วันนี้ (26 มี.ค.2566) ตำรวจกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 1 นำหมายค้นพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ เข้าตรวจค้นสถานบันเทิงแห่งหนึ่งภายในซอยสุขุมวิท 22 กทม. หลังได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวต่างชาติว่าถูกชายชาวไทยเจ้าของสถานบันเทิงแห่งนี้ นำปืนลูกซองออกมาขู่กลางร้านต่อหน้านักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการจำนวนมาก
จากการตรวจสอบข้อมูลยังพบว่าชายคนดังกล่าวมีพฤติการณ์ชื่นชอบอาวุธปืน มักจะโพสต์ภาพคู่กับอาวุธปืนลงในสื่อโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊ก อยู่บ่อยครั้ง
เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นไปถึงห้องนอนชั้น 3 พบเครื่องกระสุนปืนชนิดต่าง ๆ จำนวนมากกว่า 200 นัด ภายในตู้เสื้อผ้า แต่ไม่พบอาวุธปืน คาดว่าบุคคลเป้าหมายรู้ตัวจึงได้นำออกไปก่อนเจ้าหน้าทีาเข้าตรวจค้น
พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ รองผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 กล่าวว่า ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ร่วมกับสน.ทองหล่อ จะขยายผลดำเนินคดีกับ เจ้าของร้านดังกล่าว โดยจะเชิญเจ้าของบ้าน และคนที่อยู่ในเหตุการณ์มาสอบสวน เพื่อยืนยันแหล่งที่มาของอาวุธปืนและเครื่องกระสุนที่ตรวจพบ
ส่วนฝ่ายสืบสวน จะไล่ตรวจสอบภาพวงจรปิด เพื่อดูเหตุการณ์ก่อน หลังเกิดเหตุ ว่ามีใครที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำตัวมาสอบปากคำ นำพยานหลักฐานไปใช้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด
สำหรับการเข้าไปตรวจค้นดังกล่าว สืบเนื่องจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งให้ตำรวจทุกหน่วยงาน เริ่มดำเนินการกวดขันกวาดล้างผู้ครอบครองอาวุธปืนผิดกฎหมาย เพื่อปราบปรามไม่ให้นำไปใช้กระทำผิดในช่วงระหว่างเตรียมการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง
โดยตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เป็นหน่วยงานสนับสนุน แม้ไม่ใช่หน่วยงานหลัก หรือมีหน้าที่โดยตรงในการปราบปราม แต่หากมีข้อมูลพบการกระทำความผิด ก็สามารถประสานกับตำรวจในท้องที่ เพื่อร่วมกันดำเนินการตรวจคนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้ หรือหากตำรวจในท้องที่ พบการกระทำผิดของคนต่างชาติ ก็ประสานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเข้าไปดำเนินการได้เช่นกัน
วันนี้ (26 มี.ค.2666) จากกรณีพนักงานธนาคารกสิกรไทย สาขาเอ็มควอเทียร์ ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบ กรณีมีกลุ่มคนจีนอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของบัญชีหนึ่ง ได้นำเอาเอกสารเดินทางสัญชาติกัมพูชา มาติดต่อกับธนาคารประสงค์จะขอทำสมุดบัญชีเล่มใหม่ เพื่อจะใช้ในการถอนเงิน ซึ่งมีเงินอยู่ในบัญชีมากถึง 176 ล้านบาท แต่พนักงานธนาคารพบว่า ใบหน้าของคนที่มาติดต่อทำธุรกรรมดังกล่าวไม่ตรงกับใบหน้าของบุคคลเจ้าของบัญชี จึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตรวจสอบ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.พันษา อมราพิทักษ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ตรวจสอบกลุ่มชาวจีนดังกล่าว เพื่อขยายผลจับกุม รวมทั้งตรวจสอบที่มาของเงินในบัญชีดังกล่าวว่าเงินจำนวนมากซึ่งมีเจ้าของเป็นชาวต่างชาติ จากการสืบสวนทราบว่า กลุ่มบุคคลเหล่านี้ได้มีความพยายามหลายครั้งในการมาขอถอนเงินออกจากบัญชีดังกล่าว แต่ไม่สามารถหาเอกสารตามที่ธนาคารต้องการมายื่นได้ ซึ่งเกิดจากการทยอยโอนเงินสูงถึงหลักล้านบาทเข้าในบัญชีหลายครั้งตั้งแต่ปี 2561 คาดว่าจะเป็นเงินที่ได้จากกลุ่มคอลเซ็นเตอร์
ขณะนี้ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขยายผลทราบว่ามีกลุ่มคน และมีบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เมื่อวันที่ 25 มี.ค.2566 พล.ต.ต.สุวรรณ เชี่ยวนาวินธวัช ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า คดีที่ตำรวจชุดสืบสวนสภ.เมืองกาฬสินธุ์ 3 นายถูกตำรวจชุดสืบสวนตำรวจภูธร จ.กาฬสินธุ์ บุกจับกุมคาห้องสืบสวนภายในโรงพัก สภ.เมืองกาฬสินธุ์ หลังร่วมกันเรียกรับเงินจากญาติผู้ต้องหาคดียาเสพติด 500,000 บาท แลกกับการไม่ดำเนินคดี
หากตรวจสอบมีการกระทำผิดจริงจะต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาด ขณะนี้สั่งให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงวินัยร้ายแรงแล้ว
ส่วนความผิดทางอาญาขณะนี้หัวหน้าชุดจับกุมได้แจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจชุดสืบสวน 3 นาย คือ ยศ “ด.ต.” อายุ 27 ปี, ตำรวจยศ “ส.ต.อ.” 2 คน อายุ 30 ปี และ 27 ปี ซึ่งหลังถูกจับและนำตัวส่งพนักงานสอบสวน ทั้ง 3 คนได้ใช้ตำแหน่งประกันตัว ซึ่งพนักงานสอบสวนจะเรียกตัวมาดำเนินตามกฏหมายต่อไป
พล.ต.ต.สุวรรณ กล่าวต่อว่า เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวมีพยานหลักฐานชัดเจนว่า ตำรวจทั้ง 3 นาย เป็นเจ้าหน้าที่รัฐแต่กลับเรียกรับเงิน และผู้เสียหายยืนยันชัดเจน เบื้องต้นได้มีคำสั่งให้ตำรวจ 3 คนออกจากราชการไว้ก่อน
ส่วนตำรวจอีก 8 คนที่ถูกซัดทอด โดยมีนายตำรวจตั้งแต่ยศ ร้อยตำรวจเอกจนถึงสิบตำรวจเอก ขณะนี้รอให้ผู้เสียหายเข้ามาชี้ตัว หากพบว่าร่วมกันกระทำจริงก็จะถูกแจ้งความดำเนินคดีทั้งอาญา ตั้งกรรมการสอบ รวมทั้งให้ออกจากราชการไว้ก่อนทั้ง 8 คนเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวได้เข้าไป สภ.เมืองกาฬสินธุ์ เพื่อสอบถามตำรวจชุดสืบสวนสภ.เมืองกาฬสินธุ์ที่ถูกกล่าวหา แต่ไม่พบตัว ประตูห้องศูนย์สืบสวน หรือห้องสืบ บริเวณด้านหลังโรงพักปิดล็อกรวมทั้งได้ติดต่อไปยังผกก.สภ.เมืองกาฬสินธุ์ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้
