วันนี้ (22 พ.ย.2567) นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยความคืบหน้าการจ่ายเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ (โครงการฯ) ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายโครงการรวมประมาณ 14.55 ล้านคน ว่า
กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางได้จ่ายเงิน 10,000 บาทต่อราย ให้แก่กลุ่มเป้าหมายตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย.2567 ถึงวันที่ 21 พ.ย.2567 โดยมียอดรวมที่จ่ายเงินสำเร็จแล้วเป็นจำนวนทั้งสิ้น 14,437,625 ราย
ทั้งนี้ ในรอบการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 21 พ.ย.2567 กรมบัญชีกลาง ได้สั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการที่มีสิทธิจำนวน 73,967 ราย โดยประกอบด้วยการจ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิที่ยังจ่ายเงินไม่สำเร็จในรอบการจ่ายเงินที่ผ่านมา และการจ่ายเงินให้แก่คนพิการที่ได้ดำเนินการต่ออายุบัตรประจำตัวคนพิการหรือทำบัตรประจำตัวคนพิการหรือแก้ไขข้อมูลบัตรประจำตัวคนพิการเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ดี พบว่าในรอบการจ่ายเงินซ้ำดังกล่าว ยังมีการจ่ายเงินไม่สำเร็จจำนวน 43,699 ราย เนื่องจากสาเหตุดังนี้
1. คนพิการ จ่ายเงินไม่สำเร็จจำนวน 4,300 ราย มีสาเหตุจากบัญชีเงินฝากธนาคารไม่มีการเคลื่อนไหว บัญชีเงินฝากธนาคารถูกปิด เลขบัญชีเงินฝากธนาคารไม่ถูกต้องรวมกัน 169 ราย และกรณีคนพิการที่ไม่เคยลงทะเบียนขอรับเบี้ยความพิการมาก่อนทำให้ไม่มีเลขบัญชีเงินฝากธนาคารสำหรับรับเงินซึ่งกรมบัญชีกลางได้จ่ายเงินให้คนพิการกลุ่มนี้ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนแทน แต่พบว่าปลายทางยังไม่ได้ผูกบัญชีพร้อมเพย์จึงยังจ่ายเงินผ่านพร้อมเพย์ไม่สำเร็จอีกเป็นจำนวน 4,131 ราย
2. ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จ่ายเงินไม่สำเร็จจำนวน 39,399 ราย มีสาเหตุหลักเนื่องจากยังไม่ได้ผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชน บัญชีเงินฝากธนาคารไม่มีการเคลื่อนไหว บัญชีเงินฝากธนาคารถูกปิด ไม่มีบัญชีเงินฝากธนาคาร และเลขบัญชีเงินฝากธนาคารไม่ถูกต้อง ในจำนวนนี้รวมถึงกรณีผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีบัตรประจำตัวคนพิการด้วยแต่บัตรประจำตัวคนพิการหมดอายุและยังไม่ได้ต่ออายุบัตรภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2567
ซึ่งกลุ่มนี้จะได้รับการจ่ายเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ตามสิทธิของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ดังนั้น เมื่อพบว่าปลายทาง ยังไม่ได้ผูกบัญชีพร้อมเพย์จึงยังจ่ายเงินไม่สำเร็จ
โฆษกกระทรวงการคลังจึงขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีสิทธิที่ยังจ่ายเงินไม่สำเร็จจำนวน 43,699 ราย รีบดำเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชน หรือติดต่อธนาคารเพื่อแก้ไขบัญชีเงินฝากธนาคารที่มีปัญหาข้างต้นโดยเร็ว เนื่องจากจะมีการจ่ายเงินในรอบการจ่ายซ้ำอีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ ยังพบว่ามีคนพิการอีกจำนวน 31,634 ราย ที่กรมบัญชีกลางยังไม่สามารถสั่งจ่ายเงินให้ได้ เนื่องจากจะต้องต่ออายุบัตรประจำตัวคนพิการ ทำบัตรประจำตัวคนพิการ หรือแก้ไขข้อมูลประจำตัวคนพิการที่ศูนย์บริการคนพิการทั่วประเทศให้ถูกต้องเสียก่อนตามเงื่อนไขของโครงการฯ ทั้งนี้ การทำบัตรหรือต่ออายุบัตรประจำตัวคนพิการต้องดำเนินการภายในวันที่ 3 ธ.ค.2567
ส่วนการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนหรือแก้ไขบัญชีต้องดำเนินการภายในวันที่ 16 ธ.ค.2567 ซึ่งจะได้รับการจ่ายเงินในรอบการจ่ายซ้ำ Retry ครั้งที่ 3 (ครั้งสุดท้าย) ในวันที่ 19 ธ.ค.2567
โฆษกกระทรวงการคลังยังได้เน้นย้ำว่า เมื่อพ้นกำหนดการ Retry ครั้งที่ 3 แล้ว จะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย และถือว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการฯ นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ภาครัฐได้จ่ายเงิน 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มเป้าหมายแล้วรวมทั้งสิ้น 14,437,625 ราย ทำให้มีเม็ดเงินจากโครงการฯ หมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวน 144,376.25 ล้านบาท ขอให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับเงินส่วนนี้แล้ว วางแผนการใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าและให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและครอบครัวต่อไป
ช่องทางการติดต่อ:
