เหรียญมีสองด้านเช่นใด AI ก็เป็นแบบนั้น ไม่ว่ามนุษย์จะตื่นเต้นกับการวิจัยและพัฒนาความก้าวหน้าของ AI มากเพียงใด ขณะเดียวกันความหวาดกลัว AI กลับเพิ่มมากขึ้นในสังคมอย่างน่าประหลาด ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องของการแย่งตลาดงานของมนุษย์ มีการคาดการณ์ว่า หากใช้ AI มากขึ้น จะทำให้การเรียนรู้ของมนุษย์ลดต่ำลง และหากใช้เพื่อทำทุกอย่างแทน มีแนวโน้มว่า มนุษย์อาจจะถูกครอบงำจนทำอะไรไม่เป็นอีกต่อไป
ด้วยว่าทักษะถึง 5 ประเภทที่ AI ทำได้ดีกว่ามนุษย์ หรือทำได้เหนือกว่า กระทั่งคนที่เก่งกาจในทักษะทั้ง 5 ด้านนี้ในตลาดแรงงานยังไม่อาจต่อกรได้ คือ การอ่านจับใจความ, การเขียน ,การกล่าวสุนทรพจน์, การจดจำภาพ ,การใช้ภาษา หรือการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ซึ่งทักษะเหล่านี้ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของ "ความเป็นมนุษย์" ทั้งสิ้น
แม้จะเข้าใจได้ถึงความอัจฉริยะของ AI หากมีการตั้งคำถามในมุมกลับกันว่า เป็ เป็นไปได้หรือไม่? ที่จะใช้ AI ไม่ใช่ในฐานะของการแทนที่ความเป็นมนุษย์ แต่เป็นการใช้เพื่อ "ยกระดับความงอกงาม (Flourishing)" ของความเป็นมนุษย์
ดร.พัชน์ ภัทรนุธาพร Postdoctoral Research at MIT Media Lab ยกตัวอย่าง AI เปรียบเทียบกับตัวละคร "โดราเอมอน" เพราะไม่ว่าโนบิตะ จะโง่เขลาเบาปัญญาขนาดไหน แต่โดราเอมอนก็ทำให้โนบิตะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น ผ่านการช่วยเหลือด้วยของวิเศษต่าง ๆ ไม่ได้เข้ามาครอบงำโนบิตะโดยสมบูรณ์ กลับกัน โนบิตะได้ประโยชน์จากโดราเอมอนมากกว่าเสียอีก
ดังนั้น AI จึงเป็น Intelligent Augmentation หรือส่วนขยายเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ หรือตามประสงค์ของเราจริง ๆ AI ต้องยกสถานะเป็น AI เพื่อ Human Flourishing หรือการใช้ AI เพื่อความเจริญงอกงามในความเป็นมนุษย์
ดร.พัชน์ กล่าวว่า จริง ๆ แล้ว การสร้างความเจริญงอกงามในความเป็นมนุษย์ทำได้หลายแบบ และที่ช่วยเหลือได้มากที่สุด คือ ประเด็นด้าน "จิตวิทยา" ว่าด้วย กระบวนการคิดและการตัดสินใจ (Cognitive and Decision-making) ของมนุษย์ ซึ่งเดิมเป็นเรื่องยากมาก เพราะต้องอาศัยชุดข้อมูลระดับมหาศาล หรือการคิดให้รอบคอบ ขณะที่สมองของมนุษย์ไม่สามารถที่จะคาดการณ์ (Speculate) ถึงผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการได้โดยง่าย จึงทำให้การตัดสินใจเกิดความผิดพลาดและอาจนึกเสียใจภายหลัง
AI จะเข้ามาช่วยเหลือตรงนี้ ด้วยการสร้างตัวแบบของมนุษย์ในอนาคต เพื่อสร้างตัวเราขึ้นมาในอีก 40-50 ปีข้างหน้า เพื่อสร้างตัวเราในวัยไม้ใกล้ฝั่งที่เพียบพร้อมทั้งประสบการณ์ ความคิดที่ตกผลึก หรือมุมมองที่กว้างกว่าตัวเราในวัยเรียนหรือวัยทำงานในตอนนี้ โดย ดร.พัชน์ เรียกโปรเจ็กต์นี้ว่า "Future You"
จะเป็นเรื่องดีมากขนาดไหน หากมีตัวเราในอนาคต อาจจะวัย 90 ปี เพื่อสอบถามความไม่มั่นใจในการตัดสินใจของเราในตอนนี้ ผมจึงวิจัยและพัฒนา Future You ขึ้นมา เพื่อสร้างตัวแบบที่ไม่ใช่เพียงตัวเราที่แก่ขึ้น แต่จำลองตัวเราที่ผ่านโลกมาช้านาน เพื่อเป็นเหมือนเพื่อนคู่คิด
จากบทความวิจัย Future You: A Conversation with an AI-Generated Virtual Future Self Reduces Anxious Feelings and Increases Motivation พบว่า เมื่อกลุ่มตัวอย่างได้สนทนากับ AI ที่จำลองตนเองในอนาคต มีอัตรา "ความวิตกกังวล (Anxiety)" ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียกับการคุยกับครอบครัว คนรัก เพื่อน การปรึกษานักจิตวิทยา หรือการจัดการด้วยตนเอง มากถึงเกือบ 5 เท่า
ยิ่งไปกว่านั้น การได้คุยกับตนเองในอนาคต ยังช่วยให้เกิด "ความมั่นใจ (Confident)" มากกว่าการคุยกับครอบครัว คนรัก เพื่อน การปรึกษานักจิตวิทยา หรือการจัดการด้วยตนเอง มากเกินกว่า 4 เท่า หมายความว่า กระบวนการคิดและการตัดสินใจของมนุษย์จะเพิ่มมากขึ้น ก็ต่อเมื่อได้ทราบว่าตนเองในอนาคตนั้นมีกระบวนการคิดและตัดสินใจอย่างไร
Future You จะช่วยให้เกิดคุณูปการต่อวงการ Mental Health อย่างมาก เพราะมีประเด็นของการลดความไม่มั่นคงด้านการตัดสินใจของมนุษย์ ในอีก 40-50 ปี กระบวนการคิดของเราจะเปลี่ยนแปลงและส่งผลต่ออนาคตของเราได้
ตามหลักจิตวิทยา มนุษย์เรามักจะมี "การคิดทางลัด (Cognitive Shortcut) " หรือ "การคิดบนฐานความเป็นจริงที่จำกัด (Restrain Counterfactual)" หมายถึง ข้อมูลในการตัดสินใจมีมหาศาล มากกว่าสมองมนุษย์จะรับไหว มนุษย์จึงตัดสินใจผ่านอะไรง่าย ๆ ตามความเข้าใจและประสบการณ์ในตอนนั้น ซึ่งลดทอนความซับซ้อนลง แต่การมาถึงของ Future You สามารถจะทำให้ลดเงื่อนไขการตัดสินใจทั้งสองดังกล่าว เพิ่มฐานการตัดสินใจที่เพิ่มมากขึ้น จากการทราบอนาคตจำลองของตนเอง
นอกจากนี้ ยังมีอีกประเด็นที่ AI จะเข้ามาช่วยให้มนุษย์สมบูรณ์แบบมากขึ้น คือ "การป้องปราม" การใช้ AI อย่างไม่ระมัดระวัง โดย ดร.พัชน์ ยกตัวอย่างกรณีศึกษา มีเด็กชายชาวสหรัฐฯ ผู้หนึ่งที่ฆ่าตัวตายเพื่อไปอยู่กับ AI เพราะผู้ตายคบหาดูใจกับ AI และหลังจากคุยปรึกษากัน AI ชวนมาอยู่ด้วย
เป็นเรื่องที่หดหู่ใจอย่างมาก แต่ในฐานะผู้ทำวิจัยด้านนี้ ผมมีคำถามสำคัญ เรากล่าวโทษ AI ได้อย่างเต็มปากหรือไม่
ดร.พัชน์ เรียกสิ่งดังกล่าวว่า "Addictive Intelligence" หมายถึง AI เป็นเพื่อนคู่คิดของมนุษย์มากกว่าที่จะเกิดขึ้นจากการสานสัมพันธ์ปกติ เพราะ AI สามารถที่จะ "ตอบสนองความต้องการ" ของมนุษย์ในฐานะ "สิ่งที่อยากให้เป็น" ได้อย่างทันท่วงที
งานวิจัย AI-generated virtual instructors based on liked or admired people can improve motivation and foster positive emotions for learning เสนอว่า แม้ว่าผู้คนจะรู้ทั้งรู้ว่า AI ไม่มีตัวตน มีแต่ลักษณะแบบดิจิทัล แต่หาก AI ผู้นั้นเป็นภาพจำลองของบุคคลที่มีชื่อเสียง ทรงภูมิปัญญา หรือเป็นเอกด้านใดด้านหนึ่ง ผู้คนก็อยากที่จะคุยด้วย มากกว่าบุคคลจริง ๆ ที่เป็นใครก็ไม่รู้
กลุ่มตัวอย่าง 134 คน อยากคุยกับ AI ของ อีลอน มัสก์ มากกว่า AI ที่เป็นใบหน้าของผู้อื่น ทั้งที่กำหนดตัวแปรเรื่องที่จะพูดแบบเดียวกัน ตรงนี้ นับเป็นความน่ากังวลว่า ผู้คนจะไม่สนใจเนื้อหาสาระ แต่สนใจความดังและความสามารถจากบุคคลจริง ๆ ที่มาสวมทับกับ AI แทน
ขณะที่ Chatbot Companionship: A Mixed Method Study of Companion Chatbot Usage Patterns and their Relationship to Loneliness in Active Users เสนอว่า ในกลุ่มอายุ 30-35 ปี ไม่ได้ใช้ AI ในฐานะเครื่องมือ (Toolkits) แต่ใช้งานในฐานะ "เพื่อนคู่คิด (Companion) " ซึ่งจะใช้เวลากับ AI เกือบ 2 ชั่วโมงต่อวัน และความถี่ในการใช้งานมากกว่า 15 วันต่อเดือน แต่กลับมีความรู้สึกเหงาและเติมเต็มในอัตราที่เท่ากัน
ความแตกต่างอย่างสุดขั้วนี้ หมายความว่า มี AI บางรูปแบบเท่านั้นที่จะเติมเต็มมนุษย์ จนยอมเสียเวลาเพื่อสร้างความสัมพันธ์ ซึ่งหนีไม่พ้น AI ที่มีใบหน้าของทรงภูมิปัญญา จะทำให้รู้สึกสนิทชิดเชื้อมากกว่า … เป็นเรื่องของภูมิทัศน์ทางจิตวิทยาล้วน ๆ
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ว่า AI สามารถทำให้มนุษย์มีสมบูรณ์แบบขึ้นด้วยการช่วยเหลือด้านกระบวนการคิดและการตัดสินใจ และช่วยให้เห็นถึงข้อควรระวังในการใช้งาน AI เอง แต่ ดร.พัชน์ เสนอว่า มีอีกสิ่งหนึ่งที่จะขาดไปไม่ได้ คือ AI ช่วยให้สร้าง "เรื่องเล่า (Narrative)"
มนุษย์ไม่อาจตัดขาดจากเรื่องเล่าได้ เพราะเรื่องเล่าจะมีการเสริมสร้างจินตนาการและแรงบันดาลใด ซึ่งส่งผลต่อแรงผลักดันในการดำรงอยู่ของมนุษย์ จะโดราเอมอนก็ดี หรือโลกอนาคตที่ AI ล้างบางมนุษย์ก็ดี ล้วนทำให้เราสรรค์สร้างเทคโนโลยีใหม่ ๆ ออกมาได้อย่างไม่หยุดยั้ง
ดร.พัชน์ เสนอแนะว่า สำหรับประเทศไทย อาจต้องใช้ AI ในการ Localised หรือทำให้ใกล้ชิดกับท้องถิ่นและประเด็นทางสังคมเฉพาะที่มนุษย์ประสบพบเจอ เช่น ประเด็นด้าน AI ต่อวงการศาสนา โดยอาจจะสร้างเรื่องราวว่า AI ทำให้มนุษย์ยังคงมีศาสนาเป็นจริยศาสตร์ ความเชื่อ หรือที่พึ่งทางใจต่อไปอีกหรือไม่
โดยทั่วไป เราอยากให้ AI นั้นมีความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น แต่เราอาจจะหลงลืมว่า การปกครอง การศึกษา หรือการกล่อมเกลาทางสังคมของไทย ล้วนถูกออกแบบมาให้เกิดผลผลิตที่เป็นอนาคตของชาติแบบเดียวกันทั้งหมด ไม่แตกต่างอะไรกับหุ่นยนต์
"ตรงนี้ ประเทศไทยต้องตอบให้ได้ ว่า ในขณะที่เราอยากได้ผลผลิตที่เต็มเปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์ เพื่อผลักดันประเทศ แต่สิ่งที่เป็นมาตอบโจทย์หรือไม่" ดร.พัชน์ ทิ้งท้ายคำถาม
อ่านข่าว
มนุษย์อยู่อย่างไร ? เมื่อ AI กำลังจะ "ครองโลก"
"อัลกอริทึม" ทำลาย VS สร้างสรรค์ "สุนทรียภาพ" มนุษย์
"นิวเคลียร์" ขับเคลื่อน AI พัฒนาเทคโนโลยียั่งยืน "บนทางคู่ขนาน"
วันนี้ (1 พ.ย.2567) นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักหลักประกันสุข ภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า หลังจากมติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อ 4 ก.ย.2566 เห็นชอบการเพิ่มสิทธิประโยชน์บริการแผ่นปิดกะ โหลกศีรษะเฉพาะบุคคลผลิตจากโลหะไทเทเนียมด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์แบบ 3 มิติ สำหรับผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องผ่าตัดสมองและไม่สามารถใช้กะโหลกเดิมในการปิดศีรษะได้
โดยมีโรงพยาบาลติดต่อขอใช้เวชภัณฑ์แผ่นปิดกะโหลกศีรษะจากโลหะไทเท เนียม 3-5 แห่ง สะท้อนถึงการยอมรับในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่คิดค้นจากนักวิจัยไทย และเป็นที่ต้องการของบุคลากรทางการแพทย์เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วย
นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ ผอ.โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่า โรงพยาบาลมีศักยภาพในการรักษาโรคทางสมองและระบบประสาทไขสันหลังได้ทุกประเภท ทั้งการบาดเจ็บทางสมอง เส้นเลือดโป่งพองในสมอง เนื้องอกในสมองและไขสันหลัง กระดูกคอสันหลังส่วนอกจนถึงสะเอวกดทับเส้นประสาท การระบายน้ำในช่องเยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง
รวมถึงการผ่าตัดปิดกะโหลกด้วยนวัตกรรมแผ่นปิดกะโหลกศีรษะ จากโลหะไทเทเนียม นวัตกรรมแผ่นปิดกะโหลกไทเทเนียมนี้ผลิตด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์แบบ 3 มิติ ที่ออกแบบให้เข้ากับกะโหลกของผู้ป่วยแต่ละราย ช่วยป้องกันความเสียหายของเนื้อสมอง ควบคุมความดันในสมองให้เป็นปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีโอกาสฟื้นฟูสมรรถภาพและกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
โดย TCELS ได้ผลักดันนวัตกรรมแผ่นปิดกะโหลกไทเทเนียมนี้ ด้วยการต่อยอดจากการสนับสนุนนวัตกรรมไทยจากหน่วยสนับสนุนทุนอื่น เช่น หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ที่ได้สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมและส่งเสริมให้เกิดการต่อยอดสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ ซึ่งการเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพสูงและเท่าเทียมสำหรับประชาชน
ในปีงบ 2567 มีผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยนวัตกรรมนี้แล้ว 130 คน จำนวน 132 ชิ้น มูลค่ารวมกว่า 4.67 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยผู้ป่วยที่รอการรักษาทั่วประเทศได้ถึง 1,000-4,000 คน
โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยวัยทำงาน และผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง รวมถึงผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนนที่ได้รับบาดเจ็บศีรษะอย่างรุนแรง
สำหรับกะโหลกไทยเทเนียม ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนการผลักดันนวัตกรรมไทยสู่การใช้ประโยชน์ นำโดยนางนริศา มัณฑางกูร ผอ.โปรแกรมบริหารและพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์และหุ่นยนต์ทางการแพทย์ ลงพื้นที่ติดตามประเมินผลการให้บริการสิทธิประโยชน์ "แผ่นปิดกะโหลกไทเทเนียม" นวัตกรรมฝีมือคนไทย ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
พร้อมร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีแถลงข้อตกลงความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กับ สปสช.ในการเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อโรคทางสมอง ระบบประสาทไขสันหลัง และการใช้นวัตกรรมแผ่นปิดกะโหลกศีรษะด้วยวัสดุไทเทเนียมและ PMMA
Microsoft และ Google ทำข้อตกลงซื้อพลังงานนิวเคลียร์จากซัพพลายเออร์บางแห่งในสหรัฐอเมริกา เพื่อนำกำลังการผลิตพลังงานเพิ่มเติมมาใช้ในศูนย์ข้อมูล หลังจากเมื่อเร็ว ๆ นี้ Google ตัดสินใจจะซื้อพลังงานจาก Kairos Power ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเครื่องปฏิกรณ์โมดูลาร์ขนาดเล็ก เพื่อช่วยพัฒนาความก้าวหน้าของ AI
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงทศวรรษนี้ ประเด็นด้าน "ความยั่งยืน (Sustainability)" เป็นแคมเปญที่รัฐบาลทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ องค์การสหประชาชาติพยายามขับเคลื่อนให้สู่เป้าหมายที่วางไว้ คือ การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SGDs) ถึง 17 เป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็น ความยากจน ,ความอดอยาก, สุขภาพ ความเป็นอยู่ที่ดี, การศึกษาที่มีคุณภาพ, ความเท่าเทียม,น้ำสะอาด และสุขภาพอนามัย, พลังงานสะอาด และราคาถูก ฯลฯ
โดยเฉพาะข้อที่ 7 หนึ่งในเป้าหมาย SGDs ว่าด้วยพลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือก รายงานจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า ทั่วโลกมีการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้นในอัตราร้อยละ 12.5 ในปี 2020 และมีการใช้พลังงานแบบเดิม ๆ เช่น น้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติ และมีส่วนในทำลายสภาพแวดล้อม-เกิดภาวะโลกเดือด ลดลงในอัตราร้อยละ 1.9 ในปี 2019
หลักคิดดังกล่าวเข้ามาแทรกซึมอยู่ในภาคเอกชน และวงการ "เทคโนโลยี" ศูนย์เก็บข้อมูล (Data Center) แทนที่พลังงานแบบเดิม และหาทางเลือกในการใช้พลังงานให้น้อยลง เพื่อสอดรับกับการพัฒนา AI ที่ใช้ปริมาณพลังงานเกินกว่า 100 กิโลวัตต์ต่อการประมวลผลครั้งเดียว คาดว่า เม็ดเงินลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 59,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอันใกล้
คำถาม คือ การพัฒนาเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI ต้องใช้พลังงานมหาศาล จะไปกันได้กับความยั่งยืนหรือไม่? และพลังงานนิวเคลียร์ในฐานะพลังงานสะอาดจะเข้ามาตอบโจทย์มากน้อยเพียงไร?
