สุรินทร์เมืองรุ่งเรือง เกษตรอินทรีย์
จากคำขวัญปี 2542 ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดต้นทุนการผลิตของการเกษตร ช่วยให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคมีสุขภาพดี และสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้กับคนสุรินทร์ ที่ยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้ และสู่โมเดล “ผักอินทรีย์แก้จน”
จ.สุรินทร์ แบ่งการปกครองออกเป็น 17 อำเภอ 158 ตำบล 2128 หมู่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 172 แห่ง โดยข้อมูลจากปี 2564 เส้นความยากจนของจังหวัดเท่ากับ 2,430 บาท/คน/เดือน สัดส่วนประชากรของ จ.สุรินทร์ ยากจนเป็นอันดับที่ 5 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีหนี้ครัวเรือนเฉลี่ย 347,321 บาท/ครัวเรือน และในปี 2565 มีดัชนีความก้าวหน้าของคน ต่ำสุดในประเทศ
ต.ยะวึก อ.ชุมพลบุรี พื้นที่ปลายแหลม จ.สุรินทร์ ตำบลที่อยู่ในพื้นทุ่งกุลาร้องไห้ มีสภาพเป็นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำมูลไหลผ่านทางตอนใต้ ซึ่งเป็นเส้นแบ่งอาณาเขต ของ ต.ยะวึก และ อ.สะตึก
อ.ชุมพลบุรี มีครัวเรือนยากจนเป้าหมาย 1,033 ครัวเรือน 3,935 คน เป็นครัวเรือนยากจนเป้าหมายในพื้นที่ ต.ยะวึก 250 ครัวเรือน จำนวน 897 คน และได้รับรางวัลหมู่บ้านรักษาศีล ต้นแบบระดับจังหวัด และระดับภูมิภาคปี 2566 ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา และรับจ้างทั่วไป หลังจากว่างเว้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวก็จะมีการทอผ้าไหม ฐานะประชากรโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลางกึ่งต่ำ
โมเดล “ผักอินทรีย์แก้จน” ต.ยะวึก เริ่มดำเนินโครงการการในช่วงกลางปี 2564 ขับเคลื่อนด้วยกลไกภาคีเครือข่าย บ้าน-วัด-ส่วนราชการ โดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน และค้นหาคนจนเป้าหมายจากระบบฐานข้อมูล TPMAP PPPconnext และ Surin Poverty Database
โดยคนจนเป้าหมายส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมคือทำนาเป็นอาชีพหลัก มีรายได้จากการทำนา เบี้ยผู้สูงอายุ และบัตรสวัสดิการคนจน แต่ละครัวเรือนมีผู้สูงอายุและหลานอาศัยอยู่ด้วยกัน ส่วนวัยแรงงานจะไปทำงานในพื้นที่อื่นและส่งเงินกลับบ้านเป็นบางครั้งหรือไม่ส่งเลย
วิเคราะห์จากข้อมูลและการประชุมระดมสมองในพื้นที่เห็นว่า อาชีพที่เหมาะสมจะพัฒนาและต่อยอดให้คนจนเป้าหมายคือการปลูกผักอินทรีย์ ตามทฤษฎีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง ของพ่อหลวง รัชกาลที่ 9 โดยเริ่มจากการให้ความรู้ในการปลูกผักแบบประณีต ตั้งแต่การบริหารจัดการแปลง การเตรียมดิน การหมักดิน ทำปุ๋ยคอกหมัก ทำน้ำหมักชีวภาพ การทำสารชีวภัณฑ์ การเพาะปลูก และการเก็บเกี่ยว บนพื้นที่ของโรงเรียนบ้านยะวึก(ผจงราษฎร์วิทยาคาร) ร่วมกับภาคีเครือข่าย
จนกระทั่งเปิดเป็น “สวนผักอินทรีย์ พุทธเมตตา” เมื่อวันที่ 28 ก.ค.2564 ในเมตตาพระพรหมวชิรโมลี อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 11 เมตตามอบปัจจัยสมทบเบื้องต้นให้ครัวเรือนละ 1,000 บาท และครัวเรือนเหล่านี้แบ่งเงิน 500 บาทมาร่วมกันจัดตั้งเป็นกลุ่ม “วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์แก้จน ชุมชนยะวึก” เมื่อ 13 ส.ค.2564 และเปิดเป็น “ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์แก้จน ชุมชนยะวึก” อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนก.ย.2566
ผศ.ดร.นิศานาถ แก้ววินัด หัวหน้าชุดโครงการวิจัยการบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า ชุดโครงการวิจัยนี้มุ่งใช้พลังความรู้จากงานวิจัย เชื่อมโยงกับพลังภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ซึ่งมีทั้งบ้าน-วัด-โรงเรียน-องค์กรปกครองท้องถิ่น เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ ด้วยการกระตุ้นให้คนจนลุกขึ้นต่อสู้เอาชนะความยากจนด้วยตัวเอง
ครัวเรือนยากจนในโครงการนี้ มีความทรหดอดทน และไม่ท้อแท้ท้อถอย แม้ต้องเผชิญทั้งภัยแล้ง น้ำท่วม ดินเค็ม แต่ก็อดทนต่อสู้ฟันฝ่ามาได้ ด้วยกำลังใจจากคณะสงฆ์นำโดยพระพรหมโมลี อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 11 และพระราชวิมลโมลี เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ รวมทั้งได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากภาคีในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทศบาลตำบลยะวึก
"ชาวบ้านมีสงฆ์เป็นที่ยึดเหนี่ยว แม้วันนี้พระพรหมวชิระโมลีจะจากไปแต่สิ่งที่ท่านทิ้งไว้ ยังมีสวนผักพุทธเมตตา สวนผักอินทรีย์แก้จน ที่ต้องสานต่อไปในอนาคตเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตให้ชาวบ้านมีเงินส่งลูกเรียน เพราะท่านมองว่าการศึกษาสามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้"
นอกจากนี้กลุ่มปลูกผักมีเงินหมุนเวียนทุกวัน ทำให้ชาวบ้านดีใจ ที่มีคนชื่นชมผัก ซึ่งมากกว่าตัวเงิน ที่ตีเป็นตัวเลขไม่ได้ และสิ่งหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ คือการปลุกสำนึกรักบ้านเกิด ที่จะเป็นตัวเสริมพลัง ลุกขึ้นมาสู้ทำเพื่อบ้านเกิดของตัวเองโดยการปลูกผักพื้นบ้าน โดยเลือกจากที่คนปลูกชอบกิน อย่างน้อยมั่นใจได้ว่าในครัวเรือนมีผักที่ปลอดภัยกิน หลังจากเหลือในครัวเรือนก็แบ่งปัน และจำหน่ายโดย 1 ครัวเรือนจะได้พื้นที่ 6 แปลง และใน 6 แปลงนี้จะปลูกผักไม่เหมือนกัน เพื่อได้มีผักกินที่หลากหลาย และจะหมุนเวียนชนิดผักไปเรื่อยๆ
แต่เดิมคำว่า “จน” ดูเหมือนจะเป็นการตอกย้ำ แต่ตอนนี้ชาวบ้านมีความภูมิใจที่นำชื่อเสียงมาให้หมู่บ้าน ภูมิใจที่คนรู้จัก ภูมิใจที่ได้ปลูกผัก ได้เป็นส่วนเล็กๆ ที่ทำให้คนได้กินผักปลอดภัย
ผศ.ดร.นิศานาถ ยังกล่าวว่านอกเหนือจากแปลงปลูกผักอินทรีย์บ้านยะวึก ยังมีการขยายผลไปทำแปลงปลูกผักสลัด และแปลงปลูกพริก ที่ ต.บึงบัว และ ต.กระเบื้องด้วย
"ครัวเรือนยากจนกลุ่มเป้าหมาย 50 ครัวเรือน มีรายได้เฉลี่ยปีละ 36,000 บาท มีค่าใช้จ่ายลดลงปีละ 18,000 บาท ขณะเดียวกันกองทุนชุมชน ที่ครัวเรือนยากจนร่วมกันแบ่งปันเงินที่ได้รับมอบจากพระพรหมโมลี มาจัดตั้งขึ้นก็ขยายขนาดเติบโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 24,000 บาท ด้วยเงินสมทบบำรุงแปลงผัก ตามสัญญาประชาคม ที่ครัวเรือนยากจนพร้อมใจกันจ่ายในอัตราแปลงละ 10 บาทต่อเดือน"
ค่าใช้จ่ายมากกว่า 50% ที่หมดไปกับซื้อเมล็ดพันธุ์
อาจารย์ชนกเนตร ชัยวิชา นักวิจัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ กล่าวว่า ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย ชาวบ้านเก็บเมล็ดพันธุ์เอง แต่ในปัจจุบันมองว่าเป็นความยุ่งยาก บวกกับความไม่เข้าใจวิธีการเก็บ วิธีการจัดการ ทำให้เมล็ดพันธุ์ที่ได้ไม่ได้ลักษณะที่ดีเด่นเหมือนซื้อจากตลาดทั่วไป
เริ่มจากนำเมล็ดพันธุ์ที่เก็บเองมาให้ชาวบ้านเพาะปลูก และร่วมกันทำไปพร้อมกับชาวบ้าน ค่อยๆ ให้ความรู้ตั้งแต่การซื้อเมล็ดพันธุ์ที่ซื้อ แตกต่างจากที่เก็บเกี่ยวเอง ใช้เวลากว่า 2 ปีที่ชาวบ้านเริ่มเห็นความสำคัญของการเก็บเมล็ดพันธุ์เอง
"ทั้งปุ๋ยคอก น้ำหมัก ชาวบ้านสามารถผลิตได้เอง แต่สิ่งที่ต้องซื้อคือเมล็ดพันธุ์ ซึ่งบางครั้งเมล็ดพันธุ์ที่ซื้อมาก็ไม่ได้ผลผลิต 100% แต่ในปัจจุบันผักที่ชาวบ้านสามารถเก็บเมล็ดได้เองมีทั้งผักชีจีน ผักชีลาว ผักสลัด"
นายวสันต์ ชิงชนะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่าโมเดลปลูกผักอินทรีย์แก้จน เป็นโมเดลที่ตอบโจทย์คนสุรินทร์และยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดสุรินทร์ ด้านเกษตรอินทรีย์วิถีรุ่งเรือง ด้วยการเชื่อมโยงเครือข่ายในพื้นที่ให้เกิดการเชื่อมโยงการทำงานร่วมกันในรูปแบบการช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างชัดเจน เป็นรูปธรรม ซึ่งจะได้พิจารณาบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดต่อไป
“ผักอินทรีย์แก้จน โครงการนี้เป็นโครงการที่ดี ที่จะทำให้ยั่งยืนได้ รวมถึงมีผู้นำที่ดี ไม่ว่าพระภิกษุสงฆ์ นอกจากนี้ยังมีภาคีที่ดี ทั้งราชการเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคศาสนา รวมถึงภาคการเมือง ที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าสู่ความยั่งยืน”
ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ระบุว่า การขจัดความยากจนมีมานาน แต่สถานการณ์ไม่ดีขึ้น ยังมีครัวเรือนเปราะบาง ครัวเรือนยากจนที่ตกหล่นในพื้นที่จำนวนมาก ทำให้เกิดคำถามว่าครัวเรือนยากจนจริงๆ อยู่ที่ไหน โครงการแก้จนหลายโครงการเป็นโครงการที่ดี แต่ลงไม่ถึงประชาชนที่ยากจน
จึงเป็นที่มาของแพลตฟอร์มชี้เป้าครอบครัวยากจนในพื้นที่อย่างแม่นยำ
และจะทำอย่างไรให้ประชาชนครัวเรือนยากจน ลุกขึ้นมายืนได้ด้วยตัวเอง ซึ่งการช่วยเหลือในปัจจุบันคือการนำ อาชีพ เงิน ไปให้ และสุดท้ายจะมลายหายไปในช่วงเวลาอันสั้น แต่ไม่ได้ให้ปัญญา ทักษะ ทั้งนี้ต้องไปดูฐานทุน 5 ด้าน
โดย จ.สุรินทร์ มีทุนทางสังคมที่ดีติดอันดับประเทศ มีความเข้มแข็งของระดับสังคม ทั้งทางศาสนา ทางกลไกจังหวัด ทางท้องถิ่น การผนึกกำลังอย่างจริงจัง และใช้ข้อมูลความรู้นำ ซึ่งจะก่อให้เกิดความรู้ และทักษะ ที่ถูกต้อง และส่งผ่านโมเดลแก้จน
โมเดลหนึ่งก็คือ การทำผักปลอดภัย หรือผักอินทรีย์ ซึ่งความแตกต่างจากผักอินทรีย์ทั่วไป คือเป็นครัวเรือนยากจนที่ยังไม่ได้รับโอกาส ไม่มีที่ทางทำกิน รวมถึงไม่มีทรัพยากร จึงเป็นที่มาของการออกแบบความช่วยเหลือ จากท้องถิ่น เจ้าคณะจังหวัด ออกแบบด้านความรู้จากมหาวิทยาลัย และจากภาครัฐส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค จากจึงทำให้เกิดกลุ่มผักอินทรีย์ขึ้นมา
“ในอนาคตอยากให้มีการแบ่งปัน จากกลุ่มต้นแบบ ยังมีกลุ่มอื่นๆ หมู่บ้านอื่นๆ ที่ยังรอความช่วยเหลือ ยังขาดโอกาส”
น.ส.รามาวดี อินอุไร หรือ พี่ปรีด ประธานชุมชนปลูกผักอินทรีย์แก้จนบ้านยะวึก ซึ่งมีสถานะเป็นครัวเรือนยากจนในโครงการร่วมด้วย บุคคลที่เคยหนีความยากจนไปทำงานโรงงานในพื้นที่ภาคตะวันออก ก่อนตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิด
พี่ปรีด บอกว่าเริ่มเข้าร่วมโครงการตั้งแต่ปี 2564 แต่ต้องเจอทั้งปัญหาโควิด น้ำท่วม ดินกรวด ดินเค็ม น้ำแล้ง หลังผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นมาได้ ก็เริ่มฟื้นกลุ่มเพื่อให้ทุกคนในกลุ่มได้มีรายได้ เพราะทุกคนมาด้วยใจและรับรู้ว่าเป็นคนจนที่ได้รับโอกาส
ขณะเดียวกันกองทุนชุมชน ที่ได้รับเมตตาจากพระพรหมวชิรโมลี มอบเงินขวัญถุงให้ ก็มีส่วนในการช่วยเสริมสภาพคล่องแก่ครัวเรือนยากจนได้มาก โดยครัวเรือนยากจนที่ขัดสน หรือต้องการทำอาชีพเสริม สามารถหยิบยืมไปทำทุนได้คราวละไม่เกิน 500 บาท โดยไม่มีดอกเบี้ย แต่ต้องจ่ายคืนภายในเวลา 1 เดือน
โครงการนี้ มีส่วนอย่างมากในการชุบชีวิตคนจน ทำให้คนจนมีความหวัง มีรายได้มั่นคงในการยังชีพ จากการปลูกผักอินทรีย์ขาย อีกทั้งยังมีรายได้จากการเป็นวิทยากรให้กับคณะที่มาศึกษาดูงานในพื้นที่
ตั้งในอยากให้กลุ่มเล็กๆ พึ่งพาตัวเองได้ และเป็นพลังเล็กๆ ที่ช่วยเหลือสังคม โดยได้กำลังใจจากคณะสงฆ์และหน่วยงานต่างๆ เพราะพวกเราอยากมีชีวิตที่ดี และอยากให้ทุกคนที่สู้เพื่อพวกเราได้ภูมิใจ
ไม่ใช่เพียงการสร้างอาชีพให้คนในชุมชน แต่ยังสำนึกรักบ้านเกิดให้กับคนที่ต้องไปทำงานยังพื้นที่ห่างไกลต้องการกลับมาประกอบอาชีพที่บ้านเกิด อย่าง “น้องเฟิร์น” น.ส.จิรารัตน์ อินอุไร อายุ 32 ปี เดิมทีน้องเฟิร์นทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศ จ.ชลบุรี ตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี เป็นเวลาเกือบ 10 ปี รายได้เกือบ 20,000 บาทต่อเดือน เมื่อประสบปัญหาโควิด-19 ทำให้การเดินทางไปมาหาสู่ครอบครัวลำบาก บวกกับภาวะความเครียดที่เกิดจากงาน จึงทำให้ตัดสินใจกลับบ้าน จ.สุรินทร์ ด้วยเงินทุน 20,000 บาท