1. ตรวจสอบสิทธิและผลการโอนเงิน: เว็บไซต์ https://โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ2567.cgd.go.th (ตรวจสอบผลการโอนเงินได้ในวันถัดไปหลังจากวันที่จ่ายเงิน)
2. สอบถามข้อมูลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ: ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านระบบตอบรับอัตโนมัติ โทรศัพท์หมายเลข
0 2109 2345 กด 1 กด 5 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการและวันนักขัตฤกษ์ 24 ชั่วโมง
3. สอบถามข้อมูลคนพิการ: ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
4. สอบถามข้อมูลบุคคลล้มละลายหรือถูกพิทักษ์ทรัพย์: โทรศัพท์หมายเลข 0 2881 4999 หรือสายด่วน 1111 กด 79
อ่านข่าว :
รีบผูกพร้อมเพย์! แจกเงิน 1 หมื่นเฟส 2 ประกาศชื่อผู้มีสิทธิ์ ธ.ค.นี้
เคาะแจกเงิน 10,000 เฟส 2 ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป รับก่อนตรุษจีน 2568
แจกเงิน 10,000 บาท รอบจ่ายซ้ำ โอนไม่สำเร็จ 64,892 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้ (21 พ.ย.2567) หลังโรงงาน บ.ฟูไน (ไทยแลนด์) จำกัด ประกาศปิดกิจการถาวร ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย.ทำให้พนักงานกว่า 100 คน จากทั้งหมดกว่า 800 คน ถือป้ายข้อความเรียกร้องค่าชดเชยและสิทธิต่าง ๆ บริเวณหน้าโรงงานซึ่งตั้งอยู่บริเวณบ้านซับม่วง ริมถนนปากช่อง-ลำสมพุง ต.จันทึก อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
การชุมนุมประท้วงของพนักงานเกิดขึ้น หลัง บ.ฟูไน (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตชิ้นส่วน วิทยุ โทรทัศน์ และอุปกรณ์ไฟฟ้าหลังจากสำนักงานใหญ่ ประเทศญี่ปุ่น ประกาศล้มละลายต่อศาลที่ญี่ปุ่น ทำให้พนักงานทั้งหมด 831 คน ต้องตกงานทันที รวมทั้งบริษัทห้ามพนักงานทุกคนเข้าไปภายในโรงงานเด็ดขาด ก่อนจะได้รับอนุญาตให้ติดป้ายไว้หน้าโรงงานได้
ก่อนหน้านี้โรงงานแจ้งว่า จะจ่ายเงินชดเชยให้พนักงานใน 90 วัน แต่พนักงานไม่มั่นใจว่าจะได้เงิน เพราะหลายคนต้องกลับไป ตั้งหลักที่บ้านต่างจังหวัด
หลังตัวแทนของโรงงานและตัวแทนพนักงานมาร่วมประชุมกันภายในโรงงาน ก่อนตัวแทนของพนักงานจะออกมาแจ้งผล ประชุมให้ผู้ชุมนุมว่า ทั้ง 2 ฝ่าย จะสำรวจทรัพย์สินของบริษัทฯ เพื่อจะขายแล้วนำเงินมาจ่ายเงินชดเชยให้พนักงาน แต่ก็ให้คำตอบไม่ได้ว่าจะขายได้เมื่อไร และอีกนานไหมจะได้เงิน ไม่มีใครให้คำตอบได้
หลังพนักงานทราบผลการประชุมของตัวแทนทั้ง 2 ฝ่าย ต่างไม่พอใจ พร้อมจะนัดกันมาชุมนุมอีกครั้ง เพราะไม่ได้รับเงินชดเชย ส่วนเงินเดือนได้รับเพียง 75 % หรือ 10 วันเท่านั้น ซึ่งไม่พอใช้จ่ายภายในครอบครัว และหลายคนต้องจ่ายค่าบ้าน ค่ารถ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
อ่านข่าว : เร่งเยียวยา 831แรงงาน "ฟูไนโคราช" ปิดกิจการ
เศรษฐกิจไทยเผาจริง รง.ปิดตัว 1.7 พันแห่ง KKP ชี้แนวโน้มรุนแรง
หวั่นน้ำท่วม ทำเศรษฐกิจพัง 8 พันล้าน กกร.จ่อยื่นรัฐช่วยแก้วิกฤต
วันนี้ (20 พ.ย.2567) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมว.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลัง ดีจีเอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังเตรียมการ เพื่อคัดกรองคุณสมบัติ ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปที่ลงทะเบียนบนแอปพลิเคชั่น "ทางรัฐ" เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา โดยต้องมีเงินเดือนไม่เกิน 70,000 บาท และเงินฝากไม่เกิน 500,000 บาท
อ่านข่าว : เคาะแจกเงิน 10,000 เฟส 2 ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป รับก่อนตรุษจีน 2568
ก่อนส่งข้อมูลให้กรมบัญชีกลาง ดำเนินการโอนเงิน จำนวน 10,000 บาท เข้าพร้อมเพย์ ผู้ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติ ซึ่งคาดว่าจะมีประมาณ 3,000,000 ล้านคน จากจำนวนผู้สูงอายุ ที่ลงทะเบียนประมาณ 4,000,000 ล้านคน
คาดว่า กระทรวงการคลัง จะประกาศรายชื่อผู้ได้รับสิทธิ์ เงิน 10,000 บาท เฟส 2 บนเว็บไซต์ ภายในเดือน ธ.ค.2567 และอาจโอนเงินได้เร็วกว่าวันสิ้นปี
ในระหว่างนี้ ขอให้ ผู้มีอายุ 60 ปี ที่ลงทะเบียน "ทางรัฐ" ดำเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์ กับหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ซึ่งสามารถดำเนินการได้ ที่สถาบันการเงิน หรือ ตู้เอทีเอ็ม ที่มีระบบยืนยันตัวตนได้ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ หากกระทรวงการคลัง ประกาศรายชื่อผู้ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติแล้ว พบว่า ข้อมูลไม่ถูกต้อง สามารถอุทธรณ์สิทธิ์ได้ ในระยะเวลาที่กำหนด โดยผู้ได้รับเงิน 10,000 บาท รอบผู้สูงอายุ เฟส 2 จะเป็นการแจกเงินสดรอบสุดท้าย