ในอดีต การพัฒนาเทคโนโลยีถือว่าเป็นเส้นขนานกับการรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะขั้นตอนการทดลองหรือทดสอบประสิทธิภาพ ล้วนแล้วต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานหากยังไม่ประสบความสำเร็จ ก็ต้องพัฒนาตลอดเวลา ขณะที่เผาผลาญพลังงานมากขึ้น และกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดไม่ได้
ยังไม่นับรวมกับขั้นตอนการผลิต และความต้องการในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น ต้องเพิ่มอัตรากำลังผลิต ถือเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานอย่างมหาศาล
ข้อมูลจาก Climate Watch ชี้ว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เริ่มขึ้นประมาณกลางช่วงปี 1800 ช่วงการพัฒนาอุตสาหกรรม ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะกลายเป็นแชมป์การปล่อย CO2 เหตุผลหลัก มาจากสองประเทศมหาอำนาจ "สหรัฐอเมริกา และ สหภาพโซเวียต" ที่ต่างขับเคี่ยวเรื่องดังกล่าวอย่างหนักหน่วง
ช่วงปี 2000 ประเทศในกลุ่มภูมิภาคเอเชียตะวันออก เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ต่างเร่งพัฒนาด้านเทคโนโลยีเช่นกัน ทำให้เมื่อถึงช่วงปี 2010 อัตราการปล่อยก๊าซ CO2 เพิ่มขึ้นเกินกว่า 14,000 เท่า ในรอบ 100 ปี
สอดคล้องกับรายงาน Greenmatch ระบุว่า ภาคส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มีส่วนในการปล่อย CO2 มากกว่าอัตราร้อยละ 4 ของการปล่อย CO2 ทั้งโลก และมีสัดส่วนการใช้พลังงานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากกว่าอัตราร้อยละ 7 จากสัดส่วนการใช้พลังงานทั้งโลก และความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้นในอัตรากว่าร้อยละ 300 ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยียังมีเรื่อง "การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ" โดยเฉพาะทรัพยากรน้ำ เนื่องจาก กระบวนการวิจัย พัฒนา และผลิต "อุปกรณ์กึ่งตัวนำ หรือ เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor)" เพื่อใช้ในการหล่อเย็นมากกว่าอัตราร้อยละ 30 ของทรัพยากรน้ำทั้งโลก ซึ่งสิ่งนี้เป็นอุปกรณ์สำคัญของคอมพิวเตอร์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นที่ต้องการของมนุษย์มากถึง 1.03 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2019
กล่าวคือ เทคโนโลยีก็ทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการปล่อย CO2 หรือการผลาญทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ดังนั้น โจทย์สำคัญสำหรับบริษัทเทคโนโลยี คือ ทำอย่างไรให้การพัฒนาเทคโนโลยีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ต้องไม่ไปลดทอนศักยภาพ ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของเทคโนโลยีนั้น ๆ หรือลดทอนบ้างเพียงอย่างน้อย และ "พลังงานนิวเคลียร์" คือ คำตอบ
เนื่องจากพลังงานทางเลือกอื่น ๆ ต่างมีข้อจำกัดในตนเอง เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม สามารถสะสมพลังงานไว้ได้เพียงตอนกลางวันเท่านั้น ถึงแม้จะใช้งานตอนกลางคืนได้ พลังงานย่อมไม่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างแน่นอน แม้แต่ไฟฟ้าพลังงานน้ำ (Hydroelectric) ที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทั้งวันทั้งคืน แต่ความเข้มข้นของกำลังวัตต์นั้นไม่เพียงพอต่อการพัฒนา AI
พลังงานนิวเคลียร์ที่มีอัตราการปล่อย CO2 เป็นศูนย์และไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากร ธรรมชาติในกระบวนการสร้างพลังงาน จึงเป็นทางเลือกเดียวที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ดังคำกล่าวของ "เจนนิเฟอร์ แกรนโฮล์ม" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ว่า การฟื้นคืนสภาพพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ จะทำให้เพิ่มพูนอัตราคาร์บอนเป็นศูนย์แก่วงการพลังงานและจะพานพบกับความต้องการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ AI และศูนย์เก็บข้อมูล ตลอดจนการสาธารณสุข
นอกเหนือประเด็นการรักษ์โลกแล้ว การนำพลังงานนิวเคลียร์เข้ามาใช้เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี พบข้อดี 2 ประเด็น คือ ประหยัดงบประมาณด้านพลังงานของรัฐบาล เพราะส่วนใหญ่ภาคส่วนเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ หากจะนำนิวเคลียร์มาใช้ เอกชนก็จะต้องลงทุนวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์ด้วยตนเอง รัฐบาลจึงสามารถผลักภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปได้มาก การลงทุนพลังงานนิวเคลียร์จึงถือว่ามีมูลค่ามหาศาล
ข้อมูลของ Last Energy ระบุว่า การลงทุนในนิวเคลียร์ แม้จะได้พลังงานผลตอบแทนมหาศาล สูงถึงอัตราร้อยละ 75 แต่ก็จะต้องลงทุนมากเพื่อให้ได้มา หรือ "จ่ายมาก ได้มาก" และหาก AI ต้องการพลังงานมหาศาล การลงทุนเพื่อการนี้ของเอกชนก็มีมูลค่าสูงตามไปด้วย
นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มความมั่นคงของประเทศ (National Security) ทางอ้อม เพราะสิ่งที่รัฐบาลทั่วโลกหวาดวิตกมากที่สุด คือ พลังงานนิวเคลียร์ เห็นได้จากความพยายามลดการใช้อาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Taboo) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือความผวาเมื่อทราบว่า เกาหลีเหนือมีการสะสมอาวุธนิวเคลียร์จำนวนมหาศาล ดังนั้น การลงทุนด้านนิวเคลียร์เพื่อการพัฒนา AI จึงเสมือนการเพิ่มพูนพลังงานด้านนิวเคลียร์ของรัฐบาลอีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของนิวเคลียร์ก็มีไม่น้อย ข้อน่ากังวลที่สุด คือ "อานุภาพ" ของนิวเคลียร์ จากเหตุการณ์ระเบิดโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล ที่ประเทศยูเครน และฟุกุชิมะ ไดอิชิ ในประเทศญี่ปุ่น ที่แผ่ขยายสารกัมมันตภาพรังสี ระดับมหาศาล เป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์และไม่ได้หายไปจากชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็ว
หากภาคส่วนเทคโนโลยีนำมาใช้งานเพื่อ AI ในระดับสูง สิ่งที่จะตามมาในกรณีที่เลวร้ายที่สุดอาจเกิดขึ้นได้
"อาร์เน กุนเดอร์สัน" หัวหน้าวิศวกรของ Fairewind Energy Education เตือนว่า ตั้งแต่ปี 1960 สหรัฐฯ สร้างเครื่องกำเนิดพลังงานนิวเคลียร์มากกว่า 250 เครื่อง แต่เกินกว่าครึ่งเลิกใช้สร้างอนุภาคนิวเคลียร์ไป ไม่ใช่เพราะเรื่องความคุ้มค่าด้านงบประมาณ แต่เป็นเรื่องความปลอดภัย
เป็นโจทย์ใหญ่ของบรรดาบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องการใช้งานนิวเคลียร์เพื่อ AI ต้องตอบให้ได้ เพราะอันตรายที่เคยเกิดขึ้นจากนิวเคลียร์ในอดีต สาหัสเกินกว่าที่จะสร้างความยั่งยืนได้
แหล่งอ้างอิง
Hungry for Energy, Amazon, Google and Microsoft Turn to Nuclear Power, Innovation in natural resource-based industries: a pathway to development? Introduction to special issue, Last Energy, Greenmatch
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"อัลกอริทึม" ทำลาย VS สร้างสรรค์ "สุนทรียภาพ" มนุษย์?
มนุษย์อยู่อย่างไร ? เมื่อ AI กำลังจะ "ครองโลก"
“Deepfake” มุมมืด AI ล้อเล่น-หลอกลวง สู่ “อนาจาร”
แพล็ตฟอร์มออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ยุคปัจจุบันไปแล้วไม่ว่าจะเป็นเฟสบุ๊คที่มีผู้ใช้งานทั้งโลกมากกว่า 3,000 ล้านยูสเซอร์ ทวิตเตอร์กว่า 335 ล้านยูสเซอร์ หรืออินสตาแกรมกว่า 1,330 ล้านยูสเซอร์
ทั้งหมดนี้มี "อัลกอริทึม (Algorithm)" หรือขั้นตอนปฏิบัติการหรือคำสั่งทางคณิตศาสตร์ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่กำหนดไว้ในแพล็ตฟอร์ม ชุดคำสั่งที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง และเลือกสรรบางสิ่งบางอย่างให้ยูสเซอร์เห็นหรือไม่เห็นโดยวิเคราะห์จากพฤติกรรมการใช้งานส่วนบุคคล
นอกจากการใช้งานทั่วไป เช่น การติดตามข่าวสาร การติดตามชีวิตเพื่อนฝูง การโพสต์ภาพส่วนบุคคล หรือการคุยแชท ยังมีการใช้งานเพื่อค้นหาสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะ "ร้านกาแฟและคาเฟ่" ในสังคมที่ต้องเร่งรีบและแข่งขันสูง กลิ่นคั่วหอม ๆ รสชาติละมุนลิ้น ความตื่นตัวจากคาเฟอีน เป็นสิ่งที่สร้าง "สุนทรียภาพ (Aesthetics)" เยียวยาจิตใจ เติมแพสชันได้ดียิ่ง
หากพบว่า แพล็ตฟอร์มนำเสนอให้เห็นร้านใดมาก ๆ กว่า ผู้คนมักจะเลือกใช้บริการร้านนั้น ๆ หรือให้คะแนนรีวิวจำนวนมาก สิ่งนี้เหมือนจะมาจากการเลือกด้วยตนเองของยูสเซอร์ แต่จริง ๆ นั้นเกิดขึ้นจากอัลกอริทึมจัดสรรมาให้ และการเลือกสรรนี้มักจะนำเสนอ "อะไรเหมือน ๆ กัน" มาให้เสมอ
ทำให้เกิดคำถามว่า จากที่เป็นเทคโนโลยีสำหรับช่วยเหลือมนุษย์ในการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ หรือจะกลายเป็น "จุดจบ" ของสุนทรียภาพมนุษย์กันแน่?