เมื่อวันที่ 24 มี.ค.2566 พ.ต.ต.จิรภัทร บุญนำ อดีตสารวัตรสืบสวน กองบังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 1 ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ข้อหาร่วมกันกักขังและหน่วงเหนี่ยว, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นฯ, และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ถูกคุมตัวเข้า สน.ดินแดง พร้อมแฟนสาวซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลแขวงดอนเมือง ในข้อหา "ให้ความช่วยเหลือและที่พักพิงผู้ต้องหา"
พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า เมื่อ 1-2 วันก่อนหน้านี้ ญาติของผู้ต้องหาเป็นผู้ประสานหาเจ้าหน้าที่เรื่องการมอบตัว กระทั่งเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา ได้แจ้งให้เข้ารับตัวผู้ต้องหาในเมืองพัทยา จ.ชลบุรี ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เข้ารับตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คนและคุมตัวเข้ามาที่ สน.ดินแดง เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาและสอบปากคำตามขั้นตอนทางกฎหมาย
สำหรับคดีนี้ มีตำรวจร่วมขบวนการอีก 4 นาย ซึ่งทั้งหมดถูกควบคุมตัวและส่งฝากขังไปแล้ว ก่อนหน้านี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
รอมอบตัว "สารวัตรตม." อุ้มชาวจีน-ออกหมายจับเพิ่ม 1 คนชี้เป้า
ตม.มอบตัวเพิ่ม 1 นาย-เตรียมฝากขังคดีอุ้มรีดทรัพย์คนจีน
คุมตัว 3 ตำรวจ ตม. สอบปากคำคดีอุ้มรีดเงินชาวจีน แต่ยังปฏิเสธ
วันนี้ (24 มี.ค.2566) กรณีเหตุการณ์รุ่นพี่ใช้ปืนลูกซองบุกยิงรุ่นน้องเสียชีวิตคาบ้านพัก เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตรวจสอบผู้เสียชีวิตเป็นชาย 1 คน คือ นายธนโชติ อายุ 33 ปี ถูกกระสุนยิงเข้าที่ใบหน้า ภายในบ้านพักหลังหนึ่งในการเคหะชุมชนฉลองกรุงโซน 5 แยก 37 แขวงลำต้อยติ่ง เขตหนองจอก กรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังพบอาวุธปืนและปลอกกระสุนปืน ขนาด 11 มม. ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ จำนวน 1 ปลอก ซึ่งทราบต่อมาว่าเป็นของผู้เสียชีวิต
นายวิทธิวินท์ อายุ 38 ปี พี่ชายของผู้เสียชีวิต เล่าว่า นายประจักษ์ชัย หรือ ยอด ผู้ก่อเหตุ เป็นรุ่นพี่ในกลุ่มที่ค่อนข้างสนิทกัน แต่เมื่อคืนที่ผ่านมาทั้ง 2 คนมีปากเสียงกันที่บ้านรุ่นน้องในกลุ่ม โดยนายยอดไม่พอใจเรื่องการไม่เคารพรุ่นพี่-รุ่นน้อง และใช้อาวุธมีดไล่แทงตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา
กระทั่งช่วงเช้า นายยอดยังโทรศัพท์ท้าทายให้น้องชายออกไปดวลปืนกัน แต่น้องชายปฎิเสธ นายยอดจึงมาหาที่หน้าบ้าน พร้อมอาวุธปืนลูกซองสั้น ก่อนบุกเข้ามาในบ้านและยิงตอบโต้กัน ทำให้นายยอดถูกยิงที่ขาซ้ายได้รับบาดเจ็บ แต่น้องชายถูกยิงเข้าที่ใบหน้าจนเสียชีวิต ขณะที่ตัวเองและน้องสะใภ้พยายามห้ามปราบ แต่กลับถูกนายยอดใช้ปืนข่มขู่ ก่อนหลบหนีออกจากบ้านไป ซึ่งทราบภายหลังว่าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลย่านนวมินทร์ ก่อนที่ตำรวจ สน.ลำผักชี ตามไปอายัดตัวในภายหลัง
หนึ่งในกลุ่มรุ่นน้อง เปิดเผยว่า ทั้งคู่เคยมีปัญหาทะเลาะวิวาทกันมาก่อน แต่ครั้งนั้นสามารถตกลงกันได้ จนกระทั่งเวลาประมาณ 04.00 น. ผู้เสียชีวิตพยายามขอตัวกลับบ้านหลังจากมีปากเสียงกับนายยอดเรื่องการไม่เคารพกัน ก่อนจะมาเกิดเหตุยิงกันจนเสียชีวิตและบาดเจ็บ
เบื้องต้น พนักงานสอบสวนได้อายัดตัวผู้ก่อเหตุ หากเข้ารับการรักษาเสร็จจะนำตัวมาดำเนินคดี โดยเตรียมแจ้งข้อหาเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, พกพาและยิงอาวุธปืนในที่สาธารณะ และบุกรุกเคหะสถาน
อ่านข่าวอื่นๆ
นอนคุกต่อ! ศาลไม่ให้ประกัน "นารา เครปกะเทย" ผู้เสียหายมาก กลัวหนี
พบนักเรียน 30 คน ใกล้โรงงานหลอมซีเซียม-137 ไข้สูง ไอ มีน้ำมูก
ปปง.สอบเงินบริจาค 6 ล้าน โยงพนันออนไลน์-คนรับผิดฟอกเงิน
วันนี้ (24 มี.ค.2566) นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวว่า กรณีสื่อเสนอข่าวกรณีมีบุคคลนำเงินที่ได้จากผู้กระทำความผิดมูลฐานไปบริจาคให้แก่โรงพยาบาล จำนวน 2 แห่ง โดยมีข้อเท็จจริงเบื้องต้น ว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่ได้มาจากบุคคลที่มีพฤติการณ์การกระทำความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการจัดให้มี การเล่นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (พนันออนไลน์)
นายเทพสุ กล่าวว่า ขณะนี้ ปปง.เตรียมพิจารณาเบื้องต้น 2 ประเด็นว่า เงินบริจาคดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน ตามพ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 หรือไม่ โดยปปง.อยู่ระหว่างการตรวจสอบธุรกรรม หรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของกลุ่มผู้กระทำความผิดมูลฐานและบุคคลที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์
หากปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าเงินบริจาคดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน ปปง.จะพิจารณาดำเนินการตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 โดยเร็ว
หากปปง.ตรวจสอบพบทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดอื่นๆ จะเสนอคณะกรรมการธุรกรรม เพื่อพิจารณายึดอายัดทรัพย์สินดังกล่าวตามกฎหมาย
อ่านข่าวเพิ่ม "ทนายษิทรา" เปิดภาพอ้าง "ชูวิทย์" เจรจาถุงเงินกับ "นายพล-เจ้าของเว็บไซต์"
นายเทพสุ กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นที่ 2 มีพฤติการณ์การกระทำความผิดอาญาฐานฟอกเงินหรือไม่ เมื่อมีการกระทำความผิดมูลฐานเกิดขึ้น และมีทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด การที่บุคคลใดได้รับทรัพย์สินดังกล่าวจะเข้าข่ายมีความผิดอาญาฐานฟอกเงินตามมาตรา 5 แห่งพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ก็ต่อเมื่อมีพฤติการณ์การกระทำ ที่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 5 ซึ่งเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน
ทั้งนี้ หากคณะกรรมการธุรกรรมมีคำสั่งยึดเงินบริจาคจำนวนดังกล่าว และได้มีการส่งสำนวนคดีให้พนักงานอัยการพิจารณา เพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เงินบริจาคจำนวนดังกล่าว พร้อมดอกผลตกเป็นของแผ่นดิน