เนื่องจาก การแจกเงิน เงิน 10,000 บาท ในเฟส 3 หรือ รอบประชาชนทั่วไป จะได้รับเงินและใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่อยู่ระหว่างพัฒนา ส่วนผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน กระทรวงการคลัง กำลังเตรียมแผนเปิดลงทะเบียน เข้าร่วมโครงการ เร็วๆ นี้ พร้อมย้ำว่า ผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต บนแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ"
อ่านข่าว : วิธีการสมัครรับบริการพร้อมเพย์กับธนาคารต่างๆ
1. ธนาคารที่เปิดบัญชีเงินฝาก
2. Application ของธนาคารที่เปิดบัญชี
3. ตู้ ATM ของธนาคารที่เปิดบัญชี
1. ติดต่อผ่าน call center ธนาคาร เจ้าหน้าที่จะพิสูจน์ตัวตนของคุณและสามารถตอบได้ว่า คุณได้ลงทะเบียนไว้กับธนาคารแล้วหรือไม่ (โดยไม่บอกข้อมูลของธนาคารอื่น)
2. สามารถตรวจสอบข้อมูลด้วยตนเอง โดยใช้ Internet/Mobile Banking ของธนาคารที่ใช้บริการทำการตรวจสอบโดยสมัครลงทะเบียนอีกครั้ง ระบบของหลายธนาคารจะมีการตอบกลับว่าได้ลงทะเบียนไว้แล้ว และบอกด้วยว่าลงไว้กับธนาคาร
3. ไปที่สาขาที่ตนเองต้องการลงทะเบียน และลงทะเบียนอีกครั้ง(ต้องมีหลักฐานแสดงตัวตน) ระบบงานที่สาขาจะสามารถให้ข้อมูลในกรณีที่ลงทะเบียนซ้ำว่าลงทะเบียนไว้แล้วที่ธนาคารใด และสามารถแจ้งคุณได้
4. แจ้งความประสงค์จะทราบข้อมูลว่าลงทะเบียนพร้อมเพย์ไว้แล้วที่ใดผ่าน call center ธนาคาร โดยต้องมีวิธีการพิสูจน์ตัวตนและขอความยินยอมจากคุณในการเรียกดูข้อมูลส่วนตัว และจัดเจ้าหน้าที่ call center / เจ้าหน้าที่ส่วนกลาง ที่สามารถดูข้อมูลในระดับที่ลึกขึ้นเพื่อให้ข้อมูลกับคุณได้
อ่านข่าว :
กระทรวงเกษตรฯ เคาะช่วยชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่
เพิ่มจุดขายสลาก N3 เป็น 827 แห่งทั่วประเทศ เริ่มงวด 1 ธ.ค.2567
“แบงก์ชาติ” จ่อไฟเขียวลดเงิน นำส่งกองทุนฟื้นฟูฯ ช่วยลูกหนี้
วันนี้ (20 พ.ย.2567) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า วันนี้ คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) ที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นประธาน จะพิจารณาแนวทางแก้ปัญหาหนี้สินรายย่อย ในระบบสถาบันการเงิน โดยจะพิจารณาลดเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือ FIDF จากร้อยละ 0.46 เหลือ ร้อยละ 0.23 ของฐานเงินฝาก
เพื่อลดภาระต้นทุนการเงินของสถาบันการเงิน และออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ที่เริ่มผิดนัดชำระและกลุ่มหนี้เสีย ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 31 ต.ค.2567 ตามนโยบายรัฐบาล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ
เห็นชอบให้หลักการ ช่วยเหลือลูกหนี้ 3 กลุ่ม ได้แก่ สินเชื่อบ้าน ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 4.6 แสนบัญชี มูลหนี้ 4.8 แสนล้านบาท รถยนต์ ราคาไม่เกิน 8 แสนบาท 1.4 ล้านบัญชี มูลหนี้ 3.7 แสนล้านบาท และสินเชื่อเอสเอ็มอี ไม่เกิน 3 ล้านบาท 4.3 แสนบัญชี มูลหนี้ 4.5 แสนล้านบาท ซึ่งมีลูกหนี้เข้าข่ายเข้าโครงการดังกล่าว จำนวน 2.3 ล้านคน คิดเป็นมูลหนี้กว่า 1.3 ล้านล้านบาท
โดยลูกหนี้ในโครงการจะได้รับสิทธิ์พักชำระดอกเบี้ย ชำระเงินเพียงเงินต้น ในอัตราผ่อนปรนจากเดิมนานสูงสุด 3 ปี หากตลอดระยะเวลาการเข้าร่วมโครงการลูกหนี้พยายามชำระหนี้ตามเงื่อนไขใหม่ อาจได้รับการพิจารณา ตัดหนี้หรือแฮร์คัต ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสถาบันการเงินเจ้าหนี้
นายเผ่าภูมิกล่าวว่า รัฐบาลจำเป็นต้องช่วยลูกหนี้เปราะบางกลุ่มนี้ เพื่อให้พ้นสภาพการติดหล่ม สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ โดยลูกหนี้จะยังไม่หลุดจากบัญชีเครดิตบูโร แต่สามารถก่อหนี้ในระบบใหม่ได้ จากเดิมที่สถาบันการเงินจะปฏิเสธการปล่อยสินเชื่อทันที
ทั้งนี้การดำเนินโครงการดังกล่าว ไม่ใช่การพักชำระดอกเบี้ยอัตโนมัติ แต่ลูกหนี้ยังต้องรอกระบวนการดำเนินการของแบงก์ชาติ จากนั้นจึงจะติดต่อสถาบันการเงินเจ้าหนี้ และรับสิทธิ์ ตามเงื่อนไขสัญญาใหม่ คาดว่า แบงก์ชาติ จะมีความชัดเจนเร็วๆ นี้
อ่านข่าว : ระเบิดเวลาสังคม! จีนเผชิญวิกฤตความรุนแรงเพิ่มสูง
ตั้งกรงดักจับ "หมีควายเขาใหญ่" ตะปบชาวบ้านเจ็บสาหัส
เร่งสำรวจ "แม่น้ำสาย" ทำแผนป้องกันน้ำท่วม-โคลนถล่ม
วันนี้ (20 พ.ย.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากกรณีมติของที่ประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิตครั้งที่ 1/2567 มีความเห็นให้ปรับเปลี่ยนเป็นสนับสนุนค่าเก็บเกี่ยวข้าว อัตราช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ วงเงินรวมดอกเบี้ย 3.05% จำนวน 27,550.96 ล้านบาท เสนอ นบข.พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ตามที่มีรายงานไปวานนี้ (19 พ.ย) นั้น
