ล็อกเป้า 6 กลุ่มป่า สกัด "ช้าง" เข้าหากินในชุมชน

Fri, 14 Mar 2025 11:05:29

ดร.ศุภกิจ วินิตพรสวรรค์ ผอ.ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสัตว์ป่า กล่าวว่า ในปีนี้การแก้ปัญหาช้างเป็นภารกิจเร่งด่วน เพื่อหยุดความสูญเสียจากช้าง ทั้งการเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ชุดเฝ้าระวังและผลักดันช้างป่า การเพิ่มอุปกรณ์ที่จำเป็น โดยมีการของบกลางฉุกเฉิน 749 ล้านบาท

นอกจากนี้ เริ่มพบว่าช้างป่ากระจายไปยังพื้นที่ใหม่ จึงต้องมีการพัฒนาเครือข่ายภาคประชาชนและอาสาสมัคร ในการป้องกันเฝ้าระวังช้างป่า รวมทั้งเน้นการจัดการระยะกลาง เช่น การพัฒนาระบบแจ้งเตือน การเพิ่มเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ส่วนระยะยาวจะจัดทำแนวป้องกันช้างป่าในพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วน

ขณะที่การใช้งบประมาณปกติ จะเป็นในส่วนของแผนระยะยาวทั้งการฟื้นฟูถิ่นอาศัย แหล่งอาหาร แหล่งน้ำ และการติดตามสถานภาพช้างป่า

กลุ่มป่าที่เป็นสถานการณ์ใหม่ ต้องเฝ้าระวังไม่ให้ปัญหารุนแรงขึ้น โดยจะประชาสัมพันธ์ให้ความรู้กับประชาชนรอบพื้นที่อนุรักษ์ เกี่ยวกับการปฏิบัติตนเมื่อพบช้างป่า และวิธีการป้องกันเฝ้าระวัง คือ กลุ่มป่าภูพาน จำนวนช้าง 48-57 ตัว, กลุ่มป่าพนมดงรัก-ผาแต้ม 30-35 ตัว, กลุ่มป่าศรีลานนา-ขุนตาน 41 ตัว, กลุ่มป่าคลองแสง-เขาสก 350 ตัว, กลุ่มป่าเขาบรรทัด 80-100 ตัว และกลุ่มป่าฮาลา-บาลา 120-145 ตัว

เรามีประสบการณ์จาก 5 กลุ่มป่าแรกแล้วว่าเมื่อใดก็ตามที่ปล่อยให้ช้างป่าเข้าไปในพื้นที่เกษตร หรือชุมชน นานมากขึ้น มันจะฝังรากของปัญหา

ดร.ศุภกิจ กล่าวว่า ในพื้นที่ที่ช้างเพิ่งเริ่มออกมาจากป่าอนุรักษ์ จำเป็นต้องเร่งขับเคลื่อนในเรื่องของการผลักดัน และป้องกันความสูญเสีย โดยเฉพาะชีวิตและทรัพย์สิน ขณะนี้กรมอุทยานฯ มีชุดเฝ้าระวัง 86 ชุด แต่ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ 5 กลุ่มป่าที่มีสถานการณ์รุนแรง ได้แก่ กลุ่มป่าตะวันตก ประชากรช้าง 970-1,064 ตัว, กลุ่มป่าภูเขียว-น้ำหนาว 633-638 ตัว, กลุ่มป่าตะวันออก 592 ตัว, กลุ่มป่าแก่งกระจาน 487-600 ตัว และกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ 450-560 ตัว

อย่างไรก็ตาม ในส่วนการของบกลางฉุกเฉิน เพื่อเพิ่มชุดผลักดันฯ อีก 98 ชุด คาดว่าจะมีส่วนหนึ่งกระจายมาประจำในพื้นที่เร่งด่วนปานกลาง

สำหรับสถานการณ์ช้างป่าในไทย ประชากรอยู่ที่ 4,013-4,422 ตัว กระจายตัวใน 16 กลุ่มป่า ส่วนประชากรช้างป่าที่เพิ่มขึ้นปีละ 8% เป็นตัวเลขที่ใช้มานานแล้วตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งปัจจุบันช้างอาจมีจำนวนเพิ่มขึ้น หรือลดจำนวนลงก็ได้ โดยทางกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช อาจมีการทบทวนตัวเลขและสำรวจประชากรช้างป่าในพื้นที่วิกฤต เช่น ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ในช่วงเดือน เม.ย.นี้ คาดว่าจะมีตัวเลขใหม่ ทั้งจำนวนประชากรและอัตราการเพิ่มขึ้น

ป่าตะวันออก ปี 2558 เคยนับช้างได้ 364 ตัว ปี 2560 ได้ 434 ตัว ปี 2564 ได้ 460 กว่าตัว และปี 2566 ได้ 562-592 ตัว ซึ่งเป็นตัวเลขจริงขั้นต่ำของประชากรช้างที่สำรวจและสามารถจำแนกตัวได้

อ่านข่าว : 5 เดือน "ช้างป่า" ทำร้ายตาย 18 คน ชง 749 ล้านแก้ปัญหาเร่งด่วน 

เปิดชีวิต "ลูกบ่าวไข่นุ้ย" จากเกเรสู่ช้างป่าขี้อ้อนในคอกบริบาลแห่งแรก 

ครั้งแรก! “สเต็มเซลล์รกช้าง” ฟื้นดวงตาพังมรกตหายหวิดตาบอด 


ครั้งแรก! “สเต็มเซลล์รกช้าง” ฟื้นดวงตาพังมรกตหายหวิดตาบอด

Fri, 14 Mar 2025 09:00:00

วันนี้ (14 มี.ค.2568) ผศ.สพ.ญ.ดร.สุภาเพ็ญ ศรีพิบูลย์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ กล่าวว่า  ถือเป็นข่าวดีว่าขณะนี้ไทยสามารถผลิตสเต็มเซลล์ช้างได้สำเร็จเป็นครั้งแรก จากความร่วมมือทีมวิจัยจาก ม.เกษตรศาสตร์ ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง และทีมวิจัยจาก Precision Vet และวังช้างอยุธยา แลเพนียดพระนครศรีอยุธยา ที่บริจาคเซลล์ตั้งต้นจากรกช้าง คู่แฝดแรกของโลกให้ทางห้องแลปได้ไปเลี้ยงให้เป็นสเต็มเซลล์ช้าง หลังจากก่อนหน้านี้ไทยต้องนำเข้าสเต็มเซลล์จากม้า เพื่อนำเข้ามารักษาในสุนัข และแมว และใช้รักษาในม้า แต่ในช้างยังไม่มีรายงานมาก่อน

ผศ.สพ.ญ.ดร.สุภาเพ็ญ กล่าวว่า หลังจากเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ช้างแล้ว ทีมวิจัยได้นำไปทดลองเคสแรกกับช้าง 2 เชือก คือพังมรกต อายุ 14 ปี ซึ่งเป็นช้างที่ค่อนข้างดื้อและการรักษาด้วยวิธีเดิมต้องหยอดตาทุก 2 ชั่วโมง ทำให้สัตวแพทย์ต้องใช้เวลาในการดูแลอย่างใกล้ชิด

สเต็มเซลล์จากรกช้าง ที่นำมารักษาอาการทางดวงตาในช้างครั้งแรกชื่อพังมรกตกพบว่าได้ผลดี (ภาพ ม.เกษตรศาสตร์)

สเต็มเซลล์จากรกช้าง ที่นำมารักษาอาการทางดวงตาในช้างครั้งแรกชื่อพังมรกตกพบว่าได้ผลดี (ภาพ ม.เกษตรศาสตร์)

ส่วนอีกเชือกคือ พังกำไลเพชรอายุ 30 ปี ที่ป่วยมีอาการภาวะกระจกตาอักเสบเป็นหนอง โดยผลทดลองฉีดสเต็มเซลล์ช้างเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา พบว่าอาการช้างทั้งสองเชือกดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ผลทดลองเป็นที่น่าพอใจ หลังจากฉีดสเต็มเซลล์ 30,0000 เซลล์ผ่านทางเยื่อบุตาขาวให้กับพังมรกต ที่มีลักษณะทางดวงตากระจกตาเป็นแผลหนอง พบว่าอาการอักเสบ และเป็นหนองในดวงตาลดลง และควบคุมการติดเชื้อได้ดีร่นเวลาจาก 2 เหลือเพียง 1 เดือน 

อ่านข่าว 5 เดือน "ช้างป่า" ทำร้ายตาย 18 คน ชง 749 ล้านแก้ปัญหาเร่งด่วน

ผศ.สพ.ญ.ดร.สุภาเพ็ญ ศรีพิบูลย์ คณะสัตวแพทย ศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์

ผศ.สพ.ญ.ดร.สุภาเพ็ญ ศรีพิบูลย์ คณะสัตวแพทย ศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์

นอกจากนี้ในต่างประเทศยังมีรายงานการใช้สเต็มเซลล์รักษาโรคเฮอร์ปี่ไวรัสในช้าง (EEHV) โดยเป็นการรักษาทางเลือกในลดการอักเสบในช้างจาก EEHV แต่ยังไม่มีรายงานการรักษาด้วยสเต็มเซลล์เพียงอย่างเดียว รวมทั้งการนำไปข้อเข่าเสื่อมในช้างมาแล้ว

ผศ.สพ.ญ.ดร.สุภาเพ็ญ กล่าวอีกว่า ส่วนอีกเคสที่เพิ่งใช้สเต็มเซลล์รักษาช้างอีก 1 เชือกชื่อป้าวนดี ของศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย มีอาการภาวะมดลูกอักเสบเรื้อรัง แต่เป็นการฉีดสเต็มเซลล์เข้าในเส้นเลือด พบว่าช้างมีความกระชุ่มกระชวย และค่าการอักเสบลดลง

ดังนั้นหลังจากไทยผลิตสเต็มเซลล์ได้สำเร็จแล้ว หากในอนาคตมีช้างป่วยจากภาวะโรค EEHV ก็จะนำไปใช้ได้ทันทีซึ่งปริมาณโดสที่จะใช้จำนวนสเต็มเซลล์ 1 แสนเซลล์

ช่วงแรกหลังทีมวิจัยประสบความสำเร็จสเต็มเซลล์จากช้างได้แล้ว เดิมจะนำไปใช้กับพังกันยา ช้างป่าพลัดหลงติดเชื้อ EEHV แต่ยังไม่ทันนำไปถึงลูกช้างกันยาตายไปก่อน จึงบริจาคสเต็มเซลล์ที่เตรียมมาแล้วจึงบริจาคให้กับป้าวันดี ทำให้มีสุขภาพดีขึ้น 
ภาพเปรียบเทียบหลังจากใช้สเต็มเซลล์รักษาแผลกระจกตาติดเชื้อในช้าง  คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นครั้งแรก

ภาพเปรียบเทียบหลังจากใช้สเต็มเซลล์รักษาแผลกระจกตาติดเชื้อในช้าง คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นครั้งแรก

ความยากเก็บสเต็มเซลล์ช้าง-เล็งรักษา EEHV  

สำหรับความยากในการเตรียมสเต็มเซลล์ช้าง หรือเซลล์ต้นกำเนิดช้าง จากการสอบถามทีมสัตวแพทย์ที่เก็บรกช้างที่แม่เพิ่งคลอดลูก มีความยากลำบาก เพราะจะต้องนำรกที่สะอาด และไม่ทันตกถึงพื้นเพื่อลดปนเปื้อนของเชื้อโรคไปเลี้ยงในแลป เพราะไม่เช่นนั้น จะทำให้เชื้ออื่นที่ปนเปื้อนมาบดบังสเต็มเซลล์จากช้าง เทียบได้กับความสะอาดในห้องผ่าตัดที่ต้องสะอาด และต้องจัดเก็บส่งให้ทัน 12-24 ชม.ใส่ในน้ำยาคงสภาพของตัวเซลล์

อ่านข่าว ครั้งแรก! เปิดรับ 3 ควาญช้างประจำกรมอุทยานภารกิจย้ายช้างเกเร

ซึ่งรกช้างที่มีขนาดใหญ่ แต่จะเก็บสเต็มเซลล์ตรงรกที่ใกล้สายสะดือเท่านั้น โดยเพียง 1 สัปดาห์ก็จะรู้ว่าเซลล์จะโตขึ้นหรือไม่ จากนั้นจึงเพาะเพิ่มจำนวนสเต็มเซลล์ เชือกแรกเป็นช้างแฝดตัวผู้จากเพนียดช้างพระนครศรีอยุธยา และของพังรับอรุณ จากศูนย์อนุรักษ์ช้างที่นำมาผลิตสต็อกสเต็มเซลล์ในตอนนี้

ในอนาคตถ้ามีสต็อกสเต็มเซลล์ช้างในปริมาณมากๆ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าจากต่างประเทศ และนำไปรักษาช้างเจ็บป่วย ซึ่งตามรายงานในต่างประเทศ โรคที่รักษาได้ผลเช่น ภาวะความผิดปกติของดวงตาช้าง ที่อาจใช้ปริมาณไม่มาก โรค EEHV จะใช้ปริมาณ 100 ล้านเซลล์ ภาวะติดเชื้อเรื้อรัง และในม้ารักษาข้ออักเสบ

ในช่วง 2 เดือนข้างหน้ามีแผนรักษาพลายขุนเดช ที่รักษาตัวในศูนย์คชบาล ซึ่งมีภาวะข้อขาอักเสบ โดยเตรียมแผนไปฉีดรักษาอาการ ซึ่งต้องมีการประเมินสุขภาพของช้าง เพื่อคำนวณปริมาณสเต็มเซลล์ที่จะใช้

อ่านข่าว เปิดชีวิต "ลูกบ่าวไข่นุ้ย" จากเกเรสู่ช้างป่าขี้อ้อนในคอกบริบาลแห่งแรก

ทีมสัตวแพทย์ผู้วิจัย ได้นำสเต็มเซลล์ช้างจากรกรักษามดลูกอักเสบเรื้อรังในช้าง โดยให้สเต็มเซลล์ผ่านทางเส้นเลือด (ภาพ ม.เกษตรศาสตร)

ทีมสัตวแพทย์ผู้วิจัย ได้นำสเต็มเซลล์ช้างจากรกรักษามดลูกอักเสบเรื้อรังในช้าง โดยให้สเต็มเซลล์ผ่านทางเส้นเลือด (ภาพ ม.เกษตรศาสตร)

สำหรับสเต็มเซลล์ช้างเป็นทางเลือกที่นิยมในประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีช้างในสวนสัตว์เท่านั้นดังนั้นเมื่อมีลูกช้างเกิดใหม่ก็จะมีการเก็บรกช้างไปผลิตเป็นสเต็มเซลล์ เป็นสต็อกในรักษาช้างเชือกนั้น ๆ 

สำหรับโรคเฮอร์ปี่ไวรัสในช้าง เป็นโรคติดเชื้อที่ร้ายแรงพบในลูกช้างอายุน้อยกว่า 10-15 ปีเชื้อโรคจะทำลายหลอดเลือดส่งผลให้เลือดออกทั่วร่างกายและทำให้ช้างตายอย่างรวดเร็วภายใน1-3 วันซึ่งความยากลำบากในการรักษา ซึ่งยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค ซึ่งในไทยพบรายงานในช้างป่ามีน้อยส่วนใหญ่จะพบในช้างที่โดนฝูงทิ้งสถิติปี2549-2565 พบช้างป่วย 130 ตัวตาย 79 ตัว ดังนั้นสเต็มเซลล์จึงเป็นความหวังที่จะช่วยชีวิตลูกช้าง


อัปเดต 3 เซเลบช้างเมืองลำปาง "ศักดิ์สุรินทร์-มีนา-ขุนเดช"

Thu, 13 Mar 2025 15:02:00

วันนี้ (13 มี.ค.2568) น.สพ.ทวีโภค อังควานิช หัวหน้าฝ่ายอนุรักษ์ช้าง ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยฯ จ.ลำปาง เปิดเผยความคืบหน้าการติดตามรักษาอาการของ "พลายขุนเดช" ที่ขณะนี้อยู่ในการดูแลของสถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ ว่า พลายขุนเดชสามารถปรับตัวได้และออกเดินในลานที่เตรียมไว้ให้ โดยสัตวแพทย์ยังคงล้างแผลบริเวณขาหน้าซ้ายและยิงเลเซอร์ทุกวัน ทำให้แผลแคบลง ช้างเริ่มวางเท้าที่เจ็บได้ดีขึ้นและคาดว่าจะหายในไม่ช้า