และปรากฏพยานหลักฐานว่ามีการกระทำความผิดอาญาฐานฟอกเงินตามมาตรา 5 ทาง ปปง.จะดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทำความผิดให้ถึงที่สุด
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
"ชูวิทย์" ตั้งทนายฟ้อง "ษิทรา" มอบเงินบริจาค 6 ล้าน ให้ ผบ.ตร. สอบที่มา
ศิริราชขอคืนเงิน 3 ล้านให้ "ชูวิทย์" ห่วงที่มาผิดกฎหมาย
ทนายษิทรา" แถลงข่าว เชื่อ "ชูวิทย์" ได้เงินมากกว่า 6 ล้าน
วันนี้ (24 มี.ค.2566) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ทนายความของนายอนุวัติ ประทุมถิ่น หรือ นารา เครปกะเทย อายุ 23 ปี เน็ตไอดอลชื่อดัง ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชนฯ กรณีฉ้อโกงกล่องสุ่มทอง มีผู้เสียหาย 5 คน มูลค่า 885,000 บาท ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 300,000 บาท และเสนอขอติดกำไล EM ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฝากขัง
อย่างไรก็ตามศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีมีมูลค่าความเสียหายจำนวนมาก ผู้เสียหายหลายคน มีการกระทำเป็นขั้นตอน ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยชั่วคราว หากปล่อยชั่วคราวเชื่อว่าผู้ต้องหาอาจหลบหนี ในชั้นนี้จึงไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้หลังจากเมื่อวันที่ 22 มี.ค. ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน บก.ปคบ.ได้นำตัว
นายอนิวัติ มายื่นคำร้องฝากขังต่อศาลอาญาครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน โดยไม่ได้ยื่นขอประกันตัว และถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เรื่อยมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ศาลอนุญาตฝากขัง “นารา เครปกะเทย” คุมตัวเข้าเรือนจำ
ฝากขัง "นารา เครปกะเทย" ฉ้อโกงขายกล่องสุ่ม-พร้อมสู้คดี
กรณีตำรวจตม.เอี่ยวคดีอุ้มรีดทรัพย์ชาวจีน ซึ่งยังมีตำรวจอีก 1 นายที่ยังหลบหนี ส่วน 3 คนถูกส่งตัวฝากขังแล้ว วันนี้ (24 มี.ค.2566) พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ประชุมร่วมกับชุดสืบสวนสอบสวนคดีตำรวจ ตรวจคนเข้าเมืองอุ้มรีดทรัพย์ชาวจีนกว่า 10 ล้านบาท
พล.ต.ต.นพศิลป์ ขณะนี้ได้รับการประสานจากญาติของ พ.ต.ต.จิรภัทร บุญนำ สารวัตรสืบสวน ตม.1 หนึ่งในทีมอุ้มว่าจะเข้ามอบตัวภายในวันนี้ หลังจากชุดสืบสวนได้ติดตามทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ญาติยืนยัน พ.ต.ต.จิรภัทร ไม่ได้หนี สาเหตุที่ยังไม่เข้ามามอบตัว เนื่องจากกำลังเตรียมความพร้อมทั้งทนายความ และหลักทรัพย์การประกันตัว
ส่วนบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ได้เตรียมขอศาลออกหมายจับเพิ่ม 1 คน ซึ่งเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ในวันเกิดเหตุ ทำหน้าที่เป็นผู้ชี้เป้า ส่วนผู้ต้องหาอีกคน คือนายโอภาส ที่ทำหน้าที่ เป็นนายหน้าทำบัตรประชาชนปลอมให้กับผู้เสียหายชาวจีน และถูกจับได้ในจังหวัดชัยภูมิ ขณะนี้ได้ส่งไปดำเนินคดีตามหมายจับเดิมที่จ.พิษณุโลก
รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวอีกว่า ขณะนี้ให้ชุดสืบสวนของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองประสานงานกับสถานทูตจีน เพื่อติดตามตัวผู้เสียหายมาสอบปากคำเพิ่มเติม รวมทั้งจะสอบถามถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในคดี ขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ฝากขัง-ค้านประกันตัว 3 ตำรวจตม.เอี่ยวอุ้มชาวจีนรีดทรัพย์
เตือนตร.อีก 1 นายหนีคดีรีดทรัพย์ชาวจีนเข้ามอบตัวด่วน
ไล่ออก! 4 ตำรวจตม.เอี่ยวคดีอุ้มชาวจีนรีดทรัพย์
วันนี้ (24 มี.ค.2566) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ลงพื้นที่รณรงค์ต่อต้านกัญชาเสรี เริ่มตั้งแต่ปากซอยพหลโยธิน 18 โดยแจก เข็มกลัด สติ๊กเกอร์ เป็นของที่ระลึก ให้กับพ่อแม่ค้าแม่ และพนักงานบริษัท พร้อมทั้งประกาศรณรงค์ผ่านเครื่องขยายเสียงไม่สนับสนุนพรรคการเมืองที่มีนโยบายให้กัญชาเสรี
โดยนายชูวิทย์ เดินรณรงค์มาถึงปากซอยฝั่งวิภาวดีรังสิต 9 ก่อนจะตั้งโต๊ะแถลง พร้อมทั้งมีประชาชนมาต่อแถว จองคิวรับเสื้อเป็นที่ระลึก จำนวนมาก
นายชูวิทย์ ยืนยันเจตนารมณ์ ว่าจะรณรงค์ต่อต้านกัญชาเสรี เพราะกัญชาส่งผลกระทบให้กับสังคม และเป็นสารตั้งต้นของยาเสพติด รวมทั้งการต่อต้านนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชัน
ส่วนประเด็น ที่ถูกนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน กล่าวหาว่ารับเงินจากสารวัตรซัว และพยายามวิจารณ์ ให้ตัวเองเสื่อมเสียชื่อเสียง เชื่อว่าการออกมาครั้งนี้ ถูกรับงานมาจากแก๊งพนันออนไลน์ ที่มีสารวัตรซัวอยู่เบื้องหลัง เพราะการออกมาเปิดเผยข้อมูลแต่ละครั้ง คล้ายบทละครที่ถูกวางแผนไว้
พร้อมฝากถึงนายษิทราว่า ฐานะที่เป็นทนายความ หากมีหากหลักฐาน ก็ควรไปแจ้งความดำเนินคดี และให้ไปพิสูจน์ในชั้นศาล ไม่ใช่มาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเรียกความสนใจ ให้ผู้คนติดตาม แต่ตั้งคำถามว่า การเป็นทนายความ ของนายษิทรา การจะนำผู้เสียหายมาแถลงข่าวแต่ละครั้ง จะต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับนายษิทรา 300,000 บาท ขัดกับอาชีพของตัวเอง ที่อ้างว่าเป็นทนายประชาชน ซึ่งได้มอบหมายให้ นายอนันต์ชัย ไชยเดช เป็นทนายความ เตรียมฟ้องกลับดำเนินคดีกับนายษิทราไว้แล้ว
ส่วนเงินจำนวน 6,000,000 บาท ที่มีคนใกล้ชิดสารวัตรซัวมามอบให้ และได้นำไปบริจาคให้ โรงพยาบาล 2 แห่ง แต่โรงพยาบาลประสงค์คืนเงินนั้น นายชูวิทย์จะนำเงินทั้งหมดไปให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบที่มาของเงิน โดยได้แจ้งชื่อผู้ที่นำเงินมาให้ เพื่อทำการสอบสวน ว่าเงินได้มาจากการกระทำความผิดหรือไม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ศิริราชขอคืนเงิน 3 ล้านให้ "ชูวิทย์" ห่วงที่มาผิดกฎหมาย
"ชูวิทย์" เผย 2 รพ.ประสานคืนเงินบริจาค 6 ล้าน จ่อส่งต่อให้ ตร.