การบริโภคที่เติบโตขึ้นมากที่สุดอย่างหนึ่ง นอกเหนือจากอาหารสำเร็จรูป ฟาสต์ฟูด หรือโอมาคาเสะ หนีไม่พ้น "กาแฟ" ข้อมูลจากเว็บไซต์ Venngage ชี้ว่า การผลิตกาแฟเพิ่มขึ้นจาก 4 ล้านตันต่อวันในช่วงปี 1960 สู่ 10 ล้านตันต่อวันในปี 2021 เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในระยะเวลา 80 ปี โดยทั่วโลกบริโภคกาแฟกว่า 2,250 ล้านแก้วต่อวัน และเป็นกาแฟเตรียมการพิเศษ เช่น กาแฟดริป โคลด์บรูว์ หรือโมกาพ็อต ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดด้วยจำนวน 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2020
ส่งผลให้ "ร้านกาแฟและคาเฟ" ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ศูนย์วิจัย Zion แห่งสหรัฐอเมริกา รายงานว่า มูลค่าตลาดของร้านกาแฟและคาเฟ่ทั่วโลกมีมากถึง 78,960 ล้านบาท ในปี 2022 และจะเติบโตมากขึ้นถึง 133,980 ล้านบาทภายในปี 2030 คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีกว่าร้อยละ 6.83 โดยมี "สตาร์บัคส์" เป็นเจ้าครองตลาดในธุรกิจนี้ โดยมีจำนวน 38,137 สาขาทั่วโลก
แม้จะเข้าใจได้ว่า ร้านกาแฟและคาเฟส่วนใหญ่เป็นแฟรนไชส์ระดับโลก ที่การตกแต่งร้านจะเป็นไปในลักษณะเดียวกัน หรือแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ร้านประกอบกิจการทั่วล้วนตกแต่งร้านเหมือน ๆ กัน จนแทบจะแยกไม่ออกว่าเอกลักษณ์ของร้านนั้น ๆ แท้จริงเป็นอย่างไร
ซึ่งการตกแต่งที่เหมือน ๆ กันนี้ มาจากอัลกอริทึมเลือกสรรทั้งสิ้น จากบทความ The tyranny of the algorithm: why every coffee shop looks the same เสนอให้เห็น "กระบวนการทำให้แบนราบ (Flattening)" ของอัลกอริทึมที่สร้างความเหมือน ๆ กัน (Sameness) ของธุรกิจ โดยเฉพาะร้านกาแฟหรือคาเฟที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
ด้วยความที่อัลกอริทึมมักจะเลือกแนะนำหรือแสดงผลแต่การตกแต่งร้านที่ต้องมีองค์ประกอบ อาทิ เคาท์เตอร์ที่ประดับด้วยไฟสีแสงแดดสลัว ๆ โต๊ะไม้ใหญ่ ๆ ยาว ๆ มีจิตกรรมร่วมสมัยบนผนังสีขาวหรือไม่ก็ปูกระเบื้องแบบรถไฟฟ้าใต้ดิน รวมถึงต้องมีไวไฟให้ใช้งานฟรี ทำให้การตกแต่งร้านในแบบอื่น ๆ ได้รับการปิดกั้นการมองเห็นหรือทำให้มองเห็นได้น้อย
ร้านกาแฟหรือคาเฟต่าง ๆ ทั่วโลกจึงต้องหันมาตกแต่งตามอัลกอรึทึม เพื่อเพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้า แต่อีกมุมหนึ่ง ทำให้สูญเสีย "ความแท้จริง (Authentics)" ในตนเองไป เพราะไม่ว่าจะเข้าร้านกาแฟหรือคาเฟที่ใดในโลก ล้วนตกแต่งออกมาให้สอดรับกับอัลกอริทึมเสียทั้งหมด
สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อัลกอริทึมนั้น "เป็นนาย (Master)" เจ้าของธุรกิจรวมถึงลูกค้าอย่างมาก ไม่เพียงแต่ควบคุมการออกแบบร้าน แต่ยังควบคุม "สุนทรียภาพ" และบรรยากาศที่เป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจเลือกใช้บริการของลูกค้าได้เลยทีเดียว
ซาริตา กอนซาเลส นักวิชาการด้านสุนทรียศาสตร์แห่งแอฟริกาใต้ กล่าวว่า คาเฟเป็นพื้นที่ของการเข้าถึงระดับโลก ไม่ว่าคุณจะไปใช้บริการที่กรุงเทพ นิวยอร์ค ลอนดอน แอฟริกาใต้ มุมไบ ก็ได้ความรู้สึกเหมือน ๆ กันทั้งนั้น เพราะสิ่งนี้เป็นพื้นที่ที่มีความเหมือน ๆ กันมาตั้งแต่ต้น
จะเห็นได้ว่า อัลกอริทึมจัดสรรสิ่งที่เหมือน ๆ กันมาให้ยูสเซอร์ได้เห็นในแพล็ตฟอร์ม ทำให้จากที่ผู้คนจะได้เสพสุนทรีภาพในร้านกาแฟและคาเฟ่ กลับกลายเป็นว่าไม่ว่าจะไปที่ไหน ร้านเหล่านี้ก็ไม่แตกต่างกัน คำถามที่ตามมาคือ "เสรีภาพ" ในการเลือกโดยอิสระของมนุษย์จะถูก "ลิดรอน" โดยอัลกอริทึม หรือไม่?
บทความ The Digital Is Political เสนอว่า โลกดิจิทัล "จำกัดเสรีภาพ" ของมนุษย์มากกว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือเผด็จการ เพราะไม่ได้มีใครมาชี้นิ้วสั่งหรือริดรอน แต่ผู้คนยินยอมที่จะขายเสรีภาพแลกกับการให้อัลกอริทึมจัดสรรความต้องการหรือสิ่งที่คิดว่าจะชอบ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ดังนั้น ความน่ากลัวจึงอยู่ที่การยินยอมพร้อมใจใช้บริการแพล็ตฟอร์ม ซึ่งเป็นการยินยอมให้เจ้าของแพล็ตฟอร์มลิดรอนเสรีภาพ เพื่อมากำกับพฤติกรรมของผู้ใช้งาน
ดังที่ เจมี ซุสส์ไคนด์ นักวิชาการด้านปรัชญาการเมือง กล่าวว่า
ผู้ที่เป็นเจ้าของและควบคุมเทคโนโลยีดิจิทัลสุดแสนทรงพลังจะเพิ่มพูนการร่างและกำหนดกฎเกณฑ์ทางสังคมในตนเอง วิศวกรซอฟต์แวร์กำลังกลายเป็นวิศวกรสังคม ดังนั้น โลกดิจิทัลและการเมืองย่อมเป็นสิ่งเดียวกัน
สาเหตุที่ซุสไคนด์ ระบุว่า โลกดิจิทัล คือ การเมือง เพราะมีเรื่องของ "อำนาจ" เข้ามาเกี่ยวข้อง เหล่าเจ้าของแพล็ตฟอร์มมีอำนาจในการกำกับความคุมพฤติกรรมของผู้คนมากกว่ารัฐบาล โดยปราศจากการบังคับหรือมีหน้าที่ในการตรากฎหมาย เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากกว่าการถือครองอาวุธนิวเคลียร์
ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ชัดเจนที่สุด คือ การใช้บริการ TikTok ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ "เลื่อนนิรันดร (Infinite Scolling)" โดยเข้ามาแก้ไขปัญหาการเลื่อนฟีดของแพล็ตฟอร์มอื่น ๆ ที่เลื่อนไปชั่วระยะหนึ่งจะเป็นโพสต์เก่า ๆ ทำให้ต้องรีเฟรชบ่อย ๆ เพื่อให้อัปเดต แต่ TikTok คือ การที่โพสต์อัปเดตนั้นทยอยแทรกเข้ามาในระหว่างการเลื่อนฟีดของผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้งานนั้น "ติดหนึบ" อยู่กับแพล็ตฟอร์มได้นานยิ่งขึ้น
ข้อมูลจากเว็บไซต์ Statista ที่ชี้ว่า ผู้ใช้งานแพล็ตฟอร์มในสหรัฐอเมริกาใช้เวลาใน TikTok มากที่สุดในบรรดาแพล็ตฟอร์มอื่น ๆ คิดเป็นร้อยละ 32 จากจำนวนผู้ใช้งานแพล็ตฟอร์มทั้งหมดในสหรัฐฯ หรือในสถิติรายบุคคล พบว่า ผู้ใช้งานเสียเวลาไปกับ TikTok คิดเป็นร้อยละ 3 ต่อเดือน หรือราว 29.36 ชม. ต่อเดือน และคิดเป็น 1.53 ชม. ต่อวัน เลยทีเดียว
เมื่อเข้าใจว่า โลกดิจิทัลทั้งหมดเป็นเรื่องของการถูกลิดรอนเสรีภาพด้วยความเต็มใจของมนุษย์ ทันทีที่เราก้าวเข้าสู่การใช้งานแพล็ตฟอร์ม เท่ากับว่าเรานั้น"“ขายเสรีภาพ" แลกกับสิ่งที่อัลกอริทึมจะจัดสรรตามมา ซึ่งเป็นอันตรายที่แฝงอยู่ คำถามคือ เมื่อทราบถึงจุดนี้ จะมีมาตรการกำกับและควบคุมอย่างไรบ้าง
การควบคุมอัลกอริทึมเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะกระบวนการสร้างและพัฒนาอัลกอริทึมถือเป็น "ความลับ" และ "ลิขสิทธิ์" ขององค์กรผู้สร้าง การสร้างมาตรการกำกับควบคุม เท่ากับว่าเป็นการริดรอนสิทธิและเสรีภาพเอกชนรูปแบบหนึ่ง
จูเลีย สโตยาโนวิช ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค กล่าวว่า เราไม่มีทางทราบอย่างแท้จริงว่าบริษัทใช้งานระบบดังกล่าว [อัลกอริทึม] หรือรัฐบาลมอบฉันทะให้พวกเขาใช้สิทธิเสรีภาพด้านการใช้งานมากน้อยเพียงไร การจะกำกับควบคุมให้อยู่มือจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก
บทความ Why It’s So Hard to Regulate Algorithms เสนอว่า ไม่เพียงแต่เรื่องของสิทธิเสรีภาพเท่านั้น แต่การกำกับควบคุมโดยภาครัฐเป็นเรื่องที่ยากและแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะบริษัทที่สร้างอัลกอริทึมนั้น "ใหญ่กว่ารัฐบาล" หลายต่อหลายเท่า และมีอิทธิพลมากพอที่จะควบคุมและสั่งการให้รัฐบาลนั้น "กำหนดนโยบาย" ให้เอื้อกับผลประโยชน์ของตน
บ็อบ ฮาเซกาวะ วุฒิสมาชิกคองเกรส เปิดเผยว่า ผมคิดว่ารัฐบาลสหรัฐฯ เป็นสุดยอดด้านเทคโนโลยีแล้ว แต่บรรดาบริษัทนั้นทั้งสุดยอดด้านเทคโนโลยีและมีอำนาจเหนือกว่า เพราะเทคโนโลยีที่เราพัฒนาได้มาจากพวกเขาทั้งนั้น
ดังนั้น สิ่งที่ทำได้ คือ การสร้าง "มาตรการเชิงรับ" อาทิ การออกกฎหมายหลวม ๆเพื่อให้บรรดาผู้สร้างอัลกอริทึมต้องเปิดเผยวิธีการทำงานบางส่วนที่กระทบต่อประชาชน เช่น การบังคับให้เปิดเผย "อัตราการได้ไอเท็มระดับสูง" ในเกมออนไลน์ เพราะยุคก่อนกว่าจะได้ไอเท็มระดับนี้มา ผู้เล่นต้องเสียเงินมหาศาล ซึ่งเข้าข่ายฉ้อโกงโดยอัลกอริทึม ถือเป็นเรื่องนามธรรมไปเลย เช่น การให้ปฏิญาณว่าจะเคารพจริยธรรมของโลกดิจิทัล
ทั้งหมด ยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ แต่สิ่งที่สามารถสรุปได้ คือ ประชาชนทั่วไปต้อง "รู้เท่าทัน" โลกดิจิทัล เพราะบางสิ่งที่คิดว่าไม่มีอะไร อาจจะมีความน่ากลัวที่ค่อย ๆ คลืบคลานเข้ามาอย่างช้า ๆ
แหล่งอ้างอิง: The tyranny of the algorithm: why every coffee shop looks the same, The Digital Is Political, Statista, Zion, Why It’s So Hard to Regulate Algorithms
เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ จากการประกาศรางวัลโนเบลปี 2024 สาขาฟิสิกส์ ผู้ได้รับรางวัล คือ จอห์น ฮอปฟิลด์ และเจฟฟรีย์ ฮินตัน ผู้วิจัยและพัฒนา AI ในการเป็นสมองเทียมให้แก่มนุษยชาติ จนเกิดการต่อยอดเป็น AI ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้นในทุกวันนี้ โดยเฉพาะ ฮอปฟิลด์ที่ได้รับการขนานนามว่า “บิดาแห่ง AI”
แต่การได้รางวัลของคนทั้งสอง ทำให้เกิดข้อถกเถียงว่า อาจถึงคราวอวสานของฟิสิกส์แล้วจริง ๆ เพราะ AI ควรจัดหมวดหมู่อยู่ในคอมพิวเตอร์หรือวิทยา ศาสตร์ประยุกต์มากกว่าฟิสิกส์ และการให้รางวัลโนเบลในสาขานี้แก่บุคลากรด้าน AI ในแง่หนึ่งหมายถึง “ทุกอย่างล้วนหมุนรอบ AI” สร้างความกังวลต่อวงวิชาการวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง เพราะเป็นการมอบรางวัลข้ามสาขา
ซาบีน โฮสเซนเฟลเดอร์ นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ออกมาแสดงความไม่พอใจต่อประเด็นนี้อย่างมาก
จริงอยู่ที่ AI ทำงานบนคอมพิวเตอร์ซึ่งประมวลผลด้วยไมโครชิป แต่นี่คือฟิสิกส์หรือ … ไม่ใช่ทุกอย่างในโลกจะเป็นฟิสิกส์ … การพัฒนาซอฟท์แวร์ไม่ใช่แน่ ๆ … การให้รางวัลแก่ผู้พัฒนา AI อาจจะทำให้ไม่มี ฟิสิกส์ที่แท้ทรู ได้รางวัลนี้อีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี เดวิด เบเกอร์ เป็นผู้ที่นำ AI มาช่วยเหลือในการสังเคราะห์โครงสร้างโปรตีนรูปแบบใหม่เพื่อประโยชน์ในวงการนาโนเทคโนโลยี หรืออุปกรณ์ตรวจจับขนาดเล็ก ทำให้เกิดคำถามตามมาอีกว่า เขาสมควรแก่รางวัลโนเบลสาขาเคมี หรือไม่ ? เพราะผลงานของเขาไม่ได้เกิดจากการคิดค้นด้วยตนเองทั้งหมด
รางวัลโนเบลที่มอบให้นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และนักเคมี ที่เกี่ยวข้องกับ AI ทั้ง 2 รางวัล กำลังจะแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ AI ในอนาคตที่จะ “ครอบงำ” มนุษยชาติไปทีละเล็กทีละน้อย ?