ล่าสุดมีรายงานเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับข้อเรียกร้องจากเกษตรจำนวนมาก ให้พิจารณาถึงเรื่องดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเกษตรกรรายย่อยของไทยส่วนใหญ่มีที่ดินไม่เกิน 10 ไร่ เงินช่วยเหลืออาจจะไม่เพียงพอ ทำให้นำมาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง จึงได้ข้อสรุปว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ในวันจันทร์ที่ 25 พ.ย.นี้ คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิต ที่มี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ จะเสนอการช่วยเหลือชาวนาในโครงการช่วยสนับสนุนค่าเก็บเกี่ยวข้าวเป็น 1,000 บาทต่อไร่ ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่
โดยข้อสรุปดังกล่าว เกิดขึ้นเนื่องจากกระทรวงเกษตรฯ พิจารณาถึงผลประโยชน์ของเกษตรกรเป็นที่ตั้ง เพราะหากช่วยเหลือ 1,000 บาทต่อไร่ ตามเดิม เกษตรกรรายย่อยที่มีที่นาเพียง 5 ไร่ ก็ยังจะได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาทต่อครัวเรือน แต่หากปรับมาเหลือ 500 บาทต่อไร่ จะได้รับการช่วยเหลือเพียง 2,500 บาทต่อครัวเรือน ซึ่งคาดว่าจะไม่เพียงพอต่อการช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือชาวนาในโครงการช่วยสนับสนุนค่าเก็บเกี่ยวข้าวเป็น 1,000 บาทต่อไร่ จะต้องใช้งบประมาณ 38,578 ล้านบาท มากกว่าเดิมที่มีกรอบวงเงินอยู่ 29,980.1645 ล้านบาท ซึ่งประเด็นนี้ จะต้องมีการขอความเห็นจาก นบข.อีกครั้งหนึ่ง
อ่านข่าว :
เคาะแจกเงิน 10,000 เฟส 2 ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป รับก่อนตรุษจีน 2568
เพิ่มจุดขายสลาก N3 เป็น 827 แห่งทั่วประเทศ เริ่มงวด 1 ธ.ค.2567
แก้ตั๋วเครื่องบินแพงช่วงปีใหม่ เพิ่ม 247 เที่ยวบิน 73,388 ที่นั่ง
วันนี้ (19 พ.ย.2567) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า คณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงิน 10,000 บาท เป็นเงินสดให้กับผู้สูงอายุอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่มีการลงทะเบียนในระบบทางรัฐ และยืนยันตัวตนผ่านแล้ว
สำหรับกลุ่มนี้มีประมาณ 3-4 ล้านคน วงเงินประมาณ 40,000 ล้านบาท โดยผู้ที่ได้รับเงินจะได้รับก่อนวันตรุษจีนปี 2568 หรือวันที่ 29 ม.ค.2568 ส่วนคนที่เหลือจะดูความพร้อมของระบบ คาดว่าจะได้ช่วงประมาณปีหน้าเดือน เม.ย. - มิ.ย.2568 โดยจะทบทวนและดูว่าสามารถทำต่อไปได้หรือไม่ โดยได้มอบให้กระทรวงการคลังไปดำเนินการสำหรับคนที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป
1.ต้องเป็นกลุ่มคนที่ไม่ซ้ำซ้อนกับกลุ่มเปราะบาง (ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ) ที่ได้รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท เมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา
2.ต้องลงทะเบียนรับเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่านแอปทางรัฐแล้ว
3.คนที่ได้รับอาจจะมีการพิจารณาว่าต้องอายุ 60 ปีขึ้นไป ขึ้นกับการพิจารณาของที่ประชุม
อ่านข่าว :
3 ช่องทางลงทะเบียน ผูกพร้อมเพย์กับบัตรประชาชน รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท
คลังเล็งแจกเงินหมื่นเฟส 2 คนอายุ 50 ปีขึ้นไป ถก 19 พ.ย.นี้
การทำธุรกรรมทางการเงิน ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตแบงก์กิ้ง (Internet Banking) รูปแบบธนาคารออนไลน์ ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมาได้รับความนิยมจากผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโลกเทคโนโลยีครั้งสำคัญของวงการธนาคารไทย ทำให้หลายองค์กรต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนผ่านโดยใช้ โมบาย แบงก์กิ้ง (Mobile Banking) หรือธนาคารออนไลน์ที่ให้บริการผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน สร้างความสะดวกสบาย เพราะเพียงแค่มีอุปกรณ์สมาร์ตโฟน ก็ทำธุรกรรมผ่านออนไลน์ได้
เมื่อ 9 ปีแล้ว "สุทธิชัย หยุ่น" เคยพูดคุยกับ "นายอาทิตย์ นันทวิทยา" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในขณะนั้น และได้เห็นการเริ่มต้นปรับตัวเป็นลำดับต้น ๆ ของธนาคาร ในรอบปี 2567 "รายการคุยนอกกรอบ กับ สุทธิชัย หยุ่น" กลับมาพูดคุยกับ "นายอาทิตย์" อีกครั้ง ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCBX ถึงการเตรียมตัวรับมือในอีก 5 ปีข้างหน้าที่ คาดว่าจะเปลี่ยนไปอย่างก้าวกระโดด
โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) เข้ามาขับเคลื่อนการบริหารงาน และตอบสนองความต้องการของประชาชนในยุคปัจจุบัน และยังมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง การรับมือจะเป็นไปในทิศทางใด ประธานฯ SCBX จะถ่ายทอดประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นแนวทางให้กับหลาย ๆ องค์กร