นอกจากนี้ได้วางแผนการรักษาพลายขุนเดช ด้วยการใช้ "สเต็มเซลล์" ซึ่งขณะนี้มีวิธีการรักษา 2 แบบคือ รักษาเฉพาะจุด เช่น ใช้รักษาอาการตาเจ็บ หรือใช้กับแผลเพื่อสมานแผล

พลายขุนเดช (ภาพจากศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง)

พลายขุนเดช (ภาพจากศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง)

ส่วนอีกวิธีคือใช้เพื่อลดการอักเสบของร่างกายทั้งหมด ซึ่งต้องเช็กอีกครั้งว่าขุนเดชมีการอักเสบภายในร่างกายหรือไม่ ส่วนจะได้ผลมากน้อยแค่ไหนนั้น ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ให้ทีเดียวแล้วหาย ซึ่งที่ผ่านมามีการใช้สเต็มเซลล์ควบคู่กับการรักษา 11 เคส พบว่าทุกเคสให้ผลตอบสนองต่อการรักษาดีขึ้น

อ่านข่าว : ครั้งแรก! เปิดรับ 3 ควาญช้างประจำกรมอุทยานภารกิจย้ายช้างเกเร

ขณะที่การฝึกช้าง พลายขุนเดชเข้าสู่กระบวนการฝึกขั้นที่ 2 เป็นเรื่องของพิธีกรรมหรือกระบวนการทางจิตวิทยา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้กับผู้ที่ทำงานกับช้าง รวมถึงรักษาวัฒนธรรมดั่งเดิม

แผลขาหน้าของพลายขุนเดช (ภาพจากศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง)

แผลขาหน้าของพลายขุนเดช (ภาพจากศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง)

สำหรับกระบวนการฝึกช้างมี 4 ขั้น ประกอบด้วย 1.สร้างความคุ้นเคยระหว่างคนกับช้าง ให้รู้จักพื้นที่ รู้จักบ้านใหม่ คนใหม่ อาหารชนิดใหม่ เพื่อให้สามารถปรับตัวได้, 2.กระบวนการทางจิตวิทยาหรือเรื่องของพิธีกรรม เพื่อรักษาวัฒนธรรมดั่งเดิมและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่ทำงานกับช้าง

3.การฝึกเพื่อสุขภาพช้างโดยเฉพาะหรือฝึกเพื่อตัวช้างเอง เช่น ยอมรับการเจาะเลือด การล้วงก้นและยกขาตรวจ เป็นต้น และ 4.การฝึกเพื่ออยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น ฝึกขึ้นรถ เดินตามถนน สร้างความคุ้ยเคยกับเสียงแตรรถหรือเสียงสัตว์อื่นๆ สำหรับหลักสูตรที่ฝึกทั่วไปนี้ หากเป็นช้างเด็กจะใช้เวลาประมาณ 60 วัน ส่วนช้างโตจะใช้เวลาประมาณ 4-6 เดือน หรือ 1 ปี ขึ้นอยู่กับช้างแต่ละตัว

"พลายศักดิ์สุรินทร์" งอขาได้ดี-รอพิจารณาเรื่องงา

น.สพ.ทวีโภค ยังได้อัปเดตอาการของ "พลายศักดิ์สุรินทร์" ว่า ขณะนี้ช้างได้เข้าหลักเพราะตกมัน ระยะที่ 1 แต่ก่อนหน้านี้ทีมสัตวแพทย์ได้ใช้เช็นเซอร์ ตรวจประเมินโดยเปรียบเทียบช่วงการเคลื่อนไหวส่วนคอและหัวของช้างปกติที่มีงา เปรียบเทียบกับพลายศักดิ์สุรินทร์ที่มีงายาวกว่าช้างปกติทั่วไป เพื่อประกอบสมมติฐานเกี่ยวกับผลของความยาวงา ซึ่งอาจส่งผลให้ช้างต้องผงกเชิดส่วนหัวและคอขึ้น เพื่อให้ส่วนด้านหน้าของร่างกายพ้นพื้นขณะก้าวเดิน

พลายศักดิ์สุรินทร์ (ภาพจากศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง)

พลายศักดิ์สุรินทร์ (ภาพจากศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง)

หากเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลต่อส่วนประกอบต่างๆ ที่บริเวณกระดูกต้นคอ ประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญ ได้แก่ หมอนรองกระดูกคอ กระดูกคอด้านหน้า ข้อต่อกระดูกคอ และเอ็นประกบข้อบริเวณกระดูกคอ ส่งผลให้กระดูกคอไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ผลในระยะยาวคือการเกิดกระดูกคอเสื่อม ซึ่งอาจกดทับเส้นประสาทจนทำให้เกิดการอ่อนแรงจนถึงอัมพาตได้ ขณะนี้ได้รับการแจ้งผลจากคณะเทคนิคการแพทย์แล้ว แต่ยังต้องตรวจเพิ่มเติม

อ่านข่าว : เปิดชีวิต "ลูกบ่าวไข่นุ้ย" จากเกเรสู่ช้างป่าขี้อ้อนในคอกบริบาลแห่งแรก

ส่วนขาของพลายศักดิ์สุรินทร์ที่มีอาการเหยียดตึง ขณะนี้งอได้แล้ว แต่คาดว่าการงอแต่ละครั้งอาจะมีอาการเจ็บแปล๊บๆ แต่โดยรวมถือว่าตอบสนองต่อการรักษา

พลายศักดิ์สุรินทร์ ถ้าเจอหมอจะงอขาโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าอยู่ตัวคนเดียวจะเดินเหยียดขาเหมือนเดิม
พลายศักดิ์สุรินทร์ (ภาพจากศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง)

พลายศักดิ์สุรินทร์ (ภาพจากศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง)

สำหรับแผนการรักษาหลังจากนี้ นายสัตวแพทย์ทวีโภค ระบุว่า หากพลายศักดิ์สุรินทร์หายตกมัน จะมีการพิจารณาเรื่อง "งา" ว่ามีผลกระทบต่อโครงสร้างสันหลังหรือไม่ รวมถึงผลวิเคราะห์ของคณะเทคนิคการแพทย์ จากนั้นจะทำเสนอไปที่กระทรวงฯ เพื่อขออนุมัติ

ปรับกิจกรรมลูกช้าง "มีนา" เล่นน้ำแทนเดิน

ส่วน "มีนา" ขณะนี้กลายเป็นอีกหนึ่งลูกช้างเซเลปตัวตึงในศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย โดย น.สพ.ทวีโภค เปิดเผยว่า ลูกช้างป่ามีนาเตรียมเข้าโรงเรียนแล้ว โดยมีการปรับเปลี่ยนกิจกรรมจากการเดิน เป็นให้ลงเล่นน้ำในช่วงบ่าย เพราะอากาศร้อน

ลูกช้างมีนา (ภาพจากศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง)

ลูกช้างมีนา (ภาพจากศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง)

นอกจากนี้ได้ทำเรื่องสอบถามไปยังกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ถึงทิศทางหลังจากนี้ว่าจะให้เป็นอย่างไร เนื่องจากมีนาเป็นลูกช้างป่าพลัดหลงที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ ส่งมาให้ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง อนุบาลดูแล

แม้มีนาจะอยู่ในวัยเตรียมเข้าโรงเรียน แต่การจะเข้าหรือไม่เข้า ต้องถามเจ้าของคือกรมอุทยานฯ หากไม่อยากให้เข้าโรงเรียนก็ต้องเตรียมปล่อยป่า

หากเปรียบเทียบกับลูกช้างป่า "ทับเสลา" ที่รู้อยู่แล้วว่าต้องปล่อยป่า ก็จะมีกระบวนการสำหรับปล่อยป่าที่ฝึกฝนตั้งแต่เด็กๆ ส่วนลูกช้างมีนา หากจะปล่อยคืนป่าก็สามารถฝึกได้ แต่วิธีการจะแตกต่างจากทับเสลา

ลูกช้างมีนา (ภาพจากศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง)

ลูกช้างมีนา (ภาพจากศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง)

อ่านข่าว

5 เดือน "ช้างป่า" ทำร้ายตาย 18 คน ชง 749 ล้านแก้ปัญหาเร่งด่วน

เตรียมหารือแนวทางลดความยาวงา "ช้างพลายศักดิ์สุรินทร์"

เดินขึ้นรถเอง! "พลายขุนเดช" ออกเดินทางเข้าบ้านใหม่ลำปาง


"กรมป่าไม้" แจ้งความ ตร.เอาผิดนายทุนรุกป่า ปลูกทุเรียนกว่า 900 ไร่

Thu, 13 Mar 2025 12:50:00

เมื่อเวลา 11.00 น.วันนี้ ( 13 มี.ค.68) นายพิศิษฐ์ พิศิษฐ์บดี เจ้าหน้าที่ทีม "พยัคฆ์ไพร" กรมป่าไม้ พร้อมทีมงานเจ้าหน้าที่ เดินทางเข้าแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เขตบางเขน เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มนายทุนที่เข้าครอบครองและบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติตกพรม ต.บ่อเวฬุ อ.ขลุง จ.จันทบุรี พบพื้นที่บุกรุกจำนวนกว่า 919 ไร่ เพื่อปลูกทุเรียนและพืชเศรษฐกิจอื่นๆ รวมกว่า 12,000 ต้น พร้อมอาคารสิ่งปลูกสร้าง ทั้งถนนคอนกรีต และอาคารต่าง ๆ รวมถึงการสร้างบ่อน้ำขนาดใหญ่ ที่รองรับการทำสวนอย่างเป็นระบบ

 

นายพิศิษฐ์ เปิดเผยว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็น ที่ดินรัฐที่ถูกบุกรุกและถือครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นคดีใหญ่และซับซ้อน จำเป็นต้องให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเป็นผู้รับผิดชอบ เบื้องต้นยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อผู้กระทำผิดได้ แต่ยืนยันว่า มีมากกว่า 1 ราย และเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย เป็นกลุ่มทุนรายใหญ่

ขณะที่วันนี้ ทาง พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผู้บังคับการ บก.ปทส. ได้มาติดตามการดำเนินคดี และได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ ใน จ.จันทบุรีด้วยตัวเองมาแล้วก่อนหน้านี้ ระบุว่า การขยายผลสอบสวนและสืบสวนต้องตรวจสอบ ย้อนดูเส้นทางตั้งแต่ การปรับพื้นที่ ปลูกทุเรียน และเอกสารสิทธิที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาผู้กระทำผิด รวมถึงแหล่งซื้อขายยาฆ่าแมลง และกระบวนการทำสวนจากร้านขายสินค้าเกษตร

นอกจากนี้ ทางตำรวจ บก.ปทส. และกรมป่าไม้ เตรียมขยายผลการสอบสวนไปยัง จ.ตราด และ จ.เลย ซึ่งอาจมีขบวนการบุกรุกลักษณะเดียวกัน โดยจะมีการตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่ป่า และดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด

พล.ต.ต.วัชรินทร์ ย้ำด้วยว่า ประชาชนต้องตรวจสอบสิทธิ์ในที่ดินก่อนเข้าทำประโยชน์ โดยเฉพาะที่ดินรัฐ หากไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้อง การเข้าไปถือครองหรือซื้อขายจะถือเป็นความผิดทางกฎหมาย เพราะเป็นที่ดินหลวง ไม่ว่าจะเป็นป่าสงวน หรือ ภ.บ.ท.5

อ่านข่าว : "เฉลิมชัย" สั่งสอบที่ดินคทช. 7.2 ล้านไร่ปมทุนจีนปลูกทุเรียน 

แกะรอย "นอมินีทุนจีน" ปลูกทุเรียนพันธุ์ "มูซังคิง"กลางป่าไทย  

กมธ.ทรัพยากรฯ เร่งขยายผล "จีนเทา" บุกรุกที่ดินปลูกทุเรียน 

 

 

 

 


เปิดชีวิต "ลูกบ่าวไข่นุ้ย" จากเกเรสู่ช้างป่าขี้อ้อนในคอกบริบาลแห่งแรก

Thu, 13 Mar 2025 11:44:00

"มา ๆ มานี่ลูกมา" ช้างป่า "พลายไข่นุ้ย" หรือพลายเจ้างา เดินตามเสียงเรียกของ "ภาสกร นินทรกิจ" นักวิชาการสัตวบาล สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าพังงา 

นานกว่า 10 เดือนแล้ว ที่ "ไข่นุ้ย" อายุ 13 ปี ความสูง 2 เมตร น้ำหนัก 2.5 ตัน ใช้ชีวิตในพื้นที่ 4 ไร่ ของศูนย์ปรับพฤติกรรมช้างป่า สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าพังงา ด้วยรูปแบบคอกขนาดใหญ่กึ่งป่าธรรมชาติ มีพืชอาหาร ป่าไผ่ และต้นไม้ใหญ่ ล้อมรอบด้วยเพนียดปูนกั้นช้าง

นับแต่วันแรกที่เขาเป็นหนึ่งในผู้เข้าไปดู "พลายไข่นุ้ย" เพราะชาวบ้านร้องเรียนว่าช้างป่าตัวนี้สร้างความเดือดร้อน กระทบการทำมาหากินของชาวสวนยางพาราและสวนทุเรียนในพื้นที่

ในวันนั้น "ไข่นุ้ย" มีแต่ความหวาดระแวง กลัวคน และพุ่งชาร์จบ้างตามสัญชาตญาณช้างป่า แต่ไม่เคยทำร้ายคน ด้วยเคยผ่านประสบการณ์ถูกผลักดันหลากหลายวิธี ทั้งการไล่ จุดประทัด

จากสายตาหวาดระแวงที่มองเห็นตาขาวเยอะกว่าตาดำ ทุกวันนี้สายตาคู่นั้นเปลี่ยนไปจากเดิม แทบมองไม่เห็นตาขาวของ "ไข่นุ้ย" เพราะการดูแลเอาใจใส่ ทลายความกลัวและหวาดระแวงจนหมดสิ้น

"ภาสกร" พูดได้เต็มปากว่า "ไข่นุ้ย" กลายเป็นช้างป่า "นิสัยดี-ขี้อ้อน" ไม่มีอาการดุร้ายใส่ชาวบ้านและแฟนคลับจากหลายจังหวัด ที่นำผลไม้มาให้ ซึ่งทุก ๆ ครั้งต้องอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่

กิจวัตรประจำวัน ภาสกรแทบไม่ห่างจากไข่นุ้ย เริ่มตั้งแต่ช่วงเวลา 07.00 น. จะเดินมาดูมูลช้างเพื่อเช็กสุขภาพว่าปกติดีหรือไม่ จากนั้นจะให้หญ้าและผลไม้ทุก ๆ 1-2 ชั่วโมง และมื้อสุดท้ายของวันในช่วงเวลา 21.00 น. ก่อนที่ไข่นุ้ยจะเดินหาที่นอน รวมแล้วกินอาหารวันละ 230-240 กิโลกรัม ซึ่งไข่นุ้ยชื่นชอบผลไม้สุก รสหวาน ทั้งกล้วย มะม่วง แตงโม ฟักทอง หรือหญ้า

ช้างป่ามีความรู้สึก "ภาสกร" สื่อสารกับไข่นุ้ยด้วยคำสุภาพ ไม่ใช่คำหยาบคาย เรียกว่า "ลูก" แทบทุกครั้ง แต่ถ้าดุใส่ไข่นุ้ยก็จะงอน เรียกแล้วเมิน หันตูดใส่ ต้องง้อด้วยผลไม้จนสุดท้ายไข่นุ้ยก็ยอมเดินตาม ถือเป็นช้างที่ฉลาด ฟังคำสั่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ เรียกก็เดินมาหา หรือสั่งให้ถอยหลังก็ทำได้

เวลาผมหายไป 3-4 ชั่วโมง เมื่อกลับมาแล้วไข่นุ้ยได้ยินเสียงรถ เขาก็จะร้องเสียงดัง แสดงความดีใจ เรียกให้ไปหาทันที

"ลูกบ่าว" กลายคำเรียกแทนความผูกพันที่ "ภาสกร" มีให้ไข่นุ้ย เปรียบเหมือนคนในครอบครัวที่เขาต้องคอยสื่อสารกันก่อนเมื่อต้องห่างกันในช่วงเวลาหนึ่ง เช่นเมื่อครั้งลากลับบ้านก็ต้องบอกกันก่อน ซึ่งไข่นุ้ยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ไม่ดื้อกับพี่ที่ฝากดูแล