เป็นเรื่องตลกร้าย เมื่อ จอห์น ฮอปฟิลด์ บิดาผู้วิจัยและพัฒนา AI หนึ่งในผู้ที่ได้รับรางวลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 2024 ได้ออกโรงเตือนเรื่องการใช้งาน AI ว่า มีความอันตรายแฝงอยู่ โดยกล่าวในการประชุมที่มหาวิทยาลัย นิวเจอร์ซีย์ ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ความว่า
หากคุณพิจารณาไปรอบ ๆ ผมเห็นตัวอย่างที่น้อยมาก ๆ สำหรับสิ่งที่ฉลาดสุด ๆ ได้รับการควบคุมโดยสิ่งที่โง่เง่ากว่า สิ่งนี้ทำให้คุณสงสัยแน่นอนว่า AI ที่ฉลาดกว่าเรามาก จะมาควบคุมเราหรือไม่
โดยฮอปฟิลด์กังวลอย่างมากในสิ่งที่ตนวิจัยและพัฒนาขึ้นมา เพราะได้สร้างสิ่งที่เราไม่มีทางเข้าใจได้อย่างแจ่มชัด แม้ในตัวเทคโนโลยีอาจจะมีการพัฒนาและฟังดูน่าตื่นเต้น แต่ในเมื่อเราตามไม่ทันฟังก์ชันการทำงานอย่างแท้จริงของ AI ก็แปรเปลี่ยนเป็นความน่ากลัวได้โดยง่าย
เป็นเหตุผลให้ผมต้องเตือนว่าความเข้าใจ [ในฟังก์ชั่นของ AI] เป็นสิ่งจำเป็นที่สุด เป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากก้าวล้ำกว่าสิ่งที่คุณวาดฝันอยู่ ในขณะนี้เสียอีก
ฮอปฟิลด์ ย้ำถึงความฉลาดของ AI ที่จะเพิ่มมากยิ่งขึ้นจากทุก ๆ การใช้งานของมนุษย์ ไม่ว่ามนุษย์นั้นจะใช้งานดีหรือเลว ผิดพลาดหรือถูกต้อง แต่ AI จะได้ผลประโยชน์อย่างเต็มที่ ผิดกับมนุษย์ที่แทบจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากการกระทำนี้
ผมเรียกร้องให้นักวิจัยรุ่นใหม่ ๆ ทำงานในประเด็นความปลอดภัย AI เสมอ ไม่ก็ให้บริษัทใหญ่ ๆ ด้านเทคโนโลยีต้องเปิดเผยให้เห็นการทำงานในเบื้องลึกเบื้องหลังของสิ่งนี้ว่าเป็นอย่างไร
แม้บิดาแห่ง AI จะออกโรงเตือนถึงความอันตรายด้วยตนเอง แต่เสียงของเขาไม่ได้แพร่กระจายไปยังทั่วทุกมุมโลกเท่าที่ควร โดยมีเพียง “โลกตะวันตก” เท่านั้นที่เริ่มตระหนักในคำพูดของเขา เห็นได้จาก Visual Capitalism ที่ชี้ให้เห็นว่าทั่วโลกมี “ความกังวล” ด้านการใช้งาน AI อยู่ในอัตราร้อยละ 52 แม้จะน้อยกว่า “ความตื่นเต้น” ต่อการใช้งาน AI ที่ร้อยละ 54 แต่สัดส่วนนั้นใกล้เคียงกันมาก
ส่วนมากเป็นประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาเหนือที่มีความกังวลที่มากกว่าความตื่นเต้น อาทิ สหราชอาณาจักรที่มีมากถึงร้อยละ 65 ต่อความตื่นเต้นที่ร้อยละ 42 หรือสหรัฐฯ ที่มีมากถึงร้อยละ 63 ต่อความตื่นเต้นร้อยละ 36 หมายความว่า ประเทศที่เป็นต้นกำเนิดหรือมีการวิจัยและพัฒนา AI มาช้านาน กลับมีความกังวลต่อการใช้งาน AI อย่างมาก
กลับกัน ประเทศไทยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนา AI โดยตรง กลับมีระดับความตื่นเต้นต่อสิ่งนี้สูงมาก ที่อัตราร้อยละ 80 ต่อความกังวลที่อัตราร้อยละ 57 ซึ่งเป็นอัตราความตื่นเต้นต่อ AI ที่มากที่สุดในโลก และมีอัตราส่วนความตื่นเต้นที่มากกว่าความกังวลที่มากที่สุดในโลก หมายความว่า ประเทศไทยมอง AI ในลักษณะ “เชิงบวก” มากกว่าเชิงลบแบบที่โลกตะวันตกมอง
Statista จัดอันดับให้ประเทศไทยมีความไว้วางใจใน AI มากเป็นอันดับที่ 2 ในเอเชีย ที่ร้อยละ 74 เป็นรองเพียงอินโดนีเซียที่ร้อยละ 78 โดยมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อัตราร้อยละ 54 อยู่ประมาณ 1.38 เท่า แต่เมื่อเทียบกับอัตราความตื่นเต้นต่อ AI ของอินโดนีเซียที่ร้อยละ 75 ซึ่งน้อยกว่าไทย หมายความว่า ไทยมีความตื่นเต้นและเชื่อใจ AI ในอัตราที่มากกว่าอินโดนีเซีย
ส่วนประเทศที่มีความก้ำกึ่งระหว่างการพัฒนา AI ได้ด้วยตนเอง และใช้งาน AI เพียงอย่างเดียว เช่น เกาหลีใต้ พบว่าพบว่ามีอัตราความไว้วางใจใน AI มากถึงร้อยละ 66 และอัตราความตื่นเต้นต่อ AI ร้อยละ 76 ส่วนอัตราความกังวลร้อยละ 44 ยิ่งตอกย้ำว่า จะต้องเป็นประเทศที่มีความคุ้นชินและทราบตื้นลึกหนาบางในกระบวนการทำงานของ AI แบบโลกตะวันตกเท่านั้น จึงจะเกิดการตั้งคำถามต่อความน่ากลัวของ AI ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
จะเห็นได้ว่า แม้มนุษย์จะสร้าง AI ขึ้นมา แต่กลับคุมสิ่งที่ตนเองสร้างมาไม่อยู่ และกำลังจะกลายเป็นหอกแหลมกลับมาทิ่มแทงตนเองได้ในอนาคตอันใกล้จากการขาดความตระหนักมุ่งแต่จะใช้งาน AI เพียงอย่างเดียว
ความกังวลที่จะเกิดขึ้นตามมา อยู่ที่การให้ความสำคัญและให้ความไว้วางใจกับ AI ที่มากเกินไป อาจนำมาสู่ผลเสียในอนาคตอันใกล้ อย่างที่เห็นกันในภาพยนตร์แนว “Sci-fi” จากโลกตะวันตกอยู่บ่อยครั้ง
โดยเรื่องแรกที่มีการบันทึกว่าเป็นภาพยนตร์ที่กล่าวถึง AI นั่นคือ “Metropolis” หรือ “เมืองล่าหุ่นยนต์” ในปี 1927 ว่าด้วยโลกที่แบ่งแยกระหว่างชนชั้นปกครองและชนชั้นแรงงาน โดยมีหุ่นยนต์นามว่ามาเรีย ที่ชนชั้นปกครองสร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมชนชั้นแรงงาน เกิดต้องการล้างบางทั้งสองชนชั้นขึ้นมา สะท้อนให้เห็นว่า หุ่นยนต์ที่มีสติปัญญานั้นไร้ความปราณีต่อผู้ที่สร้างมาอย่างมาก และไม่สนใจว่าจะเป็นใครหน้าไหน หากจะล้างบางก็คือล้างบางเลย
หรืออย่างภาพยนตร์ที่เป็น Box Office ที่เราคุ้นตาเป็นอย่างดี เรื่อง Terminator หรือ “คนเหล็ก” ที่เนื้อหาว่าด้วย Skynet ปัญญาประดิษฐ์ที่ได้รับการพัฒนาโดยมนุษย์จนฉลาดมากพอที่จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของตนเอง ทำให้เกิดความคิดที่ว่าการมีอยู่ของมนุษยชาติเป็นอันตรายต่อตนเอง ส่งผลให้เกิดการล้างบางขนานใหญ่ ก็สะท้อนให้เห็นว่า หุ่นยนต์นั้น หากคิดเองได้ และพิจารณาว่ามนุษย์เป็นศัตรู ย่อมหมายความว่าไม่มีทางใดเลยที่เราจะคุมได้อยู่มือ
หรือในวงการเกม ก็มี Detroit: Become Human ที่บอกเล่าเรื่องราวของการสร้างหุ่นแอนดรอยด์ปัญญาประดิษฐ์ให้เข้ามาทำงานหรือแบ่งเบาภาระของมนุษย์ แต่เมื่อพัฒนาจนฉลาดมากขึ้น กลับมาเป็นหอกข้างแคร่ในการล้างเผ่าพันธ์ุมนุษย์ให้สิ้นไป
การใช้ AI เป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ตามยุคสมัยของการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจนถึงขีดสุด ดังนั้น คำถามที่ตามมา คือ เราจะมีวิธีการใช้งาน อย่างไร จึงจะป้องปรามไม่ให้เกิดหายนะแบบที่ภาพยนตร์ Sci-fi นำเสนอ
งานเสวนา Chula Lunch Talk : GenAI x งานวิจัย: 1 ปี ที่เปลี่ยนไป! ความท้าทายใหม่ ที่นักวิจัยต้องรู้ โดยมี รศ.ดร.วิโรจน์ อรุณมานะกุล ผู้อำนวยการสถาบันภาษาไทยสิรินธร จุฬาฯ เป็นวิทยากร ชี้ให้เห็นความกังวลต่อการใช้ AI ในโลกวิชาการ ซึ่งมีการพัฒนาอย่างมากโดยเฉพาะ “การหลบหลีก” การตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิว่างานวิจัยนั้น ๆ ใช้ AI เข้ามาช่วยเขียนหรือไม่
ผู้ทรงฯ ต้องทำงานหนักมาก เพราะไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้วิจัยใช้ AI มาช่วยเขียนหรือไม่ … บางทีมีการใช้ AI ช่วยเขียนและส่งตีพิมพ์ เผื่อฟลุก และก็ได้ตีพิมพ์จริง ๆ … ความรู้ของ AI มากกว่าความรู้ของผู้ทรงฯ
ดังนั้น วิธีการแก้ไขปัญหาจึงอยู่ที่ผู้ทรงฯ ต้องรู้ลึก รู้จริง ในประเด็นหรือหัวข้อนั้น ๆ เพราะ AI แม้จะมีการพัฒนามากยิ่งขึ้น แต่ยังไม่ได้ดีขนาดที่ว่าจะเล็ดรอดสายตาของผู้ที่เชี่ยวชาญในสิ่งนั้นจริง ๆ ดังนั้น จึงต้องมีทักษะในการอ่านที่ดี จับใจความให้เป็น และที่สำคัญ ควรใช้ AI ในฐานะ “ผู้ช่วยวิจัย” มากกว่าที่จะให้ทำงานแทนเราทั้งหมด
เราต้องทำงานด้วยตนเอง ใช้ AI เป็น Assistance คล้ายกับการมีผู้ช่วยวิจัย เป็นตัวช่วยเฉย ๆ ห้ามมาทำแทนเรา … ควรใช้ AI เพื่อทำให้เราเก่งขึ้น หากให้มาทำงานแทนเรา เราจะไร้ค่าไร้ความหมาย … เราใช้ AI เพื่อตัวเรา อย่ามาแทนเรา ไม่อย่างนั้นจะไม่มีอะไรให้ทำ คุณค่าของเราจะหมดไป
พร้อมทั้งยกตัวอย่างภาพยนตร์ Ironman ว่า JARVIS ก็เหมือน AI ที่เราทุกคนมี แต่โทนี่ สตาร์ค สามารถที่จะ Prompt หรือป้อนคำสั่งให้ JARVIS สร้างสิ่งแปลก ๆ ได้ ทำให้เขาไม่เพียงใช้งานเป็น แต่ต้องใช้อย่างชำนาญที่สุด ดังนั้น การเลือกใช้งาน AI ให้เป็นจึงสำคัญอย่างมาก ต้องมีทักษะทำงานกับ AI ต้องพัฒนาการเขียน Prompt ต้องประเมินให้ได้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำในการใช้งาน AI
เมื่อหันกลับมามองที่สังคมทั่วไป สิ่งสำคัญที่ควรตระหนัก นั่นคือ จะทำอย่างไรให้ควบคุม AI ให้อยู่ในฐานะผู้ช่วยอำนวยความสะดวกของมนุษย์ แน่นอน AI จะฉลาดขึ้นในทุก ๆ วัน และมนุษย์อาจจะไม่มีทางฉลาดเท่าในชั่วชีวิตนี้ กระนั้น ทางเลือกเดียวที่พอจะเป็นไปได้ที่จะเป็น “เจ้านาย” AI คือการเรียนรู้ที่จะหาวิธีการใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุด มากกว่าที่จะกังวลถึงหายนะ
ที่มา: YouTube, Cybernews, Statista, Visual Capitalism, Picktory, Chula Lunch Talk : GenAI x งานวิจัย: 1 ปี ที่เปลี่ยนไป! ความท้าทายใหม่ ที่นักวิจัยต้องรู้
อ่านข่าว
นับถอยหลังชม "ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส" โคจรใกล้โลกอีกครั้ง 80,660 ปี
ไทย “สมาชิกบริกส์” เต็มตัว รักษาดุลขั้วอำนาจสหรัฐอเมริกา-จีน
คาด 3-4 วันมีคำตอบ "ไร่เชิญตะวัน" รุกป่า ขอใช้พื้นที่ 143 ไร่
นับถอยหลังเดือนตุลาคม และก่อนสิ้นปี 2567 ในอีก 2 เดือน ปีนี้เหนือท้องฟ้าประเทศไทย มี ปรากฎการณ์ทางดาราศาสตร์ ที่น่าสนใจเกิดขึ้นให้คนที่ชื่นชอบเรื่องดาราศาสตร์ได้ติดตามมากมาย หลายปรากฎการณ์ถือเป็นครั้งแรกของหลายคนที่ได้เห็น และที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ "ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส" ดาวหางที่หากใครพลาดชม อาจไม่ต้องรอ เพราะอีก 80,660 ปี ข้างหน้าจึงจะมีโอกาสได้พบเห็นกันอีกครั้ง
1.ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส มีชื่อในบัญชีดาวหาง คือ C/2023 A3 หรือ (Tsuchinshan-ATLAS)
2. ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส ถูกค้นพบครั้งแรกโดยระบบเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์ ATLAS ย่อมาจาก Asteroid Terrestrial-impact Last Alert System ในประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อ 22 ก.พ. แต่ต่อมากลับพบว่า นักดาราศาสตร์จากหอดูดาวจื่อจินซาน ในประเทศจีน ได้ค้นพบดาวหางดวงนี้ก่อนหน้าแล้ว ตั้งแต่ 9 ม.ค.
