เมื่อวันที่ 21 พ.ย.2567 ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ เกิดเหตุระทึกบนเที่ยวบิน American Airlines 1915 จากเมืองมิลวอกีไปดัลลัส-ฟอร์ตเวิร์ธ เมื่อผู้โดยสารชายรายหนึ่งพยายามเปิดประตูเครื่องบินกลางเที่ยวบินที่ระดับความสูง 30,000 ฟุต โดยเขาอ้างว่าต้องการ "ออกจากเครื่องบินเดี๋ยวนี้"
ตามรายงานของกรมความปลอดภัยสาธารณะสนามบินดัลลัส-ฟอร์ตเวิร์ธ เหตุการณ์เริ่มขึ้นเมื่อผู้โดยสารคนดังกล่าวมีท่าทีคุ้มคลั่งและข่มขู่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เขาพยายามบุกไปยังประตูทางออกด้านหน้าสุด จนพนักงานหญิงได้รับบาดเจ็บบริเวณคอและข้อมือ
ผู้โดยสารรายอื่น รวมถึง Doug McCright ได้เข้ามาช่วยควบคุมสถานการณ์โดยจับชายคนดังกล่าวลงกับพื้น ก่อนใช้เทปกาวมัดข้อมือ เข่า และข้อเท้าของเขาไว้จนกระทั่งเครื่องบินลงจอดที่สนามบินดัลลัส-ฟอร์ตเวิร์ธ
Doug McCright ผู้โดยสารที่เข้าไปช่วยเหลือเป็นคนแรกให้สัมภาษณ์กับ CNN ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที หลังจากเครื่องบินออกเดินทาง เขาเห็นพนักงานต้อนรับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือขณะที่กำลังสนทนาอย่างเคร่งเครียดกับชายผู้ก่อเหตุ
เขาตั้งใจจะออกจากเครื่องบินให้ได้ ทั้ง ๆ ที่เครื่องบินบินอยู่ระดับความสูง 30,000 ฟุตและความเร็ว 300 ไมล์/ชั่วโมง
McCright และผู้โดยสารชายอีก 5 คนช่วยกันควบคุมผู้โดยสารคนนั้น โดยใช้เทปกาวมัดแขนและขา แม้ผู้ก่อเหตุพยายามดิ้นหลุดในตอนแรก แต่พวกเขาก็สามารถควบคุมตัวเขาไว้ได้สำเร็จ
เมื่อถึงปลายทาง เจ้าหน้าที่ FBI และตำรวจสนามบินได้ขึ้นมาบนเครื่องบินเพื่อควบคุมตัวผู้โดยสารก่อเหตุไปตรวจสภาพจิตใจ ทั้งนี้ Federal Aviation Administration (FAA) ระบุว่าจะมีการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว
ปัญหาผู้โดยสารก่อกวนระหว่างเที่ยวบินถือเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดย FAA รายงานว่าในปี 2566 มีเหตุการณ์ก่อกวนกว่า 2,000 ครั้ง
อ่านข่าวอื่น :
บัตรบุคคลผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน ความหวังของเด็กนักเรียนไร้รัฐ
มติศาลรัฐธรรมนูญ ไม่รับคำร้องปม "ทักษิณ-เพื่อไทย" ล้มล้างการปกครอง
ความคืบหน้ากรณีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตในลาว โดยสงสัยว่าสาเหตุจากการดื่มสุราเถื่อน หรือสุราปนเปื้อนเมทานอล ทำให้ได้รับพิษรุนแรง ซึ่งผู้ป่วยบางส่วนถูกส่งตัวมารักษาในไทย และเมื่อวานนี้ (21 พ.ย.2567) มียอดผู้เสียชีวิต 4 คน
ล่าสุดวันนี้ (22 พ.ย.2567) ทางการอังกฤษ เปิดเผยว่า ทนายความอายุ 28 ปี ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ เสียชีวิตเพิ่มเป็นคนที่ 5 โดยกระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างประสานกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของลาวเพื่อติดตามสถานการณ์
ก่อนหน้านี้ ทางการหลายประเทศเปิดเผยถึงการบาดเจ็บและเสียชีวิตของพลเมือง ซึ่งไปท่องเที่ยวที่วังเวียงในลาว คาดว่า เกิดจากการดื่มสุราที่ปนเปื้อนเมทานอล
ขณะที่แอนโทนี อัลบานีซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แถลงต่อรัฐสภาในกรุงแคนเบอรา เมื่อวานนี้ (21 พ.ย.) แจ้งข่าวการเสียชีวิตของหญิงออสเตรเลีย วัย 19 ปี หลังเข้ารับการรักษาตัวจากอาการป่วยในไทย คาดว่าเป็นผลจากการดื่มสุราดังกล่าวระหว่างท่องเที่ยวที่วังเวียง
นักท่องเที่ยวออสเตรเลียคนดังกล่าวเป็นผู้เสียชีวิตคนที่ 4 จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 14 คน ที่มีอาการป่วยหลังดื่มสุราต้องสงสัยในลาว เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยผู้เสียชีวิตก่อนหน้านี้เป็นชาวเดนมาร์ก 2 คน ชาวอเมริกัน 1 คน ซึ่งทางการของทั้ง 2 ประเทศได้ออกมายืนยันข้อมูลดังกล่าวแล้ว
ขณะที่เพื่อนของผู้เสียชีวิตอีก 1 คน อยู่ในระหว่างการรักษาตัวที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร โดยพ่อของนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียคนดังกล่าว ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อวันที่ 20 พ.ย. ระบุว่า ลูกสาวยังรักษาตัวอยู่ในหอผู้ป่วยวิกฤตและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
ทั้งนี้ ข่าวการล้มป่วยและเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวเกิดขึ้นในช่วง 1 สัปดาห์ หลังจากที่นักท่องเที่ยวหญิงชาวออสเตรเลีย 2 คนล้มป่วยเมื่อวันที่ 13 พ.ย. โดยทั้งคู่ออกไปเที่ยวกลางคืนกับกลุ่มนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่วังเวียง
ด้านทางการออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอังกฤษ ประกาศเตือนพลเรือนระมัดระวังในการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อาจปนเปื้อนเมทานอลในลาว ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า อยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่เปิดทางให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทำงานเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตต่อไป
อ่านข่าว : เตือนนักท่องเที่ยว! สุราปนเปื้อนเมทานอลคร่าชีวิตสาวออสเตรเลีย
ศาลอาญาโลกออกหมายจับ "เนทันยาฮู" ข้อหาอาชญากรรมสงคราม
"ปูติน" แถลงยิงขีปนาวุธตอบโต้ทางตะวันออกของยูเครน
วันนี้ (22 พ.ย.2567) ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ออกแถลงการณ์ระบุว่า ได้ออกหมายจับเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล โยอาฟ กัลแลนต์ อดีตรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล และ โมฮัมเหม็ด เดอีฟ ผู้บัญชาการทหารกลุ่มฮามาส โดยระบุว่า มีเหตุผลอันสมควรที่ชายทั้ง 3 คน ต้องรับผิดทางอาญาในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติและอาชญากรรมสงคราม สืบเนื่องจากสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสในกาซาที่ปะทุขึ้น เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ปีที่แล้ว
หลังจากมีการออกหมายจับผู้นำอิสราเอลออกมาประณามการตัดสินใจของศาลอาญาระหว่างประเทศ ว่าเป็นการต่อต้านชาวยิว เช่นเดียวกับนักการเมืองอิสราเอลหลายคนที่ออกมาโพสต์ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ประณามการออกหมายจับดังกล่าว ขณะที่กลุ่มฮามาส ระบุว่า การออกหมายจับเนทันยาฮูและกัลแลนต์ได้สร้างบรรทัดฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ
ขณะที่การออกหมายจับครั้งนี้ที่รวมถึงผู้บัญชาการทหารกลุ่มฮามาสมีขึ้นแม้ว่าอิสราเอลจะระบุว่า โมฮัมเหม็ด เดอีฟ เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศในกาซา ตั้งแต่เดือน ก.ค.ก็ตาม แต่อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ ระบุว่า ไม่สามารถระบุได้ว่า โมฮัมเหม็ด เดอีฟ ถูกสังหารหรือยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ด้านทำเนียบขาวออกมาเคลื่อนไหว ระบุว่า สหรัฐฯ ปฏิเสธการตัดสินใจของศาลอาญาระหว่างประเทศ แต่หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป (อียู) ระบุว่า ควรเคารพและปฏิบัติตาม
การออกหมายจับครั้งนี้ เนทันยาฮูและอดีตรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล มีสิทธิ์โดนจับหากว่าออกเดินทางไปกว่า 124 ประเทศทั่วโลกที่เป็นสมาชิกของไอซีซี ซึ่งแม้จะมีหมายจับแต่ทั้ง 2 คน จะยังไม่ถูกดำเนินคดีทันที แต่อาจทำให้การเดินทางไปต่างประเทศเป็นไปได้ยาก เนื่องจากในทางปฏิบัติหากทั้งคู่เหยียบประเทศสมาชิกไอซีซีเมื่อไหร่จะต้องถูกจับกุมและส่งตัวให้ศาล
การเดินทางไปต่างประเทศครั้งล่าสุดของเนทันยาฮู คือเมื่อเดือน ก.ค. โดยได้เดินทางเยือนสหรัฐฯ ซึ่งไม่ได้เป็นประเทศสมาชิก แต่เมื่อปีที่แล้วได้เยือนประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศสมาชิกของไอซีซี ขณะที่ก่อนหน้านี้ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียได้ถูกไอซีซีออกหมายจับเช่นกัน เนื่องมาจากสงครามในยูแครน แต่ปูตินยังสามารถเดินทางเข้าจีนได้หลายครั้ง
ความเคลื่อนไหวของไอซีซีครั้งนี้มีขึ้นขณะที่กระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ภายใต้การดูแลของกลุ่มฮามาส เปิดเผยยอดผู้เสียชีวิตในกาซาล่าสุดเพิ่มขึ้นเป็น 44,000 คน
ขณะที่หนึ่งวันก่อนหน้าที่จะมีการออกหมายจับครั้งนื้สหรัฐฯ ใช้สิทธิวีโต้ร่างมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ซึ่งเรียกร้องให้มีการหยุดยิงอย่างถาวรในกาซาโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไขพร้อมกับปล่อยตัวประกันทั้งหมด
ร่างมติดังกล่าวจะได้รับการเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคง 14 จาก 15 ประเทศ โดยสหรัฐฯ เป็นชาติเดียวที่คัดค้าน โดยใช้สิทธิวีโต้ในฐานะสมาชิกถาวร และถือเป็นครั้งที่ 4 แล้วที่ใช้สิทธิดังกล่าว
อ่านข่าวอื่น : "ปูติน" แถลงยิงขีปนาวุธตอบโต้ทางตะวันออกของยูเครน
ฟุตซอลหญิงไทย พ่าย เวียดนาม 1-2 ประตู คว้ารองแชมป์อาเซียน
พนง.บริษัทญี่ปุ่น เรียกร้องค่าชดเชย หลังถูกเลิกจ้างกะทันหัน
วันนี้ (22 พ.ย.2567) วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย แถลงว่า กองทัพรัสเซียยิงขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยไกลที่มีความเร็วเหนือเสียง โจมตีสถานที่ทางการทหารของยูเครนในเมืองดนิโปร ทางตะวันออกของยูเครน โดยเป็นการทดสอบการใช้งานขีปนาวุธที่ชื่อว่า Oreshnik ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี
การทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลในครั้งนี้ เป็นการตอบโต้ท่าทีของยูเครนที่ยิงขีปนาวุธ ATACMS ของสหรัฐฯ และ STORM SHADOW ของอังกฤษ โจมตีรัสเซียตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา
ปูติน ยังเตือนชาติตะวันตก ว่า รัสเซียสามารถโจมตีสิ่งก่อสร้างทางการทหารของประเทศใดก็ตามที่สนับสนุนอาวุธให้ยูเครนใช้ต่อต้านรัสเซีย
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อวานนี้ (21 พ.ย.) มีรายงานว่ายูเครนถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธทิ้งตัว ซึ่งโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ระบุก่อนหน้านี้ว่า ยูเครนถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธที่มีลักษณะคล้ายการโจมตีของขีปนาวุธข้ามทวีป โดยอ้างถึงความเร็วและระดับความสูงของวิถีขีปนาวุธดังกล่าว แต่ข้อมูลดังกล่าวถูกเจ้าหน้าที่ความมั่นคงสหรัฐฯ ออกมาโต้แย้ง โดยระบุว่า เป็นขีปนาวุธพิสัยไกล และไม่ส่งผลให้พลิกเกมสงครามแต่อย่างใด
สำหรับขีปนาวุธทิ้งตัว แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยใกล้ Short-range พิสัยทำการไม่เกิน 1,000 กิโลเมตร, พิสัยกลาง medium-range พิสัยทำการ 1,000-3,000 กิโลเมตร, พิสัยไกล intermediate-range พิสัยทำการ 3,000-5,500 กิโลเมตร และ ICBM คือ ขีปนาวุธข้ามทวีป ยิงได้ไกลกว่าทั้งหมด หรืออาจจะครอบคลุมส่วนใดก็ตามของทั้งโลก
ด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศยูเครน เรียกร้องให้นานาชาติตอบโต้ท่าทีการยิงขีปนาวุธข้ามทวีปใส่ยูเครนของรัสเซีย โดยขอรับการสนับสนุนระบบป้องกันภัยทางอากาศ เพื่อรับมือกับการโจมตีลักษณะดังกล่าว
สถานการณ์สงครามที่ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น เกิดขึ้นท่ามกลางหิมะโปรยปรายลงมาในเมืองหลวงของยูเครน และอากาศเริ่มเย็นลงอย่างรวดเร็วหลังเข้าสู่ฤดูหนาว โดยประชาชนเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงที่อาจไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ หลังจากรัสเซียมุ่งโจมตีโครงสร้างทางพลังงานของยูเครนตลอดช่วงที่ผ่านมา
อ่านข่าว : ยูเครนยิงขีปนาวุธ "Storm Shadow" รุกดินแดนรัสเซีย
รัสเซียประกาศตอบโต้หลังยูเครนยิง "ATACMS" โจมตีใกล้พรมแดน
อินเดียสั่ง พนง.รัฐ ทำงานที่บ้านหลังหมอกควันยังวิกฤต
ภายหลังสื่อต่างชาติหลายสำนัก รายงานตรงกันว่ายูเครนใช้ขีปนาวุธ Storm Shadow ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยอังกฤษและฝรั่งเศส ยิงเข้าใส่ดินแดนของรัสเซียแล้ว แม้ก่อนหน้านี้อังกฤษที่เป็นผู้สนับสนุนจำกัดให้ใช้ขีปนาวุธดังกล่าวเฉพาะพรมแดนยูเครน
วันนี้ (21 พ.ย.2567) สำนักข่าวรอยเตอร์ส เผยแพร่ภาพและระบุว่า การโจมตีหลายครั้งในภูมิภาคคูสค์ของรัสเซียเมื่อวานนี้ (20 พ.ย.) ยังไม่สามารถชี้ชัดว่าการโจมตีทางอากาศดังกล่าวใช้อาวุธชนิดใด และไม่แน่ชัดว่าเป็นการโจมตีด้วยขีปนาวุธ ATACMS ของสหรัฐฯ หรือ Storm Shadow ของอังกฤษ
ขณะที่รัฐบาลอังกฤษ ยังไม่ได้ชี้แจงประเด็นดังกล่าว แต่ The Guardian สื่อของอังกฤษ รายงานว่า รัฐบาลอังกฤษได้อนุมัติให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธ Storm Shadow ขณะที่ Financial Times รายงานว่า ขีปนาวุธชนิดนี้ถูกยิงเข้าใส่เป้าหมายทางการทหารของรัสเซียจำนวนหลายลูก
ท่าทีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ เพิ่งอนุมัติให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธ ATACMS โจมตีเข้าไปในดินแดนของรัสเซียได้ ซึ่งมีพิสัยทำการ 300 กิโลเมตร และทางยูเครนเริ่มใช้อาวุธดังกล่าวโจมตี ซึ่งยกระดับความตึงเครียดของสถานการณ์สงครามที่ยืดเยื้อมาครบ 1,000 วันในสัปดาห์นี้
ขณะที่ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ เตรียมจัดหาทุ่นระเบิดสังหารบุคคลให้ยูเครน เพื่อชะลอการรุกคืบของทัพรัสเซียทางภาคตะวันออก แม้ว่าอาวุธดังกล่าวอาจเพิ่มความเสี่ยงให้แก่พลเรือนที่มีโอกาสบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการเหยียบทุ่นระเบิดก็ตาม ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากกลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่ม
การตัดสินใจของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนยูเครนครั้งล่าสุด ซึ่งก่อนหน้านี้สหรัฐฯ เผชิญความเสี่ยงจากการถูกโจมตี และต้องปิดสถานเอกอัครราชทูตในกรุงเคียฟของยูเครนเป็นการชั่วคราว พร้อมทั้งเตือนชาวอเมริกันในยูเครนเตรียมพร้อมหาที่หลบภัย ซึ่งล่าสุดทางสถานเอกอัครราชทูตเตรียมกลับมาเปิดทำการอีกครั้งในวันนี้ (21 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น
วันนี้ (20 พ.ย.2567) ภาพจากโดรนเผยให้เห็นฟองสีขาวหนาทึบลอยปกคลุมผิวน้ำในแม่น้ำยมุนาในกรุงนิวเดลี สะท้อนให้เห็นถึงปัญหามลพิษทางน้ำในอินเดียที่ยังคงย่ำแย่ เช่นเดียวกับวิกฤตมลพิษทางอากาศที่ยังไม่คลี่คลาย ซึ่งเห็นได้จากบรรยากาศทั่วเมืองหลวงของอินเดียที่เต็มไปด้วยหมอกควันปกคลุมหนาทึบ บดบังทัศนียภาพและทำให้ทัศนวิสัยลดลงอย่างมาก
กรุงนิวเดลีเผชิญสภาพอากาศเลวร้ายเช่นนี้มานานหลายสัปดาห์แล้ว โดยในวันนี้ IQ Air จัดอันดับให้นิวเดลีเป็นเมืองที่มีมลพิษหนาแน่นมากที่สุดในโลกอีกครั้ง หลังวัดค่าดัชนีคุณภาพอากาศได้ที่ 449 ซึ่งจัดอยู่ในระดับอันตราย ขณะที่สื่อท้องถิ่น รายงานว่า เที่ยวบินที่ท่าอากาศยานนานาชาติอินทิรา คานธี ล่าช้า 119 เที่ยวบิน และอีก 6 เที่ยวบินถูกยกเลิก
ล่าสุด รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอินเดีย เปิดเผยว่าทางการนิวเดลีตัดสินใจให้พนักงานในหน่วยงานรัฐครึ่งหนึ่ง ทำงานจากบ้านแทน เพื่อรับมือกับปัญหามลพิษ โดยจะมีการประชุมที่สำนักงานเลขาธิการเพื่อบังคับใช้มาตรการนี้ต่อไป
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลอินเดียออกมาตรการมาแล้วหลายอย่าง เพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตมลพิษ ซึ่งรวมถึงการสั่งห้ามรถบรรทุกที่ไม่ได้รับอนุญาตวิ่งเข้าพื้นที่ ห้ามการก่อสร้างที่ไม่จำเป็น และสั่งให้โรงเรียนระดับประถมศึกษาทั้งหมดเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนเป็นแบบออนไลน์ นอกจากนี้ ยังร้องขอให้เด็ก ผู้สูงอายุและผู้มีปัญหาสุขภาพ หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านให้ได้มากที่สุด เพื่อความปลอดภัยด้วย
อ่านข่าวอื่น :
ลุ้นสภาฯ อนุมัติ! ลดภาระผู้ประกอบการขยายวันลาคลอด 120 วัน
ห้างดังถูกแฮกข้อมูลส่วนบุคคล 5 ล้านราย รมว.ดีอีสั่งสอบ
การหวนคืน "ทำเนียบขาว"ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในสมัยที่ 2 ไม่เพียงสร้างความหวาดหวั่นไปทั่วโลก ทั้งด้านเศรษฐกิจและมาตรการกีดกันทางการค้า-การลงทุน การเมืองเรื่องการปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติ ตามแนว ทาง America Frist ท่ามกลางบริบทความขัดแย้ง ประเทศคู่สงครามรัสเซีย-ยูเครน” และปัญหาในดินแดนปาเลสไตน์ จึงทำให้ถูกจับตามองว่า สหรัฐฯภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนที่ 43 จะดำเนินนโยบายอย่างไรกับโลกมุสลิม
กลุ่มประเทศที่ถูกจัดให้อยู่ในโลกมุสลิม แน่นอน ไม่ได้มีเฉพาะชาวอาหรับ 18 ประเทศ อาทิ โอมาน กาตาร์ ซาอุดิอาระเบีย โซมาเลีย ซูดาน ซีเรีย ฯลฯ แต่ยังมีตะวันออกกลาง เอเชียใต้ ยุโรป รวมทั้ง อาเซียน อย่าง อินโดนีเซีย และไทย อาจต้องได้รับผลกระทบไปด้วย
หากกล่าวถึง "โลกมุสลิม" หรือชาวมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลาม ทั่วโลกพบมีจำนวน 19,000 ล้านคนทั่วโลก คิดเป็นอัตราร้อยละ 24.1 และเป็นประชากรส่วนใหญ่ของ 49 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้กลุ่มประเทศอาหรับยังเป็นศูนย์ กลางทางด้านปิโตรเลียมและการบิน ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าร้อยละ 43 และ 20 ตามลำดับ
แม้โลกอาหรับจะมีสำคัญต่อโลกมากมาย กลับปรากฎข้อมูลน้อยมากว่า หลัง "ทรัมป์"ก้าวขึ้นสู่อำนาจอีกครั้ง จะมีผลต่อโลกมุสลิมอย่างไร
นายดนัย มู่สา ประธานกรรมการศูนย์นโยบายโลกมุสลิม อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า หากจะเข้าใจโลกอิสลาม ต้องเข้าใจก่อนว่าประกอบด้วยกลุ่มใด ภูมิภาคใด ประเทศใด
โลกมุสลิมแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก อาหรับมลายู เป็นเพื่อนบ้านของไทย อินโดนีเซีย รัฐอิสลามที่ใหญ่ที่สุด มีประชากรมุสลิมมากที่สุด มาเลเซีย ที่เป็นมันสมองของโลกอิสลาม อาจรวมถึงสิงคโปร์ และอินเดีย ที่มีความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจ กลุ่มที่สอง อาหรับตะวันออกกลาง ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกทั้งหลาย รวมไปถึงแอฟริกาเหนือ เช่น อียิปต์ ลิเบีย ซูดาน และที่นับรวมด้วยคือ ตุรกี แม้จะอยากเข้าร่วมสหภาพยุโรปก็ตาม
ปัญหาคือ ทรัมป์เข้าใจโลกมุสลิมแบบใด สำหรับผม ทรัมป์สนใจแต่อาหรับตะวันออกกลาง ไม่ได้คิดว่าเพื่อนบ้านเราเป็นโลกมุสลิม ดังนั้น หากจะวิเคราะห์ ต้องพิจารณาทรัมป์ต่อตะวันออกกลางเป็นหลัก
