห้วยขวาง ยานนาวา วัฒนา คลองเตย พญาไท บางคอแหลม ป้อมปราบศัตรูพ่าย บางซื่อ ดินแดง ราชเทวี และบางรัก) ที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินสูงขึ้นร้อยละ 17.8

,ที่ดินในโซนสมุทรสาคร ที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินสูงขึ้นร้อยละ 13.4 ,ที่ดินในโซนตลิ่งชัน-บางแค-ภาษีเจริญ-หนองแขม-ทวีวัฒนา-ธนบุรี-คลองสาน-บางพลัด-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่ ที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินสูงขึ้นร้อยละ 13.3 และเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก ที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินสูงขึ้นร้อยละ 12.6

ราคาที่ดินที่มีการเปลี่ยนแปลงสะท้อนว่า ที่ดินที่อยู่บริเวณพื้นที่ชานเมืองของกรุงเทพฯ และปริมณฑลยังมีการเปลี่ยนแปลงของราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของเมือง จึงทำให้พื้นที่ชานเมืองเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการหาซื้อที่อยู่อาศัยที่มีราคาย่อมเยาลง จึงทำให้ผู้ประกอบการได้เข้าพัฒนาที่อยู่อาศัยในพื้นที่ชานเมืองมากขึ้น

ในขณะที่ราคาที่ดินของโซนกรุงเทพชั้นในเริ่มมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเกิดจากการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ของรัฐและเอกชน ซึ่งมักเป็นรูปแบบโครงการ Mixed-use เนื่องจากที่ดินในบริเวณโซนกรุงเทพชั้นในจะเป็นการซื้อขายที่ดินที่มีขนาดแปลงไม่ใหญ่แต่มีมูลค่าสูง

ข้อมูลสำรวจที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 พบว่า โซนกรุงเทพชั้นในเป็นโซนที่มีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดใหม่เพิ่มขึ้นมากถึง 269.1% ส่งผลให้ทำเลที่เป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญของเมืองมีการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำให้เกิดความต้องการที่ดินมากขึ้น ส่งผลให้ราคาที่ดินสูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะโซนกรุงเทพฝั่งตะวันตก ได้แก่ ตลิ่งชัน-บางแค-ภาษีเจริญ-หนองแขม-ทวีวัฒนา-ธนบุรี-คลองสาน-บางพลัด-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่ ต่อเนื่องไปจนถึงนครปฐม

สำหรับราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในแนวเส้นทางที่มีรถไฟฟ้าผ่านในไตรมาส 2 ปี 2567 พบว่า เส้นทางรถไฟฟ้า 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่มีโครงการรถไฟฟ้าเปิดให้บริการแล้ว และเป็นทำเลที่มีสถานีเชื่อมต่อระหว่างสายรถไฟฟ้าหรือสามารถเดินทางเชื่อมถึงกันได้ง่าย

อ่านข่าว:

เคาะ 2 ล้านราย ลงทะเบียน “ดิจิทัล วอลเล็ต” สัปดาห์หน้า

ไทยเนื้อหอม 6 เดือน เงินลงทุนพุ่ง 4.5 แสนล้าน บีโอไอเร่งโรดโชว์

“ราคาทอง” ร่วงแรง 550 บาท “รูปพรรณ” ขายออก 39,916 บาท

 


เคาะ 2 ล้านราย ลงทะเบียน “ดิจิทัล วอลเล็ต” สัปดาห์หน้า

Thu, 25 Jul 2024 15:06:00

วันนี้ (25 ก.ค.2567) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการลงทะเบียนร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ว่า ในส่วนของร้านค้ามีความชัดเจนแล้วจะมีประมาณ 2 ล้านราย ที่จะเปิดให้มาลงทะเบียน ต้นสัปดาห์หน้า โดยจะมีการแถลงจากกระทรวงพาณิชย์ ให้ทราบความชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์

สำหรับรายละเอียดร้านค้า เบื้องต้น มีของสมาคมค้าปลีก ประมาณ 40,000-50,000 ร้าน ร้านธงฟ้า 150,000 ร้าน ร้านอาหารประมาณ 5,000 ร้าน ร้านของกรมการปกครอง ซึ่งมีหาบเร่ แผงลอยรวมอยู่ด้วยประมาณ 400,000 ร้าน และยังมีในส่วนของนิติบุคคลอีกประมาณ 900,000 ร้าน

นายภูมิธรรมกล่าวอีกว่า ตามกำหนดจะเริ่มจัดการในช่วงเดือนส.ค.-ก.ย. และเวลานี้ได้มีการตรวจสอบทั้งหมดและประสานทุกส่วน โดยจะให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ สพร.เป็นผู้รับรวบรวมเข้าระบบทั้งหมด

จากนั้นก็จะเปิดให้มีการยืนยันตัวตน ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลา 2 เดือนในการขับเคลื่อนเดินหน้าต่างๆ ให้ชัดเจน เชื่อว่า ต.ค. น่าจะจบทั้งหมดและสามารถดำเนินการได้

ส่วนของสินค้า Sensitive List ที่จะใช้ได้หรือไม่ได้ ที่ประชุมได้มีการมอบให้กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้พิจารณาตัดออกหรือนำเข้าสินค้าบางรายการได้ แต่เวลานี้ยังถือว่าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยจากนี้ จะขอดูและบริหารจัดการอีกครั้งหนึ่งก่อน และต้องฟังเสียงประชาชนว่าต้องการอะไร ที่สำคัญต้องดูตามหลักกฎหมายด้วย

อ่านข่าว:

ดิจิทัลวอลเล็ต พายุ (ไม่) หมุน?

เช็ก! เงื่อนไข "ดิจิทัลวอลเล็ต" ขั้นตอนลงทะเบียน "ทางรัฐ"

ดีเดย์ 1 ส.ค.-15 ก.ย.67 ประชาชนลงทะเบียนดิจิทัลวอลเล็ต


เช็ก 107 เส้นทางใหม่ ตามแผนปฏิรูปรถเมล์ เริ่มบริการ 25 ก.ค.67

Thu, 25 Jul 2024 14:19:00

วันนี้ (25 ก.ค.2567) เป็นวันแรกที่ ขสมก. เปิดให้บริการเดินรถในเส้นทางตามแผนปฏิรูป รวมทั้งหมด 107 เส้นทาง และอาจจะมีบางเส้นทางปรับเปลี่ยนตัวเลขใหม่ และการปรับเปลี่ยนเส้นทางเดินรถ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถือเป็นศูนย์กลาง การโดยสารโดยเฉพาะรถเมล์ ยกตัวอย่าง เกาะพหลโยธิน มีรถเมล์สาย 59 (เดิม) เส้นทางรังสิต-สนามหลวง แต่ปัจจุบันจะแยกเป็น 2 เส้นทางใหม่ คือสาย 59 (1-7E) รังสิต-สนามหลวง (ทางด่วน) และสาย 59 (1-8) รังสิต-สนามหลวง จากที่เคยจอดที่เกาะพหลโยธิน เปลี่ยนไปจอดที่เกาะดินแดงแทน รวมถึงสายอื่นๆ ที่เริ่มมีการปรับเปลี่ยนไป

นายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เปิดเผยว่า เส้นทางทั้งหมดก่อนจัดทำแผนปฏิรูปฯ มีประมาณ 269 เส้นทาง ขณะนี้ได้คืนใบอนุญาตและเหลือให้บริการ 113 เส้นทาง แบ่งเป็นเส้นทาง ของ ขสมก. 107 เส้นทาง เส้นทางที่วิ่งแทนเอกชน 3 เส้นทาง และเส้นทางเติมเต็มตามความต้องการของผู้โดยสาร 3 เส้นทาง ซึ่งขณะนี้ก็มีรถวิ่งให้บริการกว่า 2,400 คัน เชื่อว่าเพียงพอกับความต้องการของผู้โดยสาร

นอกจากนี้ ยังมีผู้ให้บริการรถเมล์ ภาคเอกชน หรือบริษัท ไทย สมายล์ บัส ที่ได้รับใบอนุญาตเดินรถอย่างถูกต้องทั้งหมด 123 เส้นทาง ซึ่งมีรถเมล์วิ่งให้บริการแล้วกว่า 2,350 คัน และพร้อมที่จะนำรถเมล์จำนวน 389 คัน ทยอยออกมาวิ่งให้บริการทดแทนผู้ประกอบการรายเดิมที่จะหยุดวิ่งให้บริการจำนวน 14 เส้นทาง

แต่ก็ต้องจับตาหลังจากนี้ ว่าภาพรวมการให้บริการรถเมล์ทั้ง ขสมก. และ เอกชน จะเพียงพอต่อความต้องการตามที่ระบุไว้หรือไม่ เพราะปัจจุบันมีจำนวนผู้โดยสารใช้บริการรถเมล์ เฉลี่ยวันละประมาณ 650,000 - 700,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ผู้โดยสารสับสนปรับเปลี่ยนเส้นทางรถเมล์

รายงานข่าวจากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ขสมก.เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้ามีบางเส้นทางที่ไม่มีผู้โดยสารขึ้นรถเมล์เลย ส่วนหนึ่งมาจากไม่ทราบว่ามีการปรับเปลี่ยนเส้นทางใหม่ และเปลี่ยนเลขสายรถเมล์ใหม่ ตามแผนปฏิรูปรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีเส้นทางต่อเนื่อง จำนวน 107 เส้นทาง