ปฐมบทสนทนา ประธานฯ SCBX พาย้อนกลับไปในช่วง 9 ปีก่อน ปรากฏการณ์ดิสรัปชัน (Disruption) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว รุนแรงอย่างคาดไม่ถึง ขณะที่ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีค่อนข้างล้าหลัง ด้วยการลดต้นทุนในมิติของเทคโนโลยีมากเกินไป จนทำให้องค์กรในวันนั้นอยู่ในจุดที่มีความเสี่ยง ไม่สามารถตอบสนองลูกค้า และความเหมาะสมของธุรกิจ
นายอาทิตย์ ย้อนเล่าเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า ตัดสินใจยกเครื่องทั้งระบบเทคโนโลยี เพื่อสร้างประสิทธิภาพตอบสนองลูกค้า และธุรกิจ โดยลืมมองศักยภาพบุคลากรที่อาจจะไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง แต่การเรียนรู้ระหว่างทาง ทำให้เห็นข้อบก พร่องที่ควรปรับปรุงว่า สิ่งใดควรใช้เทคโนโลยี และสิ่งใดควรใช้พนักงาน และพนักงานที่ต้องใช้เทคโนโลยีควบคู่จะต้องเพิ่มศักยภาพจุดไหน ถือเป็นสิ่งสำคัญของการเปลี่ยนแปลงองค์กรในภาพรวม พร้อม ๆ แนวคิดทยอยลดจำนวนสาขาธนาคารที่มีอยู่ ให้สอดคล้องกับรูปแบบการทำธุรกรรมทางการเงินของประชาชนเปลี่ยนไปอยู่ในโทรศัพท์มือถือ
"เราควรต้องฝึกให้เขามีทักษะ หรือ สกิล (skill) และพยายามให้คนที่มีทักษะแล้ว ออกไปทำหน้าที่นั้น เพื่อเขาจะได้มีความรู้สึกที่ดีขึ้น ส่วนคนที่ยังไม่มีทักษะ หรือยังต้องอยู่หน้าเคาน์เตอร์ธนาคาร ก็พยายามให้เขาได้มีโอกาสที่จะฝึกฝน เพื่อโอนถ่ายไปทำงานในส่วนอื่น เพื่อจะได้ค่อย ๆ ถูกทดแทน สำหรับธนาคารตอนนี้จาก 1,200 สาขา เหลือ 700 สาขา ซึ่งจริง ๆ มันลดได้มากกว่านั้นอีก แต่มันเป็นเรื่องของการประณีประนอมกับการดูแลคน การจัดการไม่ให้คน ไม่ให้องค์กรเปลี่ยนเกินไป"
มีคำถามว่า นับจากนี้ไป 5 ปี ภาพรวมขององค์กรเป็นอย่างไร โดยเวลานั้นอาจต้องเกษียณอายุแล้ว
นายอาทิตย์ บอกว่า มีการถอดบทเรียนจากการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกแล้ว จึงทำให้ทราบว่าการเปลี่ยนอะไรก็ตาม แม้องค์กรจะมีความกังวลแต่ไม่ควรเปลี่ยนตัวตนขององค์กรตัวเองทั้งหมด ต้องค่อย ๆ โฟกัสว่าจุดไหนสำคัญ เพื่อค่อย ๆ เปลี่ยนและให้ค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปภายในองค์กร จึงได้ก่อตั้ง "SCBX" (เอสซีบี เอ็กซ์) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกลุ่มธุรกิจทางการเงินที่เป็นบริษัทลงทุนเข้าถือหุ้นในบริษัทอื่นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการมีอำนาจควบคุมกิจการในบริษัทอื่น และเป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์
"พูดง่าย ๆ คือ SCBX เป็นผู้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงธุรกิจการเงินในโลกแห่งอนาคต โดยให้ความสำคัญกับการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจที่หลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคและศักยภาพทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กว้างขวางขึ้นเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ที่อาจจะเกิดขึ้นอีกเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า เมื่อเกษียณการทำงานออกไป และมี CEO คนใหม่เข้ามา แม้ตอนนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ เกิดขึ้นแล้ว แต่มีพื้นฐานที่ได้มีการสร้างไว้จะสามารถดัดแปลง และต่อยอดต่อไปได้" ประธาน ฯ SCBX ระบุ
การปรับโครงสร้างองค์กร ไม่ต่างจากการจัดประเภทของงานให้เหมาะกับคนที่มีความสามารถและถนัดเฉพาะทาง ดังนั้นสิ่งสำคัญ คือ การสื่อสารเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้อง ทุกคนก็จะเปิดรับการทำงาน โดยไม่ได้อึดอัด และยังเป็นการเปิดโอกาสให้คนได้แสดงศักยภาพและความสามารถในด้านใหม่ด้วยเช่นกัน
นายอาทิตย์ ยังบอกอีกว่า ความท้าทายที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ การสร้างคนที่มีความรู้ทั้งด้านเทคโนโลยี และบริการทางธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มี หลายคนมีความรู้ด้านเทคโนโลยีแต่ก็ไม่มีความเข้าใจในการบริการธุรกิจ ส่วนบางคนมีความรู้ทางด้านบริการธุรกิจแต่ไม่มีความรู้ในด้านของเทคโนโลยี จึงต้องสร้างคนที่ยืนตรงกลาง รู้ทั้ง 2 ด้าน เพื่อรองรับกับเทคโนโลยี และการแข่งขันการบริหารธุรกิจในอนาคต ซึ่งยากกว่า
ทำอย่างไร จึงจะได้คนที่เรียนรู้และปรับตัวเร็ว เรียกได้ว่า เป็น Digital Adoption หรือ การนำระบบดิจิทัลมาใช้ เป็นการนำเครื่องมือและระบบดิจิทัล แต่ว่าจะเข้ามาเรียนรู้เรื่องธุรกิจ และเข้าใจในภาคธุรกิจของปัจจุบัน