ประธานกรรมการศูนย์นโยบายโลกมุสลิม มองว่า ทรัมป์ได้หันหน้าเข้าหาโลกมุสลิมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และพยายามเน้นหนักไปที่การยุติสงคราม ระหว่างอิสราเอลต่อกลุ่มต่าง ๆ ในตะวันออกกลาง ทั้งฮามาส เฮซบอลเลาะห์ ฮูตี หรือความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เพื่อดึงเงินดอลลาร์สหรัฐกลับเข้าประเทศให้ได้มากที่สุด ให้สอดรับกับนโยบาย America First
ประเด็นนี้ ทำให้ "ทรัมป์" ได้ใจฐานเสียงกลุ่มมุสลิมอเมริกัน ในบรรดารัฐ Swing States อย่างมาก ถึงขนาดที่มีการกล่าวขานว่า การที่ทรัมป์กลับเข้ามาสู่อำนาจได้อีกครั้ง เป็นผลมาจากผู้เลือกตั้งชาวมุสลิม อีกทั้งทรัมป์ยังเป็นคนบ้าที่สมองปราดเปรื่อง วิ่งโร่เข้าหามุสลิมด้วยการลงพื้นที่ไปรับประทานอาหารฮาลาล ให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำให้โลกมุสลิมกลับมาสงบอีกครั้ง
ทรัมป์เป็นประเภท เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาไม่นานด้วย หาเสียงอะไรไว้ ทำได้ตามนั้นหมด จริง ๆ ทำเกินกว่านั้นเสียด้วยซ้ำไป เพียงแต่ที่ได้ใจมุสลิม ไม่ได้มีเพียงการซื้อใจด้วยการหาเสียง แต่ในทรัมป์ 1.0 เขาเลือกที่จะไม่ทำการขึ้นทะเบียนผู้อพยพชาวมุสลิม ทำให้การอพยพของมุสลิมไม่ผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกโรงเตือนถึงปัญหาบางอย่าง เพราะจริง ๆ แล้ว ทรัมป์ 1.0 กับโลกมุสลิมนั้น "เริ่มไม่ดี จบไม่สวย" จากการย้ายสถานทูตสหรัฐฯ มาอยู่ที่นครเยรูซาเลม สถานที่ศักดิ์สิทธ์ที่กำเนิดปมขัดแย้ง คริสต์-อิสลาม-ยิว หรือการแบนซีเรียออกจากสารบบโลก
รวมถึง การที่ทรัมป์ออกตัวแรงว่าสหรัฐฯ จะยุติสงครามโดยเร็ว ซึ่งวิธีการ คือ ตัดกำลังทหาร และไม่ให้ความช่วยเหลืออิสราเอลเพื่อการสัประยุทธ์โลกมุสลิม แต่ไม่ได้บังคับให้อิสราเอลต้องยุติสงครามไปโดยปริยาย ดังนั้น อิสราเอลที่มีกำลังรบพร้อมสรรพ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสหรัฐฯ ก็สามารถทำสงครามกับโลกมุสลิมด้วยตนเองได้ อาจยกระดับความรุนแรงขึ้นเพราะได้ลุยเดี่ยว ซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่ของโลกมุสลิมได้ในวาระ 4 ปีของทรัมป์
ดังนั้น การปรับตัวของโลกมุสลิมจึงเป็นทางออกสำคัญ เพราะตอนนี้อย่างไรทรัมป์ก็ต้องเข้าหา โดยเฉพาะประเทศตะวันออกกลางที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่สามารถช่วยให้สหรัฐฯ ได้รับผลประโยชน์สูงสุด คือ ซาอุดิอาระเบีย ที่มีพัฒนาการก้าวหน้าทั้งในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงพลังงานมหาศาล จึงอยู่ที่ว่าทรัมป์จะเข้าหาด้วยวิถีแบบใด จะมาลักษณะเดิม คือ ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศตนเอง หรือจะผ่อนปรน โอนอ่อนให้โลกมุสลิม
สภาพการณ์ที่เป็นไปได้ คือ โลกมุสลิมเปลี่ยน แต่ทรัมป์ไม่เปลี่ยน หรือ โลกมุสลิมเปลี่ยน และทรัมป์ยอมเปลี่ยนตาม อย่างแรกมีแนวโน้มเป็นไปได้มากกว่า แต่ไม่ว่าอย่างไร โลกมุสลิมก็ต้องเปลี่ยนอยู่วันยังค่ำ
เป็นที่เข้าใจได้ว่า ทรัมป์มีวิธีคิดต่อโลกมุสลิมว่าเป็นตะวันออกกลางเป็นหลัก แต่ รศ.ดร.ชัยวัฒน์ มีสันฐาน ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอว่า โลกมุสลิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความสำคัญไม่แพ้กัน แม้ว่าทรัมป์จะไม่ได้พิจารณาว่าเป็นโลกมุสลิม แต่ในบางประเทศที่เป็นมุสลิมนั้น มีผลประโยชน์มากพอที่จะเจรจาด้วย
โดยผลประโยชน์ที่สำคัญที่สุด คือ การใช้โลกมุสลิมในภูมิภาคนี้เป็น "เครื่องมือถ่วงดุลอำนาจจีน" ที่แผ่ขยายลงมาจากนโยบายและมาตรการทางการเมืองและเศรษฐกิจต่าง ๆ อาทิ Belt and Road Initiative หรือ BRI เส้นทางการค้าที่เชื่อมร้อยให้จีนส่งออกสินค้าได้ง่ายยิ่งขึ้น
ความร่วมมือจากจีนมีเงื่อนไขน้อยกว่าสหรัฐฯ ตรงนี้ ทำให้การสานสัมพันธ์ในภูมิภาคนี้ของสหรัฐฯ นั้นเสียเปรียบ เป็นปัญหาของโลกมุสลิมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นกัน ว่าจะคุยกับทรัมป์อย่างไร
แต่สัญญาณหนึ่งที่เป็นไปได้ รศ.ดร.ชัยวัฒน์ ชี้ว่า ปัญหาการปกครองมุสลิมของจีนใน ซินเจียง อุยกูร์ อาจทำให้โลกมุสลิมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หันหน้าเข้าหาทรัมป์มากยิ่งขึ้น ขึ้นอยู่กับว่า ผู้กำหนดนโยบายจะเลือกดำเนินการแบบคิดเรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือผลประโยชน์ด้านคุณค่า หากคิดแบบแรก อินโดนีเซีย มาเลเซีย ทิ้งจีนไป จากที่กำลังได้ดุลการค้า จะเสียดุลการค้าให้สหรัฐฯ แน่นอน
กล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นโลกมุสลิมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออก กลาง มีแนวโน้มว่าด้วยความไม่แน่นอนที่มาจากอุปนิสัยของทรัมป์ทั้งสิ้น แต่อีกภูมิภาคหนึ่งที่ "สร้างสถานภาพ" ในฐานะโลกมุสลิมมาอย่างต่อเนื่อง คือ "เอเชียกลาง" ประกอบด้วย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน และอุซเบกิสถาน ซึ่งอาจจะนับรวม อาเซอร์ไบจาน เจ้าภาพ COP29 เข้าไปด้วย ในฐานะผู้เล่นหน้าใหม่ของโลกมุสลิม มีความสำคัญต่อทรัมป์หรือไม่
รศ.ดร.ชัยวัฒน์ ฟันธงว่า ยากมาก เหตุผลเพราะเป็นรัฐกันชนที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของรัสเซียมาช้านาน แม้จะมีทรัพยากรน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ดึงดูดการแสวงหาผลประโยชน์ของสหรัฐฯ แต่การฝ่าด้านรัสเซีย เจ้าของสัมปทานเดิม หรือจีน ที่มีความใกล้เคียงทางเผ่าพันธุ์และภูมิรัฐศาสตร์มากกว่า เป็นเรื่องที่อาจจะได้ไม่คุ้มเสียของสหรัฐฯ
"สมการของทรัมป์ในโลกมุสลิม ไม่นับรวมเอเชียกลาง แม้แต่แอฟริกาเหนือ ก็ไม่นับรวม เพราะหักลบกลบหนี้แล้วถือว่าสหรัฐฯ เสียเปรียบ ส่วน "อาเซียน" สหรัฐฯ ก็ไม่หันมามอง ดังนั้น การเจรจาทวิภาคีของสหรัฐฯ คือสิ่งที่ทรัมป์จะกระทำ อยู่ที่โลกมุสลิมว่า จะถ่วงดุลแบบรวมกลุ่ม หรือเป็นรายประเทศ" รศ.ดร.ชัยวัฒน์ สรุป
อ่านข่าว
"ฝ่ามรสุมภูมิรัฐศาสตร์" ทางรอดไทย "เลิกเร้นกาย" ในเวทีโลก
ลอกคราบ "ทรัมป์" สมัยสอง "เอเชียตะวันออก-ไทย" กระอัก
"เกรียงศักดิ์" ชำแหละ "ทรัมป์" ผลประโยชน์เป็นใหญ่ ไทยต้องรับมือ
นับดูแล้ว เหตุรถยนต์พุ่งชนคนบริเวณนอกโรงเรียนประถมในเมืองฉางเต๋อ เมื่อวันที่ 19 พ.ย.2567 ถือเป็นเหตุรุนแรงในจีนครั้งที่ 3 แล้วในรอบ 1 สัปดาห์ แม้ว่าเจ้าหน้าที่จีนจะยังไม่ยืนยันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากอะไร เป็นการจงใจก่อเหตุ หรือเป็นเพียงอุบัติเหตุ
คลิปวิดีโอจากโทรศัพท์มือถือแสดงให้เห็นภาพความวุ่นวายโกลาหล ระหว่างที่นักเรียนและผู้ปกครองแตกตื่นวิ่งหนีเข้าไปในโรงเรียน ท่ามกลางเสียงร้องด้วยความตกใจ
ขณะที่อีกคลิปหนึ่งเป็นภาพผู้ได้รับบาดเจ็บนอนอยู่บนถนน หลังจากชายต้องสงสัยขับรถยนต์สีขาวพุ่งเข้าชนพ่อแม่ผู้ปกครองที่เดินทางมาส่งลูกหลานเข้าโรงเรียนในช่วงเช้า ก่อนที่ประชาชนที่อยู่ในบริเวณนั้น จะช่วยกันขวางรถเอาไว้ และรุมประชาทัณฑ์คนขับรถจนได้รับบาดเจ็บ ก่อนถูกตำรวจจับกุมตัวไป
นับย้อนไป 2 เดือน มีข่าวการก่อเหตุรุนแรงในจีนที่อยู่ในความสนใจของสื่อทั่วโลก ไม่ต่ำกว่า 7 เหตุการณ์ในหลายเมืองทั่วประเทศ ทั้งเหตุไล่แทงคนและขับรถชนคน อย่างเหตุการณ์ที่เมืองจูไห่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กลายเป็นเหตุโจมตีหมู่ครั้งใหญ่ที่สุดในจีนในรอบ 10 ปี เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตมากถึง 35 คน และบาดเจ็บ 43 คน
ขณะที่เหตุแทงเด็กญี่ปุ่น วัย 10 ขวบ เสียชีวิตในเมืองเซินเจิ้น เมื่อเดือน ก.ย. ส่งผลกระทบไปถึงรัฐบาลของ 2 ประเทศ และทำให้ทางการญี่ปุ่นต้องออกคำเตือนให้ชาวญี่ปุ่นในจีนระมัดระวังตัวและหลีกเลี่ยงการพูดภาษาญี่ปุ่น
แม้ว่าในแต่ละเหตุการณ์ ผู้ก่อเหตุจะไม่ได้มีแรงจูงใจเหมือนกัน แต่จุดร่วมในหลายเหตุการณ์ นั่นก็คือ ผู้ก่อเหตุมีปัญหาทางการเงิน หลายคนมีปัญหาสุขภาพจิต รวมทั้งเชื่อว่า ตัวเองได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม และรู้สึกว่าไม่มีใครรับฟังปัญหาของพวกเขา
จุดร่วมเหล่านี้สะท้อนถึงปัญหาที่กำลังหยั่งรากลึกในสังคมจีน อันเป็นผลมาจากความกดดันทางสังคมและเศรษฐกิจในยุคที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนชะลอตัวและไม่เฟื่องฟูเหมือนในอดีต ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ซ้อนทับกับปัญหาการเข้าถึงการรักษาอาการป่วยทางจิตและการตีตราคนที่เข้ารับการรักษา หรือปรึกษาปัญหาในด้านนี้
ข้อมูลจากทางการจีน ชี้ว่า นับตั้งแต่ต้นปี เกิดเหตุรุนแรงที่ผู้ก่อเหตุกระทำกับผู้อื่นแบบไม่เลือกหน้าอย่างน้อย 19 เหตุการณ์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วไม่ต่ำกว่า 63 คน และบาดเจ็บมากกว่า 160 คน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าปีก่อนหน้าอย่างก้าวกระโดด โดยเมื่อปีที่แล้ว มีผู้เสียชีวิตจากเหตุรุนแรงในลักษณะเดียวกันเพียง 16 คน และบาดเจ็บ 40 คน
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในสหรัฐฯ สำรวจมุมมองของชาวจีนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เปรียบเทียบกับการสำรวจระหว่างปี 2547-2557 โดยพบว่า ชาวจีนใน 2 ยุค มองเรื่องความไม่เท่าเทียมต่างกันออกไป เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจในช่วง 2 ทศวรรษ
งานวิจัยชิ้นนี้ตั้งคำถามหลายข้อ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ คำถามที่ว่า คนที่มีฐานะยากจนในจีน ทำไมถึงจน โดยจะเห็นว่า 3 เหตุผลหลักเมื่อปี 2547 ได้แก่ การขาดความสามารถ การศึกษาต่ำและการขาดความมุมานะพยายาม ซึ่งตีความได้ว่า ผู้ตอบแบบสำรวจ มองว่า คนจะจนก็เป็นเพราะตัวเอง แต่มุมมองนี้สวนทางกับผลสำรวจล่าสุด ที่มองว่า ปัญหาความยากจนเกิดจากระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ไม่เท่าเทียม