“ความตั้งใจต้องการนำทุนมาเลี้ยงหมู แต่ต้องเจอกับปัญหาน้ำท่วม และราคาหมูตกต่ำ ทำให้ทุนที่มีอยู่ค่อยๆ หมดไป ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาใช้”
น้องเฟิร์นบอกว่า ครอบครัวมีอาชีพทำนาเป็นหลัก และเลี้ยงหมู เลี้ยงวัว เริ่มต้นเข้าร่วมโครงการจากการชักชวนของประธานกลุ่มให้ปลูกผักอินทรีย์ แรกๆ ก็เกิดความท้อ อยากกลับไปเป็นลูกจ้างเช่นเดิม แต่สุดท้ายก็ต้องสู้ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่อยากกลับมาอยู่บ้านเช่นเดียวกับตัวเอง
ได้แปลงผัก 6 แปลง เลือกปลูกผักที่ชอบกิน โดยเริ่มจากผักคะน้า เหลือก็นำไปขาย
ส่วนตลาดเป็นร้านค้าชุมชน และร้านค้าใกล้เคียง และรถซาเล้งพ่วง มารับผักไปขายตามชุมชน หรือตลาด นอกจากนี้ยังมีไลฟ์สดขายผักด้วย
ส่วนปุ๋ยก็ใช้ปุ๋ยหมัก และน้ำหมักที่ทำเอง โดยทางมหาลัยฯ ได้ให้ความรู้ อบรม และยังใช้น้ำหมักกับนาข้าวได้ด้วย ทำให้ต้นทุนปุ๋ยลดลง และยังขายปุ๋ยได้ และพอมาอยู่ในกลุ่มก็มีโอกาสมากขึ้น ในการทำอาชีพเสริม ทั้งหมูแดดเดียว ปลาร้าบอง ซึ่งมีรายได้เฉลี่ย 300 บาท/วัน
ได้กลับมาอยู่บ้าน อยู่กับครอบครัว มีความสุขกับสิ่งที่ทำ และไม่ค่อยป่วยเหมือนตอนทำงานออฟฟิศ และที่สำคัญได้ดูแลพ่อแม่ใกล้ชิด
อ่านข่าว :
ชุบชีวิต "ขยะ" สู่ "แฟชันสุดเก๋" สร้างแบรนด์ท้องถิ่นเพื่อสังคม
น้ำผึ้งชันโรงเสม็ดขาว สุดยอด Superfood ต้านโรคอัลไซเมอร์-มะเร็ง
วันนี้ (22 พ.ย.2567) น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค โพสต์เฟซบุ๊กว่า ข้อเสนอสภาผู้บริโภค แพทยสภา ควรถอนฟ้อง สปสช. ใจความ สภาองค์กรของผู้บริโภคเสนอให้แพทยสภาพิจารณาถอนฟ้องสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในคดีที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยาจากร้านขายยาได้โดยตรงสำหรับอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย
การที่ประชาชนมีทางเลือกในการเข้าถึงยาจากร้านขายยา นับเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับผู้บริโภคในการตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง ช่วยลดภาระของระบบสาธารณสุข และเพิ่มความสะดวกสบายในการเข้าถึงบริการสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกลหรือในช่วงเวลาที่โรงพยาบาลมีผู้ป่วยจำนวนมาก
แม้ว่าแพทยสภาจะมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยของผู้ป่วยในการรับยาจากร้านขายยา แต่การมีระบบการควบคุมคุณภาพยาที่เข้มงวด และการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างถูกต้อง จะช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวได้ หากแพทยสภาชนะคดี อาจส่งผลให้ประชาชนสูญเสียสิทธิในการเข้าถึงยาจากร้านขายยา และต้องกลับไปพึ่งพาการรักษาที่โรงพยาบาลเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่สะดวกและเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน
ตั้งแต่เดือน พ.ย.2565 สปสช. ร่วมมือกับสภาเภสัชกรรมและร้านยาคุณภาพทั่วประเทศ ทำโครงการ "ร้านยาบริการดูแลเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการ" อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ถือบัตร 30 บาท ที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ หรืออาการทั่วไปอื่น ๆ สามารถเข้ารับการรักษาและรับยาได้ที่ร้านยาใกล้บ้าน โดยไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล ลดความแออัดผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับบริการในโรงพยาบาล โดย 16 กลุ่มอาการ ได้แก่
แต่นโยบายนี้กลับเผชิญกับการคัดค้านอย่างหนักจาก "แพทยสภา" ซึ่งมีความกังวลในประเด็นหลักคือ ขอบเขตการประกอบวิชาชีพ แพทยสภาเห็นว่าการที่เภสัชกรวินิจฉัยโรคและจ่ายยาบางชนิด อาจเกินกว่าขอบเขตความสามารถของเภสัชกร โดยเฉพาะในกรณีที่อาการของโรคมีความคล้ายคลึงกัน แต่ต้องการการวินิจฉัยที่แม่นยำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้องอาจนำไปสู่การใช้ยาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ป่วยในระยะยาว ขัดต่อ พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 มาตรา 26 ระบุว่าห้ามมิให้ผู้ใดประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงฟ้องร้อง สปสช. ต่อศาลปกครอง
ด้านทางเลขาธิการ สปสช. ชี้แจงต่อว่า ไม่ก้าวล่วงทางกฎหมาย ทาง สปสช. ยังคงให้บริการตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่จนกว่าศาลจะมีคำสั่งสิ้นสุด เพื่ออำนวยความสะดวก ลดความแออัดในโรงพยาบาล พร้อมเผยผลสำรวจสุขภาพประชาชนพบว่าร้อยละ 40 เลือกใช้บริการร้านยาเมื่อเจ็บป่วยเบื้องต้น และย้ำว่าระบบร้านยาคุณภาพมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดและส่งต่อผู้ป่วยหากจำเป็น
และ สภาเภสัชกรรมได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า ยังคงดำเนินการโครงการดูแลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการต่อไปตามปกติ แม้ว่าจะถูกแพทยสภาฟ้องร้องก็ตาม โดยให้เหตุผลว่า การดำเนินงานของโครงการเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้ง พ.ร.บ.ยา และ พ.ร.บ.วิชาชีพเภสัชกรรม
สอดคล้องกับความเห็นของ ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า ผอ.รพ.ศรีนครินทร์ ที่สนับสนุนโครงการนี้ที่มีประโยชน์ต่อทั้งผู้ป่วยและระบบสาธารณสุข พร้อมแนะนว่าหากกังวลเรื่องความผิดพลาด ให้เภสัชกรเข้าร่วมโครงการรับการอบรมและประเมินความรู้ เพื่อการทำงานร่วมกันระหว่างแพทย์และเภสัชกร จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดีขึ้น
วันที่ 11 พ.ย.2567 พญ.ชัญวลี ศรีสุโข กรรมการแพทยสภา เปิดเผยถึงกรณีที่แพทยสภายื่นฟ้อง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ระงับและทบทวนโครงการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการโดยเภสัชกรในร้านยา
พญ.ชัญวลี ระบุว่า แพทยสภาไม่ได้คัดค้านการให้เภสัชกรจ่ายยาสำหรับโรคเล็กน้อย แต่แสดงความกังวลเรื่องการวินิจฉัยโรคก่อนการจ่ายยา โดยเฉพาะยาที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เช่น ยาตา หรือยาไมเกรน ซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย แพทยสภาเสนอว่า ควรจำกัดการจ่ายยาให้เฉพาะยาที่ขายได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งยา เพื่อป้องกันการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม
แถลงการณ์แพทยสภา
วันที่ 19 พ.ย.2567 แพทยสภาได้ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับการยื่นฟ้อง โดยย้ำว่า แม้โครงการดังกล่าวจะช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล และเพิ่มความสะดวกในการรับยาแก่ประชาชน แต่ยังมีข้อกังวลสำคัญในด้านความปลอดภัย แพทยสภาให้ข้อมูลว่า การดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยโดยเภสัชกรอาจทำให้ประชาชนไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด ซึ่งบางครั้งอาการที่ดูเหมือนเล็กน้อย เช่น ปวดหัวหรือปวดท้อง อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง เช่น เส้นเลือดในสมองแตก ไส้ติ่งแตก หรือหลอดเลือดแดงใหญ่ปริแตก ซึ่งต้องได้รับการตรวจและรักษาโดยแพทย์อย่างเร่งด่วน
ความเสี่ยงจากดุลยพินิจของเภสัชกร
การให้เภสัชกรใช้ดุลพินิจในการจ่ายยาในบางอาการที่ซับซ้อน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการแทรกซ้อน การดื้อยา หรือผลกระทบต่อชีวิตผู้ป่วย ทั้งนี้ การตรวจวินิจฉัยที่ละเอียดและแม่นยำ จำเป็นต้องอาศัยขั้นตอนเฉพาะทาง เช่น การตรวจร่างกายหรือการตรวจในห้องปฏิบัติการ ซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตของวิชาชีพเภสัชกรรม
พยายามหาทางออกร่วมกัน
แพทยสภาระบุว่า ได้พยายามหารือกับ สปสช. และสภาเภสัชกรรม เพื่อปรับเปลี่ยนรายละเอียดโครงการให้สอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัย แต่ยังไม่สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้ ด้วยเหตุนี้ จึงต้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้โครงการดังกล่าวถูกระงับและทบทวนใหม่ แพทยสภายืนยันว่าการดำเนินการครั้งนี้ไม่มีเจตนาขัดขวางการทำงานของเภสัชกร แต่เป็นการดำเนินการเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและมาตรฐานการรักษาที่เหมาะสมในระบบสุขภาพของประเทศ
ทางด้าน รศ.(พิเศษ) ภก.กิตติ พิทักษ์นิตินันท์ นายกสภาเภสัชกรรม เปิดเผยถึงข้อพิพาทระหว่างแพทยสภาและเภสัชกรยืนยันว่าการดำเนินการของเภสัชกรในร้านยาเป็นไปตามกฎหมาย พ.ร.บ.วิชาชีพเภสัชกรรมฯ เพื่อดูแลอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น ไม่ใช่การรักษาโรค ยืนยัน ต่างคนต่างทํางานของตัวเอง ไม่ได้ถือว่าก้าวล่วง เพราะมีกฎหมายรองรับ แต่แพทย์บางกลุ่มไม่ยอม จึงมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น ทั้งนี้มีการพูดคุยร่วมกันหลายครั้งเพื่อหาขอบเขตการปฏิบัติงานระหว่าง 2 วิชาชีพ ขณะเดียวกันย้ำว่าระบบสุขภาพปฐมภูมิช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล หากโครงการถูกยกเลิก จะส่งผลต่อการให้บริการประชาชนในอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย
สภาเภสัชกรรมได้ออกจดหมายเปิดผนึก 3 ฉบับ ในเดือน พ.ย.2567 เพื่อชี้แจงและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 อาการโดยเภสัชกรในร้านยา โดยมีรายละเอียดดังนี้
ฉบับที่ 1 (12 พ.ย.2567)
สภาเภสัชกรรมยืนยันว่า ความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในโครงการดังกล่าว ซึ่งช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลและปัญหาการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม โดยยาที่จ่ายเป็นยาที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ และการบริการดำเนินไปตามมาตรฐานการซักประวัติและการส่งต่อแพทย์ในกรณีที่อาการไม่ดีขึ้น สถิติชี้ว่าร้อยละ 90 ของผู้รับบริการกว่า 1.74 ล้านคน อาการทุเลาลง และประชาชนให้ความพึงพอใจในระดับสูงสุด
ฉบับที่ 2 (17 พ.ย.2567) จดหมายฉบับนี้สรุป 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
โครงการนี้มีผู้ใช้บริการกว่า 1.77 ล้านคน โดยไม่มีปัญหาร้ายแรง และได้รับการตอบรับในระดับสูง (คะแนนความพึงพอใจ 4.76 จาก 5) พร้อมแผนขยายกลุ่มอาการจาก 16 เป็น 32 อาการ
ฉบับที่ 3 (21 พ.ย.2567)
สภาเภสัชกรรมเน้นย้ำว่าโครงการนี้ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบจาก สปสช. และเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2565 โดยไม่มีกรณีปัญหาร้ายแรงและช่วยลดภาระงานของแพทย์ในระบบสุขภาพ เภสัชกรมีบทบาทในการคัดกรองอาการเบื้องต้นและส่งต่อผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง โดยการซักประวัติเพื่อจ่ายยานั้นเป็นมาตรฐานที่เภสัชกรปฏิบัติมากว่า 70 ปี
สภาเภสัชกรรมเรียกร้องให้แพทยสภาพิจารณาประเด็นความปลอดภัยด้านยาในระบบสุขภาพทั้งระบบ พร้อมแสดงความพร้อมในการร่วมมือกับแพทยสภาเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม โดยยึดประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ
ข้อพิพาทระหว่างแพทยสภาและสภาเภสัชกรรม เกี่ยวกับโครงการให้เภสัชกรดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการ ยังคงเป็นประเด็นร้อนในวงการสาธารณสุข แม้แพทยสภาจะยื่นฟ้องให้หยุดโครงการเพื่อปกป้องความปลอดภัยของผู้ป่วย ขณะที่สภาเภสัชกรรมยืนยันว่าการดำเนินการภายใต้กฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัย ยังคงช่วยลดภาระในระบบสุขภาพและเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล
อ่านข่าวอื่น :
หารือ "แพทย์สภา" ปมฟ้อง "สปสช." ให้เภสัชฯ จ่ายยารักษา 32 กลุ่มอาการ ไม่ต้องไป รพ.