ย้อนไทม์ไลน์จับย้าย "พลายไข่นุ้ย"

เป็นเวลาปีกว่าแล้วที่ "ภาสกร" ได้ดูแลพลายไข่นุ้ย ย้อนไปตั้งแต่ช่วงเวลาที่ช้างป่าหนุ่มจากอุทยานฯ ใต้ร่มเย็น จ.สุราษฎร์ธานี มีพฤติกรรมเกเรและออกจากป่าไปทำลายพืชผลอาสินทางการเกษตร สร้างความเดือนร้อนให้ประชาชนในพื้นที่ อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช จนเรื่องถึงศาลปกครอง ชาวบ้านและท้องถิ่นเรียกร้องให้กรมอุทยานฯ เข้าไปจับช้างออกจากพื้นที่

พบกันครั้งแรก ไข่นุ้ยออกจากป่าอนุรักษ์มาหากินห่างจากบ้านชาวบ้านเพียง 6 เมตร ชาวบ้านจึงโทรศัพท์แจ้งให้ควาญอ๊อดมาช่วยจับ โดยหารือกับสํานักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 (นครศรีธรรมราช) และผู้ใหญ่บ้าน ได้ข้อตกลงว่าจะเคลื่อนย้ายช้างไปอยู่หลังบ้านควาญอ๊อดเป็นการชั่วคราว ใช้ช้างบ้าน 2 เชือก ทำหน้าที่จูง 1 ตัว อีกตัวเดินขนาบข้างไข่นุ้ยให้รู้สึกไม่อันตราย ค่อย ๆ เดินเป็นระยะทาง 13 กิโลเมตร จนถึงจุดหมาย

เจ้าหน้าที่ใช้ช้างบ้านล่อก่อนยิงยาซึมพลายไข่นุ้ยเพื่อเคลื่อนย้าย

เจ้าหน้าที่ใช้ช้างบ้านล่อก่อนยิงยาซึมพลายไข่นุ้ยเพื่อเคลื่อนย้าย

ต่อมาได้ตกลงกันว่าจะเคลื่อนย้ายไข่นุ้ย ไปปล่อยที่อุทยานแห่งชาติเขาหลวง อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช ไม่ถึง 2 สัปดาห์ ช้างป่าตัวนี้ก็เดินออกจากป่าอีกครั้ง เข้ามาในถนนของหมู่บ้าน รวมทั้งสวนทุเรียน และใช้งวงดันจนต้นล้ม

สู่การร้องขอให้จับเป็นครั้งที่ 2 เคลื่อนย้ายไปปล่อยในป่าอนุรักษ์ลึก 10 กิโลเมตร แต่ไม่นานไข่นุ้ยก็เดินออกมายังชุมชนเช่นเคย พร้อมเข้าทำลายพืชผลทางการเกษตร และกระท่อมของชาวบ้าน สร้างความเดือดร้อนเพิ่มขึ้น นำมาสู่การรวมตัวฟ้องศาลปกครอง กระทั่งมีคำสั่งให้กรมอุทยานฯ เคลื่อนย้ายพลายไข่นุ้ยภายใน 20 วัน

อ่านข่าว ปฏิบัติการย้าย "พลายไข่นุ้ย" ตัวตึงกรุงชิง-รอบ้านใหม่อีก 1 เดือน 

การเคลื่อนย้ายครั้งที่ 3 กรมอุทยานฯ ระดมผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่า สัตวแพทย์ เข้ามาดูแลการเคลื่อนย้าย ใช้ 2 ช้างบ้าน "พลายเข็มทอง" และ "ปีเตอร์" ล่อไข่นุ้ยออกจากป่า ก่อนยิงยาสลบในช่วงเวลาเที่ยงคืน ขณะที่ไข่นุ้ยข้ามถนนมาหาช้างบ้านทั้ง 2 ตัว และเคลื่อนย้ายสู่แหล่งต้นน้ำคลองกลาย อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 11 ส.ค.2566 ซึ่งไข่นุ้ยได้รับการดูแลอยู่ที่นี่นาน 9 เดือน ระหว่างรอการสร้างคอกอนุบาลช้างป่าแล้วเสร็จ กระทั่งวันที่ 2 พ.ค.2567 ไข่นุ้ยถูกเคลื่อนย้ายมาที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าพังงา จ.พังงา

อ่านข่าว ตัวแรก ย้าย "พลายไข่นุ้ย" ตัวตึงกรุงชิง เข้าศูนย์บริบาลช้างป่า 

ควาญช้างและพี่เลี้ยงพาพลายไข้นุ้ยมาส่งที่คอกบริบาล

ควาญช้างและพี่เลี้ยงพาพลายไข้นุ้ยมาส่งที่คอกบริบาล

ขณะที่ ดร.ศุภกิจ วินิตพรสวรรค์ ผอ.ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสัตว์ป่า กล่าวว่า เมื่อเปรียบเทียบเคสการจับช้างป่า “พลายแท็งค์” ที่ถูกเคลื่อนย้ายไปควบคุมไว้ที่บริเวณที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ากะทูน เป็นการชั่วคราว โดยมีควาญช้างและช้างคู่เทียบช่วยกำกับ พบว่าการตรึงช้างป่าเป็นเวลานาน อาจทำให้มีปัญหาบ้างในด้านพฤติกรรมและสุขภาพ

แตกต่างจากพลายไข้นุ้ย ซึ่งไม่ได้ถูกตรึง มีการเคลื่อนที่หาอาหารและแหล่งน้ำในพื้นที่กว้าง ทำให้ไม่ค่อยมีปัญหาสุขภาพ จึงเชื่อว่าหากสามารถเคลื่อนย้ายพลายแท็งค์ไปยังจุดที่มีพื้นที่มากขึ้น ก็น่าจะดีกว่าปัจจุบัน

ดร.ศุภกิจ กล่าวว่า ไข่นุ้ยเป็นช้างวัยรุ่น ซึ่งทางกรมอุทยานฯ และศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จะหารือและประเมินแนวทางที่เหมาะสมในอนาคต ว่าสุดท้ายแล้วจะปล่อยคืนป่าได้หรือไม่ หรือเคลื่อนย้ายไปดูแลที่ศูนย์อนุรักษ์ เช่น สถาบันคชบาลแห่งชาติ เพื่อเป็นการอนุรักษ์อีกแง่มุมหนึ่ง

“ตอนนี้ไข่นุ้ยไม่มีปัญหาสุขภาพ และสามารถอยู่ในศูนย์ปรับพฤติกรรมได้ยาว ๆ แต่เขาคือช้างป่า คำถามคือจะกำหนดอนาคตอย่างไร ยืนยันปลายทางจะเป็นการอนุรักษ์ช้างแน่นอน อยู่ที่ว่าเป็นการอนุรักษ์ในพื้นที่ธรรมชาติ หรือนอกพื้นที่ป่า”

อ่านข่าว : 5 เดือน "ช้างป่า" ทำร้ายตาย 18 คน ชง 749 ล้านแก้ปัญหาเร่งด่วน 

อัปเดต 3 เซเลบช้างเมืองลำปาง "ศักดิ์สุรินทร์-มีนา-ขุนเดช" 

ครั้งแรก! เปิดรับ 3 ควาญช้างประจำกรมอุทยานภารกิจย้ายช้างเกเร 


ครั้งแรก! เปิดรับ 3 ควาญช้างประจำกรมอุทยานภารกิจย้ายช้างเกเร

Thu, 13 Mar 2025 09:00:00

วันนี้ (13 มี.ค.2568) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยว่า เนื่องจากขณะนี้ กรมอุทยานฯ มีภารกิจในการเคลื่อนย้ายช้างป่าที่ออกหากินนอกพื้นที่ และบางตัวมีการทำร้ายคนอยู่บ่อยครั้ง 

ซึ่งภารกิจในการเคลื่อนย้ายช้างแต่ละตัว ต้องใช้กำลังเจ้าหน้าที่จำนวนนับร้อยคน ร่วมกับสัตวแพทย์ เพื่อความปลอดภัยของคนและช้าง และบางครั้งต้องนำควาญช้าง และช้างบ้านมาเทียบ เพื่อเคลื่อนย้ายช้าง เช่น กรณีของพลายไข่นุ้ย ย้ายออกจาก จ.นครศรีธรรมราช และตอนนี้มาอยู่ที่คอกปรับพฤติกรรมใน จ.พังงา

อ่านข่าว จบดรามา "พลายซัน" ช้างป่าติดเกาะ แค่สันโดษอย่าไปยุ่ง

อธิบดีกรมอุทยาน กล่าวว่า ปัจจุบันมีการเรียกร้องให้จับช้างออกนอกพื้นที่มากขึ้น โดยเฉพาะในป่าตะวันออกที่มีปัญหาช้างออกนอกพื้นที่มากกว่าจุดอื่น ๆ และยอมรับว่าช้างบางตัว แม้จะย้ายจากจุดที่เกิดปัญหาแล้ว ไม่กี่วันเขาจะกลับไปที่เดิม เป็นอีกวิธีที่ต้องทำเพื่อให้เกิดความสบายใจของชาวบ้านในพื้นที่

ทุกที่อยากให้จับย้ายหมด บางครั้งเราไม่มีความพร้อมพอ ก็จะใช้วิธีผลักดัน บางครั้งไล่แล้วไปหลบตามหย่อมป่า ส่วนใหญ่ช้างโทน ช้างเกเร จะอยู่ตัวเดียว ไล่ยาก ต้องขนย้ายไปไกล ๆ
การย้ายพลายไข่นุ้ย ต้องนำควาญช้าง-ช้างมาเทียบเพื่อให้เคลื่อนย้ายง่าย (ภาพกรมอุทยานฯ

การย้ายพลายไข่นุ้ย ต้องนำควาญช้าง-ช้างมาเทียบเพื่อให้เคลื่อนย้ายง่าย (ภาพกรมอุทยานฯ

เล็งบรรจุ 3 อัตราควาญช้างประจำกรมเปิดรับถึง 6 มี.ค.

อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า การจับช้างออกนอกพื้นที่เป็นมาตรการที่ต้องเตรียมความพร้อมมากขึ้น ทั้งอุปกรณ์ การใช้ยาซึม ซึ่งในวันนี้ นักวิชาการและสัตวแพทย์ช้าง มองว่าการทำงานค่อนข้างเสี่ยงกับเจ้าหน้าที่ บางทีการฉีดยาซึมแล้วบังคับช้างขึ้นรถทันทีก็มีความเสี่ยงสูง แต่ไม่มีวิธีอื่นเพราะช้างน้ำหนักเยอะบางตัว 2-3 ตัน

ตอนนี้กรมอุทยานฯ ได้เตรียมเปิดรับตำแหน่ง "ควาญช้าง" เป็นพนักงานราชการ 3 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการบังคับช้าง และการจับช้างป่า และมีประสบการณ์จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ โดยเปิดรับจนถึงวันที่ 6 มี.ค.นี้ จากนั้นจะมีคณะกรรมการคัดเลือกตามขั้นตอน ซึ่งผู้สนใจสมัครที่เว็บไซต์ shorturl.asia/iKs2n 

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช

เนื่องจากก่อนหน้านี้กรมอุทยานฯ จะใช้วิธีจ้างควาญชาวบ้าน แต่ถ้ามีอัตราของตัวเองก็จะทำงานได้ง่ายขึ้น โดยจะส่งไปปฏิบัติการในพื้นที่ต่าง ๆ มีเงินเดือน และเงินช่วยพิเศษกว่า 13,000-14,000 บาท

อ่านข่าว ช้างป่าทำร้ายเจ้าหน้าที่ป่าภูหลวงเสียชีวิต 1 บาดเจ็บ 1

อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า หนึ่งในมาตรการหลังการเคลื่อนย้ายช้างเข้าไปในพื้นที่ป่าลึกแล้ว นอกจากต้องจัดหาแหล่งน้ำแหล่งอาหารให้เพียงพอกับการช้างแล้วยังอาจต้องหารูปแบบการตรึงให้ช้างอยู่ในพื้นที่ด้วยการนำอาหาร ผลไม้คล้ายกับการดูแล เพราะบางครั้งชาวบ้านก็อยากให้ย้ายข้ามจังหวัดไป

อ่านข่าว ครั้งแรกของโลก! อ.อ.ป.สอบคุณวุฒิอาชีพ "ควาญช้าง"

พลายศักดิ์สุรินทร์ หลังจากเคลื่อนย้ายจากศรีลังกา กลับไทยปี 2566

พลายศักดิ์สุรินทร์ หลังจากเคลื่อนย้ายจากศรีลังกา กลับไทยปี 2566

ภารกิจเคลื่อนย้ายช้างในรอบ 8 ปี

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมากรมอุทยานฯเคยเคลื่อนย้ายช้างหลายตัว ดังนี้

อ่านข่าว

สำเร็จ! ย้ายพลายบิดน้ำหนัก 7 ตัน คืนเขาอ่างฤาไน

คืนแรก "พลายศักดิ์สุรินทร์" ท่ามกลางธรรมชาติ

 

 

 


5 เดือน "ช้างป่า" ทำร้ายตาย 18 คน ชง 749 ล้านแก้ปัญหาเร่งด่วน

Thu, 13 Mar 2025 08:00:00

เพียงสัปดาห์แรกของเดือน มี.ค.2568 เกิดเหตุช้างป่าทำร้ายคนเสียชีวิตแล้ว 2 คน เป็นเหตุเมื่อวันที่ 3 มี.ค. ช้างป่าทำร้ายเจ้าหน้าที่ชุดเคลื่อนที่เร็วผลักดันช้างของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 1 คน ขณะเข้าผลักดันช้างในพื้นที่ ต.ศิลา อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ และเหตุช้างป่าทำร้ายหญิงอายุ 74 ปีเสียชีวิต ในสวนทุเรียน อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี ห่างจากอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ 17 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 5 มี.ค.