ผู้โดยสารส่วนใหญ่ บอกว่า การปฏิรูปเส้นทางรถเมล์ เป็นสิ่งที่ดี แต่ช่วงแรกก็เกิดความสับสน จึงควรมีการประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจกับผู้ใช้บริการให้มากกว่านี้ เพราะประชาชนหลายกลุ่มยังไม่เข้าใจ โดยเฉพาะผู้สูงวัย ที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยี

โดย ขสมก.ได้แก้ปัญหาโดยยังคงเดินรถเส้นทางเดิม ควบคู่กับเส้นทางปฏิรูปที่มีการเปลี่ยนแปลงเส้นทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ และให้ผู้ใช้บริการได้ปรับตัว และจะหยุดวิ่งเส้นทางเดิมตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค.นี้เป็นต้นไป

ด้านนายวรวิทย์ ชาญชญานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด กล่าวว่า ถือว่าการให้บริการในช่วงเช้าไม่ได้มีปัญหา และสามารถให้บริการได้ตามปกติ แต่ยอมรับว่ามีเรื่องร้องเรียนจากผู้โดยสารว่า สาย 77 เดิม (3-45) หมอชิตใหม่-เซ็นทรัลพระราม 3 และสาย 165 เดิม (4-56) บรมราชชนนี-สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี รอรถเมล์นาน และวันนี้จะเป็นวันแรกที่จะเริ่มให้บริการรถกะสว่างเพื่ออำนวยความสะดวกผู้โดยสารในการเดินทาง

107 เส้นทางของ ขสมก. ตามโครงการปฏิรูปรถเมล์

สำหรับผู้ใช้บริการสามารถชำระค่าโดยสารผ่านช่องทาง

6 เดือนแรกปีนี้พบร้องเรียนเรื่อง ระบบขนส่งสาธารณะ อันดับ 3

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เผยสถิติเรื่องร้องเรียน ช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ พบว่า ระบบขนส่งสาธารณะ ติดอันดับ 3 ที่พบปัญหาเยอะที่สุด มีจำนวน 65 เรื่อง รองจาก อันดับ 1 คือปัญหาสินค้าและบริการ และอันดับ 2 เป็นปัญหาการเงินการธนาคารและประกัน

แต่หากเจาะไปที่ระบบการขนส่งสาธารณะประเภทรถเมล์โดยสารประจำทางในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร พบว่า มักจะประสบปัญหาประชาชนเกิดความสับสนเรื่องเส้นทาง เนื่องจากป้ายรถเมล์บางจุด ไม่มีการปรับเปลี่ยนข้อมูลเส้นทางที่แสดงบนป้าย ทำให้ผู้ใช้บริการเกิดความเข้าใจผิด รวมถึงตัวเลขรถเมล์บางเส้นทางที่มีการปรับเปลี่ยนใหม่ ตามแผนปฏิรูปรถเมล์ ขสมก. โดยกรมการขนส่งทางบก

อ่านข่าว :

ดิจิทัลวอลเล็ต พายุ (ไม่) หมุน?

น่าห่วง! 500 ธุรกิจสมุนไพรเสี่ยงปิดยังไม่ผ่าน GMP

โพล เผย คนกรุงส่วนใหญ่ มองควรใช้เลขสายรถเมล์เดิม


ไทยเนื้อหอม 6 เดือน เงินลงทุนพุ่ง 4.5 แสนล้าน บีโอไอเร่งโรดโชว์

Thu, 25 Jul 2024 14:16:33

วันนี้ ( 25 ก.ค.2567) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในไทยมีแนวโน้มที่ดีและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค. – มิ.ย. 2567) การส่งเสริมการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นในทุกขั้นตอน ทั้งการขอรับการส่งเสริม การอนุมัติให้การส่งเสริม การออกบัตรส่งเสริม และเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ

โดยตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 มีจำนวน 1,412 โครงการ เพิ่มขึ้น 64% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 458,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% สะท้อนถึงศักยภาพและพื้นฐานที่ดีของประเทศไทย ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อนโยบายรัฐบาล รวมทั้งผลจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอและหน่วยงานภาครัฐ

กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มูลค่า 139,725 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 39,883 ล้านบาท เกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 33,121 ล้านบาท ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มูลค่า 25,344 ล้านบาท และดิจิทัล มูลค่า 25,112 ล้านบาท ตามลำดับ

โดยมีการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น กิจการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ได้แก่ การผลิต Wafer, การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์, การประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์และวงจรรวม 10 โครงการ เงินลงทุนรวม 19,543 ล้านบาท กิจการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (Printed Circuit Board: PCB) 31 โครงการ เงินลงทุนรวม 39,732 ล้านบาท เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีบางกิจการที่เงินลงทุนไม่สูง แต่ส่งผลอย่างมากต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพราะเป็นกิจการฐานความรู้ และเป็นกิจการสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ เช่น กิจการพัฒนาซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล หรือดิจิทัลคอนเทนต์ 59 โครงการ เงินลงทุนรวม 812 ล้านบาท

กิจการสนับสนุนการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ การวิจัยและพัฒนา การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ การออกแบบทางวิศวกรรม บริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ และบริการสอบเทียบมาตรฐาน 13 โครงการ เงินลงทุนรวม 805 ล้านบาท

สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 889 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 83 เงินลงทุนรวม 325,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% ประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ 90,996 ล้านบาท จีน 72,873 ล้านบาท ฮ่องกง 39,553 ล้านบาท ญี่ปุ่น 29,987 ล้านบาท และไต้หวัน 29,453 ล้านบาท

ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนของสิงคโปร์ที่สูงขึ้น เกิดจากการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทสิงคโปร์ที่มีบริษัทแม่เป็นสัญชาติจีนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก 211,569 ล้านบาท รองลงมา ภาคกลาง 179,332 ล้านบาท ภาคเหนือ 32,972 ล้านบาท ภาคใต้ 15,694 ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 14,087 ล้านบาท และภาคตะวันตก 4,705 ล้านบาท

สำหรับการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 1,451 โครงการเพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุนรวม 476,276 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% ประโยชน์ของโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนเหล่านี้ คาดว่าจะเพิ่มมูลค่าการส่งออกของประเทศอีกกว่า 1.3 ล้านล้านบาท/ปี โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังเพิ่มการใช้วัตถุดิบในประเทศกว่า 4.9 แสนล้านบาท/ปี และเกิดการจ้างงานคนไทยกว่า 1 แสนตำแหน่ง

ในส่วนของการออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด เพิ่มขึ้นมากเช่นเดียวกัน โดยมีจำนวน 1,332 โครงการ เพิ่มขึ้น 56 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุนรวม 438,733 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87 %ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนจริงในช่วง 1 - 2 ปีข้างหน้า ส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป

นายนฤตม์ กล่าวอีกว่า ส่วนครึ่งปีหลัง ทิศทางการลงทุนโลกยังคงมีแนวโน้มเคลื่อนย้ายการลงทุนและการปรับซัพพลายเชนทั่วโลก จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญของไทยที่ต้องช่วงชิงการลงทุนมาให้ได้

โดยบีโอไอจะให้ความสำคัญกับการบุกเจาะกลุ่มเป้าหมายเชิงรุก และส่งเสริมให้เกิดการลงทุนปรับโครงสร้างการผลิต เพื่อให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้นโดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 มีคำขอตามมาตรการนี้จำนวน 192 โครงการ เพิ่มขึ้น 35% เงินลงทุนรวม 19,966 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 160%

อ่านข่าว:

 “ราคาทอง” ร่วงแรง 550 บาท “รูปพรรณ” ขายออก 39,916 บาท

ดิจิทัลวอลเล็ต พายุ (ไม่) หมุน?

เช็ก! เงื่อนไข "ดิจิทัลวอลเล็ต" ขั้นตอนลงทะเบียน "ทางรัฐ"


“ราคาทอง” ร่วงแรง 550 บาท “รูปพรรณ” ขายออก 39,916 บาท

Thu, 25 Jul 2024 10:04:50

วันนี้ (25 ก.ค.2567) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" วิเคราะห์ภาพรวมเคลื่อนไหวที่ผ่านมา พบว่า ราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวน โดยราคาทองคำปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน 2,430 ดอลลาร์ จากปัจจัยหนุนที่อินเดียได้ลดภาษีนำเข้าทองคำจาก 15% เหลือ 6% อย่างไรก็ตาม มีแรงเทขายออกมา ภายหลังดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.ค.ดีเกินคาด

ทั้งนี้ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม สหรัฐจะเปิดเผยจีดีพีไตรมาส 2 ประมาณการครั้งที่ 1 ซึ่งตลาดคาดว่าจะขยายตัว 2 % ของจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมิ.ย. คาดเพิ่มขึ้น 0.3% จาก 0.1% ในเดือนพ.ค.