นายอาทิตย์ กล่าวว่า ส่วนตัวมองประเทศไทยเหมือนคลองที่มีปม ผูกจนไม่รู้ว่าอะไร คือ ปมแรก กลายเป็นว่าพันกันไปหมด ทั้งระบบราชการ การศึกษา ขณะที่เรื่องของโครงสร้างในสังคมท้องถิ่น ยังมีระบบตัวกลาง หนี้นอกระบบ พ่อค้าคนกลางของสินค้าเกษตร คนเหล่านี้ คือนักการเมืองท้องถิ่น ดังนั้นจะต้องมองภาพให้ออกว่าจะทำเป็นในลักษณะรวมศูนย์ หรือกระจายอำนาจ ซึ่งสามารถจัดสรรได้ แต่เป้าหมายประชาชนจะต้องได้ประโยชน์สูงสุด
"ที่ผ่านมารู้สึกเหนื่อย กับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว แต่ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจกับทุกอย่างว่าควรจะคิดอย่างไร โดยเฉพาะการปรับตัวเรื่องเทคโนโลยี การที่จะทำให้เราเข้าใจเรียนรู้ อย่างคำว่า AI หากเร็วพูดเร็ว เริ่มเร็ว ไปสู่การนำมาใช้จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องพยายามคิดให้มันเบ็ดเสร็จเห็นภาพให้หมดทั้งกระดานให้ได้"
พบกับรายการ:รายการคุยนอกกรอบ กับ สุทธิชัย หยุ่น ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 21.30-22.00 น.ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
วันนี้ (18 พ.ย.2567) พ.ท.หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (GLO) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชน ได้สามารถทดลองซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลขสามหลัก หรือ สลาก N3 ในช่วงทดลองจำหน่ายผ่านระบบแซนด์บ็อกซ์อย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น ตั้งแต่งวดวันที่ 1 ธ.ค.2567 เป็นต้นไป จะเพิ่มจุดจำหน่ายสลาก N3 ผ่านโครงการสลาก 80 ที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ เป็น 827 จุดจำหน่ายทั่วประเทศ
อ่านข่าว : สลาก N3 งวดแรก ขายได้ 1.8 ล้านใบ ย้ำออกรางวัลโปร่งใส
ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบจุดจำหน่ายสลาก N3 ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-23.00 น. และ จนถึงเวลา 14.00 น. ในวันออกรางวัล
เช็กจุดจำหน่ายสลากฯ ร้าน GLO ที่นี่
“จากการทดลองขายสลาก N3 ผ่านมา 2 งวด มีเสียงตอบรับที่ดี จากประชาชนผู้ซื้อสลาก ซึ่งในช่วงทดสอบในระบบแซนด์บ็อกซ์ สามารถซื้อสลาก N3 ราคาใบละ 20 บาท โดยชำระเงินด้วยแอปฯ เป๋าตังซึ่งสำนักงานสลากฯ จะพัฒนาระบบให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อให้มากที่สุด โดยมีเป้าหมายในช่วงทดสอบ ให้เกิดความเรียนรู้พฤติกรรมระหว่างผู้ซื้อ และผู้ขายเป็นหลัก เข้าใจรูปแบบของผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ออกมา และคาดว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาสลากเกินราคาได้อีกทางหนึ่ง”
นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไป ยังสามารถค้นหาจุดจำหน่ายโครงการสลาก 80 ซึ่งจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลหกหลัก ตามราคาที่กฎหมายกำหนด 80 บาท รวมถึงสลาก N3 ผ่านช่องทางของสำนักงานฯ อาทิ เว็บไซต์ www.glo.or.th , Facebook Fanpage สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล , LINE Official และแอปพลิเคชัน : GLO Lottery รวมถึงสอบถามได้ที่ call center 02 528 9999 อีกทั้งที่บริเวณจุดจำหน่ายโครงการสลาก 80 จะมีป้ายสัญลักษณ์สำนักงานฯ เพื่อให้มั่นใจในการเลือกซื้อ
อ่านข่าว :
แก้ตั๋วเครื่องบินแพงช่วงปีใหม่ เพิ่ม 247 เที่ยวบิน 73,388 ที่นั่ง
คลังเล็งแจกเงินหมื่นเฟส 2 คนอายุ 50 ปีขึ้นไป ถก 19 พ.ย.นี้
เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน อยู่ในสภาวะผันผวนอย่างหนัก เกิดปัญหาสภาวะเงินเฟ้อ การลงทุนต่างประเทศลดลง สินค้ามีราคาแพงขึ้น กระทบรายได้ครัวเรือน การก้าวขึ้นสู่ทำเนียบประธานาธิบดีของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ในยุค 2 ทำให้ทั่วโลกต่างหวาดผวาว่า จะสร้างความโกลาหลต่อเศรษฐกิจ ไปกันใหญ่
สวนทางกับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ "เซมิคอนดักเตอร์" หรือ "ชิป" ที่ยังโดดเด่น และไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 10.06 ซึ่งถือว่ามากที่สุดในธุรกิจเทคโนโลยี มูลค่าตลาดในปี 2024 อยู่ที่ 607,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีสิทธิ์พุ่งทะยานทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2028
ด้วยส่วนแบ่งตลาดกว่าร้อยละ 50.53 หรือเกินกว่าครึ่งของตลาดชิปโลกอยู่ในเอเชีย โดยจีนถือครองส่วนแบ่งมูลค่า 177,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2 ใน 3 ของเอเชีย ทำให้เกิดคำถามว่า ประเทศไทย หนึ่งในประชาคมเอเชียที่เป็นฐานการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มายาวนาน จะสามารถ "ไขว่คว้าโอกาส" จากอุตสาหกรรมชิปที่สวนกระแสเศรษฐกิจโลกนี้ได้หรือไม่?