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2567 มีผู้เสียชีวิตจากช้างป่าทำร้าย 39 คน ส่วนปีงบประมาณ 2568 ตั้งแต่เดือน ต.ค.ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตแล้ว 18 คน ถือเป็นตัวเลขที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะช่วงฤดูแล้ง เพราะไม่ต้องการเห็นตัวเลขนี้เพิ่มขึ้น

อย่ามองมิติอนุรักษ์ช้างอย่างเดียว แต่มองมิติประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากช้างด้วย เขาน่าสงสาร ไม่ใช่ว่ารุกป่าอย่างเดียว แต่บางครั้งช้างออกมาไกล ซึ่งเขาอยู่บนความหวาดระแวงในการดำรงชีวิตและหากินในพื้นที่

อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า การแก้ปัญหาช้างออกนอกป่าอนุรักษ์ ต้องทำในหลากหลายมิติ ทั้งการป้องกันและชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งเคสช้างป่าทำร้ายชุดผลักดันฯ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง เกิดเหตุขณะเจ้าหน้าที่ 5-6 คนผลักดันช้างได้สำเร็จ แต่ช้างไปเจอกับกลุ่มชาวบ้าน จึงย้อนกลับมาและเจอกับเจ้าหน้าที่ 2 คน โดยพุ่งชาร์จจนมีผู้เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 1 คน ซึ่งต้องนำความสูญเสียในครั้งนี้ไปเป็นบทเรียนที่ต้องเรียนรู้ในเรื่องความปลอดภัย

ช้างคงสับสนขณะถูกผลักดันและไม่มีที่ไป จึงชาร์จเจ้าหน้าที่ เราเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย

เปิด 6 มาตรการลดผลกระทบช้างป่า

นายอรรถพล กล่าวถึงมาตรการ 6 ข้อ เพื่อลดผลกระทบจากช้างป่า ทั้งการปลูกพืชแหล่งอาหาร การสร้างแนวกันช้าง คูกันช้าง ที่จำเป็นดำเนินการในบางพื้นที่ เช่น ภาคตะวันออก, ชุดเฝ้าระวังและผลักดันช้าง ขณะนี้ทั่วประเทศมีประมาณ 86 ชุดปฏิบัติการ ในจำนวนนี้อยู่ในกลุ่มป่าตะวันออก 20 กว่าชุด แต่ยังไม่เพียงพอ

เจ้าหน้าที่แต่ละชุดทำงานหนักมาก ทำงานทุกวันจนดึกดื่น ต้องมีการสับเปลี่ยนกำลังกันตลอด เพราะชุดเฝ้าระวังและผลักดันจะเป็นกันชนในการป้องกันการปะทะระหว่างชาวบ้านกับช้าง

การจัดการพื้นที่เพื่อให้ช้างอยู่อย่างยั่งยืน บางพื้นที่ต้องจัดให้ช้างอยู่ในพื้นที่โดยให้อาหารและน้ำ เพื่อไม่ให้ช้างออกนอกพื้นที่ พร้อมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยว ขณะนี้อยู่ระหว่างคัดเลือกพื้นที่, การก่อสร้างศูนย์ปรับพฤติกรรมช้าง ควบคุมช้างที่มีพฤติกรรมรุนแรง ใช้งบฯ แห่งละ 9 ล้านบาท, การควบคุมอัตราการเพิ่มของประชากรช้าง ด้วยวัคซีนคุมกำเนิด ซึ่งจะนำร่องทดลอง 18 โดส ภายใน 2-3 เดือนในพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ขณะนี้คณะทำงานวางแผนว่าจะฉีดกลุ่มไหน และใช้วิธีการอย่างไร

สำหรับกลุ่มป่าที่สำคัญในการแก้ปัญหาช้างออกนอกพื้นที่อนุรักษ์ คือ กลุ่มป่าตะวันออก รอยต่อ 5 จังหวัด จันทบุรี ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ปราจีนบุรี ขณะนี้พบว่าช้างออกมาไกล และสร้างความเสียหายมากที่สุด, รองลงมาเป็นกลุ่มป่าตะวันตก บริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร, กลุ่มป่าแก่งกระจาน, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูค้อ-ภูกระแต อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว และพื้นที่ทางภาคใต้ เช่น พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาหลวง จ.นครศรีธรรมราช และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง จ.สุราษฎร์ธานี

อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า การผลักดันช้างในช่วงเวลากลางวัน พบว่ามีความร้อนสูง ส่งผลให้ช้างอารมณ์แปรปรวน แต่โดยทั่วไปเจ้าหน้าที่มักผลักดันในช่วงเวลากลางคืน และมองว่าโดรน Thermal เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการตรวจสอบพื้นที่โดยรอบขณะปฏิบัติงานผลักดันช้างเข้าป่า

ทั้งนี้ งบประมาณปกติในการแก้ไขปัญหาช้างป่าและสัตว์ป่าที่สร้างผลกระทบต่อราษฎรนอกพื้นที่อนุรักษ์ อยู่ที่ปีละ 190 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นงบลงทุน 150 ล้านบาท มากที่สุดคือการก่อสร้างคูกันช้างเดิมแบบดาดคอนกรีต 108 ล้านบาท

การประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และจัดการช้าง

การประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และจัดการช้าง

เดินหน้าของบกลาง 749 ล้านบาท

แต่งบดังกล่าวไม่เพียงพอต่อความรุนแรงของปัญหา สถานการณ์ช้างป่าออกนอกพื้นที่อนุรักษ์เข้าไปยังชุมชน ทำลายพืชผลทางเกษตร หรือทำร้ายคนเสียชีวิต กลายเป็นความขัดแย้งคน-ช้างยาวนานนับสิบปี

เมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา ในการประชุมครั้งที่ 1/2568 คณะกรรมการอนุรักษ์และจัดการช้าง เห็นชอบในหลักการให้มีการกำหนดร่างแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาช้างป่าแห่งชาติ พ.ศ.2568-2572 และคำขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบฯ 2568 งบกลางเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นโครงการแก้ไขปัญหาช้างป่าและลิงรบกวนประชาชน 749 ล้านบาท เพื่อเดินหน้ามาตรการเร่งด่วนในหลากหลายมิติ ดังนี้

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการอนุรักษ์และจัดการช้าง ได้เห็นชอบในหลักการของการของบกลางดังกล่าว ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะส่งเรื่องไปที่สำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาจัดสรรงบประมาณ จากนั้นจะเสนอกลับมายังบอร์ด และ ครม.ตามขั้นตอนต่อไป แต่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ย้ำถึงความจำเป็น เพราะประชาชนได้รับความเดือดร้อนหนัก และสูญเสียชีวิต

อ่านข่าว : อัปเดต 3 เซเลบช้างเมืองลำปาง "ศักดิ์สุรินทร์-มีนา-ขุนเดช" 

ครั้งแรก! เปิดรับ 3 ควาญช้างประจำกรมอุทยานภารกิจย้ายช้างเกเร 

เปิดชีวิต "ลูกบ่าวไข่นุ้ย" จากเกเรสู่ช้างป่าขี้อ้อนในคอกบริบาลแห่งแรก 


กังขานายทุนทำรั้วกั้นหาดย่านสะบ้าพังงา-แหล่งเต่าวางไข่

Wed, 12 Mar 2025 11:52:43

วันนี้ (12 มี.ค.2568) ชาวบ้านย่านสะบ้า อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง พาสื่อมวลชนไปดูเสาปูน และรั้วลวดหนาม ที่มีผู้นำไปกั้นทางลงไปยังชายหาดบ้านย่านสะบ้า ระยะทาง 1 กิโลเมตร

โดยบริเวณดังกล่าวชาวบ้านเข้าใจมาตลอดว่า เป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ มีชาวบ้านและชาวประมงอาศัยอยู่ และเป็นที่พักผ่อนในช่วงหยุดมานานหลายสิบปี

เสาปูนและรั้วลวดหนามโผล่กั้นหาดย่านสะบ้า จ.พังงา ชาวบ้านเตรียมร้องที่ดินพังงา

เสาปูนและรั้วลวดหนามโผล่กั้นหาดย่านสะบ้า จ.พังงา ชาวบ้านเตรียมร้องที่ดินพังงา

แต่เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน พบว่ามีนายทุนนำเสาปูน และรั้วลวดหนาม เข้ามากั้นสร้างความสงสัยให้แก่ชาวบ้าน จึงต้องการสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงความชัดเจน โดยจะนัดรวมตัวเพื่อเดินทางไปยังที่ดินพังงา ในวันพรุ่งนี้ (13 มี.ค.)

ชาวบ้านพาสือมวลชน ดูเสาปูนและรั้วลวดหนามโผล่กั้นหาดย่านสะบ้า จ.พังงา

ชาวบ้านพาสือมวลชน ดูเสาปูนและรั้วลวดหนามโผล่กั้นหาดย่านสะบ้า จ.พังงา

ชาวบ้านคนหนึ่ง ระบุว่า ตัวเองเกิดที่บ้านย่านสะบ้า พบว่าชายหาดดังกล่าวเป็นชายหาดสาธารณะ มีประชาชนใช้ร่วมกัน และจุดนี้ก็พบเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่บ่อยครั้ง อีกทั้งเป็นทางลงไปยังเกาะระวะใหญ่ ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา ทำให้มีทัศนียภาพทางทะเลสวยงามมาก 


"ป่าไม้-สคทช." แถลงครั้งแรกปม 2 บริษัททุนจีนรุกป่าสงวน 300 ไร่

Wed, 12 Mar 2025 10:15:00

วันนี้ (12 มี.ค.2568) คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ประชุมเพื่อติดตามการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา และจ.จันทบุรี โดยได้เชิญบริษัทเอกชน 2 แห่งเข้าชี้แจงเกี่ยวกับการครอบครองที่ดินซึ่งถูกใช้เป็นสวนทุเรียน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมป่าไม้ ตำรวจ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินคดีและแนวทางบังคับใช้กฎหมาย

ในที่ประชุมพบว่า พื้นที่ถูกบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติมีขนาดรวมกัน 688 ไร่ เบื้องต้นมีการแจ้งความดำเนินคดีเพียง 300 กว่าไร่ ซึ่งนายชีวะภาพ ชีวะธรรม ประธานคณะกรรมาธิการฯ สั่งการให้เจ้าหน้าที่ขยายผลและแจ้งความเอาผิดให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด

พบว่ายังมีพื้นที่อีก 300 ไร่ จากทั้งหมดที่ใช้ใบภาษีบำรุงท้องที่ (ภบท.) ของบริษัทแห่งหนึ่งที่จดแจ้งไว้ที่ อบต.688 และโอนให้มูซังคิง และพบว่าบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ตอนนี้ตรวจยึด 300 ไร่มันไม่มีอะไรรองรับ

พ.ต.อ.ชัยพร ทองนาเพียง รองผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา เปิดเผยว่า ตำรวจได้รับแจ้งความคดีนี้เมื่อ 10 วันก่อน และอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน โดยจะต้องตรวจสอบว่า มีบุคคลหรือบริษัทใดที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ก่อนดำเนินการแจ้งข้อหา

ตำรวจรับเรื่องไว้ช่วง 10 กว่าวัน การสอบสวนคืบหน้ามากแล้ว และต้องการรายละเอียดพื้นที่ถูกบุกรุกที่ชัดเจน ส่วนตัวผู้ทำผิดมีหลักฐานชัดเจนไม่มีปัญหาในการสอบสวน

อ่านข่าว "เฉลิมชัย" สั่งสอบที่ดินคทช. 7.2 ล้านไร่ปมทุนจีนปลูกทุเรียน

นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ประธานกมธ.สิ่งแวดล้อม และพ.ต.อ.ชัยพร ทองนาเพียง รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา

นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ประธานกมธ.สิ่งแวดล้อม และพ.ต.อ.ชัยพร ทองนาเพียง รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือเกี่ยวกับกรณีที่ดินซึ่งมีการเปลี่ยนมือจาก บริษัทมาบุญครอง ไปยัง บริษัทมูซันคิง โดยมีข้อกังขาเรื่องการเสียภาษีที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนฯ ซึ่ง องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ได้เข้ามาชี้แจงว่าสามารถเก็บภาษีได้ตามข้อกำหนดของกระทรวงมหาดไทย แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นเอกสารสิทธิ์ที่ดินที่สามารถซื้อขายได้

ทั้งนี้ กมธ.สิ่งแวดล้อม ระบุว่าการบุกรุกป่าสงวนแ่ห่งชาติ ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย และการซื้อขายที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิเป็นโมฆะ พร้อมฝากเตือนไปยังประชาชนว่า ไม่สามารถซื้อขายที่ดินที่ทับซ้อนป่าสงวนแห่งชาติ หรือที่ดินประเภท ภบท.5 ได้

อ่านข่าว แกะรอย "นอมินีทุนจีน" ปลูกทุเรียนพันธุ์ "มูซังคิง"กลางป่าไทย

กรมป่าไม้ดำเนินคดีปมนอมินีทุนจีนรุกป่าสงวนแห่งชาติปลูกทุเรียนในที่ดินแปลงคทช.

กรมป่าไม้ดำเนินคดีปมนอมินีทุนจีนรุกป่าสงวนแห่งชาติปลูกทุเรียนในที่ดินแปลงคทช.

หลังจากนี้ กมธ.สิ่งแวดล้อม จะติดตามผลการดำเนินคดีอย่างใกล้ชิด และเตรียมเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระทรวงมหาดไทย เข้าชี้แจงเพิ่มเติมในที่ประชุมครั้งหน้า เพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกป่า และการใช้ที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในอนาคต

ขณะที่เวลา 10.30 น.นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ พร้อมด้วย ดร.รวีวรรณ ภูริเดช ผอ.สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) แถลงข่าวการแก้ปัญหาโอนสิทธิ์ซื้อขายเปลี่ยนมือพื้นที่ดำเนินการจัดการที่ดินทำกินให้ชุมชน (คทช.) 

อ่านข่าว ยึดอีกแปลง 400 ไร่สวนทุเรียนรุกป่า "จิสด้า" ช่วยสแกน 7.2 ล้านไร่

ก่อนหน้านี้ นายสุรชัย ยืนยันว่าที่ดินคทช.ที่กรมป่าไม้มอบให้กับสคทช.ไปใช้ในโครงการคทช.ในภาคตะวันออกที่มีการตรวจพบทั้งหมดได้ตรวจยึดพื้นที่และแจ้งความดำเนินคดีแล้ว

นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้

นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้

ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาว เดิมเกษตรกรทำผิดเงื่อนไข ทำได้เพียงแค่ยืดคืนพื้นที่คืนรัฐ แต่ยังไม่มีบทลงโทษเหมือนกับการรุกป่าสงวนแห่งชาติ หรือป่าอนุรักษ์ จึงหารือทาง สคทช.ว่าอาจเพิ่มเกณฑ์เงื่อนไขใหม่ กำหนดบทลงโทษที่เข้มข้นสำหรับเกษตรกรที่ได้สิทธิที่ดิน คทช.เพื่อไม่ให้ทำผิดเงื่อนไขซ้ำ

นอกจากนี้ ยังประสานสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ในการใช้ดาวเทียมตรวจสอบที่ดินแปลงใหญ่ที่ส่งมอบให้คทช.ไปแล้ว 7.2 ล้านไร่จาก 12 ล้านไร่ โดยจะนำร่องฉะเชิงเทรา และจันทบุรีที่พบถูกนำที่ดินไปซื้อขายเปลี่ยนมือมากกว่า 1,000 ไร่ และให้เจ้าหน้าที่ลงกราวด์เช็กสำรวจพื้นที่อีกครั้ง

อ่านข่าว

"ชีวะภาพ" เล็งดำเนินคดีทุนจีนบุกรุกพื้นที่ปลูกทุเรียนจันทบุรี-ตราด

 


2 วันยังไม่ดับ! ไฟไหม้บ่อขยะปราจีนบุรีลาม 50 ไร่

Mon, 10 Mar 2025 18:56:06

วันนี้ (10 มี.ค.2568) กลุ่มควันจำนวนมาก เกิดจากเพลิงเผาไหม้บ่อขยะของเทศบาลเมืองปราจีนบุรี ต.โนนหอม อ.เมืองปราจีนบุรี ลามไปกว่า50 ไร่จาก 151 จากพื้นที่ทั้งหมด 191 ไร่ พบควันลอยปกคลุมทั่วบริเวณ 

แม้ว่าตลอด 2 วันที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ จะระดมรถดับเพลิงของเทศบาลเมืองปราจีนบุรี และพื้นที่ใกล้เคียงรวม 7 คันเข้าดับไฟ แต่ด้วยสภาพพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าไปในบ่อขยะได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องลากหัวจ่ายน้ำข้ามคลอง เพื่อต่อสายน้ำให้กับรถดับเพลิง

นอกจากนี้ยังมีอุปสรรคเรื่องกระแสลมแรง ทำให้ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เจ้าหน้าที่จึงนำรถแบคโฮ 2 คัน เข้าทำแนวกันไฟ ป้องกันไม่ให้เพลิงลุกลามขยายวงกว้าง

ชาวบ้านที่ได้รับกระทบจากไฟไหม้บ่อขยะ

ชาวบ้านที่ได้รับกระทบจากไฟไหม้บ่อขยะ

การสำรวจชุมชนรอบ ๆ บ่อขยะ พบว่ามีชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 1 หมู่ 7 และหมู่ 8 เริ่มได้รับผลกระทบจากกลิ่นและควันไฟแล้วหลายครอบครัว แต่ยังไม่มีคำสั่งอพยพออกจากพื้นที่ 

เหม็นไฟไหม้เหม็นกลิ่นขยะมาตั้งแต่เช้าชาวบ้านแถวนี้โดนผลกระทบหมด
กลุ่มควันยังลอยปกคลุมกระทบหลายชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียง

กลุ่มควันยังลอยปกคลุมกระทบหลายชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียง

นายชนาธิป โคกมณี รองผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ยอมรับว่า ขาดความต่อเนื่องในการระงับเหตุ เพราะติดปัญหาเรื่องอุปกรณ์ และเจ้าหน้าที่ ทำให้ไฟปะทุขึ้นอีกครั้ง ขณะนี้ลุกลามเผาไหม้ไปแล้วร้อยละ 60-70 ของพื้นที่จาก 50 ไร่เศษ คาดว่าจะควบคุมเพลิงได้ในวันพรุ่งนี้ (11 มี.ค.)  