วันที่ (21 พ.ย.2567) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า จากปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างแพทยสภา กับ สปสช. และสภาเภสัชกรรม กรณีที่ สปสช. ขยายสิทธิการให้บริการกับประชาชน เพื่อดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ให้สามารถไปรับยามารักษาตัวเองจากร้านขายยา ซึ่งเป็นหน่วยบริการโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตามประกาศ สปสช. เรื่อง การจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขเพิ่มเติม สำหรับหน่วยบริการที่รับการส่งต่อเฉพาะด้านเภสัชกรรม พ.ศ. 2567 โดยมีการกำหนดกลุ่มอาการที่สามารถมารับบริการได้ 32 กลุ่มอาการ จนเป็นที่มาของการนำไปฟ้องคดีต่อศาลปกครอง เพื่อขอเพิกถอนประกาศฉบับดังกล่าว
นายสมศักดิ์ เปิดเผยอีกว่า ล่าสุดตนได้เชิญตัวแทนแพทยสภา เข้าพบเพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาและยุติข้อขัดแย้งในเรื่องดังกล่าว โดยผู้แทนแพทยสภายืนยันว่า ในภาพรวมเห็นด้วยกับการให้บริการดูแลประชาชน ที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยในบางกลุ่มอาการของ สปสช. เพราะเป็นวิธีการที่มีประโยชน์ ลดความแออัดของผู้จะไปเข้ารับบริการในโรงพยาบาล และยังเป็นความสะดวกกับประชาชนอีกด้วย
แต่ภายหลังจากมีประกาศ สปสช.เรื่อง การจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมฯ แพทยสภาไม่เห็นด้วยกับการกำหนดให้เภสัชกร สามารถจ่ายยาให้กับผู้มาขอรับบริการเฉพาะในบางกลุ่มอาการ ซึ่งมองว่า มีความเสี่ยงและอันตรายต่อประชาชนผู้มารับบริการมากเกินไป หากมีการจ่ายยาไปโดยไม่มีการวินิจฉัยโรคโดยแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเสียก่อน ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มอาการปวดหัว ปวดท้อง หรือ ตกขาว
ผมจึงได้เสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อมาพิจารณากำหนดกลุ่มอาการของความเจ็บป่วยเล็กน้อย ที่เภสัชกรรมในร้านขายยาคุณภาพสามารถจ่ายยาให้ได้โดยไม่เป็นอันตราย ซึ่งหากได้มีการพิจารณาและเห็นพ้องร่วมกันในประเด็นดังกล่าว ก็อาจนำไปสู่การแก้ไขประกาศของ สปสช.ที่เกี่ยวข้องต่อไป
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ (21 พ.ย.67) แพทยสภาออกประกาศ เรื่อง ความเข้าใจในกรณีการฟ้องศาลปกครอง เกี่ยวเนื่องกับ โครงการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการโดยเภสัชกรร้านยา ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยมีเนื้อหาโดยสรุป คือ แนวทางดังกล่าวแพทยสภาเห็นว่ามีประโยชน์กับประชาชนในแง่การได้รับยาได้รวดเร็ว และยังอาจช่วยลดความแออัดโนโรงพยาบาลได้
แต่แนวทางดังกล่าว อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง เช่น การให้ยาตามอาการแต่อาจไม่ตรงกับโรค ทำให้โรคซับซ้อนขึ้นจนอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ จนถึงมีอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงและเพิ่มโอกาสในการดื้อยาอันยากต่อการรักษา
ดังนั้น แพทยสภามีความตระหนักถึงผลกระทบดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง จึงมีความจำเป็นต้องขออำนาจศาลปกครองเพื่อให้เกิดการหยุดและทบทวน เพื่อคุ้มครองประชาชน ทั้งนี้ แพทยสภายินดีที่จะร่วมมือกับสภาเภสัชกรรม และ สปสช. เพื่อสร้างระบบการรักษาที่มีมาตรฐาน เข้าถึงง่าย ปลอดภัย เพื่อประโยชน์และคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนทุกคน
อ่านข่าว : จับ 13 เภสัชกรไร้ใบอนุญาต ลอบขายยาแก้ไอให้เยาวชน
"สภาเภสัชฯ - สปสช. - สวทช." ร่วมผลักดันระบบ "A-MED Care Pharma" เชื่อมบริการเภสัชกรรม
"แพทยสภา" แจ้งความเอาผิด "บอสหมอเอก" ดิไอคอนกรุ๊ป
วันนี้ (20 พ.ย.2567) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เร่งดำเนินการตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับห้างสรรพสินค้าชื่อดัง หลังจากที่มีข่าว ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าถูกแฮกและรั่วไหลไปยังมิจฉาชีพ
ซึ่งเมื่อเวลา 11.00 น. ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC เปิดเผยว่า ทาง สคส. ได้รับคำสั่งจากท่านรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ดีอี ให้เร่งตรวจสอบข่าวห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่โดนแฮกข้อมูลส่วนบุคคลจำนวน 5 ล้านรายชื่อ สคส. จึงได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงทันที โดยเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO) ของห้างดังกล่าว ได้เข้ามารายงานและชี้แจงตามที่กฎหมายกำหนด โดยเบื้องต้นได้ให้ข้อมูล ดังนี้
1. ยังไม่พบร่องรอยการถูกโจมตีหรือช่องโหว่ที่ทำให้ข้อมูลถูกขโมยหรือรั่วไหล
2. ได้แจ้งความดำเนินคดีกับแฮกเกอร์ต่อตำรวจไซเบอร์ เพื่อเร่งสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สคส. ได้กำชับให้บริษัทเร่งตรวจสอบและดำเนินการเร่งด่วนในการตรวจสอบมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของบริษัท ทั้งในด้านองค์กรและเทคนิคอย่างละเอียด โดยให้รายงานความคืบหน้าต่อ สคส. ภายใน 7 วัน
ดร.เวทางค์ กล่าวเพิ่มว่า “รองนายกฯ ประเสริฐ ได้สั่งการให้เร่งหาข้อเท็จจริงและย้ำเตือนถึงการขายข้อมูลโดยมิชอบ หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยผิดกฎหมาย ซึ่งมีโทษทั้งทางแพ่ง อาญา และปกครองตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ และ PDPA โดยกำชับให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด”
อ่านข่าว :
คอลเซนเตอร์มุกใหม่! เช่าเบอร์ 02 โทรหลอกคน 2 เดือน 700 ล้านครั้ง
เลือดสำรองเริ่มขาดแคลนทั่วประเทศ ชวนร่วมบริจาค "โลหิต"
วันนี้ (20 พ.ย.2567) ตัวเลขการใช้สิทธิ์ลาคลอดในระบบประกันสังคมมาตรา 33 และมาตรา 39 ที่มีเพียงร้อยละ 3 ซึ่งประธานอนุกรรมาธิการด้านประกันสังคม วุฒิสภา หยิบยกมาสนับสนุนการขยายวันลาคลอดเป็น 120 วัน และได้รับเงินเดือน เพราะมองว่า เป็นการใช้งบประมาณที่ไม่มาก เมื่อแลกกับคุณภาพของเด็กที่จะตามมา
ข้อมูลของสำนักงานประกันสังคม ยังพบว่า ผู้ประกันตนใช้สิทธิ์ลาคลอดลดลงต่อเนื่องจากปี 2563 ลาคลอดประมาณ 210,000 ปี 2566 การลาคลอดลดลงเหลือประมาณ 180,000 คน การเพิ่มวันลาคลอดจึงไม่น่าจะกระทบกองทุนประกันสังคม
นายเซีย จำปาทอง รองประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ว่าด้วยการลาคลอด 180 วัน
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มวันลาคลอดเป็น 120 วัน และได้รับเงินเดือน จากเดิม 98 วัน โดยเล็งเห็นถึงผลกระทบเรื่องเงินที่ผู้ประกอบการต้องแบกรับ จึงไม่สามารถผลักดันไปให้ถึง 180 วันได้
ด้าน อ.กฤษฎา ธีระโกศลพงศ์ อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า การขยายวันลาคลอดเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้คนไทยอยากมีลูกเพิ่มขึ้นได้ จำเป็นต้องเพิ่มสวัสดิการเด็ก และครอบครัว ควบคู่ไปด้วย
วันที่ 11 ธ.ค.2567 คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จะพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้อีกครั้ง ก่อนที่จะเสนอเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเห็นชอบ โดยมูลนิธิเพื่อนหญิง และภาคีเครือข่ายภาคประชาชน คาดหวังว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะผ่านไปด้วยดี และประกาศใช้ภายในปลายปีหน้า
อ่านข่าวอื่น :
สุดฉาว รร.นรต.! เตรียมลงโทษอาจารย์-ตำรวจทำอนาจารนักเรียน
รู้จัก "ผู้ช่วยหาเสียง" ตัวช่วยสำคัญของพรรคการเมือง
วันนี้ (20 พ.ย.2567) ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดเผยข้อมูลสถานการณ์โลหิตสำรองคงคลังทั่วประเทศที่กำลังเข้าสู่ภาวะขาดแคลนอย่างหนัก โดย รศ.พญ.ดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ระบุว่า ในช่วงเดือนที่ผ่านมา โรงพยาบาลทั่วประเทศมีการเบิกใช้โลหิตเฉลี่ยวันละ 7,305 ยูนิต แต่สามารถจ่ายโลหิตได้เพียง 3,237 ยูนิตต่อวัน หรือเพียงร้อยละ 44 ของความต้องการ ส่งผลให้ต้องดึงโลหิตสำรองฉุกเฉินออกมาใช้เป็นจำนวนมาก
หนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหานี้คือความถี่ในการบริจาคโลหิตของประชากรที่ยังต่ำกว่ามาตรฐานเป้าหมายที่กำหนดไว้ ในปีงบประมาณ 2567 มีผู้บริจาคโลหิตเพียงปีละ 1 ครั้ง จำนวน 1,043,942 คน และผู้บริจาคโลหิตปีละ 2 ครั้ง จำนวน 318,973 คน ซึ่งรวมกันแล้วยังไม่ถึงร้อยละ 3 ของประชากรทั่วประเทศ
อ่านข่าว ไขรหัสลับในกระแสเลือด จำเป็นไหมที่ต้องรู้จักกรุ๊ปเลือดตัวเอง ?