"ชูวิทย์" โต้ "ษิทรา" ปมถุงเงิน 6 ล้าน ถามกลับรับงานจากใคร
"ชูวิทย์" โต้ "ทนายตั้ม" ระบุนำเงิน 6 ล้านแลกหยุดแฉ บริจาคหมดแล้ว
วันนี้ (24 มี.ค.2566) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นครั้งแรกรัฐบาล เปิดแถลงสถานการณ์ และการตรวจสอบกรณีวัสดุกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ในโรงงานหลอมโลหะ จ.ปราจีนบุรี หลังจากมีข้อกังวลจากประชาชนเรื่องผลกระทบต่อสารกัมมันตรังสีดังกล่าว ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “ไทยคู่ฟ้า”
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถึงการตรวจสอบการหายไปของซีเซียม-137 สั่งให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัส ผู้บัญชาการตำรวจ (ผบ.ตร.) ในการลงพื้นที่สืบสวนหาหลักฐานเรื่องการหายไปของซีเซียม-137 จากโรงไฟฟ้าพลังงานไอน้ำ
นายกรัฐมนตรี กำชับให้แกะรอยสืบสวนหาว่าหายไปได้อย่างไร และเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าสิ่่งที่เกิดขึ้น จะไม่เกิดปัญหาซ้ำ และไม่เกิดผลกระทบต่อคนและสิ่งแวดล้อม
นายรณรงค์ นครจินดา ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า จากข้อกังวลมีพนักงานในโรงงาน 76 คนไม่พบการปนเปื้อนรังสี และประชาชนในพื้นที่เรื่องซีเซียม-137 ซึ่งได้มีการตรวจสุขภาพเบื้องต้นไม่พบแต่ยังได้ติดตามต่อเนื่อง
พร้อมทั้งได้มีการลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้าน แจกแถบวัดรังสี และนำดิน น้ำ และอากาศตรวจ รวมทั้งตรวจวัด พืชผลการเกษตร และยังขอให้มั่นใจว่าผลไม้ของพื้นที่ยังบริโภคได้ มีการตรวจวัดหาค่ารังสีในตลาด
ส่วนการติดธงขาวที่บ้านเรือน ชาวบ้านอยากให้มีแพทย์เข้าไปตรวจ โดยได้ส่งแพทย์ไปทุกหลัง
ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า ผลตรวจปัสสาวะกลุ่มเสี่ยงสูงสุดคือกลุ่มงาน 76 คน ผลตรวจปัสสาวะออกมาแล้ว 50% ไม่พบการปนเปื้อนรังสี แต่ยังให้ติดตามต่อเนื่อง ส่วนการในวงรัศมี 5 กม.ทั้งดินน้ำ อากาศ ไม่พบการปนเปื้อนเช่นกัน
ปลัดอว.กล่าวว่า ยังมีการติดตามพืชผลการเกษตร ทั้ง ปส.และสถาบันนิวเคลียร์แห่งชาติ สุ่มตรวจพืชผักผลไม้ในพื้นที่จ.ปราจีนบุรี ตรวจจากผิวผัสผัสโดยตรงและขุดผิวผลไม้ พืชผักมาวิเคราะห์
โดยเช้านี้ตรวจ 120 ตัวอย่าง พืช ผัก ผลไม้ ปลา ให้ผลเป็นลบไม่พบการปนเปื้อน และยังนำมาตรวจในห้องปฏิบัติการ ใช้เวลา 2-3 วันรายและจะมอนิเตอร์อย่างต่อเนื่อง
บริเวณที่พบรังสีจากโรงหลอมเหล็กออกไป ไม่พบปัญหาปนเปื้อน และในโรงงานก็ไม่พบการปนเปื้อนตอนนี้ อว.แจ้งให้ทุกโรงพยาบาล สธ.และรพ.มหาวิทยาลัย รองรับหากประชาชนกังวลให้ไปรับรักษา โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ยังยืนยันว่าไม่มีรายงานการพบทางด้านสุขภาพ
ปลัด อว.กล่าวอีกว่า นอกจากนี้จะมีการติดตามทางวิชาการ ร่วมมหาวิทยาลัยมหิดล ประเมินการกระจายตัวสูงสุด ผลจากแบบจำลองพบว่าจะกระจายอยู่เฉพาะในโรงงานเท่านั้น และมีค่ารังสีเท่ากับรังสีในธรรมชาติ ที่กำหนดเกณฑ์ระดับรังสีที่ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ จะอยู่ในระดับไม่เกิน 0.5 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง โดยประเทศไทยได้กำหนดค่ามาตรฐานของรังสีในประเทศไทย ไม่เกิน 0.3 ซึ่งต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่ 0.5
และปริมาณรังสีที่ตรวจพบในโรงงาน และบริเวณโดยรอบ ตรวจวัดได้อยู่ในระดับ 0.04 ซึ่งต่ำกว่าระดับสูงสุดที่อนุญาตประมาณ 10 เท่า จึงยืนยันว่าระดับรังสีไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
ผลจากการทำแบบจำลอง ถ้าสัมผัสซีเซียม-137 โดยตรงจากปริมาณที่ตรวจพบค่าจากโรงหลอมเหล็กในระยะเวลา 30 ชม.เท่ากับการเอ็กเซรย์ปอด 1 ครั้ง ดังนั้นเท่ากับไม่มีผลกระทบ และอยู่ในสภาวะที่หน่วยงานพยายามควบคุม
ทั้งนี้ยังมีจุดตรวจวัดในพื้นที่ จากเดิมที่มีอยู่ 18 จุด ได้ติดตั้งเพิ่มเติมอีก 9 จุด กระจายทั้งในจ.ปราจีนบุรี และบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง และในแต่ละวัน จะนำเครื่องตรวจวิ่งรอบๆ โรงงาน ที่เกิดเหตุและบริเวณพื้นที่ ดังนั้นขณะนี้ข้อมูลต่าง ๆ ยืนยันตรงกันว่าปริมาณการกระจายอยู่ในระดับที่ควบคุมได้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
แจกแถบวัดค่ารังสีซีเซียม-137 ให้ชุมชนในรัศมี 5 กม.