ช่วงกลางคืนยังมีข้อจำกัด และในช่วงเช้านี้พบว่ายังมีการลุกไหม้ลามออกไปเพราะมีลม เป็นตัวช่วยทำให้การลุกลามไปไว แต่พยายามขอความร่วมมือให้หลายหน่วยงานมาช่วยแต่จะเร่งควบคุมให้เร็วที่สุด
นายชนาธิป โคกมณี รองผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี

นายชนาธิป โคกมณี รองผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี

นอกจากนี้ ยังสั่งการให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ลงพื้นที่สำรวจผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชนพร้อมนำหน้ากากอนามัยเข้าไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และจัดเตรียมสถานที่ พักพิงชั่วคราวไว้รองรับผู้ได้รับผลกระทบ หากต้องอพยพ 


จบดรามา "พลายซัน" ช้างป่าติดเกาะ แค่สันโดษอย่าไปยุ่ง

Mon, 10 Mar 2025 17:03:00

วันนี้ (10 มี.ค.2568) กรณีดรามา "พลายซัน" หรือเจ้าซัน ช้างป่าตัวผู้อายุประมาณ 5 ปีที่หากินนอกเขตป่าตะวันออกในพื้นที่ อ.วังจันทร์ จ.ระยอง หลังใช้โดรนบินสำรวจแล้วพบช้างป่าติดอยู่บนเกาะ กลางอ่างเก็บน้ำประแสร์ ในสภาพผอมโซน่าสงสารอยู่บนเกาะกลางน้ำ โดยช้างป่าใช้งวงโบกทักทายโดรนที่่บินผ่าน คล้ายต้องการขออาหาร

ต่อมาเจ้าหน้าที่งานป้องกัน อบต.ป่ายุบใน อ.วังจันทร์ ต้องนำเรือใส่อาหาร ผลไม้ไปให้ พร้อมตะโกนเรียกช้างป่าตัวนี้ และพบว่าพลายซันวิ่งตามเรือมา สร้างความสะเทือนใจกับคณะที่เดินทางไป 

มีรายงานว่าช้างป่าตัวนี้ชื่อ "พลายซัน"อายุ 5 ปี เข้ามาติดเกาะอยู่ประมาณปีกว่าแล้ว เนื่องจากช่วงที่น้ำลง พลายซันได้วิ่งเล่น เดินข้ามเกาะมาได้ แต่พอขากลับน้ำขึ้นสูง จึงเดินกลับเข้าป่าไม่ได้

โดยเจ้าหน้าที่นำผลไม้ มาเป็นอาหารให้พลายซัน แต่ไม่ได้มาบ่อย ๆ เพราะเกาะอยู่กลางน้ำ ต้องใช้ขับเรือนาน 15-20 นาที และต้องใช้งบสูงเป็นค่าอาหาร และค่าน้ำมัน

“พลายซัน” ตัวตึงป่าตะวันออกเคยมีแผนย้าย

ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงกลางเดือน มี.ค.2567 ทีมสัตว์แพทย์ สัตวบาล และเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เตรียมเจ้าหน้าที่ไปย้ายพลายซัน และเตรียมปลอกคอเพื่อย้ายไปยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งห่างจาก อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ถึง 140 กม.แต่ไม่ประสบความสำเร็จ  

"พลายซัน" ช้างตัวผู้ขอสันโดษ  

นายพิทักษ์ ยิ่งยง หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำบางพระ ให้สัมภาษณ์ไทยพีบีเอสออนไลน์ว่า พลายซัน เป็นหนึ่งในช้างป่าตัวตึง 5-6 ตัวที่หากินในพื้นที่ป่ารอยต่อตะวันออก มีพื้นที่หากินใน อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ถึง อ.บ่อทองหนองใหญ่ จ.ชลบุรี โดยจะมีเพื่อนช้างที่ออกนอกป่าคือพลายเก พลายมะม่วง  ถัง โดโด้ วิทย์ ขนุนเข้าใกล้ชุมชนอยู่เป็นประจำ

ก่อนหน้านี้ ช่วงต้นเดือน พ.ค.2567 ชาวบ้าน ชาวประมงในพื้นที่พบว่าพลายซัน เข้าไปอาศัยบนเกาะมาจนถึงปัจจุบัน และมีคนในพื้นที่เอาผลไม้ไปให้เป็นครั้งคราวนั่นคือที่มาของ "พลายซัน" ช้างป่าที่คนทั่วไปเข้าใจว่า "ติดเกาะ" โดยพบว่า อาศัยอยู่นั้นเป็นท้ายของอ่างเก็บน้ำประแสร์ มีหญ้ามีแหล่งน้ำ แหล่งอาหารอยู่เพียงพอ และปกติช้างจะว่ายน้ำเป็นไม่ต้องห่วง

การที่พลายซันปลีกวิเวก สันโดษถือเป็นเรื่องปกติของช้างที่แยกตัวตามลำพังหลังจากเขาเคยอยู่หัวโจก และแยกมาเดียว ๆ ช้างอยู่ตัวตัวไม่ต้องกลัวเหงาและพอถึงเวลาก็ออกเองและช้างว่ายน้ำเป็น 

หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบางพระ กล่าวอีกว่า ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องไปเคลื่อนย้ายช้างออกมาเพราะถ้าถึงเวลาพลายซันก็จะออกมาเอง ส่วนว่าจำเป็นต้องนำขนุนสุกผลไม้ไปให้ที่เกาะหรือไม่ ไปได้แต่ก็ไม่ควรไปยุ่งและเข้าใกล้ เพราะอาจจะไม่ปลอดภัย 

ไม่ได้รู้เรื่องวิถีชีวิตของช้างอย่างลึกซึ้ง เพราะช้างตัวผู้หลายตัวก็อยากใช้ชีวิตตามลำพัง และถ้าเขาพร้อมก็จะกลับเข้าฝูง ตอนนี้พลายซันไม่ได้ออกมาสร้างผลกระทบหากินใกล้ชุมชน  

นอกจากนี้ นายพิทักษ์  ยังให้ข้อมูลอีกว่า เกาะที่พลายซัน ไปอยู่เคยมีช้างป่า เข้าไปอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่สมัยเป็นไร่อ้อยและยังไม่เก็บน้ำ ส่วนใหญ่พื้นที่บริเวณนี้จะเป็นพื้นที่หากินของเจ้า "พลายเก" กับ "พลายมะม่วง" มาแล้วทั้งนั้น

ส่วนประเด็นที่ 2 ช้างติดเกาะไหม แม่น้ำโขงที่น้ำเยอะไหลเชี่ยวๆ "ช้างป่าภูวัว" ครอบครัวของ "กันยา" ยังว่ายข้ามไปข้ามมาเป็นว่าเล่น รวมทั้ง แม่น้ำเวฬุ ที่ จ.ตราด "พลายถ่าง" ยังว่ายข้ามได้แถมยังรู้ว่าน้ำขึ้นน้ำลงเป็นยังไง จะมีผลกับตัวเองแบบไหน ระยะแค่ 800 เมตร น้ำในอ่างเก็บน้ำ น้ำนิ่ง ๆ ลองคิดดูว่ายากสำหรับช้างไหม

สรุปว่าช้างเพศผู้ บางตัวก็ชอบอยู่แบบ "ลำพัง" ไม่ได้ชอบผจญภัย ไม่ได้ชอบชีวิตวุ่นวายไปเสียทุกตัว ทุกช่วงเวลาของชีวิต 

 


โลกร้อน + ฝุ่น PM 2.5 กระทบเหล่า "แมลง" ตัวจิ๋ว แค่ไหน

Sun, 9 Mar 2025 09:00:00
"แมลงตัวนั้นตัวนี้มีเยอะมากมาย... ดูไปก็รักรักมันทุกตัว" .... ไดทิสสิด ไดทิสสิด ไดทิสสิด คือ ด้วงดิ่ง  ....แลมไพริด แลมไพริด แลมไพริด คือ หิ่งห้อย  ....ซิคาดิด ซิคาดิด ซิคาดิด คือ จั๊กจั่น 

ยังจำได้ไหม "แมลง" เพลงดังในอดีตจากนักร้อง "ทาทา ยัง" ที่ยังคงก้องอยู่ใน "หู" และอยู่ใน "ใจ" ใครหลายคน ท่วงทำนองที่สนุกสนาน และเนื้อเพลงสุดน่ารักที่เอ่ยถึง " แมลง" หลากชนิด แม้อาจไม่คุ้นหูคนรุ่นใหม่ แต่สำหรับใครที่เติบโตมาในยุค 90 นี่คือหนึ่งในเพลงฮิตที่ยังคงอยู่ในความทรงจำ

"แมลง" อาจไม่ใช่ตัวเอกที่ถูกพูดถึงบ่อยนัก แต่กลับมีบทบาทสำคัญต่อธรรมชาติ ทั้งช่วยผสมเกสร และเป็นหนึ่งในห่วงโซ่อาหาร โลกใบนี้มีแมลงนับล้านชนิด บ้างเดิน บ้างคลาน บ้างบินโฉบไปมา 

การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศส่งผลต่อแมลง บางชนิดได้ประโยชน์ เช่น ยุง ที่ชอบอากาศอบอุ่น ทำให้แพร่พันธุ์มากขึ้น ขณะที่แมลงอย่างผึ้งกลับได้รับผลกระทบในทางตรงกันข้าม 

อากาศที่แปรปรวน ดอกไม้ที่บานผิดฤดู ทำให้หาน้ำหวานยากขึ้น และอาจลดจำนวนลง กระทบต่อการผสมเกสรและการเติบโตของพืช เห็นได้ว่า แมลงตัวเล็ก แต่เรื่องราวของพวกมันไม่เล็กเลย

ไทยพีบีเอสออนไลน์ พาไปเปิดโลกของ "แมลง" กับ ดร.แก้วภวิกา จิตธรรมมา อิกเนเชียส นักกีฏวิทยาชำนาญการพิเศษ กลุ่มงานกีฏวิทยาและจุลชีววิทยาป่าไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช เพื่อไขข้อสงสัยว่า ภาวะโลกร้อน ฝุ่น PM 2.5 และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ไม่ได้กระทบแค่ "มนุษย์" และ "สัตว์" ตัวโต

แต่ "แมลง" ตัวจิ๋วเหล่านี้ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ชวนมาหาประสบการณ์น่ารู้เกี่ยวกับ "แมลง" กับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเผชิญ 

ฝุ่น pm 2.5 ในกรุงเทพฯ ฟุ้งกระจายในอากาศ

ฝุ่น pm 2.5 ในกรุงเทพฯ ฟุ้งกระจายในอากาศ

อุณหภูมิโลกเปลี่ยน กระทบโลก "แมลง" ตัวจิ๋ว

สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนส่งผลต่อ "แมลง" อย่างมาก เนื่องจากแมลงเป็นสัตว์เลือดเย็น อุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมจึงมีผลโดยตรงต่อการดำรงชีวิต พฤติกรรม และการเจริญเติบโต เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น แมลงบางชนิดอาจเติบโตเร็วขึ้น ขณะที่บางชนิดได้รับผลกระทบในทางลบจนถึงขั้นลดจำนวนลงหรือเสี่ยงสูญพันธุ์

แล้วเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ดร.แก้วภวิกา กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลต่อ "วงจรชีวิต" และ "พฤติกรรมของแมลง" วงจรชีวิตสั้นลงหรือยาวขึ้น โดยอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้แมลงส่วนใหญ่เจริญเติบโตเร็วขึ้น วางไข่ได้เร็วขึ้น และเพิ่มจำนวนรุ่นต่อปี ทำให้ประชากรเพิ่มขึ้น 

แมลงบางชนิดเริ่มออกหากินในช่วงเช้าหรือกลางคืนมากขึ้น นั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความร้อน

แมลงที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดมักเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อม หรือมีแหล่งอาศัยเฉพาะเจาะจง ดร.แก้วภวิกา กล่าวว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของถิ่นอาศัยและการกระจายตัว

แมลงหลายชนิดขยายถิ่นอาศัยไปยังพื้นที่ที่เคยเย็นกว่า เช่น ภูเขาสูงหรือเขตหนาว อุณหภูมิที่สูงเกินไปทำให้บางชนิดสูญเสียถิ่นอาศัย หรือส่งผลให้แหล่งอาหารลดลง

ยกตัวอย่าง แมลงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เย็น เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นจะต้องอพยพไปยังพื้นที่ที่เย็นกว่า เช่น จากเชิงเขาขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อให้อยู่รอดได้ แต่หากหาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมไม่ได้ ก็อาจต้องเผชิญกับการสูญพันธุ์

ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนต่อแมลงมีทั้งด้านบวกและด้านลบ อากาศที่อบอุ่นขึ้นช่วยให้แมลงศัตรูพืช เช่น เพลี้ยไฟ หนอน และตั๊กแตน แพร่ระบาดมากขึ้น ขณะที่แมลงพาหะนำโรค เช่น ยุงลาย (แพร่ไข้เลือดออก) และยุงก้นปล่อง (แพร่ไข้มาลาเรีย) สามารถแพร่กระจายไปยังพื้นที่ที่เคยเย็นเกินไปและไม่เคยพบยุงนั้น ๆ  

ไม่เพียงเท่านั้น แมลงผสมเกสร เช่น ผึ้งและผีเสื้อ อาจลดจำนวนลงเพราะอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นส่งผลต่อการออกดอกของพืชและส่งผลต่อการหาอาหารและการผสมเกสรพืชผลทางการเกษตร ซึ่งอาจกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร

แมลงบางชนิดออกจากช่วงจำศีลเร็วขึ้นหรือล่าช้ากว่าปกติ ทำให้ไม่สอดคล้องกับวงจรชีวิตของพืชและสัตว์อื่น ๆ นักล่าแมลง เช่น นก หรือ กบ อาจหาอาหารได้ยากขึ้นหากแมลงที่เป็นอาหารของมันลดจำนวนลง

เห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้สมดุลของแมลงและระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงไป บางชนิดอาจเพิ่มจำนวนมากขึ้น และกลายเป็นปัญหา ในขณะที่บางชนิดอาจลดลงจนถึงขั้นสูญพันธุ์

"แมลง" มีส่วนประกอบอย่างไรบ้าง

ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องอื่น ๆ มาทำความรู้จักกับส่วนประกอบของแมลงให้มากขึ้นกันก่อน แมลงเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง และสามารถแบ่งร่างกายออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่

1. ส่วนหัว (Head)

หัวของแมลง ประกอบด้วยแผ่นแข็งหลายแผ่นเชื่อมต่อกัน เห็นเป็นร่องลึกลงไปในผนังของส่วนหัว มีลักษณะคล้ายรูปตัว "Y" หัวกลับ และเป็นที่ตั้งของอวัยวะสำคัญ คือ 1."ตา" ประกอบด้วย ตารวม (Compound eyes) และตาเดี่ยว (Ocelli) ส่วนหัวของแมลง 2. ยังมี "หนวด" (Antennae) ซึ่งรูปแบบหนวดของแมลง อาทิ หนวดแบบเส้นด้าย เส้นหนวดมีขนาดเท่า ๆ กัน เรียงติดต่อกันเป็นเส้นยาวคล้ายเส้นด้าย เช่น หนวดของด้วงหนวดยาว และตั๊กแตนหนวดยาว และ 3. มีปาก ซึ่งมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับชนิดของแมลง เช่น ปากกัดกิน ปากเจาะดูด ปากกัดเลีย (เช่น ผึ้ง และแมลงภู่)

2. ส่วนอก (Thorax)

อกของแมลง ติดอยู่กับส่วนหัว โดยอาศัยเหยื่อบาง ๆ ที่เรียกว่า Cervix หรือ คอ เป็นตัวเชื่อมต่อ อกของแมลงประกอบด้วยปล้อง 3 ปล้อง คือ อกปล้องแรก (Prothorax) อกปล้องกลาง (Mesothorax) และอกปล้องท้าย (Metathorax) นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของอวัยวะ ซึ่งทำหน้าที่ในการเคลื่อนไหว เป็นที่อยู่ของขา 3 คู่ (6 ขา) ส่วนแมลงมีปีก 2 คู่ ปีกของแมลงส่วนใหญ่จะมีรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยม แมลงหลายชนิด มีอวัยวะพิเศษช่วยเกี่ยวปีก ทั้ง 2 คู่ ให้ยึดติดกันในขณะที่ทำการบิน เช่น ผีเสื้อ ผึ้ง ต่อ แตน

3. ส่วนท้อง (Abdomen)