นอกจากนี้ ปัจจัยด้านฤดูกาล เช่น ฝนตกหนักและน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ยิ่งทำให้ประชาชนเดินทางออกมาบริจาคโลหิตได้น้อยลง ศูนย์บริการโลหิตฯ ยังต้องจัดสรรโลหิตสำรองช่วยเหลือโรงพยาบาลในเขตพื้นที่น้ำท่วม ส่งผลให้ปริมาณโลหิตคงคลังลดลงอย่างรวดเร็ว
โลหิตสำรองถือเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาผู้ป่วยในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การผ่าตัดที่ต้องใช้โลหิตสำรอง 2-3 ยูนิตต่อครั้ง หรือผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงต้องใช้โลหิต 5-10 ยูนิตต่อครั้ง นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคเลือด เช่น โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย และโรคเกล็ดเลือดต่ำ จำเป็นต้องใช้โลหิตในการรักษาอย่างต่อเนื่อง หากขาดโลหิตอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้
ผู้อำนวนศูนย์บริการโลหิตฯ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคโลหิต เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณโลหิตสำรองให้กลับมาอยู่ในระดับเพียงพอ โดยผู้ที่มีสุขภาพดีสามารถบริจาคโลหิตได้ทุก 3 เดือน
ทั้งนี้ ผู้ที่บริจาคโลหิตระหว่างวันที่ 25-29 พ.ย.2567 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ และภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ จะได้รับเสื้อยืดที่ระลึก "Blood Donation: Give Blood Save Life"เป็นที่ระลึกแทนคำขอบคุณ อีกด้วย
อ่านข่าวอื่น : ชาวนาขอ ทบ.ใช้สนามบินเลิงนกทา เป็นลานตากข้าว
คอลเซนเตอร์มุกใหม่! เช่าเบอร์ 02 โทรหลอกคน 2 เดือน 700 ล้านครั้ง
ราษฎรคัดค้าน! กรมที่ดินยันทำตามคำสั่งศาลปมรังวัดเขากระโดง
"สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์" จัดโครงการประกวด "รางวัลข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยม ประจำปี 2567" (Digital News Excellence Awards 2024) เพื่อส่งเสริมสื่อมวลชนออนไลน์ ที่มีความทุ่มเทในการทำงาน สร้างสรรค์และพัฒนาวงการข่าวออนไลน์ โดยการผลิต "ข่าวดิจิทัลคุณภาพ" ตรงกับมาตรฐานวิชาวารสารศาสตร์ จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ ซึ่งจะจัดให้มีงานประกาศผลรางวัลพร้อมด้วยโล่เกียรติยศ ทั้งนี้ จำนวนผลงานประกวด "รางวัลข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยม ประจำปี 2567" โดยในปีนี้มีผลงานส่งเข้าประกวดจำนวนทั้งสิ้น 176 ผลงาน โดยแบ่งออกเป็น 6 ประเภทข่าว ประกอบด้วย
โดยได้รับเกียรติจากคณะกรรมการตัดสิน
และในปีนี้จัดให้มี รางวัลพิเศษ รางวัล "ผู้ผลิตข่าวดิจิทัลรุ่นเยาว์ยอดเยี่ยม" (Young Digital News Providers Award) เป็นการต่อยอดจากโครงการประกวดและอบรมเชิงปฏิบัติการผู้ผลิตข่าวดิจิทัลรุ่นเยาว์ ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาร่วมโครงการได้นำความรู้ ประสบการณ์ กลับไปพัฒนาสร้างสรรค์ผลงานสกู๊ปข่าวออนไลน์ ส่งเข้าร่วมประกวดรางวัลดังกล่าวเป็นปีแรก
รวมทั้งเวทีเสวนา หัวข้อ Thailand Digital Newsroom 2025 การปรับตัว อนาคตห้องข่าวดิจิทัล ความท้าทาย ก้าวต่อไปของวงการสื่อไทย โดยมีผู้ร่วมเสวนา คุณฤทธิกร มหาคชาภรณ์ บรรณาธิการบริหาร ไทยรัฐออนไลน์, คุณคณิศ บุณยพานิช บรรณาธิการบริหารด้านข่าวสืบสวน ThaiPBS, รองศาสตราจารย์ พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล นักวิจัย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Cofact (ประเทศไทย), คุณณัฏฐา โกมลวาทิน ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว THE STANDARD ดำเนินรายการโดย คุณรังสิมา ศฤงคารนฤมิตร ผู้ประกาศข่าว อมรินทร์ ทีวี
โดยงานจะจัดขึ้นในวันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2567 เวลา 13.00 – 16.30 น. ณ ห้องมรกต ชั้น 3 โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ
สำหรับงานประกาศผลรางวัลในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและองค์กรเอกชนชั้นนำ ที่ร่วมสนับสนุนอุตสาหกรรมสื่อออนไลน์ ยกระดับคุณภาพ ให้คุณค่าข่าวดิจิทัล ส่งเสริมสื่อมวลชนออนไลน์ ที่มีความทุ่มเทในการทำงาน โดยได้ให้การสนับสนุนรางวัล รวมทั้งการจัดงาน ได้แก่ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์, โคแฟค ประเทศไทย (Cofact Thailand), บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด, บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน), บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน), บริษัท คอนโทรล ดาต้า (ประเทศไทย) จำกัด, ธนาคารออมสิน, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และบริษัท ที.เอช.นิค จำกัด
ลงทะเบียนร่วมงานได้ที่ https://forms.gle/Nr532c2j1XMrXd457 หรือ แสกน QR Code
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม คุณธัญฉัต โทร: 081-700-2601
วันที่ 18 พ.ย.2567 นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วย นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการ รมว.พม. นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวง พม. และคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางละมุง จ.ชลบุรี
พร้อมมอบนโยบายการขับเคลื่อนภารกิจกระทรวง พม. ในพื้นที่ และเยี่ยมให้กำลังใจผู้สูงอายุที่ป่วย ณ อาคารสถานชีวาภิบาล และเยี่ยมชมกิจกรรมผู้สูงอายุ “สมองใส สร้างสุข” ณ อาคาร Happy Home อีกทั้งมอบถุงกำลังใจให้ผู้สูงอายุ 60 คน พร้อมตรวจเยี่ยมพื้นที่โครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร ในบริเวณสถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านบางละมุง
นายวราวุธ กล่าวว่า การมาที่ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางละมุง จ.ชลบุรี เพราะเล็งเห็นถึงความสำคัญว่า ในพื้นที่ภาคตะวันออก มีจำนวนผู้สูงอายุอยู่เกือบ 900,000 คน ซึ่งในอนาคตอันใกล้ไม่กี่ปีจากนี้ จะมีจำนวนผู้สูงอายุถึงหลักล้านคน และพื้นที่ที่เราอยู่ในขณะนี้ เรามีพื้นที่อยู่นับร้อยไร่ และมีศักยภาพ
พม.จะต้องเตรียมรับผู้สูงอายุในอนาคต 5-6 ปี เพราะผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 5-6 แสนคน และเมื่อพ้น 6 ปีจากนี้ไป จะเปลี่ยนปีละ 5-6 แสนคน เป็นปีละ 1,000,000 คน
จากนี้ไปไม่เกิน 10 ปี จำนวนผู้สูงอายุที่วันนี้เรามี 13.5 ล้านคนนั้น จะมีจำนวนเกือบใกล้ๆ 20 ล้านคน ดังนั้น เราจะต้องมีพื้นที่ที่รองรับ เช่น ที่บ้านบางแค ซึ่งเราดูแลผู้สูงอายุได้ไม่กี่ร้อยคน
นายวราวุธกล่าวว่า วันนี้การบ้านใหญ่ที่ พม.คือ การต้องตั้งรับแล้วต้องสร้างความตระหนักให้สังคมได้เข้าใจด้วยว่า การดูแลและการป้องกันผู้สูงอายุไม่ให้เป็นโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสมองเสื่อม เรื่องทางกายภาพต่าง ๆ คือ ต้องให้ผู้สูงอายุมีกิจกรรมทำอยู่ตลอด และเรามีกองทุนผู้สูงอายุ เป็นกลไกในการดูแลผู้สูงอายุแต่ยังไม่เพียงพอ วันนี้จึงต้องมาดูในพื้นที่ที่สามารถรองรับดูแลผู้สูงอายุได้ในอนาคต
การส่งงบประมาณปี 2569 ของกระทรวง พม. จะเน้นเรื่องการดูแลผู้สูงอายุ เพราะว่าฐานจำนวนผู้สูงอายุถ้าเปรียบเทียบเป็นฐานลูกค้า ขยายเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งอยากจะใช้พื้นที่นี้เป็นหนึ่งในพื้นที่ต้นแบบที่จะมีศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่มีการจัดการแบบครบวงจร
เพราะวันนี้ พม. มีทั้งภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดูแลผู้สูงอายุ แต่ว่ากระทรวง พม. มีหน้าที่ดูแลกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ คือหน้าที่หลักของกระทรวง พม. และจะต้องเตรียมทั้งสถานที่ บุคลากร เทคโนโลยี ให้พร้อมกับสังคมสูงอายุที่จะเพิ่มขึ้นทุกปี
นายวราวุธ กล่าวว่า สำหรับเรื่องทรัพยากรนั้น เรามีพื้นที่ทั่วประเทศอยู่พอสมควร นอกจากพื้นที่ของกรมกิจการผู้สูงอายุแล้ว ยังมีพื้นที่นิคมสร้างตนเองของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ซึ่งต้องได้รับการสนับสนุน ให้เป็นพื้นที่ที่สามารถรองรับผู้สูงอายุได้ และไม่ใช่แค่เรื่องของการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง แต่รวมถึงบุคลากรด้วย
เรามีโครงการนักบริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน ที่เริ่มดำเนินการเมื่อปีที่แล้ว แต่ยังเป็นแค่หลักร้อยคนเท่านั้น จากนี้จะต้องเร่งผลิต เพื่อมาดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ศูนย์ดูแลต่าง ๆ
ทำให้คนรุ่นใหม่ ได้เห็นได้เข้าใจว่า การดูแลผู้สูงอายุ เป็นอาชีพในการเลี้ยงดูตนเองได้ เพราะว่า นักบริบาลผู้สูงอายุภายใต้กระทรวง พม. ที่เราอบรมนั้น จะมีค่าตอบแทนเดือนละ 10,000 บาท ซึ่งขณะนี้ เรามีนักบริบาลผู้สูงอายุ เพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น ด้วยงบประมาณที่มีอยู่
และเราจะของบประมาณเพิ่มในแต่ละปี เพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับชุมชน และที่สำคัญผู้สูงอายุในแต่ละชุมชนจะได้มีคนในชุมชนนั้นที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด
อ่านข่าว : นายกฯ โยนถาม "ทักษิณ" ปม "ยิ่งลักษณ์" กลับไทย ปัดดีลรัฐบาล
แต่งตั้ง-โยกย้าย 25 ขรก.มหาดไทย ผู้ว่าฯบุรีรัมย์ นั่งอธิบดีปกครองส่วนท้องถิ่น
ราษฎรคัดค้าน! กรมที่ดินยันทำตามคำสั่งศาลปมรังวัดเขากระโดง
วันนี้ (18 พ.ย.2567) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้มีการพิจารณาเรื่องสำคัญ จำนวน 4 เรื่อง คือ
1.แนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับชาติ ระยะที่ 2 (พ.ศ.2565-2570)
2.การขอยกเว้นสถานที่หรือบริเวณห้ามขายหรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บริเวณสถานีรถไฟ หรือในขบวนรถที่อยู่บนทางรถไฟ
3.แนวทางการขอยกเว้น เรื่อง วันเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับโรงแรม
4.แนวทางการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568
ที่ประชุมได้มีการหารือถึงการให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรถไฟ โดยคณะกรรมการฯส่วนใหญ่ เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสาร โดยมีการหยิบยกคดีก่อเหตุสะเทือนขวัญในอดีตมายกตัวอย่าง รวมถึงมองว่า การอนุญาต อาจก่อให้เกิดอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะได้ไม่คุ้มเสีย ผมจึงขอให้การรถไฟ สรุปตัวเลขที่คาดว่า จะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวว่า ได้เท่าไหร่ เพื่อมาประกอบการพิจารณา เพราะคณะกรรมการฯ ไม่ได้ปิดโอกาส แต่ถ้ามีตัวเลขที่ชัดเจน และมีมาตรการความปลอดภัย ก็พร้อมสนับสนุน โดยเฉพาะขบวนเช่าเหมาลำ ที่ไม่มีผู้โดยสารท่านอื่นปะปน ก็จะง่ายต่อการดูแลอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังได้มีการพิจารณาแนวทางการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 โดยได้เน้น 4 มาตรการหลัก คือ ขับเคลื่อนแบบบูรณาการ รณรงค์ประชาสัมพันธ์ ป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยง และการบังคับใช้กฎหมาย
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ประสานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ร่วมดำเนินการตรวจเตือนประชาสัมพันธ์กฎหมาย และประเมินผู้มึนเมาสุราในชุมชนตามแนวทาง ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งเสริมมาตรการชุมชนในรูปแบบ ด่านครอบครัว โดยให้ผู้นำชุมชนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจเยี่ยมครอบครัวในกรณีที่มีเยาวชนดื่มแล้วขับ พร้อมให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สั่งการให้ อสม. รายงานผลการประเมินผู้มึนเมาในชุมชนด่านชุมชน เข้าสู่ระบบรายงานส่วนกลาง
นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า การประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้มีการพิจารณาหลายเรื่องสำคัญ เช่น การขอยกเว้นสถานที่หรือบริเวณห้ามขายหรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บริเวณสถานีรถไฟ หรือในขบวนรถที่อยู่บนทางรถไฟ ซึ่งทางการรถไฟ อยากขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในตู้นอนชั้น 1 หรือ ตู้เสบียง รวมถึงขบวนเช่าเหมาลำ โดยคณะกรรมการ ยังไม่มีมติเห็นชอบ ซึ่งให้การรถไฟ ไปพิจารณาสรุปรายละเอียดอีกครั้ง โดยขอยืนยันว่า ไม่ปิดโอกาส แต่ให้ศึกษารายละเอียดอีกครั้ง เช่น ขบวนเช่าเหมาลำที่ไม่มีผู้อื่นปะปน จะอนุญาตหรือไม่ ก็มีการพิจารณากัน และให้การรถไฟไปทำข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้ง
ทั้งนี้สมาคมโรงแรม ขอยกเว้นให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ตลอด โดยคณะกรรมการ มองว่า การขายในโรงแรมในห้องอาหาร ยังมีความเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.โรงแรม ที่กำลังดำเนินการอยู่ จึงอนุโลมให้ในห้องพักของโรงแรมเท่านั้น โดยให้ฝ่ายเลขาฯร่างระเบียบต่อไป ซึ่งในห้องพักจะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในตู้เย็น ก็จะอนุญาตแค่นั้น โดยไม่ได้ให้โรงแรมสามารถขายได้ 24 ชั่วโมง
นายสมศักดิ์ ยังระบุว่า แนวทางการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องของการรณรงค์ โดยการประชุมวันนี้ มีผู้แทนระดับสูงหลายกระทรวง ก็ขอให้ไปช่วยกันรณรงค์ ทั้งการเมาไม่ขับ ขับไม่ดื่ม เรื่องการตั้งด่านในชุมชนต่างๆ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมาย เช่น การเมาอาละวาดด้วย
อ่านข่าว :
ลุ้นอีกปี! ขึ้นค่าแรง 400 บาทของขวัญปีใหม่ 68
สำรวจผลกระทบปิดถนนสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม
แก้ตั๋วเครื่องบินแพงช่วงปีใหม่ เพิ่ม 247 เที่ยวบิน 73,388 ที่นั่ง
วันนี้ (18 พ.ย.2567) ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัย ระหว่างกระทรวง พม. กับ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
พร้อมด้วย นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย นายเชาลิตร แสงอุทัย รองผู้ว่าฯ ชลบุรี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวง พม. นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการ รมว.การพัฒนาสังคมฯ พม.