รศ.ดร.อาชนัน เกาะไพบูลย์ จากศูนย์วิจัยความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนา คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในงานเสวนา SEMICONDUCTOR STRATEGY: THAILAND’S PATH TO TECH LEADERSHIP เมื่อเร็วๆ นี้ว่า เซมิคอนดักเตอร์หรือชิป เป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และมีความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างสูง เพียงไม่กี่อึดใจ ผู้ผลิตชิปสามารถตกยุคได้ทันที
ความพิเศษของการผลิตชิป คือ แข่งกันที่ขนาด ยิ่งเล็กยิ่งดี ยิ่งเล็กยิ่งราคาแพง ยิ่งขายได้ หากตามตลาดไม่ทัน ราคาก็จะยิ่งถูกลง ก็จะยิ่งเสียเปรียบ
ดังนั้น การผลิตชิปจึงเป็น "รถด่วน" ทางเศรษฐกิจของไทย ที่จะพาประเทศออกจากสภาวะเศรษฐกิจซบเซาและความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะนอกเหนือจากอัตราการเติบโตที่สูง และมูลค่าตลาดที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ยังมีประเด็น การเป็น "เจ้าโลก"เทคโนโลยีในการผลิตชิป เพราะไม่ว่าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ใด ๆ ตั้งแต่ตู้เย็นยันไมโครคอมพิวเตอร์ ต่างก็ต้องการหน่วยประมวลผล คือ ชิป ทั้งสิ้น
หมายความว่า การมุ่งผลิตชิป สามารถ "สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ" ให้แก่ประเทศ
ขณะที่ดร.วิบูลย์ รักสาสน์เจริญผล คณะทำงานจัดทำแผนกลยุทธ์พัฒนาอุต สาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สรุปในประเด็นดังกล่าวว่า "High Tech, High Value
โดยชี้ให้เห็นว่า NVIDIA บริษัทผลิตชิปและการ์ดจอชื่อดัง ที่มูลค่าหุ้นนั้นเคยพุ่งทะยานกว่าร้อยละ 265 ในช่วงกลางปี 2024 เมื่อสมัย 20 กว่าปีก่อน ทำการ์ดจอ 3 แผ่น 100 บาท อาจฟังว่าเป็นเรื่องตลก แต่สมัยก่อนการ์ดจอราคาถูกมาก ก่อนที่จะทุ่มงบประมาณไปกับ "การวิจัยและพัฒนา" หรือ "R&D" เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และในที่สุดกลายเป็น "Graphics Processing Unit" หรือ "GPU" ที่มีขนาดเล็กลง และมีราคาต่อชิ้นมากกว่า 35,000 ดอลลาร์สหรัฐ และสามารถ "เก็งกำไร" จาก GPU ได้ไม่แตกต่างจาก "ทองคำ" เลยทีเดียว
การลงทุนในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ NVIDIA เป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนของถูกให้กลายเป็นของแพง และเพิ่มมูลค่าให้กับของที่มีอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำกัน เพราะเสี่ยงสูง
ดร.วิบูลย์ ให้นิยามคำว่า กลยุทธ์ของ NVIDIA ว่า เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายน้ำเพราะทำให้ผลิตภัณฑ์เดิมที่มีมูลค่าไม่สูงมาก กลับมามีมูลค่าที่สูงขึ้น ซึ่งการจะทำอะไรแบบนี้ได้ ต้องทุ่มงบประมาณมหาศาล และต้องเข้าใจตลาดของการผลิตชิปที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและรุนแรง ไม่อย่างนั้น ต่อให้สินค้าชิปประมวลผลรวดเร็ว หรือเล็กระดับนาโนขนาดไหน ก็ไม่สามารถได้รับส่วนแบ่งทางการตลาดได้
ดร.วิบูลย์ ย้ำว่า แม้จะเข้าใจได้ว่า การเพิ่มมูลค่าในการผลิตชิปจะสามารถช่วยให้ได้เปรียบ ในการเป็นผู้เล่นในตลาดเทคโนโลยี แต่ข้อเท็จจริง คือ ประเทศไทยไม่สามารถทำได้ แต่ต้องยอมรับว่า องค์ความรู้และบุคลากรของไทยไม่มีความพร้อม ไม่สามารถตามทันตลาดที่มีความเปลี่ยนแปลงสูงนี้ได้
ไทยขาดคุณภาพ ไม่ได้ขาดจำนวน อุตสาหกรรมนี้ ต้องการผู้ที่ฉลาด ไม่ได้ต้องการแรงงานแบกปูน เราชอบกล่าวว่า แรงงานในอุตสาหกรรมชิปไม่เพียงพอ แต่เราต้องการบุคลากรในส่วน R&D ซึ่งคุณภาพยังไม่ถึง ทำอะไรต้องคิดให้ดี ๆ
แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีทางออกเสียทีเดียว ไทยยังสามารถแก้ปัญหาที่ต้นน้ำ อย่าง การออกแบบผลิตภัณฑ์ได้ เพราะไทยมีประสบการณ์ด้าน การรับจ้างผลิต อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาอย่างยาวนาน อย่างน้อยตั้งแต่สมัยรัฐบาล พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัน มีเครื่องจักรและองค์ความรู้พร้อมสรรพ ทำให้เป็นจุดเด่นของเรา
ไม่ว่าจะเป็น แผงวงจร หรือ PCB ชิ้นส่วนจ่ายไฟ หรือ Power Supply หรือกระทั่งเซมิคอนดักเตอร์ ไทยสามารถผลิตออกมาสอดรับกับตลาดได้อย่างไม่เคอะเขิน แต่เสียอย่างเดียวที่เรารับจ้างผลิตเฉย ๆ "ไม่มีแบรนด์" เป็นของตนเอง ทำให้สร้างข้อได้เปรียบยากมาก ๆ
ถามว่า รู้จัก TSMC ไหม? บริษัทผลิตชิปสัญชาติไต้หวัน ก็รับจ้างผลิตแบบเรา แต่เขาสร้างแบรนด์ตัวเอง ทำให้มีแต้มต่อ และกลายเป็นเบอร์หนึ่งของโลกด้านต้นน้ำการผลิตชิป ใคร ๆ ก็ต้องเรียกหา
ดังนั้น ไทยต้องเลิกเป็น "มือปืน" และหันมาทำในสิ่งที่ตนเองถนัดมากกว่า หากไม่สามารถสู้ด้วยการวิจัยและพัฒนาชิป หรือแบรนด์ที่แข็งแกร่งได้ ก็ต้องเลือกพัฒนา "เฉพาะเรื่อง" แทน
ด้านนายมานพ ธรรมสิริอนันต์ ประธานกรรมการบริษัท บริษัท ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) เสนอว่า ไทยควรเน้นหนักไปที่ การผลิต "Sensor และ Power Supply" ให้แก่ชิป
การผลิต Sensor และ Power Supply ต้นทุนต่ำที่สุดแล้วในต้นน้ำของเซมิคอนดักเตอร์ และป้องกันอัตราเงินเฟ้อได้ดีที่สุด เพราะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่างไรก็ต้องการพลังงานเสมอ เราทำมาตลอด จะได้เปรียบมาก
เซมิคอนดักเตอร์ต้องการกำลังวัตต์สูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามกำลังซื้อและความอยากใช้งาน "AI" มากยิ่งขึ้น เราจะเห็นได้จากการสร้าง Data Center ที่สิ้นเปลืองทรัพยากรน้ำและพลังงานจำนวนมหาศาล แต่ตลาดด้าน Power Supply กลับเติบโตไม่ทันการเปลี่ยนแปลงชิป ดังนั้น หากประเทศไทยออกตัวว่าจะเป็นผู้พัฒนาด้านนี้ รับรองว่าเราจะ "ได้เปรียบ" แม้บุคลากรจะสู้ใครไม่ได้ก็ตาม
ดร.วิบูลย์ ย้ำว่า ไทยไม่ควรแข่งขันอะไรที่ไม่มีทางสู้ เพราะวงการชิปประกอบด้วย 4 ส่วน คือ Logic, Memory, Sensor และ Power Supply สองอย่างแรก ไทยตามเขาไม่ทัน หากจะตามก็สามารถทำได้ แต่เวลาและวารี ไม่เคยคอยใคร เราพัฒนา เขาก็พัฒนา หนีเราไปไกล ดังนั้น จึงต้องเน้นที่สองอย่างหลัง
ในวงการนี้ หากเริ่มต้นผิดจุด ก็ตกขบวน แต่หากรู้ว่า เราเด่นด้านไหน ก็จะไล่กวดเขาทัน
เมื่อไม่อยากตกขบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ประเทศไทยจะต้อง "รู้เขารู้เรา" คือ ต้องรู้ว่าเขาขาดอะไร และเรามีสิ่งใดไปเติมเต็ม ซึ่งผลลัพธ์ คือ ต้องพัฒนา Sensor และ Power Supply แต่ลำพังการเปลี่ยนจากมือปืนรับจ้าง เพื่อทำการวิจัยและพัฒนาด้วยตนเอง ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นทางออกของเรื่องนี้ จำเป็นที่จะต้องใช้โมเดล "รัฐนำพัฒนา (State-led Industrialisation)"
ประธานกรรมการบริษัทซิลิคอน ฯ อธิบายโมเดลดังกล่าว และชี้ให้ต้นแบบจาก "จีน" ที่รัฐบาลออกนโยบายเอื้อให้เกิดการพัฒนาชิปอย่างก้าวกระโดด ไม่เฉพาะการวิจัยเท่านั้น แต่ยังลดภาษีการเช่าที่ดินเพื่อสร้างฐานการผลิต การจ่ายเงินสนับสนุน ด้านค่าจ้างบุคลากร หรือการอุดหนุนราคาเพื่อส่งออก ทำให้ราคาในตลาดต่ำ แข่งขันได้และได้ดุลการค้าชิป ตรงนี้ ไทยไม่มี และส่งผลให้เกิดภาวะ "สมองไหล" ทั้งทุนและบุคลากรหันไปหาจีนมากยิ่งขึ้น
ดร.วิบูลย์ ยกตัวอย่างเสริมว่า ใน "เกาหลีใต้" รัฐบาลเข้