หมอรามาฯ เตือนห้ามซื้อ "ปรัสเซียนบลู" กินเอง
ผู้ว่าฯ ปราจีนบุรีกินผลไม้โชว์ ยืนยันปลอดสารซีเซียม
วันนี้ (24 มี.ค.66) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ ปคบ. จึงร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. สืบพฤติกรรมของร้านค้าออนไลน์ที่จำหน่ายสินค้าปลอม พร้อมนำข้อมูลจากเจ้าของแบรนด์ที่ร้องเรียนมาขยายผล จนนำมาสู่การบุกทลายโกดังที่เก็บสินค้าปลอมเหล่านี้ ที่อาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ย่านบรรทัดทอง เขตปทุมวัน โดยเจ้าของโกดังดังกล่าวเป็นชาวจีน
จากการตรวจค้นพบ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ยา และเครื่องสำอางแบรนด์ดัง กว่า 6,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท เป็นสินค้าปลอมทั้งหมด ที่ถูกนำมาขายในช่องทางออนไลน์ ในราคาที่ถูกกว่าราคาสินค้าจริงหลายเท่า ที่ผ่านมามีผู้บริโภคหลายคน ถูกหลอกและซื้อไปใช้จำนวนมาก
ภก.วีระชัย นลวชัย, รองเลขาธิการ อย. เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ยา และเครื่องสำอางปลอมที่ตรวจยึดได้ พบผลิตภัณฑ์ที่ใช้เฉพาะกลุ่มสตรีมีครรภ์ เป็นวิตามินและแร่ธาตุบำรุงครรภ์ จนถึงคลอดบุตร ซึ่งอาจมีสารอันตรายเจือปน และเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
ว่าที่ พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม, ผกก.4 บก.ปคบ. กล่าวว่า เบื้องต้น ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาในความผิดตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 ฐาน "จำหน่ายอาหารปลอม" แต่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ แต่รับว่าสินค้าทั้งหมดถูกส่งมาจากจีน และถูกนำกลับมาเก็บไว้ที่โกดังของตัวเอง ซึ่งตำรวจจะขยายผลเรื่องนี้ต่อไปว่าเกี่ยวข้องกับทุนจีนที่มาทำธุรกิจผิดกฎหมายในไทยหรือไม่
วันนี้ (24 มี.ค.2566) ความคืบหน้าหลังจากที่พนักงานสอบสวน สน.ดินแดง ควบคุมตัว พ.ต.ต.สรวิศ อินทร์ลับ, ร.ต.ท.สุริยะ รุกขชาติ และ ด.ต.พีระศักดิ์ ยิ้มไพบูลย์ สังกัดกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ผู้ต้องหาในคดีอุ้มรีดทรัพย์ชาวจีนไปกว่า 10 ล้านบาท ไปขออำนาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ฝากขังเมื่อวานนี้ (23 มี.ค.2566) ซึ่งทั้งหมดไม่ได้รับการประกันตัว และถูกส่งตัวเข้าเรือนจำไปแล้ว
แต่คดีนี้ยังเหลือ พ.ต.ต.จิรภัทร บุญนำ สารวัตรกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ที่ถูกออกหมายจับและยังหลบหนี ซึ่งก่อนหน้านี้ติดต่อขอเข้ามอบตัวเมื่อวานนี้ แต่จนถึงเช้านี้ยังไม่ติดต่อขอมอบตัว
ล่าสุด ญาติของ พ.ต.ต.จิรภัทร ได้ติดต่อมาที่ชุดสืบสวนขอเลื่อนการมอบตัวเป็นช่วงบ่ายวันนี้ เนื่องจาก พ.ต.ต.จิรภัทร ยังมีความเครียด เนื่องจากตำรวจทั้ง 4 นาย ที่ถูกจับไม่ได้รับการประกันตัว ซึ่งตัวเองเป็นหัวหน้าชุดจึงยังมีความกังวลในเรื่องการถูกดำเนินคดี และกำลังหาหลักทรัพย์มาไว้เตรียมยื่นประกันตัว
หากพร้อมแล้วก็จะประสานให้ต้นสังกัดคือ ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไปรับตัวจากที่บ้านในต่างจังหวัด และนำมาส่งที่ สน.ดินแดง ยืนยันว่า ยังไม่ได้หลบหนี แต่เพียงยังทำใจไม่ได้กับการถูกดำเนินคดี
ขณะที่นายโอภาส ศรียา นายหน้าที่รับทำบัตรประชาชนปลอมให้กับชาวจีนผู้เสียหาย ที่ถูกตำรวจสืบสวน สน.ดินแดง ตามจับได้ที่ จ.ชัยภูมิ เนื่องจากพบว่ามีหมายจับเมื่อปี 2565 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 จังหวัดพิษณุโลก ในคดีการปลอมบัตรประชาชนเช่นกัน พนักงานสอบสวนจึงส่งกลับไปดำเนินคดีที่ จ.พิษณุโลก แล้ว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ฝากขัง-ค้านประกันตัว 3 ตำรวจตม.เอี่ยวอุ้มชาวจีนรีดทรัพย์
เตือนตร.อีก 1 นายหนีคดีรีดทรัพย์ชาวจีนเข้ามอบตัวด่วน
จากกรณี "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" โต้หลัง "ษิทรา เบี้ยบังเกิด" โพสต์ภาพและข้อความ "แฉไป ไถไป" พร้อมยอมรับว่ามีอดีตตำรวจนอกราชการ ยศพลตำรวจตรี และพลตำรวจโท นำเงินมาให้จำนวน 6 ล้านบาท ที่โรงแรมเดวิส เมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา อ้างเป็นเงินของ "ซัว" ให้มาเพื่อให้หยุดพูด แต่นายชูวิทย์ยังคงแฉต่อ และนำเงินที่ได้รับไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลทั้งหมดแล้ว โดยถามกลับว่านายษิทรารับงานใครหรือไม่
นายชูวิทย์ ยังระบุว่า การออกมาเปิดเผยของนายษิทรา มีข้อมูลที่จริงและไม่จริงบางส่วน โดยเฉพาะที่อ้างว่าได้รับเงินจากสารวัตรซัวหลายสิบล้านบาท รวมทั้งเงิน 50 ล้าน ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัล จึงท้าให้ตรวจสอบ โดยยืนยันว่าตำรวจทั้ง 2 นาย นำเงินมาให้ 6,000,000 บาทเท่านั้น
ล่าสุดวันนี้ (24 มี.ค.2566) นายชูวิทย์โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า โรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ประสานจะคืนเงินบริจาคดังกล่าว โดยตนเองจะนำเงินไปมอบให้ตำรวจ
ศิริราชกับธรรมศาสตร์ ประสานมาแล้วนะครับ จะคืนเงินบริจาค ผมก็จะเอาเงินไปให้ตำรวจ รู้สึกสบายใจขึ้นมั้ยครับ
วันนี้ (23 มี.ค.2566) เมื่อเวลา 14.30 น. ตำรวจทางหลวงได้รับแจ้งมีอุบัติเหตุรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ ตกลงมาจากทางต่างระดับทับช้าง เชื่อมถนนมอเตอร์เวย์สาย 9 ในพื้นที่เขตประเวศ กทม. ลงมาพาดขวางทางรถไฟระหว่างสถานีรถไฟทับช้างและสถานีรถไฟลาดกระบัง จึงได้ประสานพนักงานสอบสวนเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ
ส่วนผู้ขับขี่รถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่นำร่างส่งนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อชันสูตรพลิกศพ ขณะที่ตำรวจสถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 8 กองบังคับการตำรวจทางหลวง พร้อมเจ้าหน้าที่หมวดทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองคันนายาว ประสานรถยกขนาดใหญ่ เข้าเคลียร์พื้นที่ทางรถไฟ