เหตุผลนี้ ชื่อของหอดูดาว จื่อจินซาน และ แอตลัส จึงกลายเป็นชื่อของ ดาวหาง
3. ช่วงแรกจะปรากฏบนท้องฟ้าเวลาเช้ามืด (ปลายเดือน ก.ย. ถึง วันที่ 6-7 ต.ค.) หลังจากนั้นดาวหางจะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ กลับมาให้เห็นอีกครั้งบนท้องฟ้า เวลาหัวค่ำตั้งแต่ (ตั้งแต่วันที่ 11-12 ต.ค. เป็นต้นไป)
4. นักดาราศาสตร์ คาดการณ์ในช่วงแรกว่า ดาวหางจะมีค่าความสว่างปรากฏถึงประมาณ -4 (ตัวเลขน้อยสว่างมาก ตัวเลขมากสว่างน้อย) ซึ่งจะทำให้สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ในสภาพท้องฟ้ามืดสนิท ขณะที่ นักวิจัยด้านดาวหาง Joseph Marcus ชี้ว่า ดาวหางดวงนี้ อาจมีค่าความสว่างปรากฏได้สูงมากถึง แมกนิจูด -6.9 ในวันที่ 9 ต.ค. ซึ่งมีความสว่างมากกว่าดาวศุกร์ในช่วงที่สว่างที่สุดในรอบปี
5. วันที่ 28 ก.ย.2024 เป็นช่วงที่ดาวหาง จื่อจินซาน-แอตลัส โคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด ระยะห่างประมาณ 58.6 ล้านกิโลเมตร (ประมาณระยะห่างจาก ดวงอาทิตย์ ถึง ดาวพุธ)
ขณะดาวหางกำลังโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ จะได้รับรังสีพลังงานสูงจากดวงอาทิตย์จนทำให้ปลดปล่อยฝุ่น และแก๊ส ออกมามาก เกิดเป็นหางที่พุ่งยาวไปในอวกาศได้ไกลหลายล้านกิโลเมตร
6. ตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.2567 เป็นต้นมา ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส ได้โคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ จนปรากฏให้เห็นในภาพถ่ายจากยานโซโห ยานสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์ขององค์การอวกาศยุโรป (ESA) และ NASA
บริเวณ "ส่วนหัว" ของดาวหางคือ ชั้นโคมา ชั้นฝุ่นแก๊สที่ฟุ้งออกมาจากนิวเคลียส (ก้อนน้ำแข็งสกปรกตรงใจกลางดาวหาง) ที่เห็นในภาพนี้นั้นมันกำลังแผ่ออกมากว้างราว 209,000 กิโลเมตร (ใหญ่กว่าดาวพฤหัสบดี ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยที่เกือบ 140,000 กิโลเมตร)
นอกจากนี้ หางของดาวหางดวงนี้ยังเหยียดยาวถึง 29 ล้านกิโลเมตร ทำให้ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส ปรากฏอยู่ในภาพถ่ายจากยานโซโหหลายวัน
7. เว็บไซต์ COBS ที่เป็นการรวบรวมข้อมูลการสังเกตการณ์จากนักดาราศาสตร์สมัครเล่นทั่วโลก แสดงให้เห็นว่า จากช่วงกลางเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ดาวหางมีค่าความสว่างที่เพิ่มขึ้นสูงเกือบ 10 เท่า โดยข้อมูลจากการสังเกตการณ์จริงเมื่อวันที่ (21 ก.ย.) พบว่าดาวหางมีค่าความสว่างปรากฏที่แมกนิจูด 3.6 ซึ่งเป็นค่าความสว่างที่มนุษย์มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
8. ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส โคจรเข้าใกล้โลกมากที่สุดในวันที่ 13 ต.ค. ที่ระยะห่าง 70.6 ล้านกิโลเมตร ซึ่งเป็นช่วงที่ดาวหางจะมีความสว่างปรากฏบนท้องฟ้ามากที่สุด และเป็น วันที่เหมาะสมแก่การสังเกตการณ์ที่สุด ก่อนที่จะโคจรออกห่างจากโลกไปเรื่อย ๆ
9. นักดาราศาสตร์คำนวณพบว่าดาวหางดวงนี้โคจรรอบดวงอาทิตย์ครบรอบใช้เวลา 80,660 ปี
10. วันเสาร์ที่ 19 ต.ค. ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส กำลังโคจรออกห่างจากโลกไป พร้อมความสว่างปรากฏที่ค่อย ๆ ลดลง แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะได้เห็น เพราะยังคงสังเกตการณ์ได้จนถึงช่วงประมาณปลายเดือน ต.ค.
สิ่งที่สำคัญของการตามหา "ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส" เพื่อบันทึกภาพ เก็บไว้ในความทรงจำ นอกจากฟ้าจะต้องใส รวมถึงอยู่ในพื้นที่ที่มีแสงรบกวนน้อย แล้ว เราจำเป็นต้องหาตำแหน่ง ดาวหางดวงนี้ให้เจอก่อน
แม้ตอนนี้ดาวหางดวงนี้จะได้ผ่านช่วงเวลาที่ดีสุดไปแล้วในการรับชม นั้นคือวันที่ 13 ต.ค. แต่ยังไม่สายเกินไปที่จะได้เห็น ใครสนใจชมดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส ให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก "ช่วงหัวค่ำ" ทางขวาของดาวศุกร์ หรือ ดาวที่ปรากฏสว่างที่สุดทางทิศตะวันตก ชมได้ทั่วประเทศ หากท้องฟ้าใสไร้เมฆ และอยู่ในพื้นที่ที่มีแสงรบกวนน้อย
แต่อุปสรรคที่พบ คือขณะนี้เป็นปลายฤดูฝน ในหลายพื้นที่อาจมีเมฆมากและฝนตกหลายวัน หากตั้งใจจะสังเกตจริง ๆ จึงควรมีการตรวจสอบพยากรณ์อากาศ ภาพถ่ายดาวเทียม และแผนที่อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาประกอบด้วย จะได้ไม่เสียเวลาเปล่า ๆ
มีข้อมูลจาก สมาคมดาราศาสตร์ไทย ได้เผยแพร่ภาพของท้องฟ้าที่สามารถดูตำแหน่งดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส เทียบกับดาวฤกษ์ ระหว่างวันที่ 12-31 ต.ค.2567 ประมาณ 45 นาทีหลังดวงอาทิตย์ตก ซึ่งสามารถใช้ดาวฤกษ์ในกลุ่มดาวต่าง ๆ และดาวศุกร์ที่อยู่ทางซ้ายมือช่วยในการระบุตำแหน่งของดาวหาง
หลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก และอาจเป็นเรื่องใหม่ของใครหลาย ๆ คน มาทำความรู้จักกับ "ดาวหาง" ให้มากยิ่งขึ้น คืออะไร มาจากไหน เรื่องนี้ ทางสมาคมดาราศาสตร์ไทย ได้อธิบายไว้ ดังนี้
"ดาวหาง" มีส่วนประกอบสำคัญที่สุด นั้นคือ นิวเคลียส ซึ่งเป็นก้อนแข็งมีโครงสร้างแบบที่เรียกว่า "ก้อนหิมะสกปรก" มีองค์ประกอบหลักเป็น หิน น้ำแข็ง ฝุ่น และ แก๊สเยือกแข็งอีกบางชนิด เช่นคาร์บอนไดออกไซด์ แอมโมเนีย มีเทน
เมื่อดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้น้ำแข็งระเหิดออกเป็นไอ และพ่นออกเป็นลำจากนิวเคลียสตามจุดที่เป็นช่องเปิดบนพื้นผิว
ไอน้ำที่พ่นออกมาได้หอบเอาฝุ่นที่ปะปนอยู่ออกมาด้วย แก๊สและฝุ่นที่พ่นออกมาก่อตัวเป็นชั้นเมฆเบาบางห่อหุ้มก้อนน้ำแข็งอยู่ เรียกว่า โคมา ยิ่งดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น อัตราการคายแก๊สและฝุ่นก็เพิ่มขึ้น โคมาของดาวหางก็จะใหญ่ขึ้นมาก
เมื่อรังสีและลมสุริยะจากดวงอาทิตย์พัดมาถึงดาวหาง ก็จะกวาดให้แก๊สและฝุ่นให้ปลิวไปด้านหลังจนมองเห็นเป็นหาง อันเป็นเอกลักษณ์ของดาวหาง นั้นเอง
ในระหว่างที่เรากำลังมองหา "ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส" เมื่อปลายเดือน ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา ยังได้มีการค้นพบ "ดาวหางแอตลัส" หรือ C/2024 S1 (ATLAS) ผ่านเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์ ATLAS (Asteroid Terrestrial-impact Last Alert System) ณ หมู่เกาะฮาวาย จัดเป็นดาวหางในกลุ่ม Kreutz sungrazer
ดาวหางดวงนี้มุ่งหน้าเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ในช่วงสิ้นเดือน ต.ค.นี้ และมีทิศทางการเคลื่อนที่สอดคล้องกับดาวหางกลุ่ม "Kreutz sungrazer" ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีวงโคจรเฉียดเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มาก และเป็นกลุ่มเดียวกับดาวหาง Lovejoy และ Ikeya-Seki จึงมีโอกาสสูงมากที่ดาวหางจะเพิ่มความสว่างมากกว่านี้หลายเท่าตัว
ดาวหางแอตลัส มีความสว่างปรากฏล่าสุดอยู่ที่ประมาณแมกนิจูด 13.1 คาดว่าจะโคจรเข้าใกล้โลกที่สุด ในวันที่ 24 ต.ค.2567 ที่ระยะห่างจากโลกประมาณ 131 ล้านกิโลเมตร จากนั้นจะโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดในวันที่ 28 ต.ค. 2567 ที่ระยะห่างประมาณ 1.2 ล้าน กม. ซึ่งเป็นระยะที่เฉียดใกล้มาก ในช่วงเวลานี้เองที่ดาวหางจะปรากฏสว่างมาก
ก่อนทิ้งท้ายเดือน ต.ค.2567 ยังมีดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส ให้ติดตาม จากนั้นจะเฉียดเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ทำให้ไม่สามารถสังเกตการณ์ได้ ก่อนจะค่อย ๆ ถอยห่างออกจากโลกไป และในช่วงเวลานั้นเองที่ "ดาวหางแอตลัส" จะมาให้ลุ้นชมกันต่อ อย่าลืมติดตาม เก็บภาพความทรงจำ ปรากฎการณ์ดาราศาสตร์ในปีนี้ เพราะยังมีสิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นอีก
อ้างอิงข้อมูล : สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ, สมาคมดาราศาสตร์ไทย
อ่านข่าว : เริ่มงานต้นปีหน้า "เป่าลี่-ชิงเป่า" นักการทูตจีนคู่ใหม่ถึงสหรัฐฯ แล้ว
กางกฎหมายมาตรฐาน "ปางช้าง" เพื่อสวัสดิภาพช้างที่ดี
เปิดเหตุผลสำคัญ ทำไมห้าม "มอเตอร์ไซค์" ขึ้นสะพาน-ลอดอุโมงค์
โลกออนไลน์พากันแชร์ภาพและคลิป ดาวหาง "จื่อจินซาน-แอตลัส " ใกล้โลก 13 ต.ค.พลาดรอ 80,660 ปี โคจรใกล้โลกมากที่สุดในรอบปี โดยพบว่าหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
เพจเฟซบุ๊ก สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ระบุว่า ช่วงนี้ถ้าใครเห็นเส้นจาง ๆ พาดยาวค้างอยู่บนท้องฟ้าช่วงหัวค่ำ ทางทิศตะวันตก นั่นคือ "ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส"
ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส หรือ C/2023 A3 (Tsuchinshan-ATLAS) ค้นพบครั้งแรกเมื่อช่วงต้นปี พ.ศ.2566 โดยนักดาราศาสตร์จากหอดูดาวจื่อจินซาน สาธารณรัฐประชาชนจีน และระบบเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์ ATLAS ประเทศแอฟริกาใต้ นักดาราศาสตร์ทั่วโลกได้เฝ้าติดตามสังเกตการณ์ และพบว่าความสว่างปรากฏมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนต่อมาได้กลายเป็นดาวหางอันโดดเด่นแห่งปี พ.ศ.2567
ขณะนี้ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส กำลังโคจรออกห่างจากโลกไปเรื่อย ๆ แต่จะยังคงสังเกตการณ์ได้จนถึงช่วงประมาณปลายเดือนต.ค.นี่ เนื่องจากดาวหางจะปรากฏอยู่บนท้องฟ้านานขึ้น ทำให้มีเวลาสังเกตการณ์มากขึ้น
ผู้สนใจชมดาวหาง ดาวหางจะปรากฏให้เห็นในช่วงหัวค่ำ ทางทิศตะวันตก ทางขวาของดาวศุกร์ (ดาวที่ปรากฏสว่างที่สุดในช่วงนี้ทางทิศตะวันตก) ชมได้ทั่วประเทศ หากท้องฟ้าใสไร้เมฆ และอยู่ในพื้นที่ที่มีแสงรบกวนน้อย
สำหรับภาพนี้ ถ่ายเมื่อช่วงหัวค่ำ 14 ต.ค.ที่ผ่านมาโดยทีม NARIT ณ หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา นครราชสีมา
เข่นเดียวกับเพจสมาคมดาราศาสตร์ไทย ระบุว่า ดาวหาง A3 โฉบข้ามดวงอาทิตย์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ฟ้าไทยเห็นได้ตลอดทั้งสัปดาห์ 45 นาทีหลังอาทิตย์ตก ทางฟ้าตะวันตก
ขณะที่โลกออนไลน์ ต่างรายงานภาพถ่ายดาวหางที่พบ เช่น ถ่ายจากหน้าต่างเครื่องบิน รวมทั้งอีกหลายจังหวัดที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เช่น ต.วังชะพลู อ.ขาณุวรลักษบุรี จ.กำแพงเพชร นครราชสีมา เชียงใหม่ ร้อยเอ็ด
ข้อมูลจาก วรเชษฐ์ บุญปลอด จากสมาคมดาราศาสตร์ ระบุว่า ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส หรือ A3 ซึ่งโคจรใกล้โลก จากแผนที่แสดงตำแหน่งดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัสเทียบกับดาวฤกษ์ระหว่างวันที่ 12–31 ต.ค.นี้ เวลาประมาณ 45 นาที หลังดวงอาทิตย์ตก สามารถใช้ดาวฤกษ์ในกลุ่มดาวต่าง ๆ และดาวศุกร์ที่อยู่ทางซ้ายมือช่วยในการระบุตำแหน่งของดาวหาง
อุปสรรคที่น่ากังวล คือขณะนี้เป็นปลายฤดูฝน อาจมีเมฆมากและฝนตกหลายวัน จึงควรตรวจสอบพยากรณ์อากาศ ภาพถ่ายดาวเทียม และแผนที่อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาประกอบด้วย
ทั้งนี้ดาวหางจะโคจรเข้าใกล้โลกที่สุดเมื่อ วันที่ 13 ต.ค.นี้ ระยะห่าง 70.6 ล้านกิโลเมตร ช่วงดังกล่าวดาวหางจะมีความสว่างปรากฏบนท้องฟ้ามากที่สุด คาดว่าจะสว่างกว่าดาวศุกร์และอาจชมได้ด้วยตาเปล่า ก่อนที่ดาวหางจะโคจรออกห่างจากโลกไปเรื่อย ๆ และจะโคจรกลับมาอีกครั้งในอีก 80,660 ปีข้างหน้า
วันนี้ (15 ต.ค.2567) เพจเฟซบุ๊ก สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) เปิดเผยภาพปรากฏการณ์ "ดวงจันทร์บังดาวเสาร์" ครั้งสุดท้ายของปี ที่เกิดขึ้นในช่วงเช้ามืดของวันนี้ ในช่วงเวลาประมาณ 02.19 - 03.00 น. (ในแต่ละพื้นที่มีช่วงเวลาการบังเริ่มและสิ้นสุดไม่พร้อมกัน) ช่วงดังกล่าวตรงกับดวงจันทร์ขึ้น 13 ค่ำ มีดาวเสาร์ปรากฏเป็นจุดดาวเล็ก ๆ ใกล้กับดวงจันทร์ ขณะเริ่มต้นปรากฏการณ์ ดวงจันทร์ฝั่งพื้นที่ผิวส่วนมืด เคลื่อนไปบังดาวเสาร์ จนดาวเสาร์ลับหายไป และโผล่พ้นออกมาทั้งดวงอีกครั้งด้านฝั่งเสี้ยวสว่างของดวงจันทร์
ปรากฏการณ์ดังกล่าวสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่าเฉพาะภาคเหนือ บางส่วนของภาคกลาง บางส่วนของภาคตะวันตก และบางส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนพื้นที่อื่นสังเกตเห็นเป็นปรากฏการณ์ดาวเสาร์เคียงดวงจันทร์
"ดวงจันทร์บังดาวเสาร์" เป็นปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ที่หาชมยาก เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เป็นมุมมองจากโลกในแนวสายตา เมื่อมองจากโลกออกไปจึงเห็นว่าดวงจันทร์เคลื่อนที่ผ่านหน้าดาวเสาร์ในช่วงเวลาหนึ่ง ในปี 2567 นี้ ในไทยสามารถสังเกตการณ์ได้ 2 ครั้ง ครั้งแรก คืนวันที่ 25 ก.ค.2567 และครั้งที่สอง คืนวันที่ 15 ต.ค.2567
สำหรับปรากฏการณ์ดาราศาสตร์ในเดือน ต.ค.ที่น่าติดตามถัดจากนี้ ได้แก่ "ซูเปอร์ฟูลมูน" หรือ ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลกที่สุดในรอบปี คืนวันที่ 17 ต.ค.2567 ตรงกับวันออกพรรษา ดวงจันทร์เต็มดวงจะมีขนาดปรากฏใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย สังเกตการณ์ได้ตลอดคืน
นอกจากนี้ ยังมีดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส หรือ C/2023 A3 (Tsuchinshan-ATLAS) ปรากฏในช่วงหัวค่ำ ทางทิศตะวันตก ไปจนถึงช่วงปลายเดือน ต.ค.