ถามใหม่ว่า ทำไมคนถึงรวย คำตอบที่ได้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว คือ เป็นเพราะความสามารถและการศึกษาของคน ๆ นั้น สวนทางกับมุมมองของชาวจีนในปัจจุบัน ซึ่งมองว่า คนในจีนจะรวยได้ต้องมีสายสัมพันธ์ หรือ คอนเนกชัน ที่ดีเป็นอันดับแรก รวมทั้งต้องมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยและมีโอกาสที่ดีกว่าคนอื่น ๆ ถึงจะรวยได้
อีกหนึ่งคำถามที่น่าสนใจ คือ ความพยายามมักจะนำไปสู่การได้รับรางวัลใช่หรือไม่ ซึ่งคนที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว มีถึงร้อยละ 62 แต่ตัวเลขดังกล่าวลดลงมาเหลือเพียงแค่ร้อยละ 28 เมื่อปีที่แล้ว โดยในกรอบเวลาเพียงแค่ 20 ปี มุมมองของชาวจีนเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่ถูกกดทับอยู่ในสังคมจีนที่รอวันปะทุกลายเป็นเหตุรุนแรง แม้จีนจะมีอัตราการเกิดเหตุรุนแรงที่ต่ำกว่าหลายประเทศ แต่ทางการก็ไม่สามารถละเลย หรือมองข้ามปัญหาเหล่านี้ได้ เพราะมันเป็นเสมือนระเบิดเวลาในสังคม
อ่านข่าวอื่น :
เกิดเหตุยิง M79 ใส่ที่พักคนงานสร้างเจ้าแม่กวนอิม จ.สงขลา เจ็บ 3 คน
รัสเซียประกาศตอบโต้หลังยูเครนยิง "ATACMS" โจมตีใกล้พรมแดน
วันนี้ (20 พ.ย.2567) กระทรวงกลาโหมรัสเซีย เปิดเผยว่า ยูเครนใช้ขีปนาวุธทางยุทธวิธี ATACMS ยิงเข้าไปในภูมิภาคบรียานส์ค ที่อยู่ติดกับชายแดนยูเครนทางตอนเหนือ เมื่อช่วงเช้าวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น โดยรัสเซียยิงสกัดขีปนาวุธไว้ได้ 5 ลูก ส่วนอีก 1 ลูกทำให้เกิดความเสียหาย โดยเศษชิ้นส่วนของขีปนาวุธดังกล่าวทำให้เกิดเพลิงไหม้บริเวณสิ่งก่อสร้างทางการทหารแห่งหนึ่งในภูมิภาค
แถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ระบุว่า ขีปนาวุธนี้ถูกยิงเข้าใส่รัสเซียเมื่อเวลา 03.25 น. ของวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น แต่เจ้าหน้าที่สามารถดับไฟที่ลุกไหม้จากเศษซากขีปนาวุธได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ข้อมูลดังกล่าวขัดแย้งกับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯ ที่ระบุว่า เบื้องต้นพบว่ารัสเซียสกัดขีปนาวุธชนิดได้เพียง 2 ลูก จากทั้งหมด 8 ลูกที่ยูเครนยิงโจมตี ซึ่งสื่อต่างประเทศหลายสำนักยังไม่ยืนยันข้อมูลนี้
ด้านกองทัพยูเครน ยืนยันข้อมูลก่อนหน้านี้ว่า สามารถโจมตีคลังสรรพาวุธในภูมิภาคดังกล่าวของรัสเซียได้สำเร็จ แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าได้ใช้ขีปนาวุธ ATACMS หรือไม่ และยังเปิดเผยด้วยว่าการโจมตีคลังสรรพาวุธดังกล่าว ที่ห่างจากชายแดนไปประมาณ 100 กิโลเมตร ทำให้เกิดการระเบิดตามมาภายหลัง 12 ครั้ง
หลังจากรายงานข่าวการใช้ขีปนาวุธ ATACMS ของยูเครน ต่อมา เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ออกมากล่าวหาทางการสหรัฐฯ ว่าเป็นฝ่ายพยายามยกระดับความตึงเครียดในสงคราม หลังจากยูเครนใช้ขีปนาวุธที่สหรัฐฯ เพิ่งจะไฟเขียวให้โจมตีภูมิภาคของรัสเซีย
ลาฟรอฟ ระบุว่า เป็นไปไม่ได้ที่ยูเครนจะใช้ขีปนาวุธล้ำสมัยดังกล่าวหากไม่มีสหรัฐฯ สนับสนุน โดยเป็นสิ่งที่วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เคยกล่าวไว้
รัสเซียจะถือว่าการยิงขีปนาวุธ ATACMS เหล่านี้ มีผู้เชี่ยวชาญด้านกลาโหมของสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลัง และจะถือเป็นพัฒนาการใหม่ของสงครามที่ชาติตะวันตกมุ่งเป็นปรปักษ์กับรัสเซีย และรัสเซียจะตอบโต้ตามสมควร
ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากเมื่อวานนี้ (19 พ.ย.) ทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียอนุมัติหลักการใช้อาวุธนิวเคลียร์ที่ผ่านการแก้ไขใหม่ก่อนหน้านี้ โดยจะถือเป็นการโจมตีร่วม กรณีที่รัสเซียโจมตีรัฐที่ไม่ได้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ แต่มีรัฐที่ครอบครองนิวเคลียร์คอยหนุนหลังอยู่ ซึ่งจะเปิดทางให้พิจารณาการตอบโต้อย่างเหมาะสมได้ต่อไป
ขณะที่ Matthew Miller โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ ไม่เห็นถึงเหตุผลอันสมควรที่จะเปลี่ยนแปลงหลักการการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ แต่ขอเน้นย้ำการเรียกร้องให้รัสเซียยุติท่าทีที่ก้าวร้าวและการใช้วาทกรรมอันไร้ความรับผิดชอบ ไร้การคำนึงถึงผลที่จะตามมา
ด้านเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ วิจารณ์ท่าทีของรัสเซียเกี่ยวกับหลักการอาวุธนิวเคลียร์ในครั้งนี้ ว่า เป็นความเคลื่อนไหวและวาทกรรมที่ไร้ความรับผิดชอบ พร้อมย้ำว่าท่าทีดังกล่าวจะไม่ทำให้การสนับสนุนยูเครนของอังกฤษเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ขณะที่ประชาชนจำนวนมากในกรุงเคียฟร่วมกันจุดเทียนบริเวณอนุสาวรีย์มาตุภูมิ เพื่อรำลึกครบรอบ 1,000 วัน ตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากโจมตียูเครน ทำให้ชาวยูเครนเสียชีวิตจำนวนมาก และกว่า 6,000,000 คน ต้องอพยพหนีภัยการสู้รบออกนอกประเทศ ซึ่งจำนวนประชากรยูเครนลดลงถึง 1 ใน 4 ตั้งแต่รัสเซียเริ่มเปิดฉากบุกในสงครามครั้งใหญ่ที่สุดบนภาคพื้นทวีปยุโรป นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา
อ่านข่าว : "ไบเดน" ไฟเขียวยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลโจมตีรัสเซีย
เตือน "ไต้ฝุ่นหม่านหยี่" เข้าใกล้เกาะไหหลำ 19-20 พ.ย.นี้
จับมือครั้งสุดท้าย! ไบเดน-สี หวังความสัมพันธ์ 2 มหาอำนาจมั่นคง
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมารอบนี้ยังใช้นโยบายกดดันเศรษฐกิจผ่านการขึ้นภาษี สะท้อนยุทธศาสตร์อเมริกาต้องมาก่อน หรือ "America First" มุ่งปกป้องผลประโยชน์สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาประเทศคู่ปรับยักษ์อย่างเช่นจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด การขึ้นภาษีนี้สร้างอำนาจต่อรองให้สหรัฐฯ ในการเจรจาต่อรองทางการค้า แม้จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคสหรัฐฯ และตลาดการเงินทั่วโลกก็ตาม
สำหรับไทย การที่สหรัฐฯ ใช้นโยบายกดดันเชิงเศรษฐกิจเช่นนี้ส่งผลให้ไทยต้องพิจารณายุทธศาสตร์การตอบโต้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน ไทยควรสร้างความหลากหลายในตลาดส่งออกเพื่อไม่ให้พึ่งพาสหรัฐฯ และจีนมากเกินไป
นอกจากนี้ การเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับกลุ่มประเทศอาเซียนและประเทศในเอเชียอื่น ๆ อาจช่วยให้ไทยมีฐานเศรษฐกิจที่มั่นคงและมีอำนาจต่อรองในภูมิภาคได้มากขึ้น
สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย โดยในปี 2023 มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 66,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ มูลค่า 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่นำเข้า 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้ไทยมีดุลการค้าเกินดุลราว 24,000 ล้านดอลลาร์ สินค้าส่งออกหลักของไทย ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องนุ่งห่ม และผลิตภัณฑ์เกษตร ขณะที่สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เช่น เครื่องจักรกล เคมีภัณฑ์ และอุปกรณ์การแพทย์ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมไทย สหรัฐต้องการลดการขาดดุลการค้ากับไทย
ในด้านการลงทุนโดยตรง สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในนักลงทุนหลักที่ช่วยสร้างงานและถ่ายทอดเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมไทย ทั้งสองประเทศมีกรอบความตกลงการค้าและการลงทุน (TIFA) ที่ช่วยลดอุปสรรคและขยายโอกาสการค้าการลงทุนระหว่างกัน ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จึงมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย และยังช่วยเสริมอำนาจต่อรองเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาค
ทางด้านยุทธศาสตร์ทหาร ไทยมีอำนาจต่อรองที่สำคัญกับสหรัฐฯ ด้วยสถานะพันธมิตรนอกนาโต้ที่มีความร่วมมือใกล้ชิด เช่น การฝึกคอบราโกลด์ซึ่งเป็นกิจกรรมฝึกร่วมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ทหารที่ยาวนาน ไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมต่อมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย ทำให้สหรัฐฯ ใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการหรือจุดสนับสนุนในกรณีที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในภูมิภาค
นอกจากนี้ ไทยยังสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯ ได้ง่ายกว่าหลายประเทศในภูมิภาค จึงมีศักยภาพเชิงยุทธศาสตร์ในการสร้างความมั่นคงให้ภูมิภาคโดยไม่ต้องเลือกข้างอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ไทยต้องรักษาสมดุลระหว่างความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และจีน การเน้นยุทธศาสตร์ตอบโต้แบบรอบคอบ โดยใช้การเจรจาและการทูตแบบสมดุล จะช่วยให้ไทยรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน
ประเด็นสุดท้าย ไทยต้องสร้างสัมพันธภาพกับสมาชิกสภาคองเกรสให้ได้ ทั้งสภาสูงและสภาล่าง เพราะบรรดาผู้แทนราษฎรเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนก็ตามเป็นผู้ออกกฎหมายที่จะมีผลดีหรือร้ายต่อไทยในอนาคต
ต้องยอมรับไทยไม่มีเงินทองมากมายในการจ้างกลุ่มล็อบบี้ยิสต์แพงๆ ในกรุงวอชิงตันแบบประเทศอิสราเอลที่มีนาน ฉะนั้นเราต้องใช้สัมพันธ์ส่วนตัวและคุณประโยชน์ที่ไทยสามารถตอบสนองให้ยุทธศาสตร์และผลประโยชน์สหรัฐได้
อ่านข่าว :
"ไบเดน" จับมือ "ทรัมป์" ยินดีคืนบัลลังก์ทำเนียบขาว
รู้จัก "DOGE" ทรัมป์ตั้ง 2 มหาเศรษฐีขุนพลปฏิรูปราชการสหรัฐฯ
ลอกคราบ "ทรัมป์" สมัยสอง "เอเชียตะวันออก-ไทย" กระอัก
เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งกำลังจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งในอีกไม่ถึง 2 เดือน อนุญาตให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลของสหรัฐฯ โจมตีเป้าหมายทางการทหารลึกเข้าไปในแผ่นดินรัสเซียได้ หลังจากผู้นำยูเครนเรียกร้องให้สหรัฐฯ อนุมัติการใช้ขีปนาวุธทางยุทธวิธี ATACMS - Army Tactical Missile System โจมตีเป้าหมายลึกเข้าไปในดินแดนในรัสเซียมานานหลายเดือนแล้ว
อ่านข่าว : จับมือครั้งสุดท้าย! ไบเดน-สี หวังความสัมพันธ์ 2 มหาอำนาจมั่นคง
การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวโดยเจ้าหน้าที่ผู้ไม่ประสงค์ออกนามถือเป็นการยืนยันรายงานข่าวโดยสื่ออเมริกันยักษ์ใหญ่ The New York Times กับ The Washington Post ซึ่งอ้างข้อมูลจากแหล่งข่าว ระบุว่าเป็นการปรับเปลี่ยนนโยบายของสหรัฐฯ เพื่อรับมือกับการนำกำลังทหารของเกาหลีเหนือเข้าไปช่วยรบในสมรภูมิยูเครน
แหล่งข่าวระบุด้วยว่า ยูเครนมีแผนจะโจมตีระยะไกลเข้าไปในรัสเซียในอีกไม่กี่วันนี้ แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดอื่น หลังจากสหรัฐฯ พิจารณาเรื่องนี้มานานหลายเดือน และยังไม่มีท่าทีจะอนุมัติ
โปแลนด์ถือเป็นชาติแรกที่ออกมาแสดงความยินดีและเห็นด้วยกับความเคลื่อนไหวนี้ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศโปแลนด์ ระบุว่า เหยื่อของการรุกรานย่อมมีสิทธิ์จะป้องกันตนเอง
ระบบขีปนาวุธ ATACMS มีพิสัยทำการประมาณ 305 กม. ผลิตโดยบริษัทล็อคฮีด มาร์ติน และยิงได้จากระบบยิงจรวดด้วยปืนใหญ่เคลื่อนที่คล่องตัวสูง หรือ ไฮมาร์ส จะเปิดทางให้กองทัพยูเครนเข้าถึงดินแดนในการควบคุมของรัสเซียได้มากขึ้น และช่วยให้ยูเครนโจมตีเป้าหมายระยะไกลได้อย่างปลอดภัย แทนที่จะต้องเคลื่อนพลไปถึงแนวหน้าเพื่อโจมตี
นอกจากนี้ยังมีความแม่นยำ ด้วยระบบ GPS และจะสามารถโจมตีฐานทัพที่รัสเซียใช้สนับสนุนกำลังพลในแนวหน้าได้ ซึ่งจะส่งผลให้ทัพหลังของรัสเซียต้องล่าถอยไกลออกไปจากพรมแดน และลำเลียงเสบียงกับยุทโธปกรณ์จำเป็นต่าง ๆ ไปยังแนวหน้าไกลมากขึ้น
ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากยูเครนต้องรับมือกับการโจมตีระลอกล่าสุดของรัสเซีย ซึ่งเน้นโจมตีที่โครงสร้างพื้นฐานทางพลังงาน จนทำให้ทางการต้องเผชิญปัญหาในการจ่ายไฟฟ้าในหลายพื้นที่
โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ระบุว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2567 รัสเซียพยายามโจมตียูเครนด้วยจรวด 120 ลูก และโดรน 90 ลำ ซึ่งส่วนใหญ่ยูเครนสามารถสกัดได้ โดยพุ่งเป้าการโจมตีไปที่โครงสร้างทางด้านระบบไฟฟ้าเป็นหลัก ส่งผลให้เกิดปัญหาในการจ่ายไฟฟ้าทั้งในกรุงเคียฟและหลายพื้นที่ของประเทศ ซึ่งอาจทำให้ประสบกับไฟฟ้าดับได้ทุกเมื่อ ท่ามกลางฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง
ประชาชนในกรุงเคียฟของยูเครนต้องตื่นมาตั้งแต่เช้ามืดพร้อมเสียงระบบเตือนภัยการโจมตีทางอากาศ หลังรัสเซียระดมโจมตีด้วยจรวดและโดรนในหลายเมืองทั่วทั้งยูเครน ทำให้ประชาชนในกรุงเคียฟต้องรีบไปหลบภัยตามสถานีรถไฟใต้ดินของเมือง
ขณะที่เจ้าหน้าที่ของทางการยูเครนต้องลงพื้นที่เก็บกู้ซากขีปนาวุธซึ่งตกในหลายพื้นที่ของเมือง รวมถึงตามบ้านเรือนของประชาชนที่ถูกเศษซากของจรวดตกใส่จนเสียหายด้วย
เช่นเดียวกับทางตอนใต้ของยูเครนซึ่งถูกโจมตีอย่างหนัก ที่เมืองมิโคลายีฟ บ้านเรือนของประชาชนในพื้นที่ถูกโดรนของทางรัสเซียโจมตีเช่นกัน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บอีก 6 คน ส่วนที่เมืองโอเดสซา ซึ่งเป็นเมืองที่สำคัญติดกับทะเลดำ มีรายงานผู้เสียชีวิตจากการโจมตี 2 คน
อ่านข่าวอื่น : เตือน "ไต้ฝุ่นหม่านหยี่" เข้าใกล้เกาะไหหลำ 19-20 พ.ย.นี้
ไทยรับมอบ 4 วัตถุโบราณบ้านเชียงอายุกว่า 3,500 ปี
ปฏิทินธันวาคม วางแผนเที่ยวให้ปัง! หยุดยาวเดือนสุดท้ายของปี
วันนี้ (18 พ.ย.2567) เมื่อเวลา 04.00 น. กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศพายุไต้ฝุ่น “หม่านหยี่” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 17.9 องศาเหนือ ลองจิจูด 118.9 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ด้วยความเร็วประมาณ 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนเข้าใกล้เกาะไหหลำ ประเทศจีนในช่วงวันที่ 19-20 พ.ย.นี้ และจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางในช่วงวันดังกล่าว
ในช่วงวันที่ 20-24 พ.ย.2567 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม
ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้นโดยบริเวณอ่าวไทยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง
เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (17 พ.ย.) พายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นหม่านหยี่ ได้เข้าเกาะลูซอน ฟิลิปปินส์ ด้วยความเร็วลมสูงสุด 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วม ดินถล่ม ซึ่งก่อนหน้านี้ประชาชนกว่า 1,200,000 คน ได้อพยพออกจากบ้านเรือน รวมถึงประชาชนอีกหลายพันคนในกรุงมะนิลา หลังหน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยา เตือนว่าความรุนแรงของพายุลูกนี้อาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
ด้านหน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่าพายุจะอ่อนกำลังลงอย่างมาก หลังพัดผ่านเกาะลูซอนและจะเคลื่อนตัวออกจากชายฝั่งในช่วงเช้าวันนี้ (18 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น แต่ทำให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มในพื้นที่ที่พายุพัดผ่าน พร้อมทั้งเตือนว่าอาจมีคลื่นพายุสูงกว่า 3 เมตร ซัดท่วมชุมชนชายฝั่งบางแห่ง รวมถึงในกรุงมะนิลา
ทั้งนี้ ในแต่ละปี ฟิลิปปินส์จะเผชิญกับพายุและไต้ฝุ่นประมาณ 20 ลูก ซึ่งซูเปอร์ไต้ฝุ่นหม่านหยี่ ถือเป็นพายุรุนแรงลูกที่ 6 ที่พัดถล่มฟิลิปปินส์ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่พายุ 5 ลูกก่อนหน้านี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 163 คน ประชาชนอีกหลายพันคนต้องไร้ที่อยู่อาศัยและพื้นที่เกษตรกรรมได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง
อ่านข่าว : สภาพอากาศวันนี้ เหนือ-อีสานอากาศเย็น กทม.อุณหภูมิลดลงเล็กน้อย
"หม่านหยี่" ยกระดับเป็นซูเปอร์ไต้ฝุ่น จ่อขึ้นฝั่งฟิลิปปินส์
จับมือครั้งสุดท้าย! ไบเดน-สี หวังความสัมพันธ์ 2 มหาอำนาจมั่นคง
เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2567 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ปธน.สี จิ้นผิง ของจีน เข้าพบกับ ปธน.โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ที่กำลังจะหมดวาระ ในการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก (APEC) ซึ่งจัดขึ้นที่ลิมา ประเทศเปรู โดยผู้นำทั้งสอง ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่าง 2 มหาอำนาจ ท่ามกลางความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
การพบปะครั้งนี้เป็นการสรุปความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศในช่วงการดำรงตำแหน่งของไบเดน ซึ่งมีทั้งช่วงเวลาที่ร่วมมือกัน เช่น การแก้ปัญหายาเสพติดและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และช่วงเวลาที่เผชิญความตึงเครียด เช่น การแข่งขันด้านการค้าและการตอบโต้ทางทหารในภูมิภาค
โดยที่ ปธน.สี จิ้นผิง กล่าวว่าจีนพร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ เพื่อสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ขยายความร่วมมือ และจัดการความขัดแย้งอย่างเหมาะสม
ขณะที่ไบเดนกล่าวถึงการบริหารความสัมพันธ์ระหว่าง 2 มหาอำนาจว่า การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนไม่ควรนำไปสู่ความขัดแย้ง หน้าที่ของเราคือการรักษาความสัมพันธ์ที่มีเสถียรภาพ ซึ่งเราทำได้ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในยุคของไบเดน ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนไม่ได้ไร้ซึ่งปัญหาแต่อย่างใด เช่น กรณีบอลลูนสอดแนมของจีนที่บินเหนือน่านฟ้าสหรัฐฯ และการซ้อมรบของจีนใกล้ไต้หวัน หลังจากที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ เดินทางเยือนเกาะดังกล่าว
ในอีก 2 เดือนข้างหน้า สหรัฐฯ จะเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ซึ่งเคยเป็นประธานาธิบดีในปี 2017–2021 บอนนี เกลเซอร์ จาก German Marshall Fund ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศอาจเผชิญความท้าทายอีกครั้ง