ชาวบ้านในพื้นที่เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า บริเวณทางยกระดับแห่งนี้เกิดอุบัติเหตุรถบรรทุกตกลงมาบ่อยครั้ง ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุใด จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประเมินและแก้ไขปัญหา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำ
พ.ต.ท.ปรัชญา กัมลาศพิทักษ์ สารวัตรใหญ่ สถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 8 กองบังคับการตำรวจทางหลวง กล่าวว่า
พนักงานสอบสวนเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุทันทีหลังได้รับแจ้ง เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานหาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ เบื้องต้นกล้องวงจรปิดไม่สามารถบันทึกภาพขนาดรถบรรทุกคันดังกล่าวขณะเกิดอุบัติเหตุได้ เนื่องจากกล้องวงจรปิดหันไปทางถนนหลัก
แต่กล้องวงจรปิดบริเวณทางขึ้นทางยกระดับสามารถจับภาพได้ โดยรถบรรทุกคันดังกล่าวไม่ได้ขับด้วยความเร็ว แต่สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการเร่งเครื่องส่งขึ้นทางลาดชันจนทำให้พลิกคว่ำ แต่อย่างไรก็ตามต้องตรวจสอบภายในรถ รวมถึงผลชันสูตรของผู้เสียชีวิต เพื่อหาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ
หลังจากนี้ ตำรวจทางหลวง รวมถึงแขวงทางหลวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องหารือถึงแนวทางการป้องกันและตรวจสอบสภาพถนนว่าสาเหตุที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งในบริเวณจุดนี้ เป็นเพราะการขับขี่หรือกายภาพทางถนนที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้น อาจทำให้การเดินรถไฟล่าช้า แต่บริเวณจุดเกิดเหตุรถไฟสามารถสับรางวิ่งอีก 1 ช่องทางได้ ส่วนการเก็บกู้รถบรรทุกออกจากทางเดินรถไฟเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากรถบรรทุกมีขนาดใหญ่ รวมถึงตู้คอนเทนเนอร์มีสินค้าประเภทเสื้อผ้าเป็นจำนวนมาก จึงต้องใช้รถเครนขนาดใหญ่จำนวน 2 คัน มายกออกจากแนวทางการเดินรถไฟ
ทั้งนี้ มีคำแนะนำถึงประชาชนผู้ใช้ท้องถนนหลีกเลี่ยงเส้นทางบริเวณทางยกระดับทับช้าง ที่เชื่อมระหว่าวจากทางหลวงหมายเลข 7 ไปยังทางหลวงหมายเลข 9 โดยแนะนำให้ไปกลับรถเกือกม้า บนถนนทางหลวงหมายเลข 9 แทน
อ่านข่าวอื่นๆ
เกิดเหตุชายวัย 62 ปี ยิงเพื่อนบ้านเสียชีวิต จ.ลำปาง
คำต่อคำ : 15 ชั่วโมงสยบมือยิง 3 ศพ-พบซื้ออาวุธผ่านออนไลน์
บก.ปอท.จับกุม 2 แฮกเกอร์หนุ่ม เจาะระบบขโมยรหัสใต้ฝาเครื่องดื่มชูกำลัง
กรณีชายอายุ 29 ปี ยิงคู่อริและชาวบ้านเสียชีวิต 3 คนและบาดเจ็บ 3 คน ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จ.เพชรบุรี แม้ชุดปฎิบัติการณ์พิเศษ จะเข้าระงับเหตุด้วยการวิสามัญฆาตกรรมชายคนดังกล่าว
วันนี้ (23 มี.ค.2566) รศ.พ.ต.ท.กฤษณพงค์ พูตระกูล นักอาชญาวิทยา จากมหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็น ว่าสิ่งที่ภาครัฐต้องเรียนรู้และปรับตัว คือการพิจารณาออกใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืน โดยใช้ระบบตรวจสอบความเคลื่อนไหวทางโลกออนไลน์ เข้ามาเป็นเกณฑ์อนุญาตให้มีหรือต่ออายุด้วย
พร้อมยกตัวอย่างเหตุการณ์นี้ พบผู้ก่อเหตุโพสต์เฟซบุ๊กลักษณะข่มขู่ ส่อพฤติกรรมใช้ความรุนแรงต่อเนื่องหลายวัน รัฐหรือหน่วยงาน ที่รับผิดชอบโดยตรง เกี่ยวกับออกใบอนุญาต ควรแก้ไขในเชิงนโยบาย โดยยกความเคลื่อน ไหวทางออนไลน์เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยง พิจารณาต่อใบอนุญาต หรือเมื่อตรวจสอบพบความรุนแรง ควรสั่งเพิกถอนการครอบครองทันที
คนที่ได้รับใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนที่มายื่นขอใหม่ ต้องเขียนไปด้วยว่ามีสื่อสังคมออนไลน์อะไร เช่น เฟซบุ๊ก โซเซียลมีเดีย ทำเป็นระบบฐานข้อมูลใช้ระบบเอไอเข้ามาจับ เช่น มีการโชว์อาวุธทางโลกออนไลน์ ใช้คำพูดก้าวร้าวกับเพื่อนร่วมงาน ต้องนำมาวิเคราะห์ และเพิกถอนดูเรื่องการเพิกถอนใบอนุญาต
อาจารย์กฤษณพงค์ บอกอีกว่า อยากเห็นทุกพรรคการเมือง ยกประเด็นแก้ไขการครอบครองอาวุธปืน เป็นหนึ่งในนโยบายที่กำลังหาเสียงอยู่ทุกวันนี้ และอีกหนึ่งปัญหาที่คิดว่า ตำรวจไทยยังแก้ไขไม่จริงจังพอ คือ การกวาดล้างการค้าอาวุธทางออนไลน์ ซึ่งผู้ก่อเหตุคนนี้ ซื้อกระสุนปืนจากออนไลน์
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
คำต่อคำ : 15 ชั่วโมงสยบมือยิง 3 ศพ-พบซื้ออาวุธผ่านออนไลน์
ตร.วิสามัญฯ ชายยิง 3 ศพ เพชรบุรี หลังปิดล้อมกว่า 14 ชั่วโมง
ชายยิง 3 ศพ จ.เพชรบุรี ยิงตำรวจบาดเจ็บ 1 นาย ขณะปิดล้อมยืดเยื้อ
กรณีชายอายุ 29 ปี ยิงคู่อริและชาวบ้านเสียชีวิต 3 คน และบาดเจ็บ 3 คน ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จ.เพชรบุรี แม้ชุดปฎิบัติการณ์พิเศษ จะเข้าระงับเหตุ ด้วยการวิสามัญฆาตกรรมชายคนดังกล่าว
วันนี้ (23 มี.ค.2566) เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน จ.เพชรบุรี เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานภาค 7 และกลุ่มงานตรวจอาวุธปืนและเครื่องกระสุนจากกองพิสูจน์หลักฐานกลาง เข้ามาในพื้นที่เกิดเหตุบ้านของนายอนุวัช แหวนทอง ผู้ก่อเหตุ เพื่อเก็บรวบรวมหลักฐาน
โดยพบว่าบริเวณรอบของบ้านที่ยังปิดล้อมไว้อยู่ ซึ่งมีร่องรอยกองเลือด 2 แห่งของผู้เสียชีวิตทั้ง 3 คน และมีปลอกกระสุนตกกระจายตามพื้นที่บริเวณบ้านและใกล้เคียงทราบยี่ห้ออาวุธปืน
สำหรับอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ ที่พบอยู่ข้างศพ เป็นปืนสั้นออโตเมติก ยี่ห้อ Glock19 ขนาด 9 มม. อยู่ระหว่างตรวจสอบว่ามีทะเบียนครอบครองหรือไม่ โดยเเนวทางหลังจากนี้ ตำรวจจะเพิ่มความเข้มงวด กวาดล้างในเรื่องอาวุธปืน เพื่อป้องกันการก่อเหตุซ้ำรอยในลักษณะเดียวกัน
จากการสำรวจบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ พบว่าบริเวณบ้านของผู้ก่อเหตุ ตัวบ้านของผู้ก่อเหตุบริเวณกระจกรอบตัวบ้าน มีร่องรอยถูกยิงจนแตกเป็นรูทั้งหมด ส่วนบ้านฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นบ้านของชาวบ้านมีร่องรอยถูกกระสุนยิงเข้าบริเวณกำแพงบ้านหลายแห่ง
เหตุการณ์สงบลงทำให้ชาวบ้านรู้สึกโล่งใจ โดยบอกว่านับเป็นปฎิบัติการณ์ระงับเหตุที่ยืดเยื้อและยาวนาน ไม่สามารถทำให้ข่มตาหลับได้ เมื่อการระงับเหตุไม่สำเร็จ เพราะผู้ก่อเหตุมีกระสุนปืนจำนวนมาก ยิงสวนออกมาเป็นระยะ
นายณัฏฐชัย นำพูลสุขสันติ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี กล่าวว่า เบื้องต้นจะเข้าไปเยียวครอบครัวผู้สูญเสียตามขั้นตอนรายละ 13,000 บาท จะเยียวยาทั้งความเสียหายเเละความรู้สึก โดยจะให้นักจิตวิทยาเข้ามาดูเเล
อ่านข่าวเพิ่ม คำต่อคำ : 15 ชั่วโมงสยบมือยิง 3 ศพ-พบซื้ออาวุธผ่านออนไลน์
ขณะที่ญาติผู้เสียชีวิต 3 คน มารอรับศพที่โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จ.เพชรบุรี เพื่อนำกลับไปบำเพ็ญกุศล บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า ทั้งหมดยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียครั้งนี้
รายแรกเป็นญาติของนายรัฐกร ทองแก้ว อายุ 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี เดินทางมาจาก จ.ชุมพรตั้งแต่เมื่อคืนนี้ มีนาย สุวิทย์ ทองแก้ว พ่อ แม่ และแฟนสาวของนายรัฐกร พร้อมลูกสาววัย 3 ขวบ มารอรับศพ
พ่อบอกว่า ไม่คาดคิดจะเกิดเหตุเช่นนี้กับลูกชาย ซึ่งถูกยิง 6 นัดบริเวณศรีษะและลำตัว จะนำกลับไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด จ.ชุมพร เป็นเวลา 7 วัน
ต่อมาพ่อของนายพสิษฐ์ เอมโอษฐ์ อายุ 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ซึ่งเป็นคู่กรณีกับผู้ก่อเหตุ ได้ติดต่อขอรับศพลูกชาย ระบุว่า ลูกชาย และผู้ก่อเหตุมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ซึ่งครอบครัวเรียกค่าเสียหายกับผู้ก่อเหตุเป็นเงิน 100,000 บาท กระทั่งเมื่อวานนี้ศาลนัด แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุดังกล่าว รู้สึกเสียใจอย่างมาก
เรียกเงินไป 100,000 บาทเพื่อให้เขาหลาบจำจะได้ไม่ไปทำกับคนอื่น รู้ว่าไม่ได้อยู่แล้ว แต่ต้องการให้เขามาขึ้นศาล เงิน 100,000 บาทมันซื้อลูกผมไม่ได้
จากนั้น พ่อของนายสิรภัทร วัฒนะ อายุ 27 ปี หนุ่มไรเดอร์ที่โดนลูกหลง มารอรับศพลูกชาย กลับไปประกอบพิธีทางศาสนา ที่วัดโพธิ์พระนอก ต.โพพระ อ.เมืองเพชรบุรี
ขณะที่แม่ของนายอนุวัฒน์ แหวนทอง ผู้ก่อเหตุ ก็เดินทางมารับศพลูกชายเช่นเดียวกัน แต่ปฏิเสธให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน
ด้านพล.ต.ต.ปิติ นฤขัตรพิชัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี พูดคุยชี้แจงทำความ เข้าใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ยอมรับว่าการปฏิบัติการครั้งนี้ เจ้าหน้าที่พยายามเจรจาและควบคุมตัวผู้ก่อเหตุให้ได้โดยเร็ว แต่เนื่องจากผู้ก่อเหตุมีความชำนาญการใช้อาวุธและยิงตอบโต้เป็นระยะ จึงต้องคำนึงความปลอดภัย
ผู้ก่อเหตุมีความเครียด และถ้าเสพยาแล้วคลุ้มคลั่งจะไม่เป็นแบบนี้
ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี ยืนยันว่าจะอำนวยความสะดวกให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างเต็มที่ พร้อมแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตร.วิสามัญฯ ชายยิง 3 ศพ เพชรบุรี หลังปิดล้อมกว่า 14 ชั่วโมง
ลำเลียง 3 ศพเพชรบุรีออกจากจุดเกิดเหตุ-เยียวยาครอบครัว
ผู้ว่าฯเพชรบุรีสั่งเยียวยาครอบครัวผู้สูญเสีย เหตุชายยิง 3 ศพ
วันนี้ (23 มี.ค.2566) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ชี้แจงกลับกรณีที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน กล่าวหาว่าเรียกรับเงินจาก "สารวัตรซัว" เจ้าของเว็บพนันออนไลน์ เพื่อขอให้หยุดเปิดเผยข้อมูล โดยก่อนชี้แจงนายชูวิทย์ได้สาบานตนว่าสิ่งที่พูดเป็นความจริง
นายชูวิทย์ ยอมรับว่า รับเงินจำนวน 6,000,000 บาทจริง โดยมีตำรวจยศพลตำรวจตรี และพลตำรวจโท นำเงินมาให้ที่โรงแรมเดวิส เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ขอให้หยุดวิจารณ์สารวัตรซัว และการเปิดสถานบริการแห่งหนึ่ง แต่ตัวเองพยายามปฎิเสธ ไม่รับเงิน แต่ถูกยัดเยียด จึงนำเงินไปบริจาคให้โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ เมื่อวันที่ 14 ก.พ. และโรงพยาบาลศิริราช ในวันที่ 15 มี.ค. บริจาคที่ละ 3,000,000 บาท
พร้อมระบุว่า การออกมาเปิดเผยของนายษิทรา มีข้อมูลที่จริงและไม่จริงบางส่วน โดยเฉพาะจำนวนที่อ้างว่าได้รับเงินจากสารวัตรซัวหลายสิบล้านบาท รวมทั้งเงิน 50 ล้าน ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัล จึงท้าให้ตรวจสอบ โดยยืนยันว่าตำรวจทั้ง 2 นายนำเงินมาให้ 6,000,000 บาทเท่านั้น
นายชูวิทย์ เชื่อว่า ข้อมูลที่นายษิทรานำมาเปิดเผย รับข้อมูลมาจากนายจิราวัฒน์ หรือ เปา ที่ตัวเองส่งเสียเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก ๆ เนื่องจากพ่อแม่แยกทางกัน โดยให้ทำหน้าที่เก็บค่าเช่าที่พัก ก่อนจะเลิกทำและไปทำงานกับสารวัตรซัว เพราะทั้ง 2 คนเป็นเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกัน นอกจากนี้นายเปายังถูกใช้ชื่อให้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของอาบอบนวดแห่งหนึ่งด้วย
ส่วนเรื่องที่นายษิทรากล่าวหานั้น นายชูวิทย์ ยอมรับว่า ตัวเองเคยพบกับนายแทนไท ซึ่งมีอดีตนายตำรวจยศพลตำรวจเอก พามาหาที่โรงแรม เพื่อปรึกษาว่าจะฟ้องร้องนายสนธิ หรือไม่ หลังเข้าไปพบนายสนธิแล้วถูกต่อว่า เพราะไม่เชื่อว่านายแทนไทจะทำธุรกิจถูกกฎหมาย จึงแนะนำว่าอย่าฟ้องเพียงเท่านั้น แต่ไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมต้องมาปรึกษาตัวเอง และประเด็นเรื่องที่มีเงินดิจิทัล 50 ล้านบาทโอนเข้าบัญชี ซึ่งนายษิทรา อ้างว่า เงินโอนเข้าบัญชีลูกชายของตัวเอง ยืนยันว่า ลูกชายไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินและไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพนัน
นายชูวิทย์ ยังถามถึงนายษิทราว่ารับงานมาจากใคร แต่พร้อมตอบคำถามและให้ตรวจสอบทุกประเด็น ส่วนนายเปา ขณะนี้ไม่ได้ติดต่อและตัดขาดความเป็นหลานแล้ว เพราะถือว่าเนรคุณ ที่ผ่านมาตั้งแต่ออกมาแฉกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมาย มีบุคคลพยายามเข้ามาพบหรือหารือมาโดยตลอด และหากนายษิทราจะมาร่วมเปิดโปงปัญหาเกี่ยกับรถไฟฟัา ก็พร้อมทำงานร่วมกัน เพราะเป็นประโยชน์ต่อสังคม
ส่วนกรณีเรื่องที่ดินสุขุมวิทซอย 10 ยอมรับว่า ตัวเองเป็นผู้สั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ดิน แต่ยืนยันไม่ได้โกงและเสียภาษีปีละ 2,000,000 บาท โดยนายษิททราให้ข้อมูลคลาดเคลื่อน เนื่องจากศาลชั้นต้นยกฟ้องไม่มีความผิด และศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 5 ปี พร้อมยืนยันว่าไม่เคยหาผลประโยชน์จากที่ดิน หลังพ้นโทษถูกจองจำเป็นเวลา 10 เดือนและไม่ได้ผลประโยชน์จากที่ดินมานานกว่า 12 ปี
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
"ทนายษิทรา" แถลงข่าวเชื่อ "ชูวิทย์" ได้เงินมากกว่า 6 ล้าน
วันนี้ (23 มี.ค.2566) ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี นำกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย ทั้งในกรุงเทพฯ และนนทบุรี เพื่อจับกุมนายสมประสงค์ อายุ 29 ปี และนายวัชนันท์ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญา ข้อหาร่วมกันทุจริตหลอกลวงโดยการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ, ร่วมกันเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ, ร่วมกันทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกรบกวนหรือเสียหาย ซึ่งทั้ง 2 ผู้ต้องหาเป็นขบวนการแฮกเกอร์ เจาะระบบโจรกรรมรหัสรางวัลเงินดิจิทัล
การจับกุมสืบเนื่องจากเมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้มีตัวแทนจากบริษัททรูมันนี่ จำกัด และบริษัทที่เกี่ยวข้อง เข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนว่า มีแฮกระบบขโมยข้อมูลรหัสใต้ฝาเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่งจำนวนกว่า 300,000 ครั้ง ก่อนนำรหัสที่ได้ไปสแกนขึ้นเงินรางวัลผ่าน Truemoney wallet จำนวน 60,000 ครั้ง จนทางบริษัทได้รับความเสียหายจากการสอบสวน
เบื้องต้นทั้ง 2 ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพ โดยนายสมประสงค์ ยอมรับว่า เป็นผู้ที่ลงมือแฮกระบบของบริษัทผู้เสียหายเพื่อขโมยเอารหัสใต้ฝาเครื่องดื่มชูกำลังมาใช้สแกนแลกเงินดิจิทัลจริง ซึ่งหลังจากได้รหัสมาแล้วก็จะให้นายวัชนันท์ เพื่อนสนิทเป็นผู้นำไปสแกนแลกเงินรางวัล ก่อนจะนำเงินที่ได้มาแบ่งกัน ส่วนสาเหตุที่ทำไปก็เพื่อต้องการหาเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเนื่องจากปัจจุบันตกงานไม่มีรายได้
วันนี้ (23 มี.ค.2566) ตำรวจร่วมกับเจ้าหน้าที่กู้ภัยและแพทย์เวร เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุภายในหมู่บ้านวังเจริญ ม.7 ต.วังแก้ว อ.วังเหนือ จ.ลำปาง หลังได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุยิงกัน จากการตรวจสอบพบผู้เสียชีวิตชื่อนายองอาจ อายุ 42 ปี ถูกยิงที่ไหล่ขวา ส่วนผู้ก่อเหตุ คือ นายสม อายุ 62 ปี ซึ่งหลังก่อเหตุได้หลบซ่อนตัวในบ้าน ก่อนจะพบว่าใช้ปืนกระบอกเดียวกันยิงตัวเองเสียชีวิต
สอบถามทราบว่า ก่อนเกิดเหตุนายสมได้โทรศัพท์หาญาติ บอกว่า นายองอาจ ผู้เสียชีวิตซึ่งอยู่บ้านใกล้ ๆ กัน ได้จ้างคนเพื่อจะมาทำร้ายตัวเอง ทางญาติจึงได้พยายามพูดคุยให้ใจเย็น จากนั้นก็วางสายไป พอตกดึกเพื่อนบ้านได้ยินเสียงปืนดังขึ้น จนกระทั่งช่วงเช้ามีผู้พบนายองอาจ ถูกยิงเสียชีวิตที่หน้าบ้าน ส่วนนายสมก็ได้หนีมาซ่อนตัวอยู่ในบ้าน จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบกันที่เกิดเหตุ
ต่อมานายสม ผู้ก่อเหตุยิงตัวเองเสียชีวิต เบื้องต้น ตำรวจและเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน พร้อมแพทย์นิติเวช ได้ร่วมกันตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียด ก่อนจะมีการสรุปสาเหตุที่ชัดเจนอีกครั้ง
วันนี้ (23 มี.ค.2566) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แก๊งคอลเซนเตอร์อาศัยจังหวะในช่วงกำหนดยื่นภาษีที่ใกล้จะหมดเขตสิ้นเดือนนี้ใช้หลอกลวงประชาชน
ล่าสุด แก๊งคอลเซนเตอร์จะโทรศัพท์หาโดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีจากกรมสรรพากร พร้อมแจ้งว่า ประชาชนถูกนำชื่อไปจดทะเบียนนิติบุคคลบริษัทแห่งหนึ่งใน จ.อุดรธานี และค้างจ่ายภาษีเลยกำหนดมานาน 6 เดือน
ขณะเดียวกัน ยังนัดแนะให้ประชาชนเข้าไปเคลียร์ภาษีที่กรมสรรพากรภายในวันถัดไป โดยหากไม่สามารถดำเนินการได้จะมีการรวบรวมหลักฐานยื่นฟ้องต่อศาล ซึ่งทางคอลเซนเตอร์จะมีการบอกชื่อ-นามสกุล เลขรหัสบัตรประชาชน และแจ้งว่า สามารถตรวจสอบกล้องวงจรปิดมาเป็นหลักฐานได้ เมื่อผู้เสียหายปฏิเสธว่าไม่ได้จดทะเบียนบริษัทไว้
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวตรวจสอบชื่อบริษัทที่คอลเซนเตอร์อ้าง ไม่ปรากฏชื่อบริษัทดังกล่าวในสื่อสังคมออนไลน์ และเมื่อตรวจสอบผ่านสายด่วนกรมสรรพากร 1161 เพื่อสอบถามเกี่ยวกับมิจฉาชีพและแก๊งคอลเซนเตอร์ พบว่า กรณีคอลเซนเตอร์โทรศัพท์มาอ้างถึงการจดทะเบียนนิติบุคคลบริษัทแห่งหนึ่งใน จ.อุดรธานี เกิดขึ้นกับประชาชนจำนวนมากในช่วงนี้ โดยมีการอ้างชื่อบริษัทเดียวกัน
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังแจ้งว่า หากผู้รับสายมีท่าทีตกใจ คอลเซนเตอร์จะดำเนินการข่มขู่จนนำไปสู่การให้แอดไลน์ และกดลิงก์ เพื่อดูดเงินต่อไป ดังนั้น ขออย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพเหล่านี้ เนื่องจากกรมสรรพากรไม่มีนโยบายโทรศัพท์เพื่อแจ้งเกี่ยวกับภาษีแต่อย่างใด