ท้องของแมลง เป็นส่วนสุดท้ายของลำตัวแมลง อวัยวะที่พบบนส่วนท้อง มี 2 ประเภท คือ 1.อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการผสมพันธุ์ พบในแมลงตัวเต็มวัย อวัยวะสืบพันธุ์ของเพศเมีย คือ อวัยวะวางไข่ แมลงบางชนิดมีอวัยวะวางไข่สั้น เช่น ตั๊กแตนหนวดสั้น ขณะที่บางชิดยื่นยาวออกมา เห็นเด่นชัด เช่น จิ้งหรีด ตั๊กแตนหนวดยาว 2.อวัยวะที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผสมพันธุ์ พบบนท้องของแมลง ทั้งระยะตัวอ่อน และตัวเต็มวัย มีหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น รูหายใจ

องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้แมลงเป็นสัตว์ที่มีความหลากหลายสูงและสามารถปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ

อ่านข่าว : จะเกิดอะไร? เมื่อร่างกายเจอ "ฝุ่น PM 2.5"

แมลง กับ แมง ต่างกันอย่างไร

มาถึงตรงนี้อยากรู้แล้วว่า "แมลง" และ "แมง" แตกต่างอย่างไร โดยทั้งคู่เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง แต่มีลักษณะและโครงสร้างทางกายภาพที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน 

กลุ่มงานวิจัยกีฏวิทยาและจุลชีววิทยาป่าไม้ ระบุไว้ว่า แมลงกับแมงมีสิ่งที่เหมือนกันคือ เป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังและมีลักษณะบริเวณขาเป็นข้อปล้องๆ หรือที่นิยมเรียกกันในชื่อ อาร์โทรพอด (Arthropod)

"แมลง" มีร่างกายแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัว ส่วนอก และส่วนท้อง มีหนวดและมีขา 6 ขา เช่น แมลงวัน ด้วง ผีเสื้อ เป็นต้น

"แมง" มีร่างกายแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนหัวกับอกรวมกัน กับส่วนท้อง ไม่มีหนวดและมีขา 8 หรือ 10 ขา เช่น แมงป่อง แมงมุม เป็นต้น

แมลงคุ้มครอง "ห้ามมีในครอบครอง"

ขณะที่มีแมลงบางชนิดที่ถูกคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ได้กำหนดให้แมลงบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ห้ามการล่า การครอบครอง และการค้า รวมทั้งสิ้น 20 ชนิด แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ผีเสื้อกลางคืน 4 ชนิด ด้วง 4 ชนิด ผีเสื้อกลางวัน 12 ชนิด

แมลงเหล่านี้นับวันจะหายากมาก บางชนิดไม่สามารถเพาะพันธุ์ได้ บางชนิดมีวงจรชีวิตในระยะไข่ หนอน ดักแด้ ที่ยาวนาน มักไม่ค่อยพบตัวเต็มวัย นอกจากนี้ บางชนิดมีแหล่งอาศัยที่จำเพาะเจาะจง ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากขึ้น

ภาพจาก : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

ภาพจาก : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

ฝุ่น PM2.5 กระทบ "แมลง" อย่างไร

PM 2.5 เป็น ฝุ่นจิ๋ว ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน ขนาดเล็กประมาณ 1 ใน 25 ของเส้นผม มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า อากาศเย็นและแห้ง ความกดอากาศสูง สภาพอากาศนิ่ง ทำให้ PM 2.5 สะสมในอากาศ ลอยอยู่ในอากาศได้นาน อาจมีสารพิษเกาะมาด้วย เป็นอันตรายต่อมนุษย์ รวมถึง "แมลง" ตัวจิ๋ว

ฝุ่นจิ๋วลอยอยู่ในอากาศมากจะเห็นท้องฟ้าเป็นสีหม่น หรือเกิดเป็นหมอกควัน  

ดร.แก้วภวิกา กล่าวว่า ฝุ่น PM 2.5 เป็นฝุ่นควันที่เผาไหม้จากชีวมวล อุตสาหกรรม หรือ ไอเสียจากรถยนต์ มีงานวิจัยต่างประเทศที่เริ่มศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 ต่อ "แมลง" มากขึ้น โดยเฉพาะ "ระบบทางเดินหายใจ" และ "พฤติกรรม" ผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 ต่อแมลงมีลักษณะคล้ายกับผลกระทบต่อมนุษย์ เพราะแมลงเองก็ต้องหายใจ

มนุษย์หายใจผ่านจมูก แต่แมลงใช้รูหายใจเล็ก ๆ บนลำตัวที่เรียกว่า Spiracle 

ฝุ่น PM 2.5 สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและรูหายใจ (spiracles) ของแมลง ทำให้เกิดการอุดตันและลดประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนก๊าซ อาจทำให้แมลงอ่อนแอลง ส่งผลต่ออายุขัยและอัตราการรอดชีวิต

ไม่เพียงทางเดินหายใจฝุ่นหนาทึบลดการมองเห็นของแมลง อีกด้วย สิ่งที่ตามมาคือทำให้ "การบิน" และ "การหาอาหาร" มีประสิทธิภาพลดลง ขณะที่ แมลงผสมเกสร เช่น ผึ้ง และ ผีเสื้อ อาจได้รับผลกระทบจาก "กลิ่น" และ "สีของดอกไม้" ที่เปลี่ยนไปเพราะ "ฝุ่น" ทำให้ลดอัตราการผสมเกสร

ฝุ่นที่ล่องลอยในอากาศยัง ส่งผลต่อวงจรชีวิตและการสืบพันธุ์ ได้เช่นกัน ซึ่งฝุ่นพิษสามารถปนเปื้อนใน "น้ำ" และ "พืช" ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของตัวอ่อนแมลง สารพิษที่มากับฝุ่นอาจรบกวน "ระบบฮอร์โมน" และ "ลดอัตราการวางไข่" ของแมลงบางชนิด เนื่องจากฝุ่นอาจทำงานร่วมกับสารประกอบอื่น ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและฝุ่น PM 2.5 มีความเกี่ยวข้องกันและส่งผลกระทบต่อประชากรแมลงโดยตรง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ยุงและแมลงวัน แมลงวันที่เดิมใช้เวลา 1-2 วันในระยะตัวหนอน อาจเติบโตเป็นตัวเต็มวัยเร็วขึ้น วางไข่เร็วขึ้น ทำให้จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 

หากลองสังเกตในช่วงที่ฝนหยุดตก เช่น หลังจากฝนทิ้งช่วง น้ำในท่อระบายน้ำแห้งลงแต่ยังมีความชื้น ประกอบกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น จะพบว่ายุงเพิ่มจำนวนขึ้น 

นี่เป็นตัวอย่างของผลกระทบที่เชื่อมโยงกันระหว่างโลกร้อน มลพิษทางอากาศ และวงจรชีวิตของแมลง ฝุ่น PM 2.5 ยังทำให้ ประชากรแมลงบางชนิดลดลง โดยเฉพาะแมลงที่อ่อนไหวต่อมลพิษ เช่น ผีเสื้อ และแมลงปอ อาจลดจำนวนลงในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นสูง และอาจส่งผลต่อห่วงโซ่อาหาร โดยทำให้สัตว์นักล่า เช่น นก หรือ กบ ขาดแหล่งอาหาร ตามไปด้วย 

เห็นได้ว่าฝุ่นจิ๋วส่งผลเสียต่อแมลงหลายชนิด โดยเฉพาะแมลงผสมเกสรและแมลงที่ช่วยควบคุมศัตรูพืช ซึ่งอาจทำให้ระบบนิเวศเสียสมดุลและส่งผลต่อเกษตรกรรมในระยะยาว

แมลง หายากขึ้น หรือไม่

ดร.แก้วภวิกา กล่าวว่า  เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงวัยเด็ก เราจะเห็นได้ชัดว่า จำนวนและความหลากหลายของแมลงลดลงอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในป่า ในเขตเมือง หรือแม้แต่ในบริเวณบ้านเรือน เมื่อก่อน เพียงแค่เดินออกไปหน้าบ้านหรือสวนใกล้ ๆ ก็สามารถพบเห็นผีเสื้อได้ง่าย แต่ปัจจุบัน หากต้องการดูผีเสื้อ เราอาจต้องเดินทางไปยังอุทยานหรือแหล่งธรรมชาติที่เฉพาะเจาะจง

แม้แต่การสำรวจภาคสนามในปัจจุบัน หากไม่ใช่พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์มาก ก็พบแมลงได้น้อยลง ทั้งในแง่ของชนิดและปริมาณ ความหลากหลายทางชีวภาพลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพื่อรับมือกับปัญหานี้ มีหน่วยงานที่พยายามพัฒนาแนวทางเพาะเลี้ยงแมลงเศรษฐกิจ ซึ่งเดิมทีชาวบ้านต้องเก็บจากธรรมชาติ เช่น

การทดลองเลี้ยงผีเสื้อบางชนิด การทดลองเลี้ยงบึ้ง การศึกษาแนวทางเลี้ยงแมลงดานา เพื่อลดการจับจากธรรมชาติ การวิจัยเกี่ยวกับจิ้งหรีดป่า เพื่อนำมาขยายพันธุ์และส่งเสริมการเลี้ยงในเชิงพาณิชย์

โลกของแมลงเป็นโลกที่กว้างใหญ่ ไม่เพียงแต่มีความสวยงาม แต่ยังมีประโยชน์มากมาย ปัจจุบัน ความสนใจในแมลงในฐานะสัตว์เศรษฐกิจเพิ่มขึ้น หลายคนอาจไม่ทราบว่า แมลงบางชนิดมีการซื้อขายได้ในราคาสูง ตัวอย่างเช่น มด ที่พบถูกลักลอบส่งออกไปยังต่างประเทศ ประกอบด้วย ตัวผู้ ตัวเมีย และไข่ เพื่อเป็นสัตว์เลี้ยง  

แมลงสำคัญอย่างไร และการอนุรักษ์แมลงสำคัญอย่างไร

การอนุรักษ์แมลงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะแมลงมีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศและชีวิตมนุษย์ในหลายด้าน หากแมลงลดลงหรือสูญพันธุ์ อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ 

ดร.แก้วภวิกา กล่าวว่า แมลงเป็นผู้ผสมเกสรที่สำคัญ ผึ้ง ผีเสื้อ แมลงภู่ และแมลงผสมเกสรอื่น ๆ มีบทบาทสำคัญในการผสมเกสรให้กับพืชกว่า 75% ของพืชผลทางการเกษตร หากไม่มีแมลงผสมเกสร การผลิตอาหาร เช่น ผลไม้ ผัก และถั่ว จะลดลงอย่างมาก

แมลงช่วยควบคุมศัตรูพืชตามธรรมชาติ แมลงนักล่า เช่น เต่าทอง มวนเพชฌฆาต แมลงปอ และแมลงช้างปีกใส ช่วยกำจัดแมลงศัตรูพืช ลดความจำเป็นในการใช้สารเคมี และช่วยลดผลกระทบจากศัตรูพืชต่อการเกษตร และลดต้นทุนของเกษตรกร

ไม่แค่เป็นนักล่า แมลงยังเป็นแหล่งอาหารในห่วงโซ่อาหาร เป็นอาหารของสัตว์หลายชนิด เช่น นก ค้างคาว กบ และสัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งหากแมลงลดลงอาจทำให้สัตว์ที่กินแมลงลดจำนวนลงตามไปด้วย ส่งผลต่อสมดุลของระบบนิเวศ

ขณะที่ แมลง เช่น มด ปลวก และด้วงบางชนิด ช่วยย่อยสลายซากพืชและซากสัตว์ ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์และช่วยรักษาสมดุลของวัฏจักรสารอาหารในธรรมชาติ หรือ แมลงวันลาย (แมลงโปรตีน) ที่สามารถย่อยสลายขยะอินทรีย์ ผลพลอยได้คือช่วยลด "ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์" หรือ "ก๊าซเรือนกระจก"

แมลงบางชนิดยังถูกใช้ในการศึกษาทางชีววิทยาและการแพทย์ สารจากแมลงบางชนิด เช่น พิษของผึ้ง มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นยารักษาโรค

การลดลงของแมลงผสมเกสรอาจทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง นำไปสู่ราคาสินค้าอาหารที่สูงขึ้น นอกจากนี้แมลงบางชนิด เช่น ไหมและกลุ่มแมลงกินได้ มีความสำคัญในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเป็นอาหารมนุษย์หรือสัตว์

การมีอยู่หรือหายไปของแมลงบางชนิดสามารถบ่งบอกถึงสุขภาพของระบบนิเวศ การลดลงของแมลงอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

หากแมลงลดจำนวนลงจะเกิดอะไรขึ้น  

ดร.แก้วภวิกา กล่าวว่า หากแมลงลดลงหรือสูญพันธุ์ ระบบนิเวศอาจเสียสมดุลอย่างรุนแรง นำไปสู่ปัญหาต่างตามมา ยกตัวอย่างเช่น พืชหลายชนิดสูญพันธุ์เพราะขาดการผสมเกสร ศัตรูพืชระบาดหนักขึ้นเพราะขาดแมลงนักล่า ห่วงโซ่อาหารพังทลายเพราะสัตว์ที่กินแมลงไม่มีอาหาร ขณะที่คุณภาพดินเสื่อมลงเพราะขาดแมลงช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุ

ดังนั้นการอนุรักษ์แมลงจึงเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อรักษาสมดุลของธรรมชาติ การเกษตร และคุณภาพชีวิตของมนุษย์เอง

แนวทางการอนุรักษ์ "แมลง"

แมลงเป็นสิ่งสำคัญต่อความสมดุลของระบบนิเวศ โดยเฉพาะแมลงผสมเกสร แมลงนักล่า และแมลงที่ช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุ ดร.แก้วภวิกา แนะแนวทางอนุรักษ์แมลงสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

ปลูกพืชพื้นเมืองและพืชดอกที่เป็นอาหารของแมลงผสมเกสร เช่น ผึ้ง ผีเสื้อ รักษาพื้นที่ป่าไม้ ทุ่งหญ้า และพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของแมลงหลายชนิด สร้างแหล่งน้ำขนาดเล็ก เช่น แอ่งน้ำหรือบ่อน้ำ เพื่อเป็นแหล่งน้ำให้แมลงหรือสัตว์อื่น

หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชชนิดที่เป็นอันตรายต่อแมลงมีประโยชน์ ใช้วิธีการควบคุมศัตรูพืชแบบชีวภาพ เช่น ใช้แมลงนักล่า (เต่าทองกำจัดเพลี้ย) แทนการใช้สารเคมี ปลูกพืชหมุนเวียนและใช้วิธีการเกษตรเชิงนิเวศเพื่อรักษาสมดุลของแมลง

ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อชะลอภาวะโลกร้อนที่ส่งผลต่อแมลง ลดฝุ่น PM 2.5 และมลพิษทางอากาศที่กระทบต่อระบบทางเดินหายใจของแมลง ใช้พลังงานสะอาดและลดการใช้ยานพาหนะที่ก่อให้เกิดมลพิษ

ปล่อยให้บางส่วนของสนามหญ้าหรือสวนกลายเป็นพื้นที่ธรรมชาติ โดยไม่ตัดหญ้าบ่อยเกินไป ใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้แห้ง ใบไม้ กองหิน เป็นที่หลบภัยให้แมลง

ให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของแมลงผ่านโรงเรียนและกิจกรรมชุมชน ส่งเสริมให้ประชาชนปลูกต้นไม้ดอกไม้เพื่อให้เป็นแหล่งอาหารและแหล่งอาศัยของแมลงผสมเกสรอย่างยั่งยืน สนับสนุนการศึกษาและงานวิจัยเกี่ยวกับแมลงและการอนุรักษ์

การอนุรักษ์แมลงเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถช่วยกันทำได้ ซึ่งจะช่วยรักษาความสมดุลของระบบนิเวศและความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว

สำรวจแมลง มุมมองของนักกีฏวิทยา

ผู้ที่ศึกษาเรื่องราวของ "แมลง" มีชื่อเรียกว่า นักกีฏวิทยา (Entomologist) พวกเขาสำรวจธรรมชาติ เฝ้าสังเกตพฤติกรรม ค้นคว้าเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ และทำงานเพื่ออนุรักษ์สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศ

ดร.แก้วภวิกา จิตธรรมมา อิกเนเชียส

ดร.แก้วภวิกา จิตธรรมมา อิกเนเชียส

ดร.แก้วภวิกา นักกีฏวิทยาผู้มากประสบการณ์ เล่าว่าทุกครั้งที่ก้าวเข้าสู่ป่า สิ่งแรกที่พบมักเป็นแมลง อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณ รู้ว่าควรมองหาตรงไหนตามใบไม้ กิ่งไม้ หรือพื้นดิน พื้นฐานเหล่านี้ช่วยให้สามารถคาดเดาแหล่งอาศัยของแมลงได้ เช่น ขอนไม้ผุอาจมีหนอนด้วงซ่อนอยู่ หรือใบไม้มีรอยแหว่งอาจเป็นฝีมือของหนอนแมลง หากมองไปที่พื้นดิน อย่างน้อยที่สุดต้องเจอมดหรือปลวก

การค้นพบแมลงชนิดใหม่เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เพราะแมลงแต่ละตัวมีเรื่องราวเฉพาะตัว ดร.แก้วภวิกา เล่าว่าหนึ่งในแมลงที่เธอใช้เวลานานถึง 10 ปี ในการศึกษาจนได้รับการยืนยันว่าเป็นชนิดพันธุ์ใหม่ (new species) เช่น "มวลน้ำขนาดเล็ก" นับเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยทั้งความรู้และความอดทน

อีกหนึ่งการค้นพบสำคัญคือ "แมลงปอเข็มท้องเข็มสังขละ" (Prodasineura sangkhl) ซึ่งถูกพบที่น้ำตกตะเคียนทองในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จ.กาญจนบุรี โดยทีมวิจัยจากกรมอุทยานฯ ร่วมกับนักกีฏวิทยาจากมหาวิทยาลัยยุยตัน ประเทศเวียดนาม

อ่านข่าว : ชนิดใหม่ของโลก "แมลงปอเข็มท้องเข็มสังขละ" ในป่าตะวันตก

แมลงชนิดใหม่ของโลก “แมลงปอเข็มท้องเข็มสังขละ  ภาพจาก : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

แมลงชนิดใหม่ของโลก “แมลงปอเข็มท้องเข็มสังขละ ภาพจาก : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

แมลงปอเข็มชนิดใหม่นี้จัดอยู่ในสกุล Prodasineura หรือเรียกว่าสกุล แมลงปอเข็มท้องเข็ม "สังขละ" คือ ชื่อชนิดใหม่ (New species) แมลงปอเข็มในสกุลหางเข็ม (Prodasineura) ที่พบในพื้นที่นี้จำนวนมากถึง 4 ชนิด และชนิดใหม่ที่รายงานครั้งนี้ จากรายงานการพบแมลงปอเข็มในสกุลนี้ทั้งหมด 6 ชนิดในประเทศไทย

แมลงปอเข็มมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศ โดยเป็นตัวห้ำช่วยควบคุมประชากรแมลงขนาดเล็ก และยังเป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพของลำธาร การค้นพบครั้งนี้สะท้อนถึงความสมบูรณ์ของธรรมชาติและระบบนิเวศในพื้นที่

ดร.แก้วภวิกา กล่าวว่า การค้นพบแมลงแต่ละตัวไม่ได้เป็นแค่การพบเห็นธรรมดา แต่ต้องผ่านการศึกษาค้นคว้า บางครั้งต้องใช้เวลากว่าที่จะได้รับการยืนยันว่าเป็นชนิดพันธุ์ใหม่ นี่คือ เสน่ห์ของการเป็นนักกีฏวิทยา ที่ทำให้ทุกการสำรวจป่าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและท้าทาย

สุดท้าย เห็นได้ว่า แมลงไม่ได้มีความสำคัญเพียงแค่ในระบบนิเวศเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสำคัญที่โลกขาดไม่ได้อีกด้วย ฉะนั้นการศึกษา และเรียนรู้เรื่องของแมลง ก็ยังเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ 

อ่านข่าว : เสน่ห์ "ปาย" เมืองเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ

"Sea Moss Gel" มีประโยชน์อะไร ใครไม่ควรกิน

ริดสีดวงทวาร คืออะไร เช็กอาการที่บ่งบอก การรักษา และป้องกัน


ตามจับจากโดรน! ชายชุดแดงลอบเผาป่าสงวนแม่ลี้-สอบปากคำ

Fri, 7 Mar 2025 17:57:00

กรณีที่นายสมบัติ บุญงามอนงค์ อดีตประธานกรรมการมูลนิธิกระจกเงา ได้โพสต์คลิปว่า มีชายชุดแดงกำลังเผาป่า ในพื้นที่ อ.ลี้ จ.ลำพูน จุดเกิดเหตุเป็นแปลงทำกินสวนลำไย อยู่ติดเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ลี้ อ.ลี้ จ.ลำพูน ซึ่งอยู่นอกเขตป่าอนุรักษ์

วันนี้ (7 มี.ค.2568) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช โดยสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจภูธรอำเภอลี้ จับตัวผู้กระทำผิด และส่งดำเนินคดีแล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสอบปากคำ

เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การว่า เจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงาที่ปฏิบัติงานอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ให้คำแนะนำว่า ให้เผาเศษวัชพืชที่อยู่ริมขอบสวนลำไย เนื่องจากว่ามีไฟป่าเกิดขึ้นบริเวณพื้นที่ป่ารอบสวน

จึงนำตัวผู้ต้องหาไปชี้ตัวเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงา ที่ได้กล่าวอ้างมา ณ บริเวณที่พักบ้านเด่นเม้า ต.แม่ลาน อ.ลี้ จ.ลำพูน เพื่อนำตัวไปสอบปากคำ และดำเนินคดีต่อไปให้ถึงที่สุด ทั้งนี้ขอความร่วมมือประชาชน งดเว้นการเผาทุกกรณี ฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด

นอกจากนี้ขอช่วยกันเป็นหูเป็นตา หากพบเห็นผู้กระทำผิด โทรสายด่วนพิทักษ์ป่า 1362 ถ่ายภาพจุดที่ทำการเผา หรือคนที่ยืนคุมไฟกำลังเผา เพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีได้ นำส่งเจ้าหน้าที่ได้

อ่านข่าว ศาลพิพากษาคดีเผาป่า "เขาน้อย" คุก 4 ปีชดใช้ 133 ล้านบาท

ขณะที่นายสมบัติ บุญงามอนงค์ โพสต์เฟซบุ๊ก กรณีที่ชายคนดังกล่าวอ้างมูลนิธิระบุว่า เรียกพฤติกรรมนี้ว่า "ปัดสวะ" อาสาดับไฟป่า มูลนิธิกระจกเงา อยู่ในพื้นที่ไฟ และดับไฟอยู่เขาด้านบน ได้วิทยุแจ้งให้อาสาที่อยู่ใกล้ผู้จุดไฟว่าพวกเราดับไฟอยู่ด้านบน อย่าได้จุดไฟสวนขึ้นไป เพราะมันจะเป็นอันตราย

โดยมีอาสาสมัครเดินไปคุยด้วย 2 ครั้ง แต่ก็ยังไม่ยอมหยุด หัวหน้าชุดจึงใช้โดรนบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน

ส่วนอาสาสมัครพยายามดับไฟที่อยู่ด้านบน และส่วนหนึ่งได้พยายามดับไฟที่ชายเสื้อแดงจุดขึ้นมาใหม่ การสั่งห้ามปรามได้สั่งการผ่านวิทยุสื่อสาร มีคนได้ยินคำสั่งการ ให้ห้ามจุดไฟหลายคน โดยมีทั้ง พระขุนเดช พรมสวัสดิ์ และผู้ช่วยเจ้าอาวาสอยู่ในเหตุการณ์สั่งการด้วย

การที่ผู้กระทำความผิดอ้างว่า ได้รับคำแนะนำจากอาสาสมัครว่า ให้จุดไฟจึงไม่ใช่ความจริง เพราะพวกเราไม่เคยใช้แนวทางจุดไฟชนไฟเพราะมันอันตรายและมีโอกาสสูงที่ไฟจะลุกลามขยายตัว

การใส่ความและให้การเท็จจะยิ่งทำให้เหตุในการทุเลาโทษหายไป ผู้กระทำผิดควรอธิบายเหตุผลและข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาดีที่สุด

อ่านข่าวอื่นๆ สั่งปิดไม่มีกำหนด "สลักพระ" ไฟไหม้ป่ามากกว่าปีที่แล้ว 50%

ขณะที่สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ พบว่า เกินมาตรฐาน 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย น่าน พะเยา ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน แพร่ อุตรดิตถ์ และตาก โดยตรวจวัดค่าได้ 21.8-77 มคก.ต่อลบ.ม.

ชื่อนอกจังหวัดโผล่! ขอใช้สิทธิที่ดิน คทช.ท่าตะเกียบของนายทุนจีน

 

 

 


ศาลพิพากษาคดีเผาป่า "เขาน้อย" คุก 4 ปีชดใช้ 133 ล้านบาท

Fri, 7 Mar 2025 15:45:00

วันนี้ (7 มี.ค.2568) เพจเฟซบุ๊ก "สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 11 (พิษณุโลก) โพสต์ภาพพร้อมข้อความ ระบุว่า เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2567 พนักงานเจ้าหน้าที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาน้อย-เขาประดู่ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 11 (พิษณุโลก) กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช จับกุมผู้กระทำผิด 1 คน 

ตรวจพบการแผ้วถาง ตัดฟันต้นไม้ จุดไฟเผาต้นไม้และใบไม้แห้ง ซึ่งเป็นป่าเบญจพรรณผสมเต็งรัง มีต้นไม้อยู่จำนวนมากบริเวณพื้นที่ป่าด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้าน บ้านไร่สุขสมบูรณ์หมู่ที่ 10 ต.บ้านยาง อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าและอยู่ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าสองฝั่งลำน้ำแควน้อยและอยู่ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาน้อย-เขาประดู่ เป็นเหตุให้เกิดเพลิงลุกไหม้เผาไหม้ป่าเป็นบริเวณกว้าง  

พื้นที่ที่ถูกทำลายเสื่อมสภาพ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าสองฝั่งลำน้ำแควน้อยและเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาน้อย-เขาประดู่ 2,166 ไร่ คิดมูลค่าความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม เป็นเงิน 133 ล้านบาท  

อันเป็นการทำอันตรายแก่สัตว์ป่า ทำให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า พนักงานเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่

ต่อมาพนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลก ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดพิษณุโลก เป็นคดีหมายเลขดำ ที่ สวอ 29/2567 เรื่องความผิดต่อ พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 ความผิดต่อ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ 2507 ความผิดต่อ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562

คดีดังกล่าว ศาลจังหวัดพิษณุโลก พิพากษาตามคดีหมายเลขแดงที่ สวอ 21/2567 เมื่อวันที่ 22 ส.ค.2567 พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ 2484 มาตรา 54, 72 (2) พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ 2507 มาตรา 14 วรรค (1) 31 วรรคสอง พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า 2562 มาตรา 67 (2), 103 วรรคหนึ่ง จำคุก 8 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี

อ่านข่าว สั่งปิดไม่มีกำหนด "สลักพระ" ไฟไหม้ป่ามากกว่าปีที่แล้ว 50%

พิเคราะห์รายงานสืบเสาะและพินิจจำเลยแล้ว เห็นว่า แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้โทษจำคุกมาก่อน แต่การกระทำผิดของจำเลยก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างต่อทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรป่าไม้ของชาติ

พฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง จึงไม่เห็นสมควรรอการลงโทษ ริบของกลางทั้งหมด ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลายหรือเสียหายเป็นเงิน 133 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 6 พ.ค.2567 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่กรมอุทยาน 

พร้อมให้จำเลยและบริวารของจำเลย ออกไปจากเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุภายใน 30 วัน นับแต่คดีถึงที่สุด นอกจากนี้ให้ยก ไม่มีผู้ใดอุทธรณ์คดีถึงที่สุด 

อ่านข่าว

ชื่อนอกจังหวัดโผล่! ขอใช้สิทธิที่ดิน คทช.ท่าตะเกียบของนายทุนจีน

ช้างป่าทำร้ายเจ้าหน้าที่ป่าภูหลวงเสียชีวิต 1 บาดเจ็บ 1


สั่งปิดไม่มีกำหนด "สลักพระ" ไฟไหม้ป่ามากกว่าปีที่แล้ว 50%

Fri, 7 Mar 2025 14:45:00

วันนี้ (7 มี.ค.2568) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช สั่งปิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ อย่างถาวร ห้ามเข้าไปเก็บหาของป่าทุกกรณี เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ป่าอย่างไม่มีกำหนด หลังจากในช่วงที่ผ่านมาพบจุดความร้อน (Hotspot) ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ​ จำนวน 839 จุด ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วถึง​ 50 % แสดงให้เห็นว่าชุมชนในเขตป่าและโดยรอบยังขาดการให้ความร่วมมือในการป้องกันไฟป่า​

นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่เกิดไฟป่าสูงสุดของประเทศไทย​ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 มีการดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการเผาป่าแล้ว​จำนวน 39 คดี มีผู้ต้องหา 10 คน และมีพื้นที่เสียหายกว่า 2,182 ไร่

นายอรรถพล ยังได้ออกคำเตือนประชาชนถึงบทลงโทษรุนแรง สำหรับผู้ลักลอบเผาป่า ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของปัญหาหมอกควันและมลพิษทางอากาศ โดยยืนยันว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดกับผู้กระทำผิด​ ตาม​นโยบาย​ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ที่มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

การเผาป่าส่งผลกระทบรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ เด็ก และผู้สูงอายุ รวมถึงส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่​

ทั้งนี้ ผู้กระทำผิดฐานเผาป่าจะถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และปรับตั้งแต่ 400,000-2,000,000 บาท นอกจากนี้ยังมีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถลงโทษเพิ่มเติมได้ ตามความเสียหายที่เกิดขึ้น

อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวด้วยว่า ผู้กระทำผิดจะต้องรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพยากรป่าไม้ในอัตราไร่ละ 120,000 บาท โดยเงินค่าเสียหายนี้จะนำไปใช้ในการฟื้นฟูสภาพป่าและระบบนิเวศที่ถูกทำลาย​ ซึ่งเมื่อพื้นที่ป่าเสียหายอย่างหนัก​ จำเป็นต้องฟื้นฟู​พื้นที่ เพราะจะกระทบแหล่งอาหารของช้างป่า รวมถึงสัตว์ป่าชนิดอื่น ๆ​ ทำให้ช้างป่าและสัตว์ป่าออกนอกป่ามากขึ้น​

อ่านข่าว : ชื่อนอกจังหวัดโผล่! ขอใช้สิทธิที่ดิน คทช.ท่าตะเกียบของนายทุนจีน 

ยึดอีกแปลง 400 ไร่สวนทุเรียนรุกป่า "จิสด้า" ช่วยสแกน 7.2 ล้านไร่ 

ช้างป่าทำร้ายเจ้าหน้าที่ป่าภูหลวงเสียชีวิต 1 บาดเจ็บ 1 


ชื่อนอกจังหวัดโผล่! ขอใช้สิทธิที่ดิน คทช.ท่าตะเกียบของนายทุนจีน

Fri, 7 Mar 2025 13:13:36

กรณีการตรวจสอบที่ดินของภายใต้โครงการคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.)ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ที่พบถูกเปลี่ยนมือไปให้กับนายทุนจีนปลูกทุเรียน ซึ่งนำไปสู่การตรวจสอบอีกหลายพื้นที่

เมื่อวันที่ 6 มี.ค.2568 ชาวบ้านหมู่ 3 ต.ตกพรม อ.ขลุง จ.จันทบุรี จำนวน 3 คน เข้าพบ พ.ต.อ.ธราเทพ ตูพานิช รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี เพื่อขอให้ตรวจสอบหลังพบมีรายชื่อปรากฎอยู่ในบัญชีขอใช้สิทธิที่ดินของ  คทช.ในพื้นที่ ต.คลองตะเกรา อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา แต่ปัจจุบัน นายทุนต่างชาติถือครองสิทธิที่ดินบริเวณดังกล่าว เพื่อปลูกทุเรียน

อ่านข่าว ยึดอีกแปลง 400 ไร่สวนทุเรียนรุกป่า "จิสด้า" ช่วยสแกน 7.2 ล้านไร่

ชาวบ้านจันทบุรีเข้าแจ้งความปมถูกนำชื่อไปสวมสิทธิที่ดินคทช.แปลงที่มีปัญหานายทุนจีนนำไปปลูกสวนทุเรียน