“ฮั่วเซ่งเฮง” วิเคราะห์ราคาทองคำเกิดแรงเทขายออกมาเมื่อคืนนี้ และอาจยังมีแรงเทขายออกมาต่อเนื่อง หากหลุด 2,380-2,385 ดอลลาร์ มีโอกาสที่จะปรับตัวลงได้ต่อสู่แนวรับ 2,360 ดอลลาร์ ทั้งนี้ อาจเปิดสถานะขายบริเวณที่ 2,405-2,410 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,420 ดอลลาร์

สำหรับ ราคาทองคำแท่ง 96.5%แนวรับ : 40,700 และ 40,600 บาทแนวต้าน : 41,100 และ 41,200 บาทระยะสั้นคาดว่าราคาทองคำแท่งปรับตัวลงหลุด 41,000 บาท ทั้งนี้สัญญาณทางเทคนิคของราคาทองคำแท่งยังสังสัญญาณการปรับตัวลง โดยมีโอกาสที่ราคาทองคำแท่งจะปรับตัวลงสู่แนวรับ 40,700 บาท หากเก็งกำไรระยะสั้นสามารถเข้าซื้อบริเวณ 40,500-40,600 บาท และตัดขาดทุนหากหลุดแนวรับสำคัญที่ 41,000 บาท

สำหรับราคาทองวันนี้ ลบ 550 บาทและปรับตัวลดลงอีก 50 บาท (ครั้งที่ 2)  ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 40,750 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 40,650 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 41,250 บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 39,916.28 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,979ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 36.14บาทต่อดอลลาร์

โดยราคาทองรูปพรรณรวมค่ากำเหน็จ 500 บาท มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,588 บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 10,675 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 20,850 บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 41,200 บาท ภาพรวมเดือนก.ค. ราคาทอง บวก 200 บาท

อ่านข่าว:

 “ราคาทอง” ร่วง 50 บาท “รูปพรรณ” ขายออก 41,750 บาท

“ราคาทอง” เช้านี้ ร่วง 100 บาท “รูปพรรณ” ขายออก 41,750 บาท

การเมืองสหรัฐฯ ดันบาท ผันผวน กรุงศรีฯคาดซื้อขาย 30-36.50


ดิจิทัลวอลเล็ต พายุ (ไม่) หมุน?

Wed, 24 Jul 2024 19:47:42

วันนี้ (24 ก.ค.2567) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง แถลงโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญเพื่อส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ และช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ

รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเมื่อเริ่มดำเนินโครงการแล้วจะก่อให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจจำนวน 4 ลูก แต่หากดูในรายละเอียดยังพบคำถามที่ตามมาในแต่ละประเด็น ดังนี้

พายุหมุนลูกที่ 1 การใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้าขนาดเล็ก ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไปยังฐานราก กระจายไปพร้อมกันทุกอำเภอทั่วประเทศ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อน ลดภาระค่าใช้จ่ายแก่ประชาชน

หากดูจำนวน-ประชาชนที่คาดว่าจะเข้าโครงการและลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” บนสมาร์ทโฟน ซึ่งรัฐบาลได้ประมาณการไว้จำนวน 45 ล้านคน ใช้งบประมาณ 4.5 แสนล้านบาท โดยมีจำนวนร้านค้าที่เข้าเกณฑ์มากพอสมควร แต่คำถามคือร้านค้าเหล่านี้จะมาร่วมลงทะเบียนตามเวลานัด 1 ก.ย.นี้ หรือไม่ เพราะเงื่อนไขค่อนข้างยุ่งยาก

เปิดเงื่อนไขการใช้จ่าย "ประชาชน-ร้านค้า" ต้องรู้

หนึ่งในผู้ที่มีสิทธิเข้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต สะท้อนว่า เงื่อนไขยังไม่ครอบคลุม และไม่ได้รับความสะดวก เพราะผู้ที่อยู่ห่างไกลมีเพียงตลาดขนาดเล็ก ซึ่งมีสินค้าไม่ครบถ้วนตามความต้องการ แตกต่างกับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้ตลาดขนาดใหญ่

เช่นเดียวกับหญิงอีกคนที่มีสิทธิในโครงการนี้ แสดงความเห็นต่อเงื่อนไขว่าควรจะใช้ได้ทั่วประเทศ เพราะในระหว่างการท่องเที่ยวสามารถใช้สิทธิซื้อสินค้า และอาหาร รวมทั้งใช้จ่ายระหว่างการเดินทางไปธุระต่างจังหวัดได้

เมื่อมาดูพายุหมุนลูกที่ 2 การใช้จ่ายระหว่างร้านค้าขนาดเล็กกับร้านค้าขนาดใหญ่ ซึ่งมีเป้าหมายร้านค้าขนาดเล็กรายย่อยเข้าร่วมกว่า 1.6 ล้านราย, ร้านค้าที่มีข้อมูลในส่วนกระทรวงพาณิชย์ 9.1 แสนราย, ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง, ร้านอาหารธงฟ้า 5 หมื่นราย, ร้านค้าโชห่วย ร้านอาหาร หาบเร่แผงลอย ตลาดนัด ของกระทรวงมหาดไทย 4 แสนราย, กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ ภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 5 หมื่นราย

แต่ผู้ประกอบการหลายราย ต่างมีความกังวลประเด็นความห่างไกลทุรกันดาร และการจ่ายภาษี ส่งผลให้ตัวเลขร้านค้าขนาดเล็กน้อยลง และตัวเลือกสินค้าของผู้บริโภคลดลงตามไปด้วย นำไปสู่การซื้อสินค้าจากร้านขนาดใหญ่ลดลงเช่นกัน

จำนวนร้านค้าขาดเล็กก็จะมีน้อยลง และผู้บริโภคก็มจะมีสินค้าให้เลือกน้อยลง และนำไปสู่การซื้อของจากร้านค้าขนาดใหญ่ได้ลดลงเช่นกัน

นายนนทกร พงศ์สุขเวชกุล ผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อย อ.ดอยสะเก็ด สะท้อนว่ากำไรที่ได้รับอาจไม่คุ้มกับภาษีที่ต้องจ่าย เช่นเดียวกับผู้ประกอบการร้านกาแฟ ใน จ.ราชบุรี ที่กังวลกับการจ่ายภาษีเช่นเดียวกัน เพราะโครงการนี้มีกติกาค่อนข้างมาก และมีรายละเอียดยิบย่อยที่ประชาชนต้องวางแผนการใช้จ่ายซื้อสินค้า จึงเห็นว่าเป็นเรื่องยากลำบากเกินไป

พายุหมุนลูกที่ 3 การใช้จ่ายระหว่างร้านค้าขนาดใหญ่กับร้านค้าขนาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้เกิดการต่อยอดกำลังซื้อ การบริโภค หรือสร้างโอกาสในการลงทุนเพื่อประกอบอาชีพ จุดนี้ยังต้องสร้างความเข้าใจกับผู้ประกอบการ ไม่เช่นนั้นพายุหมุนลูกนี้จะกลายเป็นไม่มีพลัง

พายุหมุนลูกสุดท้าย ลูกที่ 4 พลังการใช้จ่ายของประชาชนแต่ละคนจะเกิดผลต่อการหมุนเวียนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นทวีคูณ ช่วยฟื้นฟูภาคการผลิตของประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม แน่นอนว่าภาครัฐต้องการให้เกิดตัวทวีคูณในระบบเศรษฐกิจ

พรรคเพื่อไทย เคยประมาณการในเอกสารหาเสียงว่า โครงการนี้จะสร้างผลคูณทางเศรษฐกิจมีค่าตัวทวีคูณกว่า 2-2.5 เท่า และมีผลต่อจีดีพีให้โตขึ้น 1.2-1.8% แต่หลายคนมองว่าอาจจะเป็นตัวเลขที่สูงเกินไป

บางสำนักวิจัยและศูนย์วิจัยจะใช้ตัวเลขตัวทวีคูณอยู่ที่ 0.3 เท่า ซึ่งเป็นตัวเลขที่มีความอนุรักษ์นิยมมากกว่า เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งได้ทบทวนงานวิจัยต่าง ๆ ในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว พบว่า ตัวคูณทวีทางการคลังมีค่าประมาณ 0.3-1.2

ในกรณีประเทศไทย KKP Research คาดการณ์ตัวคูณทวีทางการคลังไว้เพียง 0.4 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เพียง 0.3 โดยประเมินว่าส่วนหนึ่งประชาชนไม่ได้ใช้เงินทั้งหมด บางคนเลือกไม่ใช้หรือใช้ไม่ทันระยะเวลาที่กำหนด ประชาชนบางส่วนอาจไม่ใช้เงินเพื่อซื้อสินค้าใหม่ แต่ใช้เพื่อแทนการใช้จ่ายที่จำเป็นเดิม และสินค้าบางส่วนที่ใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นสินค้านำเข้า นโยบายดังกล่าวคาดว่าจะช่วยเพิ่มการเติบโตของ GDP ไม่มาก

ส่วนซีไอเอ็มบี คาดการณ์ว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ต มีผลต่อจีดีพีเพียง 0.2 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ kkp research คาดว่ามีผลเพียง 0.3 % ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า 0.5 % และสภาพัฒน์ มองไว้ที่ 0.25 %

วิเคราะห์ : ปรัชญ์อร ประหยัดทรัพย์ บรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจ ไทยพีบีเอส

อ่านข่าว : ดีเดย์ 1 ส.ค.-15 ก.ย.67 ประชาชนลงทะเบียนดิจิทัลวอลเล็ต

เช็ก! เงื่อนไข "ดิจิทัลวอลเล็ต" ขั้นตอนลงทะเบียน "ทางรัฐ" 

นายกฯ ส่ง 3 รมต.คลัง แถลงเงินดิจิทัลวอลเล็ต 24 ก.ค. 