ทรัมป์เคยดำเนินนโยบายแข็งกร้าวต่อจีน โดยระบุว่าจีนเป็น "คู่แข่งเชิงยุทธศาสตร์" และกำหนดนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนอย่างหนัก รวมถึงการกล่าวหาจีนในประเด็นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งครั้งล่าสุด ทรัมป์ได้ให้คำมั่นว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนถึงร้อยละ 60 พร้อมแต่งตั้งบุคคลที่มีจุดยืนแข็งกร้าวต่อจีนในตำแหน่งสำคัญด้านการต่างประเทศและกลาโหม
เกลเซอร์ยังระบุว่าจีนอาจเตรียมเจรจากับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ ในช่วงต้น แต่ในขณะเดียวกันก็เตรียมพร้อมตอบโต้หากสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าดำเนินนโยบายที่กระทบต่อจีน
จีนอาจกังวลว่าพวกเขาไม่มีช่องทางลับที่เพียงพอในการส่งอิทธิพลต่อนโยบายของทรัมป์ ซึ่งทำให้การบริหารความสัมพันธ์ครั้งนี้ท้าทายยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ การกลับมาของทรัมป์ ยังอาจส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกในวงกว้าง โดยเฉพาะในประเด็นไต้หวัน ซึ่งจีนถือว่าเป็นเส้นแดงที่ไม่ควรละเมิด
ในยุคไบเดน สหรัฐฯ ยังคงเสริมสร้างพันธมิตรทางทหารในภูมิภาคนี้ เช่น การขยายความร่วมมือกับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เพื่อป้องกันความเคลื่อนไหวที่อาจเป็นภัยคุกคามจากจีน
การพบปะครั้งนี้ถือเป็นการปิดฉากยุคไบเดนในด้านความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน แต่ก็เป็นการเปิดทางสู่ยุคใหม่ที่อาจมีความไม่แน่นอนมากขึ้นในยุคทรัมป์ และจีนย้ำต้องการความสัมพันธ์ที่มั่นคง ขณะที่สหรัฐฯ จะต้องตัดสินใจว่าจะแข่งขันหรือร่วมมือกับจีนในระดับใดในอีก 4 ปีข้างหน้า
อ่านข่าวอื่น :
สาวงาม "เดนมาร์ก" คว้ามง Miss Universe 2024 - "โอปอล สุชาตา" รองอันดับ 3
เปิดคำตอบชิงมง 5 สาวงาม เวที Miss Universe 2024
Miss Universe 2024 รอบตัดสิน! เกาะติดผลเรียลไทม์ "โอปอล สุชาตา" รอง 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024
วันนี้ (16 พ.ย.2567) ประชาชนที่อาศัยอยู่ตามชุมชนริมชายฝั่งทะเลใน จ.อัลไบ ประเทศฟิลิปปินส์ อพยพออกจากบ้านเรือนไปอาศัยตามศูนย์พักพิง หลังทางการท้องถิ่นสั่งอพยพตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. เพื่อเตรียมรับมือพายุไต้ฝุ่น "หม่านหยี่" ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้ฟิลิปปินส์
กระทรวงมหาดไทยฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่า ประชาชนมากกว่า 250,000 คน อพยพออกจากบ้านเรือนตามภูมิภาคต่างๆ ที่เสี่ยงเกิดดินถล่ม น้ำท่วมและคลื่นพายุซัดฝั่ง ขณะที่ทางการยังสั่งให้เรือต่างๆ ที่ออกทะเลกลับเข้าฝั่งโดยด่วน
ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยา คาดว่า พายุลูกนี้จะทวีกำลังแรงขึ้นก่อนพัดขึ้นฝั่งในวันนี้ (16 พ.ย.) หรือช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ (17 พ.ย.) โดยอาจมีความเร็วลมสูงถึง 215 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือแตะระดับซูเปอร์ไต้ฝุ่น ซึ่งล่าสุดหน่วยงานอุตุนิยมวิทยาฟิลิปปินส์รายงานว่าพายุหม่านหยี่ยกระดับขึ้นเป็นซูเปอร์ไต้ฝุ่นแล้ว
หม่านหยี่ จะเป็นพายุขนาดใหญ่ลูกที่ 6 ที่พัดถล่มฟิลิปปินส์ในระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน ซึ่งพายุหลายลูกก่อนหน้านี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 163 คน และทำให้ผู้คนนับพันนับหมื่นคนต้องไร้ที่อยู่อาศัย รวมถึงสร้างความเสียหายแก่พื้นที่การเกษตรและปศุสัตว์
ขณะที่พายุไต้ฝุ่นอุซางิที่พัดถล่มฟิลิปปินส์ก่อนหน้านี้ ทำให้เกิดความเสียหายในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะทางภาคเหนือในจ.คากายัน ที่ปรากฏภาพความเสียหาย ถนนหลายสายถูกตัดขาดและการสัญจรเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยพื้นที่การเกษตรแถบจังหวัดที่ประสบภัยเต็มไปด้วยซากดินโคลน
หน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยาของฟิลิปปินส์ ระบุว่า พายุอุซางิอ่อนกำลังลงแล้วและเคลื่อนตัวไปทางตอนใต้ของไต้หวัน ซึ่งพายุอุซางิเป็นพายุลูกที่ 5 ที่พัดขึ้นฝั่งฟิลิปปินส์ในปี 2024
ตามปกติ ฟิลิปปินส์จะเผชิญพายุขนาดใหญ่และไต้ฝุ่นปีละประมาณ 20 ลูก ซึ่งสร้างความเสียหายและทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นประจำ แต่การเกิดพายุต่อเนื่องกันในระยะเวลาสั้นๆ ถึง 6 ลูกใน 1 เดือนลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก
อ่านข่าว
พายุลูก 5 ไต้ฝุ่น "อุซางิ" พัดถล่มฟิลิปปินส์ในรอบไม่ถึงเดือน
ศาลออกหมายจับ "กฤษอนงค์" 2 ข้อหา จ่อตรวจค้นบ้านพัก
กทม.เก็บขยะกระทง 5.1 แสนใบ ยอดลดลง 20% ลาดกระบังมากสุด
เมื่อวันที่ 14 พ.ย.2567 พายุไต้ฝุ่น "อุซางิ" พัดขึ้นฝั่งบริเวณเมือง Baggao จ.คากายัน บนเกาะลูซอน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศฟิลิปปินส์ ด้วยความเร็วลม 175 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
หลังพายุขึ้นฝั่ง ตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยกระจายกำลังเร่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยมีรายงานว่าสมาชิกของ 6 ครอบครัวได้รับการช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัย
ขณะที่สำนักอุตุนิยมวิทยาฟิลิปปินส์ ปรับลดการประกาศเตือนภัยจากระดับสูงสุดลงมาเป็นรองสูงสุด เนื่องจากไต้ฝุ่นอุซางิอ่อนกำลังลงหลังพัดขึ้นฝั่ง โดยพายุเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และคาดว่าจะมุ่งหน้าต่อไปทางตอนใต้ของไต้หวัน
ตำรวจท้องถิ่นเมือง Baggao ระบุว่า พายุรุนแรงน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ เบื้องต้นไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต หรือเกิดความเสียหายใหญ่ใดๆ ขณะที่ผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้านแห่งหนึ่งจำนวน 28 คน ต้องอพยพออกจากพื้นที่เนื่องจากกังวลว่าน้ำจะท่วมหมู่บ้าน
เจ้าหน้าที่ด้านภัยพบิติในท้องถิ่น ระบุว่า ประชาชนประมาณ 1,400 คนย้ายไปอยู่ที่ยิมแห่งหนึ่งซึ่งกลายเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว พร้อมทั้งระบุว่ามีชาว จ.คากายัน มากกว่า 5,000 คน พักพิงอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวอยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากพายุหลายลูกที่พัดถล่มฟิลิปปินส์ก่อนหน้านี้ทำให้แม่น้ำคากายัน ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศยังเอ่อล้นตลิ่ง เนื่องจากฝนตกหนักในหลายจังหวัดบริเวณต้นน้ำ
ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ร้องขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ รวมถึงการอพยพเพื่อความปลอดภัยของชีวิต พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ดีขึ้น เพื่อรับมือกับผลกระทบจากพายุที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สำหรับไต้ฝุ่น "อุซางิ" ถือเป็นพายุลูกที่ 5 ในรอบไม่ถึง 1 เดือนที่พัดถล่มฟิลิปปินส์ โดยเกิดขึ้นในขณะที่ชาวฟิลิปปินส์ยังคงพยายามฟื้นฟูความเสียหายจากพายุหลายลูกก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วประมาณ 160 คน
ด้านองค์การสหประชาชาติ ประเมินว่า ภัยพิบัติทางธรรมชาติในช่วงเดือนที่ผ่านมาทำให้บ้านเรือนเสียหายหรือพังถล่มไปแล้ว 207,000 หลัง และประชาชนร่วม 700,000 คนต้องไปอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว พร้อมทั้งร้องขอเงิน 32.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือมากกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อนำไปช่วยเหลือภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบ
ขณะที่ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ฟิลิปปินส์อาจต้องเผชิญกับพายุลูกที่ 6 ในรอบเดือน หลังคาดการณ์ว่าพายุ "หม่านหยี่" (Man-yi) จะพัดถล่มพื้นที่ตอนกลางของประเทศ รวมถึงกรุงมะนิลา ในวันที่ 16 หรือ 17 พ.ย.นี้ ขณะที่กระทรวงคมนาคมแนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางที่ไม่จำเป็นในพื้นที่ดังกล่าว
อ่านข่าว
เช็กก่อนเดินทาง! ภูเขาไฟ "เลโวโตบิ ลากิ-ลากิ" ปะทุยกเลิกเที่ยวบิน
"ไอกรน" ระบาดสหรัฐฯ CDC รายงานผู้ป่วยมากกว่า 2.2 หมื่นคน
สภาพอากาศวันนี้ ลอยกระทงรับลมหนาว เหนือ-อีสานอากาศเย็น
วันนี้ (14 พ.ย.2567) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า หลังจากภูเขาไฟเลโวโตบิ ลากิ-ลากิ ที่ตั้งอยู่บนเกาะฟลอเรส จังหวัดนูซาเต็งการาตะวันออก ของประเทศอินโดนีเซีย เกิดการปะทุอย่างรุนแรง และพ่นเถ้าสูง 9 กิโลเมตรขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และมีผู้เสียชีวิต 10 คน
ล่าสุดสายการบินนานาชาติ ประกาศยกเลิกเที่ยวบินทั้งขาไป และกลับจากเกาะบาหลีของอินโดนีเซีย ตั้งแต่วันที่ 4-12 พ.ย.ที่ผ่านมา สนามบินบาหลีได้ยกเลิกเที่ยวบินไปแล้ว 80 เที่ยว รวมถึงเที่ยวบินจากสิงคโปร์ ฮ่องกง และหลายเมืองในออสเตรเลีย
รายงานของ AP ระบุว่า เหตุดังกล่าวทำให้ผู้เดินทางหลายพันคนติดอยู่ตามสนามบินต่าง ๆ ทั่วอินโดนีเซีย และออสเตรเลีย แม้จะยังไม่มีการรายงานตัวเลขที่แน่ชัดก็ตาม
ภูเขาไฟเลโวโทบี ลากี-ลากี ปะทุครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา ในจังหวัดนูซาเต็งการาตะวันออก ห่างจากเกาะบาหลีประมาณ 800 กม. คร่าชีวิตผู้คนไป 9 ราย นับจากนั้นการปะทุก็ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ โดยเกิดขึ้นในวันอังคารหลายครั้ง