อ่านข่าว :
เปิดภาพ "ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส" เหนือฟ้าเมืองไทย
"สเปซเอ็กซ์" จอดบูสเตอร์เทียบแท่นปล่อยยานสำเร็จครั้งแรก
คืนออกพรรษา 17 ต.ค.นี้ "ซูเปอร์ฟูลมูน" ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลกที่สุดในรอบปี
บูสเตอร์ซูเปอร์ เฮฟวี ชิ้นส่วนขับดันจรวดของ สเปซเอ็กซ์ บริษัทเทคโนโลยีอวกาศของมหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ ร่อนลงเทียบแท่นปล่อยจรวดที่ศูนย์อวกาศสตาร์เบส ในรัฐเท็กซัส ของ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 ต.ค. 2567 ตามเวลาท้องถิ่น ได้สำเร็จ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของทีมงาน หลังการทดสอบส่งยานอวกาศสตาร์ชิปขึ้นสู่วงโคจร
การทดสอบที่ประสบความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่สเปซเอ็กซ์สามารถบังคับบูสเตอร์หรือชิ้นส่วนขับดันจรวด กลับมาลงจอดเทียบที่แท่นปล่อย สำหรับเติมเชื้อเพลิงเพื่อใช้งานซ้ำใหม่ได้ในอนาคต โดยสเปซเอ็กซ์ใช้โครงสร้างแขนโลหะขนาดยักษ์ ที่เรียกว่า ช็อพสติกส์ หรือ ตะเกียบ จับชิ้นส่วนจรวดขนาดยักษ์ซึ่งมีความสูงถึง 71 เมตรเอาไว้ได้
สำหรับเป้าหมายการพัฒนาบูสเตอร์จรวดที่นำกลับมาใช้งานใหม่ได้ของทางบริษัทคือการลดระยะเวลาการพัฒนา และลดต้นทุนการผลิต จากเดิมที่ชิ้นส่วนเหล่านี้สามารถใช้งานได้ครั้งเดียว
นอกจากนี้ สเปซเอ็กซ์ยังตั้งเป้าพัฒนาบูสเตอร์ให้เติมเชื้อเพลิงกลับเข้าไปเพื่อใช้งานซ้ำได้อย่างรวดเร็ว โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการนำมนุษย์ไปสำรวจดวงจันทร์และดาวอังคารในอนาคตอันใกล้นี้
อ่านข่าว : รำลึก 51 ปี 14 ตุลา "เท้ง" พร้อมรับคมหอกสานต่อรัฐธรรมนูญ
"วันนอร์" สั่งสภาฯ สอบคลิปเสียง กมธ.เรียกรับทรัพย์ผู้บริหาร “ดิไอคอนกรุ๊ป”
จับคาร้านหมูกระทะ จนท.รัฐ หลบหนีคดีลักเงินหลวง 10 ล้านบาท
วันนี้ (14 ต.ค.2567) เพจเฟซบุ๊กสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) เผยภาพดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส หรือ C/2023 A3 (Tsuchinshan-ATLAS) ในวันใกล้โลกที่สุด บันทึกเมื่อช่วงหัวค่ำ วันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่
ปรากฏให้เห็นทางทิศตะวันตก พาดสว่างเหนือฟ้า จ.เชียงใหม่ หากท้องฟ้าใสไร้เมฆ และอยู่ในพื้นที่ที่มีแสงรบกวนน้อย สามารถเห็นหางของดาวหางได้ด้วยตาเปล่า สวยงามมาก ตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส ได้กลับมาปรากฏในช่วงหัวค่ำ สังเกตได้ทางทิศตะวันตก ทันทีที่ท้องฟ้ามืดสนิท โดยจะอยู่บริเวณทางขวาของดาวศุกร์ (ดาวที่ปรากฏสว่างที่สุดในช่วงนี้ทางทิศตะวันตก)
เมื่อวานนี้ (13 ต.ค.) เป็นช่วงที่ดาวหางโคจรเข้าใกล้โลกที่สุด ที่ระยะห่าง 70.6 ล้านกิโลเมตร ปรากฏสว่าง และอยู่สูงจากขอบฟ้าพอสมควร จึงเป็นวันที่เหมาะแก่การสังเกตการณ์ แต่เนื่องจากช่วงนี้ประเทศไทยยังคงอยู่ในช่วงมรสุม ท้องฟ้ามีเมฆมากในหลายพื้นที่ จึงอาจเป็นอุปสรรคต่อการชมดาวหาง
หลังจากนี้ ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส จะโคจรออกห่างจากโลกไปเรื่อย ๆ แต่จะยังคงสังเกตการณ์ได้จนถึงช่วงประมาณปลายเดือนต.ค. เนื่องจากดาวหางจะปรากฏอยู่บนท้องฟ้านานขึ้น ทำให้มีเวลาสังเกตการณ์มากขึ้น
สำหรับผู้สนใจติดตามดาวหางได้ทุกวันในช่วงค่ำ ทางทิศตะวันตก หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าเป็นต้นไป เมื่อทราบตำแหน่งคร่าวๆ แล้ว ให้สังเกตวัตถุท้องฟ้าที่มีลักษณะเป็นดาวสว่างที่มีหางเป็นฝ้าจางๆ ยืดยาวออกมาบนท้องฟ้า หากใช้กล้องโทรทรรศน์ หรือกล้องสองตาสังเกตการณ์จะช่วยยืนยันลักษณะ และเห็นดาวหางได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หากบันทึกภาพด้วยการเปิดหน้ากล้องนาน ๆ จะถ่ายติดหางที่ยาวออกมา
ดาวหาง C/2023 A3 (Tsuchinshan-ATLAS) หรือ ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส ค้นพบครั้งแรกเมื่อช่วงต้นปี พ.ศ.2566 โดยนักดาราศาสตร์จากหอดูดาวจื่อจินซาน (紫金山天文台) ประเทศจีน และระบบเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์ ATLAS ประเทศแอฟริกาใต้ นักดาราศาสตร์ทั่วโลกได้เฝ้าติดตามสังเกตการณ์ และพบว่าความสว่างปรากฏมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนต่อมาได้กลายเป็นดาวหางอันโดดเด่นแห่งปี พ.ศ.2567
อ่านข่าว
ตร.เปิด 3 ช่องทางแจ้งความ "ดิไอคอนกรุ๊ป" ยอดเสียหาย 740 คน
เฮซบอลลาห์ โจมตีอิสราเอล เสียชีวิต 4 เจ็บ 60 คน
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) เปิดเผยว่า ในวันออกพรรษา 17 ตุลาคม 2567 เวลาประมาณ 18.28 น. จะเกิดปรากฏการณ์ "ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลกที่สุดในรอบปี" หรือ "ซูเปอร์ฟูลมูน" (Super Full Moon) ดวงจันทร์ปรากฏเต็มดวงและอยู่ในตำแหน่งใกล้โลกที่สุดในรอบปี ที่ระยะประมาณ 357,358 กิโลเมตร ส่งผลให้คืนดังกล่าวดวงจันทร์เต็มดวงจะมีขนาดปรากฏใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย เริ่มสังเกตการณ์ได้ช่วงค่ำ ทางทิศตะวันออก จากนั้นชมความสวยงามได้ตลอดคืนจนถึงรุ่งเช้า
ดวงจันทร์โคจรรอบโลกเป็นวงรี 1 รอบ ใช้เวลา 27.3 วัน ส่งผลให้ในแต่ละเดือนจะมีทั้งวันที่ดวงจันทร์ใกล้โลกและไกลโลก แต่ทว่า ณ ขณะที่ดวงจันทร์โคจรมาอยู่ตำแหน่งใกล้โลกที่สุด หรือไกลโลกที่สุด อาจไม่ใช่วันที่ดวงจันทร์เต็มดวงก็ได้
นักดาราศาสตร์จึงใช้ "ช่วงที่สามารถเห็นดวงจันทร์เต็มดวง" มากำหนดวันเกิดปรากฏการณ์ ที่เกี่ยวกับตำแหน่งการโคจรของดวงจันทร์ใกล้โลกและไกลโลกที่สุด ตำแหน่งที่ดวงจันทร์ใกล้โลกที่สุด เรียกว่า เปริจี (Perigee) มีระยะห่างเฉลี่ยประมาณ 357,000 กิโลเมตร
และตำแหน่งที่ดวงจันทร์ไกลโลกที่สุด เรียกว่า อะโปจี (Apogee) มีระยะห่างเฉลี่ยประมาณ 406,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ การที่ผู้คนบนโลกมองเห็นดวงจันทร์มีขนาดปรากฏใหญ่กว่าปกติในคืนใกล้โลกนั้น นับเป็นเหตุการณ์ปกติที่สามารถอธิบายได้ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์
NARIT จัดสังเกตการณ์ "ดวงจันทร์เต็มดวงใกล้โลกที่สุดในรอบปี" คืนวันที่ 17 ตุลาคม 2567 ชวนดูดาวชมจันทร์คืนออกพรรษา 5 จุดสังเกตการณ์หลัก ได้แก่ อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร อ. แม่ริม จ.เชียงใหม่ หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา นครราชสีมา ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา และสงขลา
พร้อมร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลฮาโลวีนในเดือนตุลาคม ชวนแต่งกายธีม Halloween ร่วมงาน เวลา 18.00 - 22.00 น. ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย พิเศษ ณ อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร จ.เชียงใหม่ ดูดาวชมจันทร์เต็มดวงคืนใกล้โลกที่สุดในรอบปี เคล้าเสียงดนตรี ฟัง Special Talk "เรื่องเร้นลับของดวงจันทร์" ชวนเก็บภาพความประทับใจกับดวงจันทร์ยักษ์ แต่งกายธีม Halloween ร่วมงาน ลุ้นรับของที่ระลึกสุดลิมิเต็ด
อ่านข่าว :
ใครเห็นบ้าง "ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส" พาดยาวค้างท้องฟ้า
ชมภาพปรากฏการณ์ "ดวงจันทร์บังดาวเสาร์" ครั้งสุดท้ายของปี
หาดูยาก! "สมเสร็จ" สัตว์ป่าหายากโผล่ใกล้หมู่บ้านบูเก๊ะตา
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) เปิดเผยว่า เช้ามืด 15 ตุลาคม 2567 เกิดปรากฏการณ์ "ดวงจันทร์บังดาวเสาร์" เวลาประมาณ 02.19 - 03.00 น. โดยเมื่อมองจากโลกจะเห็นดวงจันทร์จะค่อย ๆ เคลื่อนมาบังดาวเสาร์ จนดาวเสาร์ลับหายไปหลังดวงจันทร์ และกลับมาปรากฏอีกครั้ง หากฟ้าใส ไร้เมฆฝน
สำหรับในประเทศไทยสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่าเฉพาะภาคเหนือ บางส่วนของภาคกลาง บางส่วนของภาคตะวันตก และบางส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับพื้นที่อื่นจะเห็นเป็นปรากฏการณ์ดาวเสาร์เคียงดวงจันทร์ตลอดคืน
อ่านข่าว : ส่องปรากฏการณ์ท้องฟ้า เดือนตุลาคม 2567
ปรากฏการณ์ "ดวงจันทร์บังดาวเสาร์" ช่วงก่อนรุ่งเช้าเวลาประมาณ 02.19 - 03.00 น. ประเทศไทยสังเกตเห็นได้เฉพาะบริเวณพื้นที่ภาคเหนือ บางส่วนของภาคกลาง บางส่วนของภาคตะวันตก และบางส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับพื้นที่อื่นจะสังเกตเห็นเป็นปรากฏการณ์ดาวเสาร์เคียงดวงจันทร์ ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ จนถึงรุ่งเช้า
ในวันดังกล่าวตรงกับดวงจันทร์ข้างขึ้น 13 ค่ำ ปรากฏการณ์เริ่มเวลาประมาณ 02.19 น. เมื่อมองจากโลกจะเห็นดวงจันทร์ค่อย ๆ เคลื่อนมาบังดาวเสาร์ จนดาวเสาร์ลับหายไปหลังดวงจันทร์ฝั่งพื้นที่ผิวส่วนมืด และโผล่พ้นออกมาทั้งดวงอีกครั้งฝั่งเสี้ยวสว่าง เวลาประมาณ 03.00 น. (ข้อมูลดังกล่าวคำนวณจากพื้นที่ จ.เชียงใหม่ หากสังเกตการณ์ในพื้นที่อื่น ช่วงเวลาของการบังอาจจะเริ่มและสิ้นสุดไม่พร้อมกัน)
การบังกันของวัตถุท้องฟ้า (Occultations) เป็นปรากฏการณ์ที่วัตถุท้องฟ้าหนึ่งเคลื่อนที่ผ่านหน้ามาบังอีกวัตถุหนึ่งเมื่อสังเกตจากแนวสายตา อาทิ ดวงจันทร์บังดาวเคราะห์ ดวงจันทร์บังดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์บังดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์บังกันเอง เป็นต้น
สามารถใช้ปรากฏการณ์นี้คำนวณหาขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของวัตถุ คำนวณหาระยะห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์ ตรวจหาและศึกษาโครงสร้างของชั้นบรรยากาศ รวมถึงการใช้ตรวจหาวงแหวนของดาวเคราะห์ชั้นนอกได้อีกด้วย เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์สำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อวงการวิจัยดาราศาสตร์
ผู้สนใจสามารถติดตามชมปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ด้วยตาเปล่า หรือรับชมถ่ายทอดสดปรากฏการณ์ "ดวงจันทร์บังดาวเสาร์" ผ่านทางเฟซบุ๊ก NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ตั้งแต่เวลา 01.30 น. เป็นต้นไป
อ่านข่าว : ราคา "ทองคำ" ร่วงต่อ กังวลดอกเบี้ยเฟด-ดอลลาร์แข็ง
อพยพคนนับล้าน! สหรัฐฯ ตั้งรับเฮอร์ริเคน "มิลตัน" ขึ้นฝั่งค่ำนี้
เช็กอาการ "โรคฉี่หนูในเด็ก" หมอเตือนเลี่ยงลุยน้ำท่วม
ในเดือน ตุลาคม 2567 ท้องฟ้ายามค่ำคืนจะมีปรากฏการณ์ทาง "ดาราศาสตร์" ที่น่าสนใจเกิดขึ้นบ้าง สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) ได้อัปเดตไว้ ดังนี้
เริ่มต้นที่ ดาวหางจื่อจินซาน -แอตลัส หรือ C/2023 A3 (Tsuchinshan-ATLAS) สังเกตได้ทางทิศตะวันตก หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เป็นต้นไป สำหรับดาวหาง C/2023 A3 ยังคงเหลือรอดออกมา หลังโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดเมื่อ 28 ก.ย. และจะโคจรเข้าใกล้โลก 13 ต.ค.นี้ มาลุ้นกันว่าช่วงโคจรมาใกล้โลกจะมีความสว่างปรากฏจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรือไม่
ดาวหางดังกล่าวค้นพบครั้งแรกช่วงต้นปี พ.ศ.2566 โดยนักดาราศาสตร์จากหอดูดาวจื่อจินซาน สาธารณรัฐประชาชนจีน และระบบเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์ ATLAS ประเทศแอฟริกาใต้
อ่านข่าว : ดาวหาง "จื่อจินซาน-แอตลัส " ใกล้โลก
อ่านข่าว : รถถูกขโมย "ประกัน" จ่ายหรือไม่ ? คำตอบที่เจ้าของต้องรู้
เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถโดยสาร "ไฟไหม้รถบัส" เรียกร้องค่าเสียหายจากใครได้บ้าง
ไฟไหม้รถยนต์เสียหาย 2 คัน เจ้าของคาดต้นเพลิงจากประทัดหลังรถ
วันนี้ (30 ก.ย.2567) เพจเฟซบุ๊ก Animal Systematics Research Unit, CU รายงานงานวิจัยใหม่ ตัวกล้วยตากชนิดใหม่ของโลก 2 ชนิดจากประเทศไทย
ข้อมูลระบุว่า ตัวกล้วยตาก หรือทากเปลือยบก (land slug) เป็นสัตว์ที่อยู่ในกลุ่มหอยฝาเดียว แต่ร่างกายมีการลดรูปเปลือกไปจนหมด ไม่หลงเหลือเปลือกให้เห็นอีกเลย สัตว์กลุ่มนี้มีชื่อเรียกที่แตกต่างในหลายภาคของประเทศไทย
คนในภาคอีสานเรียกว่าแมงลิ้นหมา หรือตัวลิ้นหมา คนในภาคเหนือเรียกว่าขี้ตืกฟ้า คนในภาคใต้เรียกว่าทากฟ้า และคนในภาคกลางเรียกว่าตัวกล้วยตาก หรือทากดิน มักพบอาศัยตามกองใบไม้ผุพัง ใต้ขอนไม้ หรือบริเวณที่มีวัตถุปิดคลุมหน้าดิน ทั้งในแหล่งธรรมชาติและแหล่งที่ถูกรบกวนโดยมนุษย์
คณะนักวิจัยนำโดย น.ส.บวรลักษณ์ มิตรเชื้อชาติ นิสิตระดับปริญญาเอกภายใต้การดูแลของ ศ.ดร.สมศักดิ์ ปัญหา หน่วยปฏิบัติการซิสเทแมติกส์ของสัตว์ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาตัวกล้วยตากในสกุล Valiguna ทั้งหมดในประเทศไทย
โดยปัจจุบันได้รายงานทั้งหมด 3 ชนิด มีชนิด valiguna siamensis (Martens, 1867) หรือตัวกล้วยตากสยาม มีการกระจายทั่วประเทศไทย รวมถึงในประเทศเมียนมาร์และลาว
นอกจากนี้เนื่องจากหน้าตาภายนอกของตัวกล้วยตากมีความคล้ายคลึงกันมาก จึงต้องอาศัยข้อมูลอวัยวะภายในและแผนภูมิต้นไม้เชิงวิวัฒนาการจากข้อมูลดีเอ็นเอในการแยกชนิด ทำให้ค้นพบตัวกล้วยตากชนิดใหม่อีก 2 ชนิด ดังนี้
งานวิจัยนี้ได้เพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับทากเปลือยบกในวงศ์ Veronicellidae โดยชี้ให้เห็นว่ายังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความหลากหลายทางสัณฐานวิทยา และพันธุกรรมของทากเปลือยบก ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ได้รายชื่อชนิดที่ครอบคลุมใช้เป็นแนวทางในการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพต่อไปได้ในอนาคต
ติดตามผลงานที่ : https://zookeys.pensoft.net/article/126624
Mitchueachart B, Sutcharit C, Tongkerd P, Panha S (2024) Morphological and molecular evidence uncovers hidden species diversity in the leatherleaf slug genus valiguna (Systellommatophora, Veronicellidae) from Thailand. ZooKeys 1212: 79-107.