ชาวบ้านจันทบุรีเข้าแจ้งความปมถูกนำชื่อไปสวมสิทธิที่ดินคทช.แปลงที่มีปัญหานายทุนจีนนำไปปลูกสวนทุเรียน

ชาวบ้านคนหนึ่งยืนยันว่า ไม่เคยเดินทางไปที่อ.ท่าตะเกียบ  และไม่เคยยื่นขอใช้สิทธิคทช. หรือเซ็นเอกสารใดๆ ขณะที่อีกคน ระบุว่า เมื่อ 10 ปีก่อน เคยมีบุคคลนำเอกสารอ้างว่า เป็นใบสมัครงานมาให้เซ็น แต่ไม่ได้เอะใจอะไร กระทั่งได้รับหนังสือแจ้งให้ไปแสดงสิทธิ จึงมาลงบันทึก ประจำวันไว้เป็นหลักฐาน

เขาเอาอะไรให้เซ็นในกระดาษแผ่นเดียว แต่ไม่ได้ให้บัตรประชาชนไป
พ.ต.อ.ธราเทพ ตูพานิช รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี

พ.ต.อ.ธราเทพ ตูพานิช รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี

พ.ต.อ.ธราเทพ กล่าวว่า ชาวบ้านทั้งหมดให้การปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขอใช้สิทธิ คทช. และได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน กรณีที่เกิดขึ้น ได้แนะนำให้ชาวบ้านทั้ง 3 คน แจ้งกลับไปยังหน่วยป้องกันและรักษาป่า ฉช.3 (หนองคอก) ในฐานะผู้ออกหนังสือ เพื่อยืนยันข้อมูลดังกล่าว

มีแจ้งความแจ้งความแล้ว 3 คนที่สภ.ตกพรมว่าถูกไปยื่นครอบครองที่ดิน และเป็นบริษัทที่ทำสวนทุเรียน
สวนทุเรียนของจีน ที่นำที่ดินของคทช.ไปใช้

สวนทุเรียนของจีน ที่นำที่ดินของคทช.ไปใช้

ส่วนเรื่องของคดี หาก สภ.ท่าตะเกียบ ประสานขอให้ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง ก็พร้อมจะดำเนินการ และหากพบว่าเกี่ยวข้อง ในฐานะ "นอมินี" ถือครองที่ดินแทนนายทุนต่างชาติ ก็จะต้องถูกดำเนินคดี

จากการตรวจสอบรายชื่อผู้แจ้งครอบครองที่ดิน บริเวณแปลงปลูกทุเรียนในอ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา ของนายทุนต่างชาติ มีทั้งหมด 14 คน แบ่งเป็นชาวฉะเชิงเทรา 3 คน ชาวตราด 6 คน ชาวจันทบุรี 4 คน ไม่ใช่คนในพื้นที่ และอีก 1 คน ไม่ทราบชื่อ-ที่อยู่ 

อ่านข่าว

"ชีวะภาพ" เล็งดำเนินคดีทุนจีนบุกรุกพื้นที่ปลูกทุเรียนจันทบุรี-ตราด

แกะรอย "นอมินีทุนจีน" ปลูกทุเรียนพันธุ์ "มูซังคิง"กลางป่าไทย

"เฉลิมชัย" สั่งสอบที่ดินคทช. 7.2 ล้านไร่ปมทุนจีนปลูกทุเรียน

 


19 ชม.! ยังดับไฟไหม้คลังสินค้าแช่เย็นไม่ได้-ไร้แอมโมเนียรั่ว

Fri, 7 Mar 2025 10:58:00

วันนี้ (7 มี.ค.2568) ความคืบหน้าเกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารคลังสินค้าแช่เย็น ภายในบริษัทบางกอก โกล สโตริง เซอร์วิส อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่เวลา 16.00 น.(6 มี.ค.) จนถึงล่าสุดยังไม่สามารถคุมเพลิงได้ทั้งหมดเป็นระยะเวลากว่า 19 ชั่วโมงแล้ว 

ภาพมุมสูงตรวจจับความร้อนจากสมาคมตอบโต้ภัยพิบัติแห่งชาติ ที่ใช้โดรนบินสำรวจความร้อนเหนือโกดังคลังสินค้าแช่เย็น เพื่อนำข้อมูลมาวิเคาระห์ วางแผนในการควบคุมเพลิง เบื้องต้นจากการตรวจสอบเมื่อคืนนี้ยังพบแสงเพลิงและความร้อนกระจายเต็มโกดัง

อ่านข่าว ไฟไหม้อาคารคลังสินค้าแช่เย็นย่านบางพลี เตือนแอมโมเนียรั่วไหล

ไฟไหม้อาคารคลังสินค้าแช่เย็น ภายในบริษัทบางกอก โกล สโตริง เซอร์วิส อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

ไฟไหม้อาคารคลังสินค้าแช่เย็น ภายในบริษัทบางกอก โกล สโตริง เซอร์วิส อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

ขณะนี้เป็นระยะเวลากว่า 19 ชั่วโมงแล้ว ที่เจ้าหน้าที่นักดับเพลิงใช้รถน้ำกว่า 30 คัน จากหลายพื้นที่ระดมฉีดน้ำ แต่ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ทั้งหมด เนื่องจากลักษณะของโกดังดังกล่าว เป็นห้องเย็นมีผนังกั้น 2 ชั้น

โดยชั้นในมีความหนากว่า 20 เซนติเมตร และภายในโกดังมีสินค้าแช่แข็งสำเร็จรูปจำนวนมาก มีการพังถล่มของสินค้าภายในโกดังต่อเนื่อง จึงเป็นอุปสรรคในการเข้าควบคุมเพลิงบริเวณชั้นใน

นายสุจิต คำล้วน เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบต.บางโฉลง

นายสุจิต คำล้วน เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบต.บางโฉลง

นายสุจิต คำล้วน เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบต.บางโฉลง ระบุว่า แผนควบคุมเพลิงวันนี้ จะใช้รถน้ำกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสำนักงานเขต 1 ปทุมธานี ยกกระเช้าขึ้นฉีดโฟมดับเพลิงเข้าไปภายในตัวอาคาร

จากนั้นจะประเมินว่ามีความปลอดภัยที่จะให้นักผจญเพลิงเข้าไปควบคุมเพลิงภายในตัวอาคารหรือไม่ เนื่องจากการตรวจสอบพบว่าขณะนี้ภายในห้องเย็นยังมีเพลิงไหม้อยู่

ตอนนี้ปัญหาคือพวกชั้นวางของที่พังถล่มลงมาและกีดขวางการเข้าดับ และเชื้อเพลิงไหม้เนื้อสัตว์ และต้นเพลิงทั้ง 4 แนวยังอยู่ที่ผนังและมีโฟมเก็บความร้อนทำให้ไปยังปะทุ จะใช้โฟมฉีดไล่ดับ  

ผู้บริหารโกดังคลังสินค้าแช่เย็น ที่เกิดเพลิงไหม้ ยืนยันว่าโกดังที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ ไม่ได้มีก๊าซแอมโมเนียรั่วไหล ตามที่หลายคนกังวล และหากประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ สามารถแจ้งบริษัท หรือหน่วยงานราชการ เพื่อเยียวยาความเสียหาย  ส่วนมูลค่าความเสียหายยังไม่สามารถประเมินได้ แต่เบื้องต้นบริษัทมีการทำประกันภัยไว้

อ่านข่าวอื่นๆ

ราชทัณฑ์ ปัด"ขบวนการหากินกับคุก” แต่ยอมตั้งกก.หาความจริง


ส.ป.ก.เล็งออกโฉนดเพื่อการเกษตร 17 ล้านไร่ถึงมือ 1.06 ล้านคน

Thu, 6 Mar 2025 18:27:16

วันนี้ (6 มี.ค.2568) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งขับเคลื่อนดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ในการจัดที่ดินทำกินแก่เกษตรกรให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน หรือส.ป.ก. 4-01 เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร โดยตั้งเป้าให้ครบ 22 ล้านไร่ ในปี 2568 เพื่อให้เกษตรนำไปต่อยอดให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อสร้างคุณภาพชีวิต 

ที่ผ่านมาพบพื้นที่ยังมีข้อพิพาทที่ดิน 5 ล้านไร่ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ปรับแผนเป้าหมายจากเดิม 22 ล้านไร่ เป็น 17 ล้านไร่ในปีนี้

ทั้งนี้ ส.ป.ก.ได้ปรับปรุงสิทธิการถือครองที่ดินให้ประชาชนมีสิทธิในที่ดิน โดยพิจารณาเอกสารสิทธิ การใช้ประโยชน์ให้เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร เพื่อให้นำไปต่อยอดให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนนำมาพัฒนาที่ดินเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว โดยตั้งแต่ปี 2567 มีแผนงานดำเนินการ 500,00 คน โดยใช้เงินกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม

นายอนุกูล ระบุว่า สำหรับปีงบประมาณพ.ศ.2568 มีเป้าหมายในการยื่นรับคำขอออกโฉนดเพื่อการเกษตรจำนวน 1.06 ล้านคน และต้องจัดทำโฉนดเพื่อการเกษตรให้แล้วเสร็จ ร้อยละ 70 ของเป้าหมายในการรับคำขอ 

ซึ่งที่ผ่านมา ส.ป.ก.มีการแก้ไขระเบียบสำหรับใช้ในการดำเนินงานจัดที่ดินของ ส.ป.ก.ใหม่ เพื่อให้มีรองรับกับสถานการณ์ เช่น ระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการคัดเลือก และจัดที่ดินให้แก่เกษตรกร การโอนหรือตกทอดทางมรดก สิทธิการเช่าหรือเช่าซื้อ และการจัดการทรัพย์สินและหนี้สินของเกษตรกรที่ได้รับที่ดิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2566

รวมทั้งเบียบ คปก.ว่าด้วยการให้เกษตรกร และสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2566 ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนงานจัดที่ดินของ ส.ป.ก. ทั้งการจัดที่ดินทำกิน และการปรับปรุงหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (โฉนดเพื่อการเกษตร) ในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 มีทิศทางการดำเนินงานที่มีเป้าหมายชัดเจน สามารถจัดการและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติงานได้อย่างเป็นระบบ รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสามารถรองรับเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินจำนวนมากที่มาขอรับบริการ


กปภ.โคราช เตือนน้ำดิบเหลือผลิตประปาได้แค่ 20 วัน

Thu, 6 Mar 2025 11:26:00

วันนี้ (6 มี.ค.2568) ชาวชุมชนประปา ต.จอหอ อ.เมืองนครราชสีมา นำภาชนะ เช่น ตุ่มน้ำ และโอ่งน้ำ เพื่อเก็บน้ำไว้สำรองไว้ใช้ในช่วงหน้าแล้ง หลังจากที่การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขานครราชสีมา แจ้งเตือนให้ผู้ใช้น้ำให้สำรองน้ำไว้ใช้ เนื่องจากน้ำดิบของประปาส่วนภูมิภาค สาขานครราชสีมา เหลือเพียง 1 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งจะทำให้มีน้ำใช้เพียง 20 วัน

นายสมจิตร ภูมิเกาะ ชาวชุมชนประปา บอกว่า ภายในบ้านอาศัยอยู่ด้วยกัน 3 คน ใช้น้ำประปาจากการประปาส่วนภูมิภาค สาขานครราชสีมาเป็นหลัก แต่ละวันต้องใช้น้ำ

ช่วงนี้ก็พบว่ามีบางช่วงที่น้ำประปาจะไหลอ่อน จึงได้สำรองไว้ในตุ่มน้ำ และยังเปิดน้ำในห้องน้ำไว้เต็มอ่างตลอด ช่วงนี้ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ใช้น้ำอย่างประหยัดมากขึ้น
กปภ.นครราชสีมา เตือนมีน้ำผลิตประปาเหลือน้อยคาดมีน้ำใช้อีกแค่ 20 วัน

กปภ.นครราชสีมา เตือนมีน้ำผลิตประปาเหลือน้อยคาดมีน้ำใช้อีกแค่ 20 วัน

นายสนธิ บุญศิริ ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาค สาขานครราชสีมา กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ใช้น้ำจากการประปาส่วนภูมิภาคกว่า 46,000 ครัวเรือน ครอบคลุมเขต อ.เมืองนครราชสีมา และอ.เฉลิมพระเกียรติ และใช้น้ำดิบจากอ่างเก็บน้ำมูลบน และอ่างเก็บน้ำลำแชะ อ.ครบุรี แต่ตอนนี้อ่างเก็บน้ำทั้ง 2 แห่งน้ำเหลือน้อย จึงไม่มีการปล่อยน้ำลงในลำน้ำมูลตามปกติ ส่งผลให้ลำน้ำมูลแห้งขอด ไม่สามารถสูบน้ำมาผลิตประปาได้

น้ำดิบที่เหลือใช้ผลิตประปาได้เพียง 20 วัน โดยประปาส่วนภูมิภาค สาขานครราชสีมา เร่งขอน้ำจากอ่างเก็บน้ำทั้ง 2 แห่งปล่อยลงมาตามลำน้ำมูลกว่า 20 ล้านลบ.ม.ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 10 วัน กว่าจะมาถึงโรงสูบน้ำประปา

ดังนั้นทางการประปาส่วนภูมิภาค จึงต้องบริหารจัดการน้ำดิบที่เหลือเพื่อลดความเสี่ยงขาดน้ำประปา โดยการลดแรงดันน้ำลงในช่วงคนใช้น้ำ และจะปรับแรงดันน้ำตามปกติในช่วงคนใช้น้ำมาก จึงอาจจะส่งผลกระทบทำให้น้ำไหลอ่อนในบางช่วงเวลา

 

 


เปิดภาพหายาก "นกหว้า" พญาระกาแห่งผืนป่าภาคใต้

Wed, 5 Mar 2025 15:51:00

วันนี้ (5 มี.ค.2568) นายกิตติศักดิ์ ชูแก้ว หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกรุง จ.สุราษฎร์ธานี​ เปิดเผยความสำเร็จครั้งสำคัญในการอนุรักษ์สัตว์ป่าหายาก หลังกล้องดักถ่ายสัตว์ป่า (Camera Trap) ของโครงการความร่วมมือระหว่างอุทยานฯ และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) สามารถบันทึกภาพ "นกหว้า" นกหายากที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "พญาระกา" หรือ "ไก่ป่าแห่งป่าใต้" ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกรุง​

การพบนกหว้าในครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศของผืนป่าภาคใต้​ เนื่องจากนกหว้าเป็นสัตว์ป่าที่มีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม จึงเป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของป่าได้เป็นอย่างดี​

นกหว้า (Argusianus argus) เป็นนกในวงศ์ไก่ฟ้าที่มีขนาดใหญ่ โดดเด่นด้วยลวดลายขนที่สวยงามคล้ายตาของยักษ์อาร์กัสในตำนานกรีก ตัวผู้มีขนหางยาวพิเศษและลวดลายคล้ายตาบนปีกที่ใช้ในการเกี้ยวพาราสี นกหว้า​ จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทนกในลำดับที่ 762 ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 The IUCN Red List of Threatened Species จัดให้อยู่ในกลุ่ม Vulnerable (VU) มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์​ ตามบัญชีแดงของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN)

ปัจจุบันนกหว้าพบได้น้อยมากในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ของไทย มาเลเซีย และบางส่วนของเกาะสุมาตรา ด้วยพฤติกรรมขี้อายและชอบอาศัยในป่าทึบ จึงยากต่อการพบเห็นและศึกษาในธรรมชาติ การใช้เทคโนโลยีกล้องดักถ่ายเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการสำรวจสัตว์ป่าที่หายากโดยไม่รบกวนพฤติกรรมตามธรรมชาติ ภาพที่ได้จะนำไปใช้ในการศึกษาประชากร พฤติกรรม และถิ่นที่อยู่อาศัยของนกหว้า เพื่อวางแผนการอนุรักษ์ที่มีประสิทธิภาพต่อไป

อ่านข่าว : รู้จัก "กำแพงเก้าชั้น" ไม้เถาชื่อประหลาดสรรพคุณสมุนไพรล้น 

ศาลปกครองสงขลานัดอ่านคำสั่งคดีเหมืองหินเขาโต๊ะกรัง 18 มี.ค.นี้ 

ยึดอีกแปลง 400 ไร่สวนทุเรียนรุกป่า "จิสด้า" ช่วยสแกน 7.2 ล้านไร่