โอกาสนี้ได้นำกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในความดูแลของกระทรวง พม. ได้แก่ เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ และคนพิการ เยี่ยมชมสวนสัตว์เปิดเขาเขียว โดยเฉพาะความน่ารักของ “น้องหมูเด้ง” ฮิปโปแคระซุปตาร์
นายวราวุธ กล่าวว่า ธนาคารโลกได้ศึกษาข้อมูลพบว่า กระทรวง พม.ร่วมกับธนาคารโลก ขับเคลื่อนงานในการดูแลกลุ่มเปราะบางในเหตุการณ์ภัยพิบัติ ทั้งกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ รวมถึงผู้ด้อยโอกาส ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยมากที่สุด
ความร่วมมือครั้งนี้ จะทำให้มีสถานที่ที่ทำให้มีการเสริมสร้างทักษะประสบการณ์ชีวิต ให้กับกลุ่มเปราะบาง แต่มากไปกว่านั้น การทำงานร่วมกัน โดยใช้พื้นที่ของสวนสัตว์ทั่วประเทศ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ ให้แก่กลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัย ได้เรียนรู้ในการอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ
นายวราวุธ กล่าวว่า นอกจากนี้ กระทรวง พม. ยังอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มเป้าหมาย เข้ารับบริการ ในการศึกษาเรียนรู้ในทุกรูปแบบ และร่วมสนับสนุน พัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งพิจารณาคัดเลือกกลุ่มเป้าหมาย ที่อยู่ในความดูแล ที่มีคุณสมบัติตามที่องค์การสวนสัตว์ฯ กำหนด เพื่อเข้ารับการฝึกอาชีพ และการจ้างงาน
ขณะที่องค์การสวนสัตว์ฯ ให้การสนับสนุนกลุ่มเปราะบาง เข้าชมสวนสัตว์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 17 พ.ย.2570 พร้อมทั้งจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้เหมาะสมสำหรับกลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัย (Universal Design) ที่เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ
พร้อมจะสนับสนุนเรื่องพื้นที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. และส่งเสริมการฝึกอาชีพและการจ้างงาน ในพื้นที่ของสวนสัตว์ด้วย
อ่านข่าว : ประกาศชนะคว้า 200 สส. นัยความสำคัญของ "ทักษิณ"
ปชน.เปิดตัว 12 ผู้สมัครนายก อบจ. "ณัฐพงษ์" ไม่กังวล "ทักษิณ" ช่วยหาเสียง
"ควีนทวีป" ความหลากหลาย MU 2024 หรืออยุติธรรมของ Top 5
โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์ไปสู่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.โดยจุดที่เริ่มปิดเบี่ยงการจราจร คือ บริเวณสถานีประตูน้ำ บริเวณหน้าสถานเอกอัครราชทูตอินโดนีเซีย ถนนเพชรบุรี
ล่าสุด วันนี้ (18 พ.ย.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานีแรกที่เริ่มก่อสร้าง คือ สถานีประตูน้ำ ตั้งอยู่บริเวณถนนเพชรบุรี หน้าสถานเอกอัครราชทูตอินโดนีเซีย ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการรื้อย้ายสาธารณูปโภค ปรับปรุงทางเท้า และติดตั้งระบบไฟฟ้า ซึ่งจำเป็นต้องปิดเบี่ยงจราจรชิดทางเท้า 1 ช่องจราจร บนถนนเพชรบุรี ฝั่งขาเข้า มุ่งหน้าราชเทวี
สำหรับการจราจรในช่วงเช้าวันนี้ถือว่ายังเคลื่อนตัวได้ ปริมาณรถยังไม่หนาแน่น แต่มีการคาดการณ์ว่าในช่วงเวลา 07.00 น เป็นต้นไปปริมาณรถจะหนาแน่นมากขึ้น อาจจะทำให้บริเวณนี้มีสภาพการจราจรติดขัด แนะนำให้ประชาชนที่จะเดินทางผ่านถนนเพชรบุรี ตั้งแต่แยกราชเทวี ไปจนถึงแยกประตูน้ำ หากไม่จำเป็นให้หลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นแทน
การก่อสร้างสถานีประตูน้ำเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกส่วนต่อขยายจากรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก มีทั้งหมด 11 สถานี เรื่องที่สถานีบางขุนนนท์ ไปจนถึงสถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย มีระยะทาง 13.4 กม.ซึ่งทั้ง 11 สถานีจะเป็นรถไฟฟ้าในรูปแบบใต้ดิน
สำหรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น หนึ่งในผู้ขับรถโดยสารรับจ้างในพื้นที่เปิดเผยว่า ช่วงเสาร์ - อาทิตย์ ที่ผ่านมาเริ่มเห็นได้ชัดว่า สภาพการจราจรในบริเวณนี้ติดขัด เมื่อมีการก่อสร้างหรือปิดเบี่ยงการจราจรเพิ่มมากขึ้นโดยจะยิ่งให้การสัญจรบริเวณนี้ติดขัดมากขึ้น จึงอยากให้หน่วยงานช่วยประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนเลี่ยงเส้นทางสัญจร ถึงแม้อาจจะกระทบต่อการประกอบอาชีพรถโดยสารรับจ้าง แต่ก็ต้องปรับเปลี่ยนวิธีโดยการไปให้บริการเส้นทางอื่น ๆ ใกล้เคียงบริเวณนี้แทน
สำหรับมาตรการการแก้ไขปัญหาการจราจรเบื้องต้น การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ปิดเบี่ยงเพิ่มเส้นทางจราจรถนนเพชรบุรีฝั่งขาเข้า เพิ่ม 1 ช่องทาง พร้อมแผนการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเลี่ยงเส้นทางที่มีการก่อสร้าง พร้อมส่งตำรวจจราจรเข้ามาดูแลในพื้นที่ ส่วนความปลอดภัยในช่วงเวลากลางคืน จะเห็นได้ชัดว่ามีไฟส่องสว่างบริเวณแนวเขตการก่อสร้าง มีการแจ้งเตือนให้ประชาชนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
นอกจากจุดนี้แล้ว ยังมีอีก 4 สถานีที่เริ่มมีการก่อสร้างและมีการปิดเบี่ยงเส้นทางจราจร ในลักษณะนี้อีก 4 สถานี ได้แก่ -สถานีบางขุนนนท์ สถานีศิริราช สถานีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สถานียมราช
สำหรับการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก มีกำหนดระยะเวลาก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2573 โดยเน้นเพิ่มประสิทธิภาพในการเดินทางและใช้รถสาธารณะให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว รวมถึงลดผลกระทบจากปัญหาจราจรติดชัดในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน และยังเชื่อมต่อโครงข่ายกับรถไฟฟ้าอื่น ๆ ที่เปิดให้บริการอยู่แล้วได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
อ่านข่าว : วันแรก! 4 ทุ่มคืนนี้ปิดเบี่ยงจราจร 1 ช่องทางผุดรถไฟฟ้าสายสีส้ม
ดีเดย์ 15 พ.ย.67 ปิดเบี่ยงจราจร ก่อสร้างสายสีส้ม นำร่อง 5 สถานี
"สุริยะ" เร่งเปิดรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก "ศูนย์วัฒนธรรมฯ – มีนบุรี" ต้นปี 71
วันนี้ (16 พ.ย.2567) นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า กรุงเทพมหานคร โดยสำนักสิ่งแวดล้อม สำนักการระบายน้ำ และสำนักงานเขต 50 เขต ได้จัดเก็บกระทงที่ประชาชนนำมาลอยเนื่องในเทศกาลลอยกระทงกรุงเทพมหานคร ประจำปี 2567 ในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งสำนักสิ่งแวดล้อม จัดเก็บกระทงในแม่น้ำเจ้าพระยา สำนักการระบายน้ำ จัดเก็บในคลองและบึงรับน้ำที่รับผิดชอบ สำหรับสำนักงานเขต 50 เขต จัดเก็บในสวนสาธารณะที่เปิดให้ประชาชนลอยกระทง และบริเวณที่จัดงานภายในพื้นที่เขต โดยเริ่มจัดเก็บกระทงตั้งแต่เวลา 20.00 น. ของวันที่ 15 พ.ย. แล้วเสร็จก่อนเวลา 05.00 น. ของวันรุ่งขึ้น (16 พ.ย.)
สำหรับในปี 2567 กรุงเทพมหานคร จัดเก็บกระทงได้จำนวนทั้งสิ้น 514,590 ใบ เป็นกระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ จำนวน 506,320 ใบ คิดเป็นร้อยละ 98.39 กระทงที่ทำจากโฟม จำนวน 8,270 ใบ คิดเป็นร้อยละ 1.61 สำหรับจำนวนกระทงทั้งหมดลดลงจากปีก่อน 125,238 ใบ คิดเป็นร้อยละ 19.57 โดยสถิติปี 2566 จัดเก็บกระทงได้ 639,828 ใบ เป็นกระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ 618,951 ใบ และกระทงโฟม 20,877 ใบ
ในส่วนของการลอยกระทงออนไลน์ ซึ่งเป็นปีแรกที่กรุงเทพมหานครเชิญชวนประชาชนลอยกระทงออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ในบรรยากาศเสมือนจริงของสวนสาธารณะของกรุงเทพมหานคร ทั้ง 34 แห่ง และริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไอคอนสยาม มีประชาชนร่วมลอยกระทง จำนวน 36,832 ใบ ส่วนการลอยกระทงดิจิทัลในพื้นที่ 4 จุด มีจำนวน 10,885 ใบ
ลอยกระทงปีนี้มีการใช้กระทงจากวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน คือ จากร้อยละ 96.74 เป็น 98.39 ส่วนกระทงโฟมลดลงจากร้อยละ 3.26 เป็น 1.61 โดยเขตที่มีจำนวนกระทงมากที่สุด ได้แก่ เขตลาดกระบัง จำนวน 20,806 ใบ เขตที่มีจำนวนกระทงน้อยที่สุด ได้แก่ เขตคลองสาน จำนวน 147 ใบ
สวนสาธารณะที่เปิดให้บริการ 34 แห่ง มีประชาชนใช้บริการรวมทั้งสิ้น 255,532 คน จำนวนกระทงที่เก็บได้ 96,508 ใบ คิดเป็นจำนวนสัดส่วนประชากรต่อจำนวนกระทง 3 คนต่อ 1 ใบ
จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่ลอยกระทงจากวัสดุธรรมชาติแทนการใช้กระทงโฟม แสดงว่าประชาชนและผู้ค้าได้ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากเป็นการคืนสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับสายน้ำแล้ว ยังเป็นลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัด และช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนอีกด้วย
สำหรับกระทงที่จัดเก็บได้ กรุงเทพมหานครจะคัดแยกก่อนส่งไปกำจัดที่ศูนย์กำจัดมูลฝอย 3 แห่ง ประกอบด้วย ศูนย์กำจัดมูลฝอยอ่อนนุช ศูนย์กำจัดมูลฝอยสายไหม และศูนย์กำจัดมูลฝอยหนองแขม เพื่อนำไปทำลายอย่างถูกสุขลักษณะ โดยกระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติและวัสดุที่ย่อยสลายได้จะนำเข้าสู่โรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์หนองแขม และนำไปฝังกลบ ส่วนกระทงโฟมจะนำไปเข้าสู่กระบวนการฝังกลบต่อไป
ปี 2566 จัดเก็บได้ 639,828 ใบ เป็นวัสดุธรรมชาติและวัสดุที่ย่อยสลายง่าย 96.74 % จากโฟม 3.26 %
ปี 2565 จัดเก็บได้ 572,602 ใบ จากวัสดุธรรมชาติ 95.70 % แต่กระทงที่ใช้วัสดุทำจากโฟมลดลง
ปี 2564 จัดเก็บได้ 403,235 ใบ ทำจากวัสดุธรรมชาติ 96.46% จากโฟม 3.54%
ปี 2563 จัดเก็บได้ 492,537 ใบ ทำจากวัสดุธรรมชาติ 96.4% จากโฟม 3.6%
ปี 2562 จัดเก็บได้ 502,024 ใบ จากวัสดุธรรมชาติ 96.3% จากโฟม 3.7%
อ่านข่าว :
คึกคัก! 4 ภาคลอยกระทง นักท่องเที่ยวร่วมอนุรักษ์ธรรมชาติ
"ลอยกระทง 2567 กวดขันพลุ ดอกไม้เพลิง โคมลอย ห้ามยิงปืนขึ้นฟ้า
วันลอยกระทง ผู้ใช้บริการระบบรางพุ่ง ยอดรวม 1.9 ล้านคน-เที่ยว
วันที่ (16 พ.ย.2567) ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร (กทม.) รายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ในพื้นที่กรุงเทพฯ เมื่อเวลา 07.00 น.ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ตรวจวัดได้ 17.3-55 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) พบว่าเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 6 พื้นที่ คือ
1.เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 : มีค่าเท่ากับ 55.0 มคก./ลบ.ม.
2.เขตประเวศ ด้านหน้าห้างสรรพสินค้าซีคอน สแควร์ : มีค่าเท่ากับ 45.6 มคก./ลบ.ม.
3.เขตทวีวัฒนา ทางเข้าสนามหลวง 2 : มีค่าเท่ากับ 44.0 มคก./ลบ.ม.
4.สวนทวีวนารมย์ เขตทวีวัฒนา : มีค่าเท่ากับ 41.1 มคก./ลบ.ม.
5.เขตบึงกุ่ม ภายในสำนักงานเขตบึงกุ่ม : มีค่าเท่ากับ 39.0 มคก./ลบ.ม.
6.เขตวังทองหลาง ด้านหน้าปั๊มน้ำมัน เอสโซ่ ซ.ลาดพร้าว 95 : มีค่าเท่ากับ 38.0 มคก./ลบ.ม.
ภาพรวมพื้นที่ในกรุงเทพฯ
กรุงเทพเหนือ
19.9 - 30.8 มคก./ลบ.ม.
ภาพรวม : อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง
กรุงเทพตะวันออก
25.4 - 35.6 มคก./ลบ.ม.
ภาพรวม : อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง
กรุงเทพกลาง
20 - 38.3 มคก./ลบ.ม.
ภาพรวม : อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง
กรุงเทพใต้
22 - 36.8 มคก./ลบ.ม.
ภาพรวม : อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง
กรุงธนเหนือ
25.4 - 42.3 มคก./ลบ.ม.
ภาพรวม : อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง
กรุงธนใต้
21.4 - 54.9 มคก./ลบ.ม.
ภาพรวม : อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง
ทั้งนี้ดัชนีคุณภาพอากาศของสถานีตรวจวัดของกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่อยู่ในระดับคุณภาพอากาศปานกลาง โดยกรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์สภาพอากาศในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่
อ่านข่าว : สภาพอากาศวันนี้ เหนือ-อีสานอากาศเย็นมีหมอกตอนเช้า ใต้ฝนหนัก-กทม.มีฝน 30%
สำหรับปัจจัยที่เกี่ยวข้อง คาดการณ์แนวโน้มสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อฝุ่น PM2.5 โดยสภาพทางอุตุนิยมวิทยา ในช่วงวันที่ 16 - 24 พ.ย.2567 การระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ "ไม่ดี-อ่อน" ขณะที่ชั้นบรรยากาศใกล้ผิวพื้นมีลักษณะเปิดสลับปิด อย่างไรก็ตามมีโอกาสเกิดฝนตกช่วงสุดสัปดาห์ ส่งผลให้ความเข้มข้นของฝุ่นละอองมีแนวโน้มทรงตัวถึงลดลง แต่จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์หน้า และคาดการณ์วันนี้ มีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่
อ่านข่าว :
ตร.รวบหนุ่ม "กินหมา" ลวงมาเลี้ยง 3 ตัว โดยข้อหาทารุณกรรมสัตว์
ชวนรู้จัก "โรค SLE "ภูมิแพ้ตัวเอง" หรือ "โรคพุ่มพวง" เช็กอาการ-สาเหตุ
ยุติ "เปิบน้องหมา" ไม่แก้หนาวแถมเสี่ยงโรคพิษสุนัขบ้า
ตำรวจจับกุมตัว นายอาเช เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ อายุ 31 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ใน อ.แม่จัน จ.เชียงราย จากนั้นควบคุมตัวมาสอบสวนเพิ่มเติม หลังมูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ ร้องเรียนเพราะผู้ก่อเหตุมีพฤติกรรมตระเวนขอรับสุนัข แต่สุดท้ายนำไปฆ่าซึ่งสุนัขตัวล่าสุด ชื่อ "ซูชิ" เป็นสุนัขเพศเมีย
ผู้ต้องหารับสารภาพว่า ตอนแรกตั้งใจจะเอามาเลี้ยงแต่ที่บ้านมีเด็กและสุนัขค่อนข้างดุกลัวเกิดอันตรายจึงตัดสินใจฆ่าและนำเนื้อมากิน ซึ่งไม่ส่งโรงเชือดตามที่เป็นข่าวและการสอบถามผู้ต้องหาทราบว่าก่อนหน้านี้เคยนำสุนัขมาฆ่าแล้ว 3 ตัว
อ่านข่าว : ยุติ "เปิบน้องหมา" ไม่แก้หนาวแถมเสี่ยงโรคพิษสุนัขบ้า
เจ้าของสุนัข "ซูชิ" ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ใน จ.พะเยา ให้ข้อมูลว่าปี 2566 ซื้อสุนัขมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก ตอนนี้อายุมากกว่า 1 ปี แต่ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา มีปัญหาเพราะไม่มีเวลาและทำงานกลับดึกจึงต้องหาบ้านใหม่ให้สุนัข
ผู้รับเลี้ยงคนแรก อยู่ที่ จ.เชียงราย เจ้าของเดิมจึงส่งสุนัขไปให้ โดยมีเงื่อนไขว่าสามารถไปดูสุนัขได้ตลอด ต่อมาผู้รับเลี้ยงต้องไปทำงานต่างประเทศ จึงส่งสุนัขให้ผู้รับเลี้ยงคนที่ 2 คือ นายอาเช ชายชาวชาติพันธุ์ จากนั้นเจ้าของเดิมจึงพยายามตามหา กระทั่งพบว่าสุนัขถูกฆ่าไปแล้ว
อ่านข่าว : "น้องซูชิ"ผองเพื่อนรวม 4 ชีวิต น้องหมาหาบ้านถูกส่งโรงเชือด
พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ จิตรประสาร ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแม่จัน จ.เชียงราย กล่าวว่า หลัง มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ ร้องเรียนได้ส่งชุดสืบสวนเข้าไปตรวจสอบพบว่าหมู่บ้านนี้มีบางครอบครัวที่ยังนิยมกินเนื้อสุนัข รวมถึงบ้านของ "นายอาเช" เมื่อทราบตัวผู้ก่อเหตุจึงเข้าจับกุม
ผู้ต้องหารับสารภาพว่าทำจริงวิธีการคือติดตามกลุ่มคนรักสัตว์ในเฟซบุ๊ก เมื่อมีผู้โพสต์ต้องการให้ดูแลสุนัข จะเข้าไปทักและขอรับเลี้ยง ซึ่งมีทั้งรับด้วยตัวเองหรือเจ้าของนำสุนัขมาส่ง ตำรวจแจ้งข้อหาทารุณกรรมสัตว์ มีโทษปรับไม่เกิน 40,000 บาท จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
สบันงา นนธะระ หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ ระบุว่า แม้ตำรวจจะแจ้งข้อหาทารุณกรรมสัตว์แล้ว แต่หลังจากนี้จะให้ผู้เสียหายแจ้งข้อหาฉ้อโกง หลอกลวงและทำให้เสียทรัพย์ เพราะถูกหลอกว่าจะนำไปเลี้ยง แต่กลับถูกนำไปฆ่า
ที่ผ่านมาเคยผู้ก่อเหตุที่ใช้วิธีตระเวนไล่จับสุนัขใส่ท้ายรถ แต่ช่วงหลังเจ้าหน้าที่เข้มงวด จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีติดต่อเจ้าของที่เลี้ยงสุนัขไม่ไหวหรือกำลังหาบ้านใหม่ให้สุนัข และหลอกว่าจะนำมาเลี้ยง ซึ่งเชื่อว่ายังมีผู้ก่อเหตุลักษณะนี้อีกมาก
มูลนิธิวอชด็อกฯ แนะนำกรณีผู้ที่มีสัตว์เลี้ยง ขอให้ตรวจประวัติผู้รับเลี้ยงอย่างละเอียด เพื่อป้องกันไม่ให้ซ้ำรอยกับคดีนี้
อ่านข่าว : นักการเมืองหญิง ก.ไก่ “เล่นสูง” อ้างรัฐมนตรี-พ่อเรียกรับ 20 ล้าน
ผลชันสูตร "พะยูนถูกตัดหัว" ถูกของมีคมตัดหลังตาย
"จิราพร" ส่งทนายแจ้งความเอาผิด "กฤษอนงค์" กรณีคลิปเสียง
วันนี้ (15 พ.ย.2567) เทศกาลวันลอยกระทงปีนี้ หลายจังหวัดจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะงานเทศกาลยี่เป็ง หรือลอยกระทงที่ จ.เชียงใหม่ เริ่มคึกคัก บริ เวณถนนท่าแพ นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างประเทศ เดินทางมาเที่ยวงานประเพณียี่เป็ง หรือลอยกระทงคึกคัก
โดยชมความงามของโคมแขวน บางส่วนเเต่งกายในชุดไทย รวมถึงการบันทึกภาพกับซุ้มไฟ 12 นักษัตรบนถนนท่าแพอย่าง เช่น กลุ่มชาวบ้าน อาชีพปั่นรถจักรยานสามล้อรับจ้างในตัวเมืองเชียงใหม่ ที่เหลือไม่ถึง 30 คน เป็นอีกหนึ่งธุรกิจบริการ ที่มีรายได้ดีขึ้น
ในช่วงลอยกระทงนี้ ตลอดทั้งวัน มีนักท่องเที่ยวทยอยมาใช้บริการนั่งสามล้อชมเมือง และจุดท่องเที่ยวต่างๆ เช่น ตลาดวโรส ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ และวัดสำคัญ อัตราค่าจ้างคิดตามระยะทาง เริ่มต้นที่ 250-500 บาท
เหนื่อยครับ คนเยอะลูกค้าเยอะ วันก่อนได้นักท่องเที่ยว 7 เที่ยว และวันนี้ 8 เที่ยวและยังค้างอีก 4 เที่ยว ไม่สู้ก็ต้องสู้
สาคร จันทามณี คนปั่นสามล้อรับจ้าง จ.เชียงใหม่ บอกว่า แม้จะเป็นงานหนัก เพราะหลายคนเป็นผู้สูงวัย ต้องใช้กำลังขา ปั่นจักรยานโดยไม่มีเครื่องทุ่นแรง แต่ถือเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข
สอดคล้องกับข้อมูลของท่าอากาศยาน จ.เชียงใหม่ ระบุว่า เดือนพ.ย.มีแนวโน้มนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้น เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย.-ต.ค.ที่ผ่านมา แต่ละวันมีเที่ยวบินเข้า-ออกเชียงใหม่กว่า 192 เที่ยวบิน แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 60 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 132 เที่ยวบิน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเฉลี่ยวันละกว่า 30,000 คน
และหากอ้างอิงจากการจองบริการทางด้านการท่องเที่ยวต่างๆ เช่นการจองโรงแรม ห้องพัก ไกด์ทัวร์ รวมถึง package การท่องเที่ยวต่างๆ พบว่ามีการจองยาวไปจนถึงช่วงสิ้นปี คาบเกี่ยวไปจนถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2568
สมาคมโรงแรมไทยภาคเหนือ คาดการณ์ช่วงเทศกาลลอยกระทง จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าพื้นที่เชียงใหม่กว่าวันละ 50,000 คน โดยคาดว่าจะมีอัตราเข้าพักกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนห้องพักที่มีอยู่ 60,000 ห้อง
พัลลภ เเซ่จิว ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัด ระบุว่า มีชาวต่างชาติที่หนีหนาวมาเที่ยวไทย ทั้งจากโซนยุโรป และซีกโลกเหนือ และชาวเกาหลีที่นิยมมาตีกอล์ฟที่นี่
สำหรับปีนี้เชียงใหม่ ได้บังคับใช้กฎหมาย ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงห้ามขายและปล่อยโคมลอย ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ โดยเด็ดขาดฝ่าฝืนจะถูกจับดำเนินคดีทันที เพื่อป้องกันอันตรายกับอากาศยาน
รวมถึงป้องกันการเกิดไฟไหม้ ซึ่งเทศบาลนนครเชียงใหม่ มีการเตรียมความพร้อม ทั้งจุดบัญชาการของกองบรรเทาเเละป้องกันสาธารณภัย รวมถึงการจัดเตรียมรถดับเพลิง 2 จุด ในบริเวณสะพานนวรัตน์ เเละในบริเวณโรงพยาบาลเทศบาลนครเชียงใหม่
ส่วน จ.ขอนแก่น มีการจัดงานใช้ชื่อว่า "สีฐาน เฟสติวัล บุญสมมาบูชานาค" โดยปีนี้ ยังคงจัดงาน 3 วันเช่นเดิม ซึ่งวันนี้วันลอยกระทงเป็นวันสุดท้ายของการจัดงานแล้ว ทางทีมผู้จัดงานคาดการณ์ว่า จะมีชาวขอนแก่น และนักท่องเที่ยวจากต่างพื้นที่ มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก
ธงทิว โคมเพ้นมือ ที่ประดับตกแต่งบริเวณถนนสีฐานภายในมหาวิทยาลัยขอนแก่นระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นอีกหนึ่งจุดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ให้เข้ามาถ่ายรูป บันทึกภาพกันตั้งแต่ช่วงเวลากลางวัน
รศ.นิยม วงศ์พงษ์คำ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายศิลปวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กล่าวว่า ปีนี้งานสีฐานเฟสติวัล บุญสมมาบูชานาค ได้จัดขึ้นภายในธีม "วิถีอีสาน สีฐานมูเตลู" สร้างสรรค์ความเชื่อ ความศรัทธาในวิถีคงาม้ความเชื่อ มาประดิษฐ์สร้างศิลปะ ที่สร้างมูลค่าทางวัฒนธรรม
ธีมแต่ละปีจะแตกต่างกัน กระแสจากงานวิจัย ฟิล์มาแรงมาก วงการเรื่องมูเตลู และความเชื่อของภาคอีสานจึงนำมาสู่การสร้างธีมปีนี้
นอกจากขบวนแห่แต่ละวัน แล้วภายในงานยังมีการแสดงจากวงหมอลำชั้นนำของเมืองไทย การแสดงหมอลำกลอน หนังประโมทัย การแสดนาฎกรรมสีฐาน "สีฐานนฤมิตร" หรือที่เรียกว่าโขนสยามปะทะโขนอีสาน ควบคู่กับการเปิดพื้นที่ครีเอทีฟให้กับนักศึกษา เด็กและเยาวชนมาแสดงออกผลงานทางศิลปะและการแสดงที่สร้างสรรค์
ส่วนการดูแลด้านความปลอดภัย ตำรวจท่องเที่ยวขอนแก่น ได้ติดตั้งป้ายเตือน 4 ห้ามความปลอดภัยลอยกระทง บริเวณริมท่าน้ำบึงสีฐาน ภายในงาน สีฐานเฟสติวัล ประจำปี 2567 มหาวิทยาลัยขอนแกน (มข.) ซึ่งกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้จัดทำขึ้นเพื่อแจ้งเตือนและแนะนำข้อควรระวังให้กับนักท่องเที่ยวซึ่งคาดว่าวันนี้ นักท่องเที่ยวจะมากว่าทุกวัน
ขบวนช้างม้าและรถแห่ประวัติศาสตร์ 4 ภาคจากโรงเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองลพบุรี กว่า 1,500 คน สร้างความประทับใจให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไปร่วมงานเทศกาลลอยกระทงของ จ.ลพบุรี จัดขึ้นที่บริเวณวงเวียนศรีสุริโยทัย หรือวงเวียนสระแก้ว ภายในแนวคิดลอยกระทงย้อนยุค
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมทางวัฒนธรรมหลากหลาย อาทิ การแสดงดนตรีรำวงย้อนยุค การแข่งขันชกมวยไทย และมหรสพลิเก การขอขมาพระแม่คงคา เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี และกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวให้กับจังหวัดลพบุรี โดยมีนายอำพล อังคภากรณ์กุล ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยตัวแทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่แต่งกายด้วยชุดไทยเข้าร่วมในพิธี
ส่วนที่ อ.ศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ครูและนักเรียนวัดพังม่วง รวมทั้งชาวบ้าน ร่วมกันทำกระทงขายนำเงินที่ได้ไปทำบุญบรูณะวัดพังม่วง โดยรูปแบบการทำกระทง เป็นกระทงจากใบตอง วัสดุที่ย่อยสลายง่าย
โดยวัดพังม่วงคิดไอเดียทำรางน้ำสไลด์ ให้ประชาชนที่มาเที่ยวเทศกาลลอยกระทง นำกระทงมาปล่อยสู่แม่น้ำท่าจีน
ขณะที่บรรยากาศการลอยกระทงที่ จ.พระนครศรีอยุธยา มีกิจกรรมแต่งกายย้อนยุค และพื้นที่โบราณสถาน พร้อมขอความร่วมมือผู้ค้า งดจำหน่าย ประทัด พลุ และดอกไม้ไฟ เพื่อความปลอดภัยในช่วงเทศกาลลอยกระทง
แม่ค้าในเขตเทศบาลเมืองพระนครศรีอยุธยา นำกระทงมาวางขายริมถนน อย่างกระทงใบตอง ราคาเริ่มตั้งแต่ 80 บาทขึ้นไป ส่วนเทศบาลนค พระนครศรีอยุธยา จัดงานลอยกระทงกรุงเก่า 4 มุมเมือง ในพื้นที่โบราณสถานและริมแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมขอความร่วมมือผู้ค้า งดจำหน่าย ประทัด พลุ และดอกไม้ไฟ เพื่อความปลอดภัย
ขณะที่ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผย ผลสำรวจพฤติกรรมและการใช้จ่ายผู้บริโภคช่วงวันลอยกระทง พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 50.7 ยังคงวางแผนไปลอยกระทงและทำกิจกรรมอื่นร่วมด้วย เช่น ทานอาหารนอกบ้าน เที่ยวชมสถานที่จัดงาน ไปซื้อของหรือทำบุญ โดยกระทงที่ซื้อส่วนใหญ่เน้น "ย่อยสลายง่าย"
คาดว่า จะมีมูลค่าการใช้จ่ายสูงถึง 10,355 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 จากปีก่อน คิดเป็นมูลค่าสูงสุดรอบ 9 ปีนับจากปี 59 ที่มีมูลค่า 9,639 ล้านบาท
สำหรับค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 2,449 บาท จากปี 2566 ที่ 2,075 บาท ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมองว่า แม้เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้น แต่ยังไม่โดดเด่น
เป็นข่าวเศร้าหลังอินฟลูเอนเซอร์สายแฟชันชื่อดัง "บิว" อิษณัฐ ชลมูณี" หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ "แม่บ้านมีหนวด" เสียชีวิตในวัย 34 ปี สร้างเสียใจให้กับแฟนคลับและผู้ที่ติดตามเพจที่มีกว่า 600,000 คน เป็นอย่างมาก
"แม่บ้านมีหนวด" เป็นที่รู้จักด้วยเอกลักษณ์เฉาะตัว ทั้งการโพสท่าถ่ายรูปสุดสตรองกับคอสตูมอลังการ แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เจ้าของเพจไม่ค่อยอัปเดตให้แฟนชมมากนัก หลังเผชิญอาการป่วย แม่ของบิว เปิดเผยว่า บิวเป็นโรคแพ้ภูมิตนเอง ต่อมาเกิดอาการช็อกจากเชื้อราในสมอง จึงกลับมาอยู่บ้านได้ประมาณ 1 เดือน ก่อนเสียชีวิต
อ่านข่าว : อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง "แม่บ้านมีหนวด" เสียชีวิตด้วยวัย 34 ปี
โรคภูมิแพ้ตัวเอง Systemic Lupus Erythematosus (SLE) หรือที่คนไทยเรียกกันว่า "โรคพุ่มพวง" เป็นโรคที่ก่อให้เกิดการอักเสบของอวัยวะทั่วร่างกาย และอวัยวะที่เกิดการอักเสบจะได้รับความเสียหาย
ผู้ป่วยแต่ละคนอาจมีการอักเสบ ในแต่ละอวัยวะและมีอาการแสดงแตกต่างกัน มักเกิดการอักเสบของหลายอวัยวะร่วมกัน
โรค SLE พบได้ไม่บ่อย และมีอัตราการเสียชีวิตตํ่า โดยพบเพียงร้อยละ 0.1 (0.014 - 0.122) หรือคิดเป็นจํานวนผู้ป่วยในประเทศไทยราว 50,000 - 700,000 คน ส่วนใหญ่มักพบในเพศหญิงช่วงอายุ 20 - 40 ปี
โรค SLE เป็น "โรคภูมิคุ้มกันทําลายตนเอง หรือ โรคแพ้ภูมิตนเอง ปัจจุบันแม้จะยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่แน่ชัด และมีหลายปัจจัยร่วมกันที่ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของระบบภูมิต้านทานในร่างกาย
นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี อธิบายสาเหตุของการเกิดโรค ว่า อาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางด้านพันธุกรรม ร่วมกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมมีทั้งแสงแดด การติดเชื้อไวรัส การติดเชื้อแบคทีเรีย การได้รับยา หรือสารเคมีบางชนิด
ในเรื่องนี้ นพ.สูงชัย อังธารารักษ์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ สาขาอายุรศาสตร์โรคข้อและภูมิคุ้มกัน กลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี ได้ให้คำอธิบายถึงปัจจัยของการเกิดโรค ไว้ว่า โรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือ SLE เกิดจากการกระตุ้นได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความไม่สมดุลของฮอร์โมนในวัยเจริญพันธ์ ความเครียด หรือปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการติดเชื้อไวรัส และแสงแดด
สำหรับอาการของโรคมีการกำเริบ และสงบเป็นระยะ ซึ่งการตรวจวินิจฉัยโรค แพทย์จะทำการวินิจฉัยจากอาการและอาการแสดงดังกล่าวของผู้ป่วย ร่วมกับการตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ และการตรวจทางภูมิคุ้มกัน (ANA , anti-dsDNA , anti Sm) โดยใช้เกณฑ์การวินิจฉัย จากสมาคมแพทย์โรคข้อของสหรัฐอเมริกาและยุโรป
ขณะที่วิธีการรักษาจะแบ่งตามระดับของความรุนแรง กรณีที่อาการไม่รุนแรงมาก แพทย์จะให้ยาเพื่อช่วยบรรเทาตามอาการ หากมีอาการรุนแรง เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในอวัยวะสำคัญ เช่น ไตอักเสบ สมองอักเสบ เกร็ดเลือดต่ำ การทำลายเม็ดเลือดแดง จะมีการใช้ยาต้านมาลาเรีย ยาสเตียรอยด์และยากดภูมิ ซึ่งขนาดและวิธีการให้ยาจะขึ้นกับความรุนแรงของโรคและอวัยะที่อักเสบ
วัตถุประสงค์ของการรักษาคือการควบคุมโรคให้เข้าสู่ "ระยะสงบ" ฉะนั้นผู้ป่วยจะต้องดูแลตนเองและทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
ผู้ที่เป็นโรค "โรคแพ้ภูมิตนเอง" ผู้ป่วยมักมีอาการที่พบได้บ่อยดังนี้
อาการปวดบวมตาม ข้อ กล้ามเนื้อ เป็นอาการนำที่พบได้บ่อย มักมีอาการเป็นสัปดาห์หรือหลายสัปดาห์
วิธีป้องกัน "โรคภูมิแพ้ตัวเอง" จึงต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ปรับพฤติกรรมใช้ชีวิตประจำวัน ดังนี้
แม้โรคภูมิแพ้ตัวเอง ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด การติดตามอาการอย่างต่อเนื่องและรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด รวมถึงปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ไม่เพียงช่วยทำให้โรคเข้าสู่ระยะสงบหรือหายและช่วยลดภาวะแทรกซ้อนได้ ยังช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ด้วย
อ่านข่าว : "สยามมานุสตรี" วีรสตรีแห่งสยาม "โอปอล" เฉิดฉาย มิสยูนิเวิร์ส 2024
ดาบประหาร ! อาชีพผู้ว่าความ "ผิดมรรยาททนายความ" 21 ข้อ
เกินต้าน! "โอปอล" สวยสะกดทุกสายตา MU2024 รอบพรีลิมมินารี
วันนี้ (15 พ.ย.2567) ช่วงเย็นที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนเข้าร่วมงานวันลอยกระทง บริเวณลานคนเมือง กรุงเทพมหานคร โดยเป็น 1 ใน 4 จุดของ กทม.ที่จัดให้ลอยกระทงในรูปแบบดิจิทัล ภายใต้แนวคิดลอยกระทงอย่างสร้างสรรค์ รักษ์โลก ผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งจะฉายภาพกระทงไปที่ตึกศาลาว่าการ กทม.
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ภายในงาน เช่น การประกวดหนูน้อยนพมาศ การประกวดการประดิษฐ์กระทง ซุ้มกิจกรรมงานวัด การแสดงของศิลปินนักร้อง
ขณะที่ฝั่งตรงข้ามกับลานคนเมือง ที่วัดสุทัศน์มีการจัดกิจกรรมลอยประทีปกะลา สักการะรอยพระพุทธบาทเป็นครั้งแรก จุดเด่นที่ไม่ควรพลาด คือ พิธีอาบน้ำเพ็ญ ซึ่งจัดขึ้นในช่วงเวลา 24.00 น. พิธีนี้ถือเป็นประเพณีที่มีความเชื่อว่าจะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคล โดยจะจัดขึ้นเพียงปีละ 1 ครั้ง และตั้งเป้าหมายเป็นกิจกรรมประจำทุกปีต่อไป
อีกหนึ่งความน่าสนใจของงาน คือ เทคโนโลยี AR ที่ถูกนำมาผสมผสานกับวัฒนธรรมไทย ผู้ร่วมงานสามารถถ่ายรูปคู่กับ "เปรต AR" กิจกรรมรำวงย้อนยุค ที่ช่วยเพิ่มสีสันและสร้างความสนุกสนานให้กับผู้ร่วมงาน รวมถึงนิทรรศการภาพถ่าย นวดแผนไทย งานเทศกาลลอยกระทงในแบบวิถีไทย
นายศรัณยสัณฑ์ วีรกุลสุนทร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่โป๊ะเรือ บริเวณวัดไทร (จอมทอง) เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย และอำนวยความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว และพี่น้องประชาชน คาดว่าโป๊ะเรือบริเวณดังกล่าว จะมีพี่น้องประชาชนเดินทางไปลอยกระทงเป็นจำนวนมาก
จากการลงพื้นที่ตรวจสอบโป๊ะเรือบริเวณวัดไทร (จอมทอง) พบว่า มีความแข็งแรงและพร้อมรองรับพี่น้องประชาชนเข้าร่วมสืบสานประเพณีวันลอยกระทงได้อย่างปลอดภัยอย่าง ประกอบกับได้ประสานไปยังกรมเจ้าท่า (จท.) และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดเจ้าหน้าที่ดูแลพร้อมเพิ่มพวงชูชีพทั่วทุกบริเวณโป๊ะเรือเพื่อความปลอดภัยของประชาชนทุกภาคส่วน
อ่านข่าว : กิจกรรมแน่น! ลอยกระทงคืนแรกทั่วไทย ตร.คุมเข้มความปลอดภัย
"ลอยกระทง 2567 กวดขันพลุ ดอกไม้เพลิง โคมลอย ห้ามยิงปืนขึ้นฟ้า
ไม่ได้รู้สึกว่าช่วยได้ตามสรรพคุณได้เลยที่ว่ากินเนื้อหมา จะเป็นยาชูกำลัง เป็นการพูดแค่ในสวนดีที่คนอยากกินมากกว่า
จอน หนุ่มวัย 30 ปีชาวเชียงราย บอกกับไทยพีบีเอสออนไลน์ถึงเรื่องราวการกินเนื้อสุนัข หรือเนื้อหมาที่เกิดขึ้นกับเคสของน้องหมาซูชิ ที่มีชาวอาข่า อ้างขอรับไปเลี้ยงแต่สุดท้ายถูกพบว่านำไปฆ่ากิน
หนุ่มชาวเชียงราย บอกว่า เมื่อกว่า 10 กว่าสมัยที่ยังเรียน ปวช.เคยกินเนื้อหมาในร้านลับแถวเชียงราย เพราะเป็นการชักชวนและท้าทายจากเพื่อนๆ ที่ิกินเหล้าขาวและยาดอง ซึ่งส่วนใหญ่เด็กวัยรุ่น จะรู้ว่าหลังร้านยาดอง (ร้านลับ) นี้มีเมนูเนื้อหมา ประกอบกับความเชื่อของผู้สูงอายุ ที่บอกว่ากินแก้หนาวกินเป็นยาชูกำลัง
กินไม่เกิน 10 ครั้ง เพราะเพื่อนท้าทายกัน คนเหนือไม่ได้กินเป็นอาหารหลัก แต่มีความเชื่อกินแล้วเป็นยาชูกำลัง ไม่ใช่ทำเป็นกับข้าว แต่เป็นกับแกล้มเหล้า ช่วงนั้นยังไม่มีกฎหมายทารุณกรรม
อ่านข่าว "น้องซูชิ"ผองเพื่อนรวม 4 ชีวิต น้องหมาหาบ้านถูกส่งโรงเชือด
หากถามถึงรสชาติ จอน บอกว่า รสชาติเหมือนไก่ ไม่คาว แต่ต้องปรุงแบบรสจัดและกินกับเหล้าขาวอย่างเดียว ไม่เหมาะกับเบียร์หรือเหล้าแดง และไม่บอกว่าเนื้อหมาสายพันธุ์ไหน แต่ส่วนตัวคิดว่าน่าจะมาหมาแถวบ้าน คงไม่เอาตัวแพงมาชำแหละขาย และยิ่งถ้าเป็นหมาดำจะยิ่งดี ทำนองว่าสรรพคุณดีเหมือนซุปไก่ดำ เป็นยาที่ดีกว่า
รูู้ว่าเนื้อหมา เขาเรียกว่าเนื้อสวรรค์ ไม่ได้รู้สึกกลัวในตอนนั้น เพราะวัยรุ่น และต้องการยอมรับในกลุ่มเพื่อน จากการท้าทาย และคำบอกต่อๆ กันเป็นเนื้อ ชาวบ้านก็รู้ว่าเป็นร้านลับ แต่ตอนนี้ปิดไปแล้ว
จอน ยอมรับว่า หลังจากโตขึ้น และได้เดินทางไปที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งก็ยังมีการวางจำหน่ายเนื่้อหมาแบบหน้าตู้แขวนเป็นตัวๆ แบบข้าวมันไก่เลย เห็นแล้วรู้สึกสะเทือนใจมาก
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงไม่กินเนื้อหมา เพราะแท้จริงแล้วไม่ได้มีสรรพคุณแก้หนาว หรือเป็นยาชูกำลังตามที่กล่าวอ้างเลย ยิ่งวันนี้เห็นข่าวน้องซูชิ รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์นี้
เขาบอกว่า ในปี 2567 ที่โลกพัฒนาไปมากแล้ว อยากให้ยุติการกินเนื้อหมา รวมทั้งขอแนะนำสำหรับคนที่จะให้หมาบุคคลที่ 3 ไปเลี้ยงควรต้องเช็กให้ชัวร์ก่อนให้น้องหมาไปเลี้ยงเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบน้องซูชิ
อ่านข่าว เช็กอาการเสี่ยง! ปศุสัตว์แม่สาย ประกาศเขตโรคพิษสุนัขบ้า
นายสัตวแพทย์เกษตร สุเตชะ นายสัตวแพทย์ประจำศูนย์วิจัยและนวัตกรรมทางสัตวแพทย์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ว่า ค่านิยมกินเนื้อหมาในภาคเหนือบางจังหวัด และภาคอีสาน มีอยู่แล้วไม่เคยหายไปไหนโดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว เพราะความเชื่อที่ว่ากินหมาดำ จะช่วยให้ร่างกายอุ่นขึ้น
ทั้งนี้ เรื่องค่านิยมกินหมาไม่ได้หายไปไหน แม้จะลดน้อยลงกว่าในอดีต เพราะว่าคนจำนวนมากในไทย และทั่วโลกจะเลี้ยงหมา-แมวแบบลูก ดูแลสุขภาพสัตว์ดีขึน แต่ไม่ได้หมายความว่าความเสี่ยงจากการเชื้อโรคจากหมาจะหมดไป เนื้อหมายังมีความเสี่ยงในการเกิดโรคพิษสุนัขบ้า โรคพยาธิใบไม้ในตับ พยาธิไส้เดือน พยาธิตัวตืด โรคแท้งก์ติดต่อ โรคฉี่หนูยังเกิดขึ้นได้
เฉพาะหมาจรจัดที่อาจถูกจับมากิน เสี่ยงติดโรคพิษสุนัขบ้า หากถูกกัดระหว่างถูกจับ รวมทั้งระหว่างการชำแหละที่อาจรับเชื้อผ่านเลือด ของเหลวในตัวหมา เข้าสู่ร่างกายได้ รวมถึงเนื้อหมา และเครื่องในหมาแม้จะปรุงสุกก็ตาม
อ่านข่าว เช็ก "พิษสุนัขบ้าในคน" รับเชื้อเสี่ยงตาย สงขลาประกาศเขตโรคระบาด
จากการตรวจสอบข้อมูลของ มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย ซึ่งรณรงค์ธุรกิจค้าเนื้อสุนัขและแมวในเอเชียมากว่า 11 ปี ครอบคลุมประเทศฟิลิปปินส์ เวียดนาม กัมพูชา ไทย ไต้หวัน จีน เกาหลีใต้
ข้อมูลระบุว่า ในประเทศเวียดนาม คาดการณ์ว่ามีสุนัขกว่า 5 ล้านตัวที่ถูกชำแหละในแต่ละปีเพื่อการบริโภค โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจว่า รัฐบาลเวียดนามได้ทำการสุ่มทดสอบสุนัขหลายร้อยตัวในโรงเชือด และได้ทราบผลจากหน่วยป้องกันและควบคุมโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (US CDC)
พบว่าสุนัขมากกว่า 3% มีผลทดสอบเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าเป็นบวก ซึ่งทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจการค้าเนื้อสุนัขและผู้บริโภคมีความเสี่ยง
อ่านข่าว วันแม่ 2566 : ตัวลูก ตัวบุตร ตัว 4 ขา เมื่อ "สัตว์เลี้ยง" เป็นลูกตัวโปรด
มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย ยังระบุว่า ร่วมมือกับฝ่ายควบคุมโรคระบาดสัตว์ของเวียด นาม (Department of Animal Health) ในการสำรวจโรงเชือดและร้านอาหารที่มีเมนูจากเนื้อสุนัข เพื่อรวบรวมหลักฐาน ข้อมูลในการสนับสนุนการ กวาดล้างธุรกิจดังกล่าว ด้วยเหตุผลด้านความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชน
ในเดือน ก.ย.2561 จังหวัดฮานอย ได้ประกาศว่าฮานอย จะแบนการค้าเนื้อสุนัขในเมืองทั้งหมดภายในปี พ.ศ.2564 จากนั้นในเดือน ก.ย.2565 ตั้งกลุ่มการทำงาน เพื่อเดินหน้ายุติการค้าเนื้อสุนัขและแมว โดยมุ่งเป้าไปที่การควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าเป็นหลัก ร่วมกับฝ่ายควบคุมโรคระบาดสัตว์ของเวียดนาม กลุ่มความร่วมมือภูมิภาคฮานอย และ GARC
ขณะนี้โครงการมีความก้าวหน้าอย่างมาก ในเดือนก.ค.2566 มีการประชุมกับสภาแห่งชาติเวียดนาม เกี่ยวกับการค้าเนื้อสุนัขแและแมว และในปีเดียวกันนี้ฝ่ายการศึกษาของเวียดนาม และสมาคมผู้ใช้ยาแผนโบราณ ยังได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเพื่อยุติกิจการค้าเนื้อในประเทศ
ผู้นำสมาคมแพทย์แผนโบราณแห่งเวียดนาม (VOTMA) ได้ประกาศยกเลิกการใช้เนื้อสุนัขและแมวในส่วนผสมของยาและโรงเรียนหลายแห่งได้รณรงค์เรื่องดังกล่าวในหลักสูตรการศึกษา
ในเดือนมิ.ย.2567 ทางการของกรุงฮานอย ได้ออกคำสั่งให้ยุติการค้าเนื้อสุนัขและเนื้อแมวทั่วเมือง เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน และส่งเสริมแนวปฏิบัติที่ถูกต้องตามจริยธรรมมากขึ้น
อ่านข่าว
ข้อเท็จจริงอีกด้านของน้ำตาล และความหวาน ที่แม้จะพยายามลดปริมาณการบริโภคลงมากเท่าไหร่ หรือหาสารให้ความหวานแทนน้ำตาล เพื่อให้ดีต่อสุขภาพแค่ไหน แต่เชื่อหรือไม่ว่า ร่างกายคนเราทุกวันนี้ ก็ยังคงรับน้ำตาล และความหวานในปริมาณที่เกินพอดีอยู่ดี โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวาน
น้ำตาล และ ความหวาน กลายเป็นส่วนหนึ่งของรสชาติในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ผลการศึกษาพบว่า รสหวาน ช่วยทำให้มีอารมณ์ดีขึ้นได้จริงจากการกระตุ้นให้สมองหลั่ง โดปามีน (Dopamine) หรือ ฮอร์โมนแห่งความสุข ออกมา และน้ำตาล ถือเป็นแหล่งพลังที่สำคัญที่สุด และถูกนำไปละลายเพื่อใช้บริโภคอยู่ในวิถีชีวิตผู้คนอยู่เสมอ ทั้ง ปรุงรสชาติ แยกลักษณะอาหาร เช่น ความหวาน ความหนืด สี เก็บถนอมอาหาร รวมทั้งเป็นส่วนประกอบอาหารทางการแพทย์
ขณะที่เหรียญอีกด้านของความหวานนั้น การศึกษาพบว่า น้ำตาล มีผลกระตุ้นที่ตัวรับตัวเดียวกับ มอร์ฟีน แต่มีฤทธิ์อ่อนกว่า และทำให้เกิดความพึงพอใจได้ การขาดอาจมีผลให้เกิดความอยาก และหงุดหงิดได้ จึงเป็นเหตุผล ว่า ทำไมทางการแพทย์จัดน้ำตาลอยู่ในหมวดหมู่เดียวกับสารเสพติด
ที่สำคัญ น้ำตาลยังมีผลโดยตรงต่อน้ำหนัก หรือดัชนีมวลกาย (BMI) กระบวนการเมตาบอลิสซึม โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวาน ยังไม่นับเรื่องหัวใจ หลอดเลือด สมอง การชอบรสหวาน (Sweet preference) และการเลือกอาหารอีกด้วย
ทพญ. ปิยะดา ประเสริฐสม อดีตทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมอนามัย ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ชี้ประเด็น น้ำตาล ที่เกี่ยวข้องกับ ผู้ป่วยเบาหวาน โดยตรง คือ แม้น้ำตาล คือสิ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานต้องเลี่ยง แต่พวกเขากลับรับรู้รสหวานได้น้อยกว่าคนปกติ
“คนปกติจะรับรู้รสหวาน เมื่อละลายน้ำตาล 1 ช้อนชา ในน้ำ 1 แก้ว ผู้ป่วยเบาหวานจะรับรู้รสหวานเมื่อละลายน้ำตาล 1-2 ช้อนโต๊ะ” นี่เป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้ผู้ป่วยฯ บริโภคน้ำตาลมากขึ้น และน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เมื่อรสหวาน เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และน้ำตาลอยู่รอบตัวเรา ตั้งแต่เด็กตัวน้อย ไปจนถึงผู้ใหญ่ตัวโต ล้วนตกอยู่ในวงล้อมของความหวานแทบทั้งสิ้น
เมื่อสัดส่วนพลังงานจากขนม และอาหารว่าง จากค่าปริมาณสารอาหารที่แนะนำต่อวัน (RDA) คือ 10-15 % แต่ผลสำรวจพฤติกรรมการบริโภคขนมของเด็กไทยเมื่อปี 2547 กลับพบว่า เด็กไทย 3-5 ปี ได้รับพลังงานจากขนมสูงถึง 23 % RDA เลยทีเดียว และไม่มีแนวโน้มลดลงเรื่อยมา
ขณะที่ ปริมาณน้ำตาลที่เด็กควรได้รับต่อวัน ไม่ควรเกิน 6 ช้อนชา แต่ในน้ำอัดลมที่อยู่รอบตัวนั้นมีปริมาณน้ำตาลละลายอยู่ถึง 8-12 ช้อนชา
ส่วนบรรดาเครื่องดื่มคู่ใจของบรรดามนุษย์ออฟฟิศ ก็มีส่วนผสมของความหวาน และให้พลังงานอยู่ราว 100 - 425 kcal
เมื่อเทียบเคียงกับผลสำรวจปริมาณการบริโภคน้ำตาลของประชากรไทย ตั้งแต่ปี 2554 - 2565 พบว่า คนไทยกินน้ำตาลเฉลี่ยอยู่ที่ 26 ช้อนชาต่อวัน แสดงให้เห็นว่า ความหวานอยู่รอบตัวเรานั้น ไม่ได้เกินจริงเลย
นอกจากนี้ การบริโภคเครื่องดื่มรสหวานที่ใช้น้ำตาล ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ความพยายาม “ลดหวาน” แต่มองหาสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ดูน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากเอาใจใส่สุขภาพ แต่ยังไม่อยากขาดหวาน
“ถ้าคุณลดน้ำตาล แต่คุณยังใช้สารทดแทนความหวาน นั่นก็เท่ากับว่าคุณก็ยังติดหวาน” ทพญ.ปิยะดา ตั้งข้อสังเกต และย้ำว่า พฤติกรรมดังกล่าว อาจทำให้แนวโน้มที่จะบริโภคน้ำตาลมีระดับที่มากขึ้น
เนื่องจากเครื่องดื่มที่ใช้วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล และน้ำผลไม้นั้น ไปเพิ่มความเสี่ยงประมาณ 25% และ 8% ตามลำดับ ขณะที่เครื่องดื่มรสหวานที่ใช้น้ำตาล เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน 18% ต่อหน่วยบริโภคต่อวัน
ที่สำคัญ ถึงแม้สารให้ความหวานจะมีหลายชนิด แต่บางชนิดก็จะให้ความหวานจัด และบางชนิดแทบไม่ให้คุณค่าทางโภชนาการเลย มิหนำซ้ำยังซ้ำเติมความเสี่ยงต่อสุขภาพให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก
“การเสพติดความหวาน จะไม่ลดการกินน้ำตาล ก็ยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน จากเครื่องดื่ม จากการบริโภคที่ทุกคนคิดว่าปลอดภัย จริง ๆ แล้วมันไม่ปลอดภัย เพราะยังใช้สารทดแทนความหวาน หากผู้ที่เคยเติมน้ำตาลลงอาหารคาวเท่าไหร่ ก็ยังเติมเท่าเดิม” ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานอธิบาย
หากเช่นนั้น ทางเลือก หรือ ทางแก้ ของสมการ “หวานเสพติด” ควรจัดการด้วยวิธีไหน “ควรดื่มน้ำเปล่า หรือถ้าคำนวณเป็น ก็ดื่มต่อ 1 ครั้ง ไม่เกิน 4 กรัม”
ทพญ. ปิยะดา มองว่า น้ำตาลไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็น ต่อผู้คนเลย เมื่อความหวานล้วนอยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว ในความเป็นจริงถ้าคนเรากินอาหารหลัก 3 มื้อปกติ ตามหลักโภชนาการ คุณก็จะได้แป้งอยู่แล้ว และแป้งก็จะเป็นตัวย่อยให้เกิดน้ำตาลอยู่แล้ว แต่คนที่ไปงดน้ำตาลเยอะ ๆ งดแป้งเยอะ ๆ ก็อาจจะเกิดภาวะน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำ ซึ่งก็จำเป็นต้องกินน้ำตาลเข้าไปอีก
หมายความว่า หากผู้ป่วยเบาหวานไม่กินน้ำตาลเลย แต่กินอาหารครบ 5 หมู่ 3 มื้อปกติ ก็จะได้รับน้ำตาลจากแป้งเข้าไปเติมให้ร่างกายในปริมาณที่พอดีอยู่แล้ว
เมื่อใจความสำคัญของ ผู้ป่วยเบาหวาน คือ ไม่ให้น้ำตาลในเลือด ต่ำ หรือ สูง เกินไป
อ่านข่าว : "น้องซูชิ"ผองเพื่อนรวม 4 ชีวิต น้องหมาหาบ้านถูกส่งโรงเชือด
กิจกรรมแน่น! ลอยกระทงคืนแรกทั่วไทย ตร.คุมเข้มความปลอดภัย
ตัดหัว-เอาเขี้ยว "พะยูน" 7 วันพบตายในทะเลภูเก็ต ทช.เร่งแกะรอย
ถือเป็นเรื่องสะเทือนใจในกลุ่มผู้รักสัตว์อย่างมาก กรณีมีผู้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ Watchdog Thailand Foundation-WDT ระบุว่า หลังจากโพสต์ภาพชาย 2 คน พร้อมสุนัขที่อยู่ในกรง ระบุข้อความว่า ตามหาน้อง รับไปแล้วตัดการติดต่อเลย (คนสวมหมวก) จ.พะเยา
ต่อมาเจ้าของโพสต์อัปเดตว่า ติดต่อมาแล้วครับ ทั้งคนให้และคนรับ ซูชิอยู่แม่ฟ้าหลวง อย่างไรก็ตาม คนในกลุ่มพากันตั้งข้อสงสัยว่า สุนัขถูกเอาไปกินหรือไม่ และพยายามช่วยกันตามหาความจริง กระทั่งมีการยืนยันว่าหมาตายแล้ว
พ.ต.ท.ศุภกรณ์ชัย เดชายิ้มสวัสดิ์ สารวัตรสืบสวน ลงพื้นที่บ้านป่าซางน้อย อ.แม่จัน จ.เชียงราย ซึ่งหนุ่มชาวอาข่า ขอรับหมาไปเลี้ยงดู มีผู้เสียหายเพิ่มอีกหนึ่งคน คือเจ้าของน้องหมาที่ชื่อหมี ถูกขอรับไปเลี้ยงก่อนหน้านี้พร้อมกับเจ้าของน้องหมา ซูชิ ซึ่งถูกขอรับไปเลี้ยงล่าสุด เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันสงสัยว่าน้องหมาทั้ง 2 จะถูกทารุณกรรม
ซึ่งหลังจากตำรวจเค้นสอบ จนรับสารภาพสิ้น เป็นขบวนการขอรับหมาไปส่งโรงฆ่าซึ่งหมายความว่า ซูชิ และน้องหมีหมา ที่รับไปล่าสุดตายแล้ว
นอกจากนี้มีผู้เสียหายรายที่ 3 ที่ส่งภาพหมาสีดำ 2 ตัว คือลัคกี้กับซูโม่ ที่ขอรับไปก่อนหน้าน้องหมีกับซูชิ รวมเป็นที่มีหลักฐาน 4 ชีวิต
WDT วิงวอน สภ.แม่จัน ขอให้สอบเพิ่มว่ามีอีกกี่ชีวิตก่อนหน้านั้น และในขบวน การนี้มีกี่คนที่ร่วมกันกระทำผิด ประชาชนเจ้าของหมาท่านใดมีข้อมูลเพิ่มที่ส่งหมาไปให้อาข่ารายนี้ โปรดแจ้ง WDT และเข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษได้ที่สภ.แม่จัน มาช่วยกันหยุดขบวนการฆ่ากินหมาในประเทศไทย
อ่านข่าว
เตรียมออกหมายจับเพิ่มอีก 3 แก๊งปล้นไม้พะยูง-ปืน