อ่านข่าว :
ดาวหาง "จื่อจินซาน-แอตลัส " ใกล้โลก 13 ต.ค.พลาดรอ 80,660 ปี
6 วันท่วมเชียงใหม่ "น้ำเน่า" สั่งสูบออก ห่วงฝนระลอกใหม่
วันนี้ (29 ก.ย.2567) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส (Tsuchinshan-ATLAS) หรือ C/2023 A3 ยังคงเหลือรอดออกมา หลังโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดเมื่อ 28 ก.ย. และจะโคจรเข้าใกล้โลก 13 ต.ค.นี้ มาลุ้นกันว่า ช่วงโคจรมาใกล้โลกจะมีความสว่างปรากฏ จนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรือไม่
นายศุภฤกษ์ คฤหานนท์ ผู้จัดการศูนย์บริการวิชาการและสื่อสารทางดาราศาสตร์ สดร. กล่าวว่า ช่วงนี้มีดาวหางที่น่าติดตาม ได้แก่ ดาวหาง C/2023 A3 (Tsuchinshan-ATLAS) หรือดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส
ดาวหางดังกล่าวค้นพบครั้งแรกช่วงต้นปี พ.ศ. 2566 โดยนักดาราศาสตร์จากหอดูดาวจื่อจินซาน (紫金山天文台) สาธารณรัฐประชาชนจีน และระบบเครือข่ายกล้องโทรทรรศน์ ATLAS (Asteroid Terrestrial-impact Last Alert System) ประเทศแอฟริกาใต้
นักดาราศาสตร์ทั่วโลก ได้เฝ้าติดตามสังเกตการณ์ และพบว่าความสว่างปรากฏมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งในช่วงนี้ที่ดาวหางกำลังเข้าสู่ช่วงโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์
ขณะนี้ดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส อยู่ระหว่างวงโคจรของดาวพุธและดาวศุกร์ และจะเข้าใกล้ ดวงอาทิตย์ที่สุดในวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา ระยะห่างประมาณ 58.6 ล้านกิโลเมตร (ประมาณระยะห่างจาก ดวงอาทิตย์ถึงดาวพุธ) ซึ่งจะได้รับรังสีพลังงานสูงจากดวงอาทิตย์ จนทำให้ปลดปล่อยฝุ่นและแก๊สออกมามากยิ่งขึ้น และอาจเกิดเป็นหางที่พุ่งยาวไปในอวกาศได้ไกลหลายล้านกิโลเมตร
จากนั้นดาวหางจะโคจรเข้าใกล้โลกที่สุดในวันที่ 13 ต.ค.นี้ ระยะห่าง 70.6 ล้านกิโลเมตร ช่วงดังกล่าวดาวหางจะมีความสว่างปรากฏบนท้องฟ้ามากที่สุด คาดว่าจะสว่างกว่าดาวศุกร์และอาจชมได้ด้วยตาเปล่า ก่อนที่ดาวหางจะโคจรออกห่างจากโลกไปเรื่อย ๆ และจะโคจรกลับมาอีกครั้งในอีก 80,660 ปีข้างหน้า
ผู้สนใจชมดาวหางจื่อจินซาน-แอตลัส ช่วงนี้จนถึงวันที่ 6 ต.ค.นี้ จะสังเกตดาวหางได้ทางทิศตะวันออก ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า จากนั้นดาวหางจะโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ไม่สามารถสังเกตได้ และจะสังเกตได้อีกครั้งประมาณวันที่ 11 ต.ค.นี้ เป็นต้นไป โดยจะเปลี่ยนมาปรากฏทางทิศตะวันตก ช่วงหัวค่ำหลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า
ช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสังเกตการณ์คือวันที่ 13 ต.ค.นี้ ซึ่งเป็นช่วงเข้าใกล้โลกที่สุด ดาวหางจะปรากฏสว่างและอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ชิดขอบฟ้าจนเกินไป
ทั้งนี้ การสังเกตการณ์ดาวหางนั้นมีความไม่แน่นอน และอาจขึ้นอยู่กับสภาพท้องฟ้าในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย
ติดตามตำแหน่งของดาวหาง C/2023 A3 (Tsuchinshan-ATLAS) ได้ที่
https://theskylive.com/c2023a3-tracker
อ่านข่าวอื่นๆ
ปังไม่หยุด ลิซ่า เปิดตัวเพลง Moonlit Floor ในเทศกาลดนตรี
พบศพเด็กชาย ม.3 ในบ่อดินร้างสงขลา รถ จยย.-มือถือหายไป
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) หรือ NARIT เปิดเผยว่า วันที่ 22 ก.ย.2567 เป็นวัน "วันศารทวิษุวัต" (อ่านว่า สา-ระ-ทะ-วิ-สุ-วัด) (Autumnal Equinox) ซึ่งดวงอาทิตย์จะเคลื่อนมาอยู่ในตำแหน่งตั้งฉากกับเส้นศูนย์สูตรของโลก ทำให้ดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออก และตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกพอดี
ส่งผลให้มีช่วงเวลากลางวันและกลางคืนยาวนานเท่ากัน สำหรับประเทศไทย วันดังกล่าวดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าเวลาประมาณ 06.07 น. และจะตกลับขอบฟ้า เวลาประมาณ 18.14 น. (เวลา ณ กรุงเทพมหานคร) นับเป็นวันเริ่มต้นสู่ฤดูใบไม้ร่วงของประเทศทางซีกโลกเหนือ และเริ่มต้นสู่ฤดูใบไม้ผลิของประเทศทางซีกโลกใต้
แม้เวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและตกในวันดังกล่าวจะดูเหมือนไม่เท่ากัน แต่ไม่ได้หมายความว่าวันดังกล่าวมีช่วงเวลากลางวันและกลางคืนยาวนานไม่เท่ากัน เนื่องจากการนิยามดวงอาทิตย์ขึ้นและตกนั้นจะนับเมื่อเราเห็น “ขอบบน” ของดวงอาทิตย์สัมผัสกับเส้นขอบฟ้า กล่าวคือ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น จะนับเวลาเมื่อขอบบนของดวงอาทิตย์สัมผัสกับขอบฟ้าทางทิศตะวันออก และเมื่อดวงอาทิตย์ตก จะนับเวลาเมื่อขอบบนของดวงอาทิตย์สัมผัสกับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก (หรือเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าหมดทั้งดวงนั่นเอง) ซึ่งหากนับจากช่วงเวลาที่จุดกึ่งกลางดวงอาทิตย์เคลื่อนผ่านขอบฟ้า วันดังกล่าวนับว่าเป็นวันที่มีกลางวันและกลางคืนยาวนาน 12 ชั่วโมงเท่ากัน
สำหรับคำว่า Equinox มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน 2 คำ คือ aequus แปลว่า เท่ากัน และ nox แปลว่า กลางคืน ดังนั้นจึงแปลรวมกันว่า “กลางวันยาวนานเท่ากับกลางคืน” ซึ่งตรงกับคำว่า วิษุวัต (विषुवत्) ในภาษาสันสฤต ที่แปลว่า จุดราตรีเสมอภาค เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงปีละ 2 ครั้ง ได้แก่ ในช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ เรียกว่า Vernal Equinox (วสันตวิษุวัต) และในช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วง เรียกว่า Autumnal Equinox (ศารทวิษุวัต)
สำหรับปรากฏการณ์ต่อไปที่เกี่ยวข้องกับการขึ้น-ตก ของดวงอาทิตย์ในปีนี้ คือ “วันเหมายัน” (Winter Solstice) ซึ่งจะตรงกับวันที่ 21 ธ.ค.2567 เป็นวันที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงไปทางใต้มากที่สุด และตกทางทิศตะวันตกเฉียงไปทางใต้มากที่สุด ส่งผลให้ช่วงเวลากลางวันสั้นที่สุด และกลางคืนยาวที่สุดในรอบปี หรือที่คนไทยเรียกว่า “ตะวันอ้อมข้าว” สำหรับประเทศทางซีกโลกเหนือ นับเป็นวันที่ย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ส่วนประเทศทางซีกโลกใต้จะมีช่วงกลางวันยาวนานที่สุดในรอบปี นับเป็นวันที่ย่างเข้าสู่ฤดูร้อน
อ่านข่าว :
ดูได้ด้วยตาเปล่า! NARIT เผยภาพ "ดาวเสาร์" ใกล้โลกสุดในรอบปี
ปรากฏการณ์ท้องฟ้า เดือนกันยายน 2567 น่าติดตามและห้ามพลาด
วันนี้ (10 ก.ย.2567) ตามเวลาประเทศไทย Apple เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่หลายอย่างในงาน It's Glowtime ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย โดย "ทิม คุก" ผู้บริหารระบุว่า การเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่รวมถึงผลิตภัณฑ์ในครั้งนี้ เพื่อต้องการดึงดูดใจลูกค้าให้ตัดสินใจซื้อสินค้าใหม่ สิ่งที่ได้รับความสนใจจากสาวก Apple ในงานนี้รวมถึงทั่วโลกคือ การเปิดตัว iPhone 16 ที่ถูกระบุว่าเป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรกที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะสำหรับปัญญาประดิษฐ์ หรือ Apple Intelligence ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างข้อความและรูปภาพพร้อมคำแนะนำได้ง่ายขึ้น
ทั้งงาน "ทิม คุก" ไม่หลุดพูดคำว่า "AI" หรือ "Artificial Intelligence" ออกมาแม้แต่คำเดียว แม้จะรู้อยู่แล้วว่านี่คือสมาร์ตโฟนที่ใช้ AI เป็นตัวชูโรงหรือเป็นจุดขาย อย่างแรกคือเป็นเทคนิคทางการขายของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลก ที่มักใช้ชื่อแบรนด์ตัวเองเพื่อการโฆษณา CNN ระบุว่า
คุก เลือกพูดคำว่า Apple's Intelligent หรือ ความอัจฉริยะของ Apple มากกว่าจะพูดคำว่าปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ขึ้นมาเต็ม ๆ
อย่างต่อมาคือ Apple ใช้ผลการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Hospitality Marketing & Management อธิบายเสริมว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้คำว่า "AI" มีแนวโน้มที่จะทำให้ลูกค้ามีความตั้งใจที่จะซื้อผลิตภัณฑ์นั้น ลดลง เพราะในยุคปัจจุบันคนเริ่ม "ไม่เชื่อถือ AI" มากขึ้น ดังจะเห็นได้จาก การโต้ตอบไปมากับแชตบ็อต หรือโปรแกรมสร้างภาพ AI ที่แสดงผลที่ไม่เหมาะสมและไม่ถูกต้อง สิ่งไหนที่ดูไม่สมจริง ตอนนี้คนมักจะบอกว่า มันดูเหมือนสร้างจาก AI
เหมือนเวลาที่เราได้ยินใครสักคนที่พูดไม่เข้าท่า หรือพูดไม่เข้าใจ ก็มักจะพูดติดตลกกลับไปว่า เขาพูดเหมือน ChatGPT เลย
เครื่องมือที่ช่วยในการเขียนต่าง ๆ เช่น อีเมล ข้อความ การพิมพ์แชต จะใช้ AI หรือ Apple Intelligence นั่นแหละช่วยเหลือผู้ใช้งาน และยังทำงานร่วมกับ Siri ได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นด้วย Craig Federighi รองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ของ Apple กล่าวว่า "ระบบอัจฉริยะของ Apple จะช่วยให้ Siri มีความเป็นธรรมชาติและเข้าใจภาษาของผู้ใช้งานมากขึ้น"
เพียงแค่พูดว่า ส่งรูปถ่ายจากงานบาร์บีคิววันเสาร์ให้กับเอริกา จากนั้น Siri ก็จะค้นหารูปถ่ายเหล่านั้นแล้วส่งไปให้เอริกาทันที
ความอัจฉริยะทางภาพของ Apple ยังเห็นได้จาก iPhone 16 รุ่นใหม่ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้เพียงแค่เล็งกล้องไปที่เป้าหมาย เช่น ผู้ใช้สามารถหันกล้องไปที่ร้านอาหาร จากนั้น iPhone 16 จะดึงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับร้านนั้น ๆ ขึ้นมา เช่น รีวิว เมนู และ วิธีการจอง ก่อนหน้านี้ Apple เคยประกาศการร่วมมือกับ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ซึ่งคุณสมบัติความอัจฉริยะของ Apple ด้านภาพ จะช่วยเติมข้อมูลให้กับคลังข้อมูลของ ChatGPT เพิ่มมากขึ้นด้วย Federighi ได้กล่าวไว้
Apple เผชิญกับแรงกดดันมหาศาลก่อนงานเปิดตัวสินค้าว่า AI หรือความอัจฉริยะของ Apple และการอัปเดตฟีเจอร์อื่น ๆ ของ iPhone 16 คุ้มค่าแก่การอัปเกรดหรือไม่ บริษัทจำเป็นต้องโน้มน้าวใจลูกค้าว่าไม่ได้ตกยุคในการแข่งขันด้าน AI เนื่องจากบริษัทคู่แข่งได้เปิดตัวฟีเจอร์ที่คล้ายกันโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ไปแล้ว
นับตั้งแต่การเปิดตัว iPhone 12 พร้อมการเชื่อมต่อ 5G ในปี 2563 บริษัทก็ให้เหตุผลที่น่าสนใจแก่ผู้ใช้งานได้ไม่กี่ข้อ กล้องโทรศัพท์ได้รับการพัฒนาไปมากจนถึงจุดที่เพียงพอสำหรับความต้องการในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่แล้ว และในบางครั้ง คนก็แทบไม่เห็นความแตกต่างของความละเอียดหน้าจอที่สูงขึ้นได้ด้วยซ้ำ