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ภูเขาไฟเลโวโตบิ ลากิ-ลากิ ในจังหวัดนูซาเต็งการาตะวันออก ของอินโดนีเซีย ปะทุพ่นเถ้าถ่านอย่างต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา ติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตไทยได้รับการติดต่อจากคนไทย 1 คนแจ้งว่าติดค้างอยู่ที่ท่าอากาศยานนานาชาติโคโมโด ในเมืองลาบวนบาโจ ซึ่งถูกระงับการให้บริการจากเหตุภูเขาไฟปะทุครั้งนี้ โดยสถานเอกอัครราชทูตไทยจะช่วยประสานงานกับบริษัทผู้ให้บริการเรือข้ามฟาก เพื่อให้ผู้ประสบภัยชาวไทยออกจากพื้นที่ข้างต้นไปยังเกาะบาหลีต่อไป
นอกจากนี้ Royal Thai Embassy, Jakarta โพสต์ข้อมูลระบุว่า ตามที่ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ภูเขาไฟ Lewotobi Laki-laki ซึ่งตั้งอยู่ในเขต Wulanggitang, East Flores จ. East Nusa Tenggara ได้ปะทุพ่นเถ้าถ่าน และส่งผลให้รัฐบาลอินโดนีเซียประกาศปิดท่าอากาศยานหลายแห่งในจังหวัด East Nusa Tenggara รวมทั้งสายการบินต่าง ๆ ได้ประกาศยกเลิกเที่ยวบิน
สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอให้คนไทยที่มีแผนการเดินทางมายังพื้นที่ดังกล่าวและเกาะบาหลี หรือมีแผนแวะเปลี่ยนเครื่องบินที่เกาะบาหลี เพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศที่สาม เช่น ออสเตรเลีย ซึ่งต้องบินผ่านบริเวณน่านฟ้าที่อาจได้รับผลกระทบจากเถ้าควันภูเขาไฟ โปรดตรวจสอบข้อมูลสถานะเที่ยวบินจากสายการบินของท่าน ทั้งนี้ กรณีคนไทยติดค้าง ไม่สามารถออกจากพื้นที่ หรือต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ที่หมายเลขฉุกเฉิน +62 811 186253
เมื่อวันที่ 13 พ.ย.2567 ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ ธรรมเนียมเก่ากลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งหลังห่างหายไปนานถึง 8 ปี และบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น ท่ามกลางข่าวดีของพรรครีพับลิกันที่ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรไว้ได้ ส่งให้ "ทรัมป์" กุมบังเหียนพร้อมเสียงสนับสนุนจากสภาคองเกรสทั้งหมดแบบไร้เสียงทัดทาน
"โดนัลด์ ทรัมป์" ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ กลับเข้าทำเนียบขาวอีกครั้งในรอบ 4 ปี พบปะ "โจ ไบเดน" ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน โดยไบเดนกล่าวแสดงความยินดี และตั้งตารอการถ่ายโอนอำนาจอย่างเรียบร้อย และจะเตรียมความพร้อมให้ทรัมป์ทุกอย่าง ส่วนทรัมป์กล่าวขอบคุณไบเดน พร้อมระบุว่า การเมืองเป็นเรื่องยาก หลายครั้งอะไร ๆ ไม่ค่อยจะเป็นไปในทางดีที่เท่าไร แต่วันนี้เป็นวันดี และแสดงความขอบคุณไบเดน
ทั้งคู่หารือกันร่วม 2 ชั่วโมง ซึ่งโฆษกทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ทรัมป์มาพร้อมคำถามที่เตรียมมาล่วงหน้า และแน่นอนว่าทั้งคู่หารือกันเรื่องยูเครนกับตะวันออกกลาง ปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลใหม่ต้องเตรียมรับมือ
ความปรองดองในภาพนี้สวนทางกับการพบหน้ากันครั้งล่าสุดบนเวทีโต้อภิปรายที่ทั้งคู่สาดโคลนใส่กัน หลังจากเป็นปรปักษ์กันมานานหลายปี และยังเป็นจุดเปลี่ยนซึ่งทำให้ไบเดนถอนตัวจากการเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นช่วงเช้าวันพุธ ตามเวลาท้องถิ่นที่สหรัฐฯ (13 พ.ย.) ซึ่งทรัมป์เดินทางออกจากบ้านพักที่ WEST PALM BEACH, FLORIDA มุ่งหน้าฐานทัพอากาศ JOINT BASE ANDREWS, MARYLAND ก่อนไปพบกับนักการเมืองสังกัดพรรครีพับลิกัน และเข้าพบไบเดน
ภาพความกลมเกลียวของประธานาธิบดีที่กำลังจะหมดวาระกับว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ ปกติแล้วเป็นสิ่งที่จะได้เห็นกันทุก 4 ปี หลังการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งประธานาธิบดีในวาระจะหารือเตรียมส่งไม้ต่อการบริหารประเทศ แต่เมื่อ 4 ปีที่แล้วหลังการเลือกตั้งปี 2563 ภาพนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะทรัมป์ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ซึ่งนับจนถึงวันนี้ เขาก็ยังไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งนั้น
แต่ถ้าย้อนไปปี 2559 ธรรมเนียมนี้เกิดขึ้นตามปกติ ซึ่งเวลานั้นอดีต ปธน.บารัก โอบามา เชิญทรัมป์เข้าทำเนียบขาวไม่ต่างจากไบเดน เพื่อหารือถึงภาระงานและการถ่ายโอนอำนาจ
สำนักข่าวเอพีที่เกาะติดรายงานข่าวที่ทำเนียบขาวตั้งข้อสังเกตว่า ทรัมป์วันนี้ ที่พบกับไบเดน กับทรัมป์เมื่อ 8 ปีก่อนที่เข้าพบโอบามา แตกต่างกันมาก ครั้งที่แล้วเขาดูประหม่าและออกแนวสงบเสงี่ยม แต่ครั้งนี้ทรัมป์ดูเหมือนคนที่ได้กลับเข้าไปในสถานที่ที่คุ้นเคย แต่ขณะเดียวกันก็สง่างาม และไม่ได้จะส่อแววปะทะคารมกับไบเดนอย่างที่สาดโคลนใส่กันมานาน
เป็นผู้ชนะนี่รู้สึกดีนะ
ทรัมป์กล่าวกับ สส.รีพับลิกันที่วอชิงตัน ดีซี ฉลองความสำเร็จของพรรคและการกลับมาของเขา ซึ่งล่าสุดสื่อหลายสำนักประเมินผลการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ที่ค้างคารอผลมา 1 สัปดาห์เต็ม และดูเหมือนว่ารีพับลิกันจะรักษาเสียงข้างมากไว้ได้ หลังรักษาที่นั่งในแคลิฟอร์เนียและแอริโซนาก่อนหน้านี้ พลิกมาครองที่นั่งเสียงข้างมากในวุฒิสภาไปแล้วก่อนหน้านี้
เท่ากับว่าทรัมป์จะกลับเข้าทำเนียบขาวพร้อมกุมอำนาจเต็มกำมือทั้ง 2 สภา ทำให้นโยบายต่าง ๆ ที่ให้คำมั่นไว้ช่วงเลือกตั้งยิ่งน่าจับตามอง เมื่อทิศทางนโยบายของเขาอาจจะปราศจากเสียงคัดค้าน
หลายฝ่ายกำลังจับตามองการแต่งตั้งรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่คนสำคัญ ๆ ต่าง ๆ ซึ่งล่าสุดทรัมป์กล่าวถึงการเข้ามาทำงานในรัฐบาลของมหาเศรษฐีอย่าง อีลอน มัสก์ และ วิเวก รามาสวามี ที่จะมานำการบริหารกระทรวงประวิทธิภาพรัฐบาล หรือ Department of Government Efficiency ซึ่งทรัมป์ระบุว่าทั้งคู่จะเข้ามารื้อระเบียบราชการที่ยุ่งยาก ตัดลดกฎระเบียบต่าง ๆ และงบประมาณที่สิ้นเปลืองลง รวมถึงปรับโครงสร้างการบริหารงานในรัฐบาลกลางสหรัฐฯ
อ่านข่าวอื่น :
"Doge" ทีมปฏิรูประบบราชการ "ทรัมป์" แต่งตั้ง "มัสก์" นั่งหัวโต๊ะ
รู้จัก "DOGE" ทรัมป์ตั้ง 2 มหาเศรษฐีขุนพลปฏิรูปราชการสหรัฐฯ
เมื่อวันที่ 13 พ.ย.2567 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา พบผู้ป่วยโรคไอกรนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยข้อมูล ณ วันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา มีรายงานผู้ป่วยเกือบ 1,200 คนทั่วทั้งรัฐ ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023 มีรายงานผู้ป่วยเพียง 51 คน ซึ่งนอกจากรัฐวอชิงตันแล้วยังพบการระบาดในรัฐมิชิแกน แอริโซนา เท็กซัสและโอไฮโอ้ เป็นต้น
จำนวนผู้ป่วยทั่วประเทศยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีรายงานผู้ป่วยมากกว่า 22,000 คน ตามข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าจำนวนผู้ป่วยที่รายงานในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2023 ถึง 5 เท่าและถือเป็นจำนวนผู้ป่วยสูงสุดในรอบ 10 ปี
ผศ.สก็อตต์ โรเบิร์ตส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ จาก Yale School of Medicine ระบุว่า อัตราการฉีดวัคซีนที่ลดลงอาจเป็นสาเหตุทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคไอกรนเพิ่มขึ้น ซึ่งจากข้อมูลพบว่าอัตราการฉีดวัคซีนลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้คือเด็กที่เคยได้รับวัคซีนมาแล้ว กลับไม่ได้รับวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มที่ต้องฉีดทุก ๆ 10 ปี
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคเกาหลี (KDCA) รายงานการพบผู้เสียชีวิตจากโรคไอกรนคนแรกของประเทศ นับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 2554 หรือเมื่อ 13 ปีก่อน โดยระบุว่า ผู้เสียชีวิตเป็นเด็กทารกอายุไม่ถึง 2 เดือน มีผลตรวจโรคไอกรนเป็นบวกเมื่อปลายเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีอาการทรุดลงและเสียชีวิตในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน รายงานระบุว่าจำนวนผู้ป่วยโรคไอกรนพุ่งสูงขึ้นในปี 2024 หลังพบผู้ติดเชื้อแล้ว 30,332 คน หากนับถึงสัปดาห์แรกของเดือน พ.ย. ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากหากเทียบกับยอดผู้ป่วยยืนยันผล 292 คนตลอดทั้งปี 2023
อ่านข่าว
"โรคไอกรน" ป่วยยืนยัน 20 คน ติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิด
เช็กอาการ "ไอกรนระบาด" ใครบ้างกลุ่มเสี่ยง
"หมอยง" ไขข้อข้องใจ 15 ข้อ "โรคไอกรน" แนะฉีดวัคซีนป้องกัน
วันนี้ (13 พ.ย.2567) ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนล่าสุด "โดนัลด์ ทรัมป์" ออกแถลงการณ์แต่งตั้ง อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้ง SpaceX และ Tesla ให้เป็นผู้นำของหน่วยงานใหม่ที่ชื่อว่า Department of Government Efficiency หรือ "DOGE" ร่วมกับ วิเวก รามาสวามี นักลงทุนด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อให้คำปรึกษาแก่ทำเนียบขาว ในการลดขนาดระบบราชการและปรับโครงสร้างหน่วยงานรัฐบาล ด้วยเป้าหมาย
ลดขนาดรัฐ ขจัดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น ตัดค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลือง และปรับโครงสร้างหน่วยงานรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพ
ทรัมป์ ระบุว่าโครงการ DOGE ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐอย่างเป็นทางการ ที่จะต้องผ่านกฎหมายของสภาคองเกรส แต่ DOGE จะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานที่ปรึกษาภายนอกให้ทำเนียบขาวสามารถใช้แนวทางของโครงการนี้เพื่อตรวจสอบและลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ที่คาดว่ามีมูลค่าประมาณ 6.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีของรัฐบาลกลาง
อีลอน มัสก์ ที่สนับสนุนการลดการใช้จ่ายภาครัฐในวงกว้าง เรียกร้องให้มีการตัดงบประมาณของรัฐบาลถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวคิดจะยุบหน่วยงานหลายแห่งที่ทำงานซ้ำซ้อนกัน ขณะที่ทรัมป์หวังว่า โครงการนี้จะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 4 ก.ค.2569 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 250 ปีของการประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ โดยเขายังเปรียบเทียบโครงการนี้ว่าเป็นเหมือนโครงการแมนฮัตตันในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
การแต่งตั้ง มัสก์ และ รามาสวามี ยังเป็นส่วนหนึ่งของการจัดตั้งทีมความมั่นคงระดับสูงที่รวมถึง จอห์น แรทคลิฟ อดีตผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติจะมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ CIA และ ผู้ว่าการรัฐเซาธ์ดาโกตา คริสตี โนม จะดำรงตำแหน่ง รมว.ความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ขณะที่ พีท เฮกเซ็ท ผู้ดำเนินรายการจาก Fox News ได้รับการเสนอชื่อให้เป็น รมว.กลาโหม
ทรัมป์ มีเป้าหมายชัดเจนที่จะปรับโครงสร้างระบบราชการเพื่อให้รัฐบาลมีขนาดเล็กและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการลดการใช้งบประมาณและกำจัดการทำงานที่ซ้ำซ้อน อย่างไรก็ตาม การดำเนินการนี้อาจเผชิญการต่อต้านจากข้าราชการและสภาคองเกรส เนื่องจากการปฏิรูปเชิงโครงสร้างและการยุบหน่วยงานในวงกว้างจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาลอย่างแน่นอน
อีลอน มัสก์ ผู้สนับสนุนรายใหญ่ของทรัมป์ คาดว่าจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์กลับไปที่บริษัทเขา รวมถึงธุรกิจที่เขาสนับสนุน เช่น AI และ สกุลเงินดิจิทัลในรัฐบาลใหม่ นักวิเคราะห์ตลาดหุ้น แดเนียล ไอเวส จาก Wedbush Securities ระบุว่ามัสก์และ Tesla อาจได้รับประโยชน์จากตำแหน่งนี้
ส่วนลิซ่า กิลเบิร์ต จากองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค Public Citizen แสดงความกังวลต่อการแต่งตั้งนี้ว่า มัสก์ขาดความรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบของรัฐบาล และธุรกิจของเขาเองเคยละเมิดกฎหมายหลายครั้ง การให้เขารับตำแหน่ง อาจก่อให้เกิด "การทุจริตเชิงโครงสร้างทางธุรกิจ" ที่จะส่งผลกระทบต่อระบบราชการโดยรวม
แต่ทางด้านมัสก์ให้คำมั่นว่าโครงการนี้จะมีความโปร่งใส โดยจะเผยแพร่ข้อมูลทั้งหมดผ่านทางออนไลน์ นอกจากนี้ เขายังประกาศบนโซเชียลมีเดียของเขาว่าจะมีการจัดทำ "กระดานคะแนน" สำหรับรายการใช้จ่ายที่ไร้ประโยชน์ที่สุดของภาษีประชาชน
การแต่งตั้งมัสก์และรามาสวามีในฐานะหัวหน้า DOGE อาจเป็นกลยุทธ์ของทรัมป์ที่มุ่งสร้างภาพลักษณ์ เน้นการลดขนาดรัฐบาลและปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ทำให้มัสก์จะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นในการกำกับดูแลและลดการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งอาจช่วยให้ Tesla และ SpaceX ได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากรัฐบาล นักวิเคราะห์เห็นว่าการแต่งตั้งนี้เอื้อประโยชน์ให้มัสก์ ในการเข้าถึงทรัพยากรทางการเงินและข้อมูลเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมการเติบโตของบริษัทของเขา
อย่างไรก็ตาม การที่บุคคลจากภาคเอกชนเข้ามาควบคุมระบบราชการ อาจเสี่ยงต่อการเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ในขณะที่องค์กรด้านคุ้มครองผู้บริโภคของสหรัฐฯ เตือนว่าความโปร่งใสและความยุติธรรมของการปฏิรูปครั้งนี้ ต้องถูกตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
อ่านข่าว : "Doge" ทีมปฏิรูประบบราชการ "ทรัมป์" แต่งตั้ง "มัสก์" นั่งหัวโต๊ะ
วันนี้ (13 พ.ย.2567) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ได้ประกาศก่อตั้งหน่วยงานใหม่ที่ชื่อ "Department of Government Efficiency" หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "Doge" โดยได้มอบหมายให้ อีลอน มัสก์ นักธุรกิจและผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง และ วิเวก รามาสวามี นักธุรกิจและอดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งตัวแทนประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน เป็นผู้นำหน่วยงานนี้
"Doge" จะเป็นหน่วยงานใหม่ที่เป็นส่วนหนึ่งในแผนงานใหญ่ของขบวนการ "Save America" ของทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ กล่าวในแถลงการณ์ว่า มัสก์ และ รามาสวามี จะเป็นกำลังสำคัญในการรื้อถอนระบบราชการของสหรัฐฯ ที่ล่าช้า ลดทอนกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น และลดค่าใช้จ่ายส่วนเกินภายในระบบราชการ ถือเป็นการปฏิรูปโครงสร้างการบริหารของสหรัฐฯ ในวงกว้าง
นอกจากนี้ทรัมป์ ยังได้เปรียบเปรยว่า "Doge" อาจกลายเป็น "โครงการแมนฮัตตันในยุคของเรา" ซึ่งอ้างถึงโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ที่เคยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและกลาโหมในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเขาตั้งเป้าหมายให้หน่วยงานนี้สรุปผลงานให้สำเร็จทันวันที่ 4 ก.ค.2568 ซึ่งตรงกับวันประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ
ทางด้าน มัสก์ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านแพลตฟอร์ม X ที่เขาเป็นเจ้าของว่า "นี่เป็นการเขย่าระบบราชการของสหรัฐฯ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน" พร้อมเน้นถึงผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิรูปครั้งนี้ในระบบราชการ ในขณะที่ รามาสวามี ที่เคยเป็นคู่แข่งกับ ทรัมป์ ในการชิงตำแหน่งตัวแทนประธานาธิบดีของรีพับลิกันช่วงเลือกตั้งขั้นต้น ได้แสดงจุดยืนสนับสนุนด้วยทรัมป์ข้อความว่า "เราจะไม่ถอยไปอย่างเงียบ ๆ" ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจในการต่อสู้เพื่อปรับเปลี่ยนระบบการบริหารที่เขามองว่าเป็นปัญหาในปัจจุบัน
แม้ว่าหน่วยงาน Doge ยังไม่ได้มีการประกาศรูปแบบโครงสร้างที่ชัดเจน แต่จากแถลงการณ์ของทรัมป์ ระบุว่า หน่วยงานนี้จะทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและแนะแนวทางการปรับปรุงการบริหารงาน โดยดำเนินการจากภายนอกโครงสร้างของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ สร้างความยืดหยุ่นในการทำงานเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นจริง
อ่านข่าว : “ทองคำ” ร่วงแรง 300 ดอลลาร์แข่ง-นักลงทุนกังวลนโยบายทรัมป์
Dogecoin พุ่งขึ้นเกือบร้อยละ 20 เมื่อคืนวันอังคารที่ 12 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ สะท้อนกระแสเลือกตั้งสหรัฐฯ หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งกลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัย 2 ประกาศจัดตั้งหน่วยงานใหม่ที่เรียกว่า Department of Government Efficiency หรือย่อว่า "Doge"
นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง Dogecoin เป็นหนึ่งในคริปโตเคอเรนซีที่ทำกำไรได้มากที่สุด โดยมียอดเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 153 เปรียบเทียบกับบิทคอยน์ที่ขึ้นมาเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น ในช่วงเวลาเดียวกัน Dogecoin ยังแซงหน้า XRP ขึ้นมาเป็นคริปโตเคอเรนซีที่มีมูลค่าตลาดอันดับ 6 ในโลกอีกด้วย
โดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนมักมองว่าเหรียญมีม เช่น Dogecoin เป็นดัชนีที่บ่งบอกถึงความสนใจและความเสี่ยงของนักลงทุนรายย่อยในตลาดคริปโต หากเหรียญมีมมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มักแสดงให้เห็นว่ากลุ่มนักลงทุนรายย่อยกำลังเข้ามามีส่วนร่วมและยอมเสี่ยงเพื่อโอกาสทำกำไร
ทรัมป์เคยพูดถึงไอเดียการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบประสิทธิภาพเมื่อ ก.ย.ที่ผ่านมา และตั้งแต่นั้น อีลอน มัสก์ ผู้ที่เรียกตัวเองว่า "Dogefather" และมักโพสต์เกี่ยวกับ Dogecoin บนโซเชียลมีเดียที่ส่งผลต่อราคาของเหรียญ
Dogecoin กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นในปี 2564 หลังจากที่มัสก์ออกมาสนับสนุนและโพสต์บนโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง ทำให้เหรียญนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก ในเดือน พ.ค.ปีเดียวกันนั้น การโพสต์ของมัสก์ช่วยดันราคาขึ้นสูงสุดที่ 67 เซนต์ แต่หลังจากเขากล่าวในรายการ Saturday Night Live ว่า Dogecoin เป็น "การเล่นตลก" ก็ทำให้ราคาตกลงอย่างรวดเร็ว
ที่มา : BBC, CNBC
อ่านข่าว : “ไทย” ตั้งรับนโยบายทรัมป์ สนค.ชี้จับตาสินค้าต้นทุนต่ำทะลักไทย