น่าห่วง! 500 ธุรกิจสมุนไพรเสี่ยงปิดยังไม่ผ่าน GMP

Wed, 24 Jul 2024 16:12:00

วันนี้ (24 ก.ค.2567) นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร ในสภาอุตสาหกรรม (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สถานการณ์โรงงานในประ เทศไทยปิดตัวลงเกือบ 2,000 แห่ง ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่เดือนก.ค.2566 ถึงเดือนมิ.ย.2567 ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตเกือบ 1 ใน 4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ทำให้แรงงานกว่า 51,500 คน สูญเสียงาน วิกฤตดังกล่าวมีโอกาสลุกลามไปยังภาคการผลิตในอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย

500 โรงงานเสี่ยงปิดไร้มาตรฐาน GMP PIC/S

จากการสำรวจ แม้ว่าอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยยังประคับประคองตัวเองได้อย่างดี เนื่องจากผู้ประกอบการปรับตัวแบบ 360 องศา ทั้งการลงไปจับตลาดใหม่ที่เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว พัฒนาแพ็กเก็จให้มีความโดดเด่นเหมาะแก่การสะสมและเป็นของฝาก พบว่ามีโรงงานอุตสาหกรรมภาคสมุนไพรที่มีความเสี่ยงถูกปิดอยู่เช่นกัน

พบข้อมูลน่าตกใจว่า มีโรงงานผลิตสมุนไพรกว่า 1,000 แห่ง แต่มีโรงงานผลิตสมุนไพร 500 แห่งยังไม่สามารถผ่านมาตรฐาน GMP PIC/S หากถูกปิดตัวลง ไทยจะสูญเสียโอกาสในการผลักดันสร้างผลิตภัณฑ์สมุนไพรมูลค่าสูง 

นายสิทธิชัย กล่าวอีกว่า วิกฤตการปิดตัวของโรงงานในไทย กำลังส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต และแรงงานอย่างหนัก อุตสาหกรรมสมุนไพรไทยยากจะรอดพ้นจากวิกฤตนี้ และอยากให้รัฐเข้ามาช่วยเหลือเร่งด่วน 

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพรในสภาอุตสาหกรรม เสนอแนวทางแก้ไขเพื่อปิดความเสี่ยง 3 มิติ หน่วยงานภาครัฐ ดำเนินการอบรม จัดหลักสูตร รวมถึงจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อช่วยให้โรงงานขนาดเล็กมีโอกาสปรับปรุงให้ได้มาตรฐาน GMP PIC/S

หน่วยงานภาครัฐ เป็นตัวกลางในการจับมือระหว่างโรงงานขนาดใหญ่ที่ได้มาตรฐาน GMP PIC/S ในการให้โรงงานขนาดเล็กเข้าใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นการช่วยเหลือไม่ให้รายย่อยต้องลงทุน ห้องแล็บ ที่ต้องใช้เงินทุนค่อนข้างสูง

สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โรงงานสมุนไพรเหล่านี้มีแหล่งความรู้ที่สามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่น่าสนใจ นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพิ่ม Positive list เพื่อให้ผู้ประกอบการขึ้นทะเบียนสมุนไพรง่ายขึ้น

ตลาดสมุนไพรโตสร้างรายได้ 52,104 ล้านบาท 

สำหรับมูลค่าตลาดสมุนไพรในปัจจุบัน 52,104.3 ล้านบาท มีแนวโน้มการเติบโต 8 % ต่อปี (ข้อมูลล่าสุดจากสภาอุตสาหกรรม) ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเติบโตมาจาก การเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งมีกำลังซื้อสูงและใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จึงนิยมเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติและสมุนไพรความกังวลด้านสุขภาพ คนเริ่มกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาเคมี จึงหันมาใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรมากขึ้น

รวมทั้งสังคมสูงวัย ประชากรโลกมีอายุยืนยาวขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ มากขึ้น ผู้คนจึงมองหาผลิตภัณฑ์สมุนไพรมาช่วยดูแลสุขภาพและป้องกันโรค กระแสการกลับสู่ธรรมชาติผู้คนเริ่มให้ความสนใจกับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติมากขึ้น จึงนิยมใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติและสมุนไพร หากทุกฝ่ายร่วมมือกันผลักดันให้การผลิตเป็นมาตรการเดียวกัน จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยสามารถส่งออกได้มากกว่าปัจจุบันหลายเท่า

 


เช็ก! เงื่อนไข "ดิจิทัลวอลเล็ต" ขั้นตอนลงทะเบียน "ทางรัฐ"

Wed, 24 Jul 2024 13:36:00

สิ้นสุดการรอคอย โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet หลังรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง โดยวันนี้ (24 ก.ค.) ถือว่ามีชัดเจนในเรื่องไทม์ไลน์การลงทะเบียน การใช้เงินในไตรมาส 4 และคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์ รวมถึงขั้นตอนลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ

เปิดลงทะเบียนดิจิทัลวอลเล็ต 

คุณสมบัติประชาชนผู้ได้รับสิทธิ

ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" 

การลงทะเบียนร้านค้า

เบื้องต้นกำหนดไว้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้ จะมีการแถลงข่าวเพิ่มเติมเพื่อแจ้งเกี่ยวกับคุณสมบัติของร้านค้า ช่องทางและวิธีการสมัครเข้าร่วมโครงการฯ และเงื่อนไขอื่น ๆ 

เริ่มการใช้จ่ายในโครงการเมื่อไหร่

เงื่อนไขการใช้จ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต 

การใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้า 

การใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้า

ร้านค้าทุกประเภทสามารถซื้อขายสินค้าระหว่างกันได้ และไม่มีการกำหนดเงื่อนไขว่าต้องเป็นการซื้อขายแบบพบหน้า (Face to Face) จึงซื้อขายสินค้าระหว่างกันได้แม้จะอยู่ต่างพื้นที่ และสินค้าประเภท Negative List  

ขั้นตอนลงทะเบียนยืนยันตัวตนผ่านแอป “ทางรัฐ”

ช่องทางรับข้อมูล Digital Wallet  

(หมายเหตุ) คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ นำเสนอรายละเอียดต่าง ๆ ของโครงการฯ ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในเดือน ก.ค.นี้


ดีเดย์ 1 ส.ค.-15 ก.ย.67 ประชาชนลงทะเบียนดิจิทัลวอลเล็ต

Wed, 24 Jul 2024 10:49:00

วันนี้ (24 ก.ค.2567) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง แถลงข่าวความคืบหน้าโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต ว่า โครงการนี้เริ่มต้นเมื่อวันที่ 11 ก.ย.2566 ที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นนโยบายที่ผ่านการกลั่นกรองและแนวคิดมาเป็นอย่างดีแล้ว พร้อมกล่าวย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องมีนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และน่าจะมีผลต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบเศรษฐกิจ ทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ยังมีโครงการอื่นที่จะทำคู่ขนาน

ทั้งนี้นายพิชัย ยอมรับทุกรัฐบาลต้องสร้างหนี้เพื่อช่วยประชาชน และนโยบายดังกล่าวก็ทำให้รัฐบาลเป็นหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 

นายพิชัย ยังกล่าวว่ากลัวหนี้สาธารณะ แต่กลัวคนไทยประสบปัญหา ร้านค้าประสบปัญหา เพราะเป็นพื้นฐานที่แท้จริง รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน ผู้ประคอง ดังนั้นวินัยการเงินการคลัง รัฐบาลมาอยากเห็นหนี้รัฐเกิน 70 ของจีดีพี ถ้าเศรฐกิจโต รัฐบาลจะดูแลอนาคตนั้นได้

ดูคลิป : ก.คลัง เตรียมใช้แอปฯ “ทางรัฐ” เป็นระบบหลังบ้านใช้เงินดิจิทัล

โครงการเติมเงินตั้งแต่ในอดีต ต้องการแก้ปัญหาที่ฐานราก การเติมเงินต้องไปตั้งต้นกับคนที่มีปัญหา เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น และมีผลต่อการสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ต้องเข้ามือประชาชนให้ทั่วถึง ซึ่งการกระจายตัวไปสู่ 878 อำเภอ การตั้งต้นจากคนที่มีปัญหา ส่วนเรื่องการทำครั้งนี้ผลพลอยได้คือ การวางรากฐานเศรษฐกิจ

ส่วนสาเหตุที่ล่าช้ามาถึง 10 เดือน เนื่องจากระบบที่วางไว้ต้องหาข้อเท็จจริง ต้องดูข้อเสนอแนะจากหลายหน่วยงาน คนที่เป็นห่วงเรื่องความผิดพลาด ดังนั้นจึงมีการแก้ไขปรับเปลี่ยนตลอดเพื่อป้องกันความผิดพลาด และปัญหา

"จุลพันธ์" มั่นใจมีแหล่งเงินเพียงพอ วางเป้า 45 ล้านคน

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวแถลงรายละเอียดของโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ว่า ขอให้มั่นใจว่ามีแหล่งเงินเพียงพอสำหรับการดำเนินโครงการฯ และมีความชัดเจนทุกประการ โดยวางเป้าหมายไว้ว่าจะมีคนเข้าร่วมโคงการ 45 ล้านคนและเตรียมเงินไว้รอราว 450,000 ล้านบาท ซึ่งมีแหล่งเงินนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน

ส่วนแรกคือการบริหารจัดการทางการคลังและการบริหารจัดการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 จำนวน 165,000 ล้านบาท ประกอบด้วย งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมซึ่งเข้าสู่การพิจารณาในชั้น กมธ.ของสภาฯ 122,000 ล้านบาท กับการบริหารทางการคลังและการบริหารจัดการเงินงบประมาณ ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณอีก 43,000 ล้านบาท

ส่วนที่ 2 การบริหารจัดการทางการคลังและงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 จำนวน 285,000 ล้านบาท ประกอบด้วย งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท และการบริหารการคลังและการบริหารการเงินงบประมาณตามวิธี พ.ร.บ.งบประมาณอีก 132,300 ล้านบาท โดยยืนยันว่ามีความพร้อมในการบริหารจัดการงบประมาณเพื่อรองรับการดำเนินโครงการฯ เพิ่มเติมกรณีที่มีจำนวนผู้ร่วมโครงการฯ มากกว่า 45 ล้านคนได้จนเต็มจำนวน

คุณสมบัติของประชาชนที่เข้าร่วมโครงการฯ

1. มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
2. มีสัญชาติไทย
3. มีอายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ปิดรับลงทะเบียนคือวันที่ 15 ก.ย.2567
4. เป็นผู้มีรายได้ไม่เกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566 โดยกรมสรรพากรประมวลผลข้อมูลผู้มีรายได้ 7 วันก่อนเปิดการลงทะเบียน
5. ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันเกินกว่า 500,000 ล้านบาท โดยจะตรวจสอบข้อมูลเงินฝาก 6 ประเภท ได้แก่ เงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ บัตรเงินฝาก ใบรับเงินฝากและผลิตภัณฑ์เงินฝากในชื่อเรียกอื่นใดที่มลักษณะเดียวกัน ทั้งนี้เงินฝากดังกล่าวหมายถึงเงินฝากที่อยู่ในรูปของเงินบาทเท่านั้น และไม่รวมถึงเงินฝากในบัญชีร่วม โดยกำหนดวันในการตรวจสอบสิทธิเงินฝากในวันที่ 31 มี.ค.2567
6. ไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกในเรือนจำ
7. ไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการและโครงการอื่นๆ ของรัฐ
8. ไม่เป็นผู้ที่ฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการและโครงการอื่นๆ ของรัฐ

เคาะเปิดประชาชนลงทะเบียน 1 ส.ค. - 15 ก.ย. , ร้านค้าตั้งแต่ 1 ต.ค.

กำหนดการลงทะเบียนสำหรับประชาชนทั่วไปหรือกลุ่มหลักที่มีสมาร์ตโฟน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. - 15 ก.ย.2567 โดยการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการของประชนจะดำเนินการผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ บนสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นแอปฯ ศูนย์รวมบริการภาครัฐมากกว่า 152 บริการ เรียกได้ว่าเป็นซูเปอร์แอปฯ ของรัฐบาล พร้อมย้ำว่าไม่มีการจำกัดจำนวนประชาชนที่จะเข้าร่วมใช้สิทธิในโครงการฯ ซึ่งประเมินไว้ว่าจะมีราว 45-50 ล้านคน

ส่วนกลุ่มประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน จะเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. - 15 ต.ค.2567 โดยจะมีการตรวจสอบคุณสมบัติ สถานะบุคคลที่อยู่ตามทะเบียนบ้านเช่นกัน สำหรับการใช้จ่ายกลุ่มนี้จะสามารถใช้จ่ายโดยใช้บัตรประชาชน แต่การใช้สิทธิกลุ่มนี้จะมีข้อจำกัดมากกว่า เช่น

1. จะต้องใช้กับร้านค้าที่เปิดบริการของสมาร์ทโฟนในขณะที่มีการแลกเปลี่ยนเท่านั้น เพราะมีความจำเป็นจะต้องยืนยันสถานที่และเป็นการซื้อขายแบบเฟซทูเฟซ

2.ทุกครั้งที่ทำการซื้อขายจะต้องบันทึกภาพของผุ้ที่นำบัตรประชาชนไปใช้ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นเจ้าของบัตรจริง อย่างไรก็ตามอยากแนะนำให้ลงทะเบียนกับสมาร์ตโฟนเป็นอันดับแรกเพราะจะมีความสะดวกมากกว่า

สำหรับร้านค้า กำหนดให้ลงทะเบียนเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2567 เป็นต้นไป ซึ่งรายละเอียนในกลุ่มนี้จะมีการแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะมีร้านค้าเข้าร่วมโครงการฯ ไม่ต่ำกว่า 2,000,000 ร้านค้า โดยแบ่งเป็นกลุ่มนิติบุคคลที่ขึ้นทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) จำนวน 910,000 ร้านค้า, กลุ่มร้านธงฟ้าและร้านอาหารธงฟ้าที่ขึ้นทะเบียนกับ พณ.อีกราว 198,000 ร้านค้า

ส่วนกลุ่มร้านค้าโชว์ห่วย หาบเร่ แผงลอย ร้านอาหาร ร้านตลาดนัด กลุ่มนี้ต้องขึ้นทะเบียนกับกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ซึ่งคาดว่าจะมีเข้ามาร่วมโครงการฯ อีกราว 400,000 ร้านค้า, กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ ซึ่งขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อีกราว 93,000 ร้านค้า, ห้างค้าส่ง ค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งขึ้นทะเบียนกับสมาคมค้าปลีกไทยอีกราว 50,000 ร้านค้า และกลุ่มผู้ผลิต ห้าง ร้านค้าในเครือข่าย ร้านค้าในห้างฯ ซึ่งขึ้นทะเบียนกับสมาคมค้าปลีกไทย อีกกว่า 500,000 ร้านค้า ซึ่งถือเป็นโครงการแรกของรัฐที่ดึงร้านค้ามาร่วมโครงการได้เป็นจำนวนมาก

เงิน 10,000 ใช้จ่ายไตรมาส 4 

ทั้งนี้ จะสามารถเริ่มใช้จ่ายได้ในไตรมาส 4 ของปี 2567 โดยมีเงื่อนไขในการใช้จ่ายแบ่งเป็น 2 ส่วน

ส่วนแรก คือ การใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้า โดยประชาชนจะสามารถใช้จ่ายได้กับร้านค้าขนาดเล็กลงไปเท่านั้น รวมถึงร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก ไม่รวมห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ระดับประเทศและระดับท้องถิ่น

ในการซื้อสินค้า หากประชาชนที่มีที่อยู่ตามทะเบียนบ้านในอำเภอใด ก็ต้องซื้อสินค้าจากร้านค้าในอำเภอเดียวกันเท่านั้นและต้องซื้อขายแบบพบหน้า ซึ่งการซื้อขายแบบพบหน้าจะมีการตรวจสอบ 3 อย่าง คือ

1. ที่อยู่ของร้านค้าที่ลงทะเบียนโครงการ ต้องอยู่ในอำเภอนั้น
2.ที่อยู่ของประชาชนตามทะเบียนบ้านในขณะลงทะเบียนโครงการ ก็ต้องอยู่ในอำเภอเดียวกัน
3.พิกัดที่อยู่ของประชาชนในขณะที่ใช้จ่ายกับร้านค้า ต้องอยู่ในเขตอำเภอ จึงจะถือว่าการชำระเงินสมบูรณ์

ส่วนที่ 2 คือ การใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้า โดยร้านค้าทุกประเภทสามารถซื้อขายสินค้าระหว่างกันได้ ไม่มีข้อกำหนดเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นแบบพบหน้า หรือสามารถซื้อขายสินค้าด้วยกันได้แม้อยู่ต่างพื้นที่

สำหรับประเภทสินค้า สินค้าทุกประเภทสามารถเข้าร่วมโครงการได้ ยกเว้นสินค้าที่อยู่ใน Negative List ได้แก่ สลากกินแบ่งรับบาล เรื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กัญชา กระท่อม บัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชรพลอย อัญมณี น้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณือิเล็กทรอนิกส์และเครื่องมือสื่อสาร อย่างไรก็ตามพาณิชย์อาจพิจารณาปรับปรุงแก้ไขรายการสินค้าที่อยู่ใน Negative List ได้ ซึ่งการใช้จ่ายภายใต้โครงการฯ ไม่รวมถึงการใช้บริการหรือภาคการบริการ

ใช้แอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" ios และ Andriod

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า ถือว่าเป็นการสิ้นสุดการรอคอยของประชาชนที่รอฟังการลงทะเบียนของประชาชนในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.-15 ก.ย.นี้ โดยการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" เพื่อยืนยันตัวตนทั้งใน ios และ Andriod และจะไม่มีการส่งข้อมูลหรือลิงก์ ในไลน์แอปพลิเคชันใดๆ โดยให้ผ่านทาง 2 ช่องทางนี้เท่านั้น

สำหรับการลงทะเบียนคนไทย 2 กลุ่มที่ไม่เคยเข้าแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” และบางส่วนที่เคยลงทะเบียนและยืนยันตัวตนแล้วจะมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้ ขั้นตอนการดาวโหลดแอปพลิเคชัน ทางรัฐ กดปุ่มลงทะเบียนรับสิทธิ์ จากนั้นจะให้กดยอมรับเงื่อนไขโครงการ 3 ข้อ คือผู้รับสิทธิ เงื่อนไขโครงการ และเงื่อนไขแอปพลิเคชัน กรอกหมายเลขบัตรประชาชน ชื่อที่อยู่ และเข้าสู่ขั้นตอนการถ่ายรูป เพื่อส่งข้อมูลเข้าตรวจสอบกับทะเบียนราษฎร์

อ่านข่าว : 

นายกฯ ส่ง 3 รมต.คลัง แถลงเงินดิจิทัลวอลเล็ต 24 ก.ค.

"ภูมิธรรม" แย้ม ต.ค.นี้ใช้เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท

เปิดร้านค้าลงทะเบียน “ดิจิทัล วอลเล็ต” ส.ค.นี้ 1,604,000 ราย/แห่งมีสิทธิ์


“ราคาทอง” เช้านี้ ร่วง 100 บาท “รูปพรรณ” ขายออก 41,750 บาท

Wed, 24 Jul 2024 10:04:00

วันนี้ (24 ก.ค.2567) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" ภาพรวมความเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และนักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย จากความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐ

หลังสมาชิกจากพรรครีพับลิกันเรียกร้องเพื่อให้มีการถอดถอนโจ ไบเดนออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี เนื่องจากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ขณะที่ยอดขายบ้านมือสองเดือนมิ.ย.ต่ำกว่าคาด ส่วนกองทุน SPDR ซื้อทอง 1.73 ตัน

ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม สหรัฐจะเปิดเผยดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนก.ค. ตลาดคาดว่าจะทรงตัว 51.7 ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.ค. ตลาดคาดว่าจะลดลง 54.7 จาก 55.3 ในเดือนมิ.ย. และยอดขายบ้านใหม่เดือนมิ.ย. ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 639,000 ยูนิตจาก 619,000 ยูนิตในเดือนพ.ค.

อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำยังคงฟื้นตัว แต่อยู่ในกรอบที่จำกัด และคาดว่าราคาทองคำอาจปรับตัวขึ้นแต่ไม่สามารถผ่านขึ้นไปยังบริเวณ 2,418-2,420 ดอลลาร์ขึ้นได้ ให้ระวังแรงเทขายออกมาเมื่อทดสอบแนวต้านสำคัญ จากที่แนวโน้มหลักของราคาทองคำยังคงส่งสัญญาณการปรับตัวลง

ราคาทองตลาดโลก แนวรับ : 2,390 และ 2,380 ดอลลาร์ แนวต้าน : 2,420 และ 2,430 ดอลลาร์ ราคาทองคำอาจฟื้นตัวอย่างกรอบจำกัด แนะนำเปิดสถานะขายบริเวณ 2,420 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,430 ดอลลาร์ หรือรอเข้าซื้อทองคำบริเวณราคา 2,380 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,370 ดอลลาร์

ราคาทองคำแท่ง 96.5% แนวรับ : 41,100 และ 41,000 บาท แนวต้าน : 41,400 และ 41,500 บาท อาจเห็นการฟื้นตัวของราคาทองคำแท่ง แต่คาดว่าราคาทองคำแท่งฟื้นตัวอย่างกรอบจำกัด ทั้งนี้ยังคงให้ระวังแรงเทขาย จากสัญญาณทางเทคนิคของราคาทองคำแท่งยังส่งสัญญาณปรับตัวลง แนะนำ Wait & see หรือรอเข้าซื้อทองคำแท่งรอบใหม่บริเวณ 40,800-40,900 บาท

สำหรับราคาทองวันนี้ ลบ 100บาท ก่อนปรับขึ้น 50 บาท (ครั้งที่ 2) ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 41,250 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 41,150 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 41,750 บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 40,416.56 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,414ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 36.11บาทต่อดอลลาร์

โดยราคาทองรูปพรรณรวมค่ากำเหน็จ 500 บาท มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,656 บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 10,813 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 21,215 บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 41,750 บาท ภาพรวมเดือนก.ค. ราคาทอง บวก 750 บาท

อ่านข่าว:

“ราคาทอง” ร่วง 50 บาท “รูปพรรณ” ขายออก 41,750 บาท

การเมืองสหรัฐฯ ดันบาท ผันผวน กรุงศรีฯคาดซื้อขาย 30-36.50

จับตา "เลือกตั้งสหรัฐฯ" ไทยเตรียมมือสงครามการค้ารอบใหม่


นายกฯ ส่ง 3 รมต.คลัง แถลงเงินดิจิทัลวอลเล็ต 24 ก.ค.

Wed, 24 Jul 2024 06:50:00

วันนี้ (24 ก.ค.2567) รัฐบาลเตรียมแถลงเงื่อนไขโครงการเติมเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งเดิมมีการแจ้งว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นผู้แถลงด้วยตัวเอง ล่าสุดมีรายงานว่า นายเศรษฐา ไม่ได้ร่วมแถลงข่าวดังกล่าวแล้ว เนื่องจากมีปฏิบัติภารกิจ นอกทำเนียบรัฐบาล

โดยผู้ทำหน้าที่เป็นประธานการแถลงข่าวคือ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง พร้อมด้วย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง

การแถลงข่าว กระทรวงการคลัง จะแถลงรายละเอียดเกี่ยวกับไทม์ไลน์ วันลงทะเบียนในส่วนของประชาชน และตอบข้อสงสัย , กระทรวงพาณิชย์ แถลงรายละเอียดเกี่ยวกับ ร้านค้าร่วมโครงการ และ นายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้แถลง ช่วงวันเวลาที่เงินจะเข้าเมื่อ , ประชาชนเริ่มใช้เงินวันไหน และตอบข้อซักถามที่สงสัย

อ่านข่าว : เปิดร้านค้าลงทะเบียน “ดิจิทัล วอลเล็ต” ส.ค.นี้ 1,604,000 ราย/แห่งมีสิทธิ์

ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีร้านค้า ตอบรับเข้าร่วมโครงการฯเป็นจำนวนมาก อาทิ สมาคมค้าปลีก 50,000 กว่าร้านค้า, ร้านธงฟ้าประมาณ 148,000 ร้าน, ร้านอาหารธงฟ้าประมาณ 5,000 ร้าน รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ หาบเร่แผงลอย อีกประมาณ 5 แสนร้าน

ขณะที่ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ เปิดเผยว่า ขอให้หน่วยงานเกี่ยวข้อง ชี้แจงความคืบหน้าระบบชำระเงินโครงการนี้ โดยขอให้ระบบมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเสถียรภาพ เพื่อรองรับการใช้งานของประชาชนจำนวนมาก ทั้งนี้ ขอให้แจ้งให้แบงก์ชาติล่วงหน้า 15 วัน ก่อนเปิดให้บริการ เพื่อทดสอบความเสี่ยงต่างๆ 

อ่านข่าว :

"ภูมิธรรม" แย้ม ต.ค.นี้ใช้เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท

"จุลพันธ์" กางไทม์ไลน์สภาถกงบดิจิทัลวอลเล็ต 1.2 แสนล้าน


การเมืองสหรัฐฯ ดันบาท ผันผวน กรุงศรีฯคาดซื้อขาย 30-36.50

Tue, 23 Jul 2024 16:20:00

วันนี้ (23 ก.ค.2567) กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เผยผลวิจัย เงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 36.00-36.50 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 36.27 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 35.82-36.28 บาท/ดอลลาร์ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังระหว่างสัปดาห์เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 4 เดือน

ทั้งนี้ เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ยกเว้นเงินเยนและฟรังก์สวิสในสัปดาห์ที่ผ่านมาท่ามกลางการซื้อขายผันผวน โดยในช่วงแรกดัชนีดอลลาร์ร่วงลงแตะจุดต่ำสุดในรอบ 4 เดือน

ขณะอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯอีกครั้งให้สัมภาษณ์ว่าปัญหาเงินดอลลาร์แข็งค่าส่งผลต่อภาคการผลิตของสหรัฐฯ ทางด้านเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)หลายรายส่งสัญญาณว่าอาจใกล้ที่จะลดดอกเบี้ย ส่วนธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี)คงดอกเบี้ยไว้ที่ 3.75% ตามคาด

โดยอีซีบีเปิดกว้างสำหรับการตัดสินใจด้านนโยบายในการประชุมเดือนก.ย.และปรับลดมุมมองที่มีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน อีกทั้งคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอลงต่อไป ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 1,755 ล้านบาท แต่ขายพันธบัตรสุทธิ 1,122 ล้านบาท ตามลำดับ
ทั้งนี้ กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี ให้ความเห็นถึงสถานการณ์ตลาดในสัปดาห์นี้ว่า ตลาดติดตามข้อมูลจีดีพีไตรมาส 2 และเงินเฟ้อ PCE เดือนมิ.ย.ของสหรัฐฯ

ขณะที่นักลงทุนอาจปรับสถานะเพื่อประเมินความเสี่ยงใหม่ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐฯแม้ตลาดคาดว่ามีโอกาสสูงที่อดีตปธน.ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งในเดือนพ.ย. และสหรัฐฯจะดำเนินนโยบายการค้าแบบแข็งกร้าวมากขึ้น รวมถึงการกู้ยืมภาครัฐฯจะจำกัดขาลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ แต่ในระหว่างนี้คาดว่าเงินเฟ้อและการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯจะชะลอตัวลงอย่างชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เฟดสามารถเริ่มต้นวัฎจักรการลดดอกเบี้ยในอีกไม่ช้า

นักลงทุนคาดว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย.ดังนั้นประเมินว่าราคาสินทรัพย์ต่างๆอาจปรับตัวผันผวนขณะที่ปัจจัยความไม่แน่นอนมีมากขึ้น

ส่วนเงินเยนฟื้นตัวจากพัฒนาการด้านเงินเฟ้อของสหรัฐฯรวมถึงการที่ตลาดสงสัยว่าทางการญี่ปุ่นปรับกลยุทธ์แทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยน โดยเราคาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ)จะขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมสิ้นเดือนก.ค.นี้ ซึ่งจะช่วยหนุนค่าเงินเยนอีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ดี หากบีโอเจสร้างความผิดหวังปลายเดือนนี้ เงินเยนจะอ่อนค่าลงและอาจนำมาซึ่งการเข้ามาพยุงค่าเงินในตลาดรอบใหม่

 อ่านข่าว:

 เปิดร้านค้าลงทะเบียน “ดิจิทัล วอลเล็ต” ส.ค.นี้ 1,604,000 ราย/แห่งมีสิทธิ์

“ราคาทอง” ร่วง 50 บาท “รูปพรรณ” ขายออก 41,750 บาท

จับตา "เลือกตั้งสหรัฐฯ" ไทยเตรียมมือสงครามการค้ารอบใหม่


สมอ.คุมนำเข้าเหล็กด้อยคุณภาพ ก.อุตฯ หวั่นกระทบความปลอดภัย

Tue, 23 Jul 2024 15:49:02

วันนี้ (23 ก.ค.267) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า จากการเฝ้าติดตามสถานการณ์เหล็กในประเทศอย่างใกล้ชิด พบว่ามีการนำเข้าเหล็กเคลือบ ทั้งเคลือบสังกะสี อะลูมิเนียม แมกนีเซียม และเคลือบสี ที่มีราคาถูกจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นเหล็กที่มีคุณภาพต่ำ และไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน และสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมเหล็กเคลือบภายในประเทศเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถขายสินค้าได้

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ ยังส่งผลถึงอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่นำเหล็กเคลือบดังกล่าวไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต ได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เร่งดำเนินการควบคุมเหล็กเคลือบทุกประเภทที่จำหน่ายในท้องตลาดโดยเร็ว เพื่อสกัดกั้นเหล็กเคลือบที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อยกระดับการคุ้มครองความปลอดภัยประชาชนและอุตสาหกรรมภายในประเทศ

นายบรรจง สุกรีฑา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) กล่าวว่า หลังจากบอร์ดกมอ.มีมติเห็นชอบให้ สมอ. ควบคุมผลิตภัณฑ์เหล็กจำนวน 4 มาตรฐาน ได้แก่เหล็ก PPGI หรือ เหล็กกล้าทรงแบนเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อนและเคลือบสี

เหล็ก PPGL หรือ เหล็กกล้าทรงแบนเคลือบอะลูมิเนียม 55% ผสมสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อนและเคลือบสี เหล็กกล้าทรงแบนเคลือบสังกะสีผสมอะลูมิเนียม 5% ขึ้นไป และแมกนีเซียม 2% ขึ้นไป โดยกรรมวิธีจุ่มร้อน และ เหล็กกล้าทรงแบนเคลือบสังกะสีผสมอะลูมิเนียม 0.5% ขึ้นไป และแมกนีเซียม 0.4% ขึ้นไป โดยกรรมวิธีจุ่มร้อน

นอกจากนี้ ยังเห็นชอบมาตรฐานอื่น ๆ อีก จำนวน 122 มาตรฐาน เช่น มาตรฐานปูนซิเมนต์ไฮดรอลิก เครื่องซักผ้า เครื่องสูบของเหลว เต้ารับเต้าเสียบสำหรับงานอุตสาหกรรม ระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ระบบบันทึกการขับขี่รถยนต์ น้ำยางข้นธรรมชาติ ปุ๋ยอินทรีย์จากขยะชีวภาพ ถั่วลันเตากระป๋อง และมาตรฐานวิธีทดสอบต่าง ๆ

รวมทั้ง เห็นชอบมาตรฐานที่ สมอ. จะจัดทำเพิ่มเติมในปีนี้อีกจำนวน 192 มาตรฐาน เช่น มาตรฐานเครื่องดับเพลิงแบบยกหิ้วชนิดฮาโลคาร์บอน เจลกันยุงนาโน ชุดทดสอบฟอร์มาลินแบบกระดาษ และกันชนหรือชิ้นส่วนที่ป้องกันอุปกรณ์ด้านหน้าและด้านหลังยานยนต์ เป็นต้น รวมเป็นมาตรฐานที่ สมอ. ตั้งเป้าจัดทำในปีนี้ จำนวน 1,450 มาตรฐาน

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวว่า สมอ. ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด รวมทั้งได้หารือร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทยเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามสถานการณ์ของอุตสาหกรรมเหล็กทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งหลังจากที่บอร์ดมีมติเห็นชอบมาตรฐานเหล็กเคลือบทั้ง 4 มาตรฐาน แล้ว สมอ. จะเร่งดำเนินการให้เป็นสินค้าควบคุมโดยเร็ว เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยประชาชนและปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ

ปัจจุบัน สมอ. ประกาศใช้มาตรฐานเหล็กจำนวน 213 มาตรฐาน เป็นสินค้าควบคุมจำนวน 22 มาตรฐาน และเป็นมาตรฐานภาคสมัครใจจำนวน 191 มาตรฐาน นอกจากการดูแลประชาชนและอุตสาหกรรมในประเทศแล้ว ด้านการค้าระหว่างประเทศ สมอ. ในฐานะผู้แทนประเทศไทยในคณะทำงานด้านอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า

ภายใต้การเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป (EU) ได้แจ้งเตือนให้ผู้ประกอบการส่งออกเหล็กของไทยได้ทราบถึงความคืบหน้าของมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือ มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism)ซึ่งเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมจาก ผู้นำเข้าสินค้าที่เข้ามาใน EU

สินค้า สำหรับสินค้า 6 กลุ่มแรกที่มีการปล่อยคาร์บอนปริมาณสูงในกระบวนการผลิต ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า ซีเมนต์ ปุ๋ย อลูมิเนียม ไฟฟ้าและไฮโดรเจน โดยในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน ผู้นำเข้ามีหน้าที่ต้องรายงานข้อมูลปริมาณสินค้าที่นำเข้าและการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต และตั้งแต่วันที่ 1ม.ค. พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป จะเริ่มบังคับให้ผู้นำเข้าต้องรายงานตามปริมาณจริงของการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต

ทั้งนี้ สมอ. อยู่ระหว่างการหารือกับผู้แทน EU เพื่อให้ยอมรับรายงานข้อมูลปริมาณการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตที่ออกโดยหน่วยตรวจสอบความใช้ได้และทวนสอบก๊าซเรือนกระจก ซึ่ง สมอ. จะแจ้งความคืบหน้าของการหารือดังกล่าวให้ผู้ประกอบการทราบเป็นระยะ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับมาตรการดังกล่าว

อ่านข่าว:

ใครวางแผนไปเที่ยวลาว เตรียมพกเงินหลายสกุล

จับตา "เลือกตั้งสหรัฐฯ" ไทยเตรียมมือสงครามการค้ารอบใหม่

เปิดร้านค้าลงทะเบียน “ดิจิทัล วอลเล็ต” ส.ค.นี้ 1,604,000 ราย/แห่งมีสิทธิ์

 


ครม.ตรึงค่าไฟฟ้า 4.18 บาท/หน่วย 4 เดือน คงดีเซล 33 บาท/ลิตร

Tue, 23 Jul 2024 14:36:00

วันนี้ (23ก.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า มติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบมาตรการลดค่าใช้จ่ายประชาชน 2 ส่วน  โดยส่วนแรกเห็นชอบตรึงอัตราค่าไฟฟ้างวดใหม่ งวด ก.ย.-ธ.ค. 67 อยู่ที่ 4.18 บาท/หน่วย และยังคงช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับกลุ่มเปราะบาง ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300หน่วย/เดือน อยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย

ส่วนที่สอง เห็นชอบตรึงราคาน้ำมันดีเซล 33 บาท/ลิตร ต่อไปจนถึง 31 ต.ค.67 โดยจะใช้กลไกของ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฯเข้าไปบริหารจัดการ

ก่อนหน้านี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศแนวโน้มค่าไฟเดือนก.ย.-ธ.ค. 2567 ระดับ 4.65-6.01 บาทต่อหน่วย ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.นี้ และเดินหน้ารับฟังความเห็นผ่านเว็บไซต์ กกพ. กำหนดรับฟังถึงวันที่ 26 ก.ค.นี้ เพื่อประกาศใช้วันที่ 1 ก.ย. 2567

 อ่านข่าว:

“ราคาทอง” ร่วง 50 บาท “รูปพรรณ” ขายออก 41,750 บาท

จับตา "เลือกตั้งสหรัฐฯ" ไทยเตรียมมือสงครามการค้ารอบใหม่

เปิดร้านค้าลงทะเบียน “ดิจิทัล วอลเล็ต” ส.ค.นี้ 1,604,000 ราย/แห่งมีสิทธิ์


“ราคาทอง” ร่วง 50 บาท “รูปพรรณ” ขายออก 41,750 บาท

Tue, 23 Jul 2024 10:10:00

วันนี้ (23 ก.ค.2567) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" ภาพรวมความเคลื่อนไหวที่ผ่านมา แนวโน้มราคาทองฟื้นตัวเล็กน้อย จากข่าวไบเดนประกาศถอนตัวจากการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2567 แต่ช่วงกลางคืนราคาทองคำปรับตัวลงต่อหลุด 2,400 ดอลลาร์ จากแรงเทขายหลังจากที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นแรงทำ All-Time High ในช่วงสัปดาห์ก่อน นอกจากนี้เงินดอลลาร์สหรัฐกลับทิศทางแข็งค่ากดดันราคาทองคำ ส่วนกองทุน SPDR ถือครองทองคำเท่าเดิม

ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตามสหรัฐจะเปิดเผยยอดขายบ้านมือสองเดือนมิ.ย. ตลาดคาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 3.99 ล้านยูนิต จาก 4.11 ล้านยูนิต

"ฮั่วเซ่งเฮง" วิเคราะห์ราคาทองได้ปรับตัวลงหลุด 2,400 ดอลลาร์ในวันศุกร์และวันจันทร์ที่ผ่านมา ทำให้สัญญาณทางเทคนิคของราคาทองคำบ่งชี้การปรับตัวลงระยะสั้น ทั้ง MACD และ Modified Stochastic อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางวันนี้ราคาทองคำอาจจะชะลอการปรับตัวลง และคาดว่าอาจมีการฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย

โดยราคาทองตลาดโลก แนวรับ : 2,420 และ 2,400 ดอลลาร์ แนวต้าน : 2,440 และ 2,450 ดอลลาร์แนวโน้มหลักของราคาทองคำยังมีทิศทางการปรับตัวลงในระยะสั้น สามารถเปิดสถานะขายบริเวณ 2,420-2,425 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,430 ดอลลาร์ หรือรอเข้าซื้อทองคำบริเวณราคา 2,380 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,370 ดอลลาร์

ส่วนราคาทองคำแท่ง 96.5%แนวรับ : 41,000 และ 40,800 บาท แนวต้าน : 41,400 และ 41,500 บาท ทิศทางของราคาทองคำแท่งยังบ่งชี้การปรับตัวลงในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าวันนี้อาจเห็นการฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย แนะนำ Wait & see หรือรอเข้าซื้อทองคำแท่งรอบใหม่บริเวณ 40,800-40,900 บาท

สำหรับราคาทองวันนี้ ลบ 50 บาท ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 41,250 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 41,150 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 41,750 บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 40,416.56 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,400ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 36.28บาทต่อดอลลาร์

โดยราคาทองรูปพรรณรวมค่ากำเหน็จ 500 บาท มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,656 บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 10,813 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 21,215 บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 41,750 บาท ภาพรวมเดือนก.ค. ราคาทอง บวก 750 บาท

อ่านข่าว:

จับตา "เลือกตั้งสหรัฐฯ" ไทยเตรียมมือสงครามการค้ารอบใหม่

เปิดร้านค้าลงทะเบียน “ดิจิทัล วอลเล็ต” ส.ค.นี้ 1,604,000 ราย/แห่งมีสิทธิ์

ราคา “ทองคำ” ยังพุ่ง หลังตลาดตอบรับเฟดลดดอกเบี้ย


ใครวางแผนไปเที่ยวลาว เตรียมพกเงินหลายสกุล

Tue, 23 Jul 2024 07:37:00

หลังจากมีการเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างเมืองหลวงไทยและลาว จากกรุงเทพอภิวัฒน์ถึงเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา 

ชาวไทยหลายคนอาจกำลังวางแผนไปเที่ยวลาว แต่ด้วยเหตุที่ประเทศลาวกำลังประสบปัญหาเงินกีบอ่อนค่าทำให้การท่องเที่ยวในลาวจำเป็นต้องพกเงินกีบติดตัวไปด้วย

ทีมข่าวไทยพีบีเอส ทดลองจับจ่ายซื้อของในนครหลวงเวียงจันทน์​ ประเทศลาว พบว่า แม่ค้าชาวลาว บางส่วนยังรับเงินบาทอยู่ แต่เป็นเรตที่กำหนดเอง แต่หากเป็นร้านขายของประเภทของชำ บางร้านเลือกจะไม่รับ

บริเวณสถานีรถไฟเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ทีมข่าวสังเกตเห็นว่า ที่สถานีไม่มีร้านรับแลกเงิน มีแต่จุดจำหน่ายตั๋วโดยสารรถบัส แท็กซี่ รถตู้ และรถสองแถว ที่มาตั้งโต๊ะรอลูกค้า ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ประกอบการรถโดยสารในประเทศลาว

เมื่อลองพูดคุยกับ พนักงานขายตั๋วโดยสารรถบัส ก็บอกว่า รับเงินไทยถ้าเป็นตั๋วตลาดเช้าเวียงจันทน์ประมาณ 30 บ. แต่ยังไม่มีรับสแกน ส่วนช่องขายตั๋วรถไฟลาว-จีน พนักงานบอกว่า สามารถจองล่วงหน้าได้ 3 วัน แต่รับเฉพาะเงินกีบเท่านั้น

Mr. Daochinda Siharath อธิบดีรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งรัฐบาลแห่งชาติลาว เปิดเผยว่า แม้ว่าค่าเงินกีบลาวอ่อนค่า แต่มั่นใจว่า รัฐบาลกำลังเร่งแก้ไขปัญหานี้อยู่ และจะไม่ส่งผลต่อการท่องเที่ยว เพราะปีนี้ลาวเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมท่องเที่ยวอาเซียน หรือ ASEAN Tourism Forum (AFT) และปีนี้เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวของลาว

Mr. Daochinda Siharath อธิบดีรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งรัฐบาลแห่งชาติลาว

Mr. Daochinda Siharath อธิบดีรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งรัฐบาลแห่งชาติลาว

ทีมข่าวไปที่บริเวณพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาสักการะพระธาตุจำนวนมาก ด้านหน้ามีร้านจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกจำนวนมาก เมื่อลองพูดคุยแม่ค้าขายขนม บอกว่า รับเงินกีบและเงินไทยแต่ไม่รับเงินหยวน และเมื่อได้มาแล้วก็ต้องนำเงินบาทไปแลกที่ธนาคาร

ส่วนอีกร้านที่ขายผ้าซิ่นและชุดพื้นเมืองลาว แม่ค้าบอกว่า รับเงินไทยและยังสามารถสแกนได้ด้วย ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นทำให้รับทั้งเงินกีบ เงินบาทไทย และเงินหยวน แม้ในความเป็นจริงจะต้องการเงินกีบมากกว่า เพราะใช้จ่ายได้สะดวก

อยากได้เงินกีบเพราะเอาไปใช้จ่ายต่อได้ ตอนนี้ค่าเงินกีบอ่อนค่ากระทบเศรษฐกิจ​ของลาว ยอมรับว่าระวังเวลาซื้อของ เพราะตอนนี้ซื้อของใช้เงินเยอะแต่ได้ของนิดเดียว

พ่อค้าแม่ค้าบางราย ยังบอกอีกว่า หากเป็นร้านเล็ก ๆ เช่น ร้านขายของชำ หรือร้านอาหารบางส่วนเลือกที่จะไม่รับเงินไทย บางส่วนใช้วิธีให้คนไทยเปิดบัญชีให้ เมื่อมีการซื้อสินค้าก็ให้โอนผ่านบัญชีนั้น โดยใช้วิธีหักค่านายหน้าแทน เช่น 1,000 บาทได้ 700,000 กีบ

ขณะที่บางร้านขอให้ทีมข่าวไม่ถ่ายภาพและคลิป พร้อมระบุว่า ไม่ต้องการมีปัญหากับทางการ เพราะกังวลว่าจะมีปัญหาหากรับเงินบาท

แม้การใช้เงินบาทที่ลาวอาจะสะดวกสำหรับนักเดินทาง และที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่คุ้นชิน แต่การไปประเทศไหนควรใช้สกุลเงินของประเทศนั้น ๆ เพราะขณะนี้ค่าเงินกีบอ่อนค่ามาก กระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศ

อ่านข่าว : เปิดหวูดรถไฟ "ไทย-ลาว" จาก "กรุงเทพอภิวัฒน์" ถึง "เวียงจันทน์" 

เงินกีบ "เฟ้อหนัก" รัฐกระตุ้นคนใช้เงินในประเทศ  

รีวิว รถไฟกรุงเทพอภิวัฒน์-เวียงจันทน์ เดินทางอย่างไร