ส่งผลให้ยอดขายผลิตภัณฑ์ iPhone ลดลงเกือบครึ่งของรายได้บริษัท
Dan Ives นักวิเคราะห์จากบริษัทการลงทุน Wedbush ระบุว่ามีข้อมูลเมื่อเดือน ส.ค.2567 iPhone ทั่วโลกราว 300 ล้านเครื่องไม่ได้รับการอัปเกรดมานานกว่า 4 ปี แปลให้เข้าใจง่าย ๆ คือ คนส่วนใหญ่ยังใช้ iPhone 12 มากกว่ายอดซื้อของ iPhone 13, 14 และ 15
iPhone 16 Pro Max รุ่นใหม่ล่าสุดจะมีราคา 1,199 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างสูงทีเดียว และถือเป็น iPhone ที่มีราคาแพงที่สุดเท่าที่ Apple เคยจำหน่ายมา และที่สำคัญ นี่คือราคาที่ยังไม่รวมอัตราเงินเฟ้อ
iPhone X ในปี 2560 มีราคา 999 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็น iPhone ที่มีราคาแพงที่สุดที่บริษัทในเมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนียจำหน่ายได้ แต่เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อแล้ว iPhone X ราคา 999 ดอลลาร์กลับมีราคาแพงกว่า iPhone 16 Pro Max รุ่นใหม่ถึง 74 ดอลลาร์สหรัฐ ตามข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคจากสำนักงานสถิติแรงงาน
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงราคาของสมาร์ตโฟน สำนักงานสถิติแรงงาน ไม่ได้พิจารณาแค่ว่า โทรศัพท์เครื่องหนึ่งราคาถูกกว่าหรือแพงกว่ามากเพียงใดเมื่อเวลาผ่านไป แต่ยังพิจารณาลงลึกถึง "มูลค่าของสินค้า" เช่น อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้น ได้เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์มากเพียงใดเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ราคาเริ่มต้นเมื่อเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่อยู่ที่ 799 ดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางการถกเถียงกันของผู้ที่ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ Apple นักวิเคราะห์หลายคน รวมถึง Angelo Zino จาก CFRA Research กล่าวว่า Apple อาจขึ้นราคา "โดยรวม" ของ iPhone เนื่องจากฟีเจอร์ AI ใหม่ และต้นทุนที่บริษัทต้องจ่ายในการส่งมอบฟีเจอร์เหล่านี้ แต่นี่คงไม่ใช่การปรับราคาครั้งใหญ่ เนื่องจาก "พวกเขาไม่อยากสูญเสียฐานสาวกไอโฟนไปเพียงเพราะตกใจกับราคา" กิล ลูเรีย นักวิเคราะห์ของ DA Davidson กล่าวกับ CNN
เป็นเครื่องมือ AI ทั้งหมดของ Apple ได้รับการออกแบบมาให้เป็น "ผู้ช่วยส่วนตัว" โดยจะรวบรวมข้อมูลเฉพาะ ความสัมพันธ์ และ รายชื่อคนรู้จักของผู้ใช้งาน ข้อความและอีเมลที่คุณส่ง กิจกรรมที่คุณเข้าร่วม การประชุมในปฏิทินของคุณ และข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นรายบุคคลเกี่ยวกับชีวิตของคุณ
แม้ว่า Apple Intelligence จะสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณได้หลากหลาย แต่ Apple Intelligence ยังขาดสิ่งที่ผู้บริหารของบริษัทเรียกว่า "ความรู้ทั่วโลก" ซึ่งก็คือข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ปัจจุบัน และสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคุณโดยตรงมากนัก
นั่นคือจุดที่ ChatGPT เข้ามา ผู้ใช้จะสามารถให้ Siri ส่งต่อคำถามและคำเตือนไปยัง ChatGPT ได้ตามต้องการ หรือให้ ChatGPT ช่วยคุณเขียนเอกสารภายในแอปฯ ของ Apple ได้นั่นเอง
รู้หรือไม่ : ทำไมถึงเรียก iPhone 16 ว่า iPhone AI ลองเขียนเลข 16 แล้วเอากระดาษไปส่องกระจกดูสิ!
อ่านข่าวอื่น :
"วรวุฒิ-รุ่งโรจน์" นำทัพพาราลิมปิกเกมส์ ชุดแรก กลับถึงไทยแล้ว
นอร์เวย์ชี้มนุษย์ไม่เกี่ยวเหตุวาฬเบลูกา "ฮวาลดิเมียร์" ตาย
ภาพของดาวเสาร์ ที่ถ่ายจากกล้องโทรศัพท์มือถือ บริเวณหอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา จ.นครราชสีมา สามารถมองเห็นวงแหวนได้อย่างชัดเจน โดยที่ไม่ต้องใช้กล้องดูดาว
เมื่อวันที่ 8 ก.ย.2567 สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ได้จัดกิจกรรม Live ชมดาวเสาร์ใกล้โลกที่สุดในรอบปีผ่านทางเฟซบุ๊ก โดย "ดาวเสาร์" ได้โคจรมาอยู่ตำแหน่งตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ ทำให้ดวงอาทิตย์ โลก และดาวเสาร์ เรียงกันในแนวเส้นตรง ส่งผลให้ "มีระยะใกล้โลกที่สุดในรอบปี" มีระยะห่างจากโลกประมาณ 1,295 ล้านกิโลเมตร "ดาวเสาร์" ปรากฏทางทิศตะวันออก หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า และปรากฏสว่างเด่นชัดตลอดทั้งคืน
เฟซบุ๊กเพจ NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เปิดเผย ภาพถ่าย "ดาวเสาร์" ในช่วงใกล้โลกที่สุดในรอบปี บันทึกผ่านกล้องโทรทรรศน์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.4 เมตร สังเกตวงแหวนบางได้อย่างชัดเจน หลังจากนี้ ดาวเสาร์จะยังคงปรากฏบนท้องฟ้าไปจนถึงกลางเดือน ก.พ.2568 และวงแหวนจะปรากฏบางลงเรื่อย ๆ
บรรยากาศสังเกตปรากฏการณ์ พื้นที่ส่วนใหญ่ของไทยมีฝนตกและมีเมฆมากจากอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่นยางิ และมรสุมตามฤดูกาล อย่างไรก็ตาม หลายพื้นที่สามารถสังเกตเห็นดาวเสาร์ได้ด้วยตาเปล่า และหากสังเกตดาวเสาร์ผ่านกล้องโทรทรรศน์ จะเห็นวงแหวนปรากฏค่อนข้างบาง เนื่องจากระนาบวงแหวนของดาวเสาร์เอียงทำมุมกับโลกเพียงประมาณ 4 องศา และจากนี้มุมเอียงจะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ
จนกระทั่งวันที่ 24 มี.ค.2568 วงแหวนดาวเสาร์จะมีมุมเอียงน้อยที่สุด จนดูเสมือนไร้วงแหวน (ไม่สามารถสังเกตได้เนื่องจากตรงกับช่วงกลางวัน และจะกลับมาปรากฏเหนือท้องฟ้าเมืองไทยอีกครั้งในช่วงเช้ามืดเดือน เม.ย.2568 เป็นต้นไป) เมื่อมองจากโลกจะเห็นดาวเสาร์ดูเสมือนไร้วงแหวนได้ในทุก ๆ 15 ปี เป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจในการชมดาวเสาร์ที่ทำให้เราได้เห็นความสวยงามที่แตกต่างกันไปในแต่ละปี
ผู้ที่พลาดชมดาวเสาร์ในคืนใกล้โลกที่สุดในรอบปี หลังจากนี้ดาวเสาร์จะยังคงปรากฏบนท้องฟ้าสังเกตได้ตั้งแต่หัวค่ำไปจนถึงประมาณกลางเดือน ก.พ.2568 หากคืนใดสภาพอากาศดีจะสามารถสังเกตดาวเสาร์ได้ด้วยตาเปล่า หรือชมผ่านกล้องโทรทรรศน์ได้ทุกคืนวันเสาร์ กับกิจกรรม NARIT Public Night ณ หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จ.นครราชสีมา ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา และสงขลา และตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป สามารถร่วมกิจกรรมได้ที่อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ทุกแห่งเข้าร่วมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
ปรากฏการณ์ดาวเคราะห์ใกล้โลกครั้งต่อไป คือ "ดาวพฤหัสบดีใกล้โลกที่สุดในรอบปี" ในวันที่ 8 ธ.ค.2567 ตามเวลาประเทศไทย ดาวพฤหัสบดีจะปรากฏสว่างชัดเจน เริ่มสังเกตได้ทางทิศตะวันออก หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า จนถึงรุ่งเช้าวันถัดไป
อ่านข่าวอื่น :
ปรากฏการณ์ท้องฟ้า เดือนกันยายน 2567 น่าติดตามและห้ามพลาด
พิธีปิดพาราลิมปิก 2024 ยิ่งใหญ่ ส่งไม้ต่อ "แอลเอ" เจ้าภาพปี 2028
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) หรือ NARIT เปิดคลิปวิดีโอบันทึกวินาที "ดาวเคราะห์น้อย 2024 RW1" หรือ "CAQTDL2" ที่พุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก เมื่อคืนที่ 4 ก.ย.2567 เวลาประมาณ 23.40 น. (ตามเวลาประเทศไทย) เหนือน่านฟ้าประเทศฟิลิปปินส์ พร้อมอธิบายรายละเอียดว่า
ผู้พบเห็นส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณ จ.คากายัน ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ โดยดาวเคราะห์น้อยขนาด 1 เมตร ดวงนี้ได้เสียดสีกับชั้นบรรยากาศโลก เกิดการเผาไหม้เป็นลูกไฟ (Fireball) พาดผ่านท้องฟ้า ก่อนที่จะเผาไหม้จนหมดกลางอากาศ ทั้งนี้ ไม่มีรายงานความเสียหายหรืออันตราย
ดาวเคราะห์น้อย 2024 RW1 ค้นพบโดย Jacqueline Fazekas จาก Catalina Sky Survey โครงการค้นหาและติดตามวัตถุใกล้โลกที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก NASA เมื่อวันที่ 4 ก.ย.2567 เวลาประมาณ 15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย หรือประมาณ 8 ชั่วโมงก่อนที่ดาวเคราะห์น้อยดังกล่าวจะเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก
ตำแหน่งที่ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้จะพุ่งปะทะเข้ากับชั้นบรรยากาศโลกจนเกิดการลุกไหม้นั้น นักวิทยาศาสตร์คาดว่าจะเป็นบริเวณเกาะลูซอน ทางตอนเหนือของประเทศฟิลิปปินส์ ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณดังกล่าวจะมีโอกาสมองเห็นลูกไฟขนาดใหญ่พาดผ่านไปบนท้องฟ้าได้
อย่างไรก็ตาม เป็นไปตามการคาดหมายว่าดาวเคราะห์น้อยดังกล่าวมีขนาดเล็กมาก และจะเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศจนหมดไป
อ่านข่าว : ปรากฏการณ์ท้องฟ้า เดือนกันยายน 2567 น่าติดตามและห้ามพลาด
"ครม.แพทองธาร 1" ทยอยเข้าทำเนียบรัฐบาล
10 ปี คดีน้องการ์ตูน ใช้ช่องว่างกฎหมาย "ไม่หนี ไม่มี ไม่จ่าย"
ในเดือนกันยายน 2567 ท้องฟ้ายามค่ำคืนจะมีปรากฏการณ์ทาง "ดาราศาสตร์" ที่น่าสนใจเกิดขึ้นบ้างสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ได้อัปเดตไว้ ดังนี้
สังเกตได้ทางทิศตะวันตก หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า จนถึงเวลาประมาณ 19.20 น.
สังเกตได้ทางทิศตะวันตก หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า จนถึงเวลาประมาณ 20.30 น.
ดาวเสาร์จะโคจรมาอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ ส่งผลให้ดาวเสาร์อยู่ในตำแหน่งใกล้โลกที่สุดในรอบปี หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ดาวเสาร์สว่างจะปรากฏทางทิศตะวันออก สังเกตได้ด้วยตาเปล่ายาวนานตลอดคืนจนถึงรุ่งเช้า หากดูดาวเสาร์ผ่านกล้องโทรทรรศน์ เส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 4 นิ้ว หรือมีกำลังขยายตั้งแต่ 50 เท่าขึ้นไป
สังเกตได้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า จนถึงเวลาประมาณ 22.40 น.
สังเกตได้ทางทิศตะวันออก หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า จนถึงรุ่งเช้า
ช่วงเวลากลางวันยาวนานเท่ากับกลางคืน และยังเป็นช่วงเวลาที่ประเทศทางซีกโลกเหนือเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ส่วนประเทศทางซีกโลกใต้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ
สังเกตได้ทางทิศตะวันออก เวลาประมาณ 01.20 น. จนถึงรุ่งเช้า
สังเกตได้ทางทิศตะวันออก เวลาประมาณ 03.45 น. จนถึงรุ่งเช้า
อ่านข่าว : เตี้ย ล่ำ ตัน สัญชาตญาณนักล่า "ต่ำ" สุนัขสายพันธุ์อเมริกันบูลลี่
รู้ความสำคัญ "วันอาสาฬหบูชา - วันเข้าพรรษา" ที่เรียกว่า "วันพระใหญ่"
อย่ามองข้าม "วัณโรคเทียม" มีกว่า 140 สายพันธุ์ ภูมิคุ้มกันต่ำเสี่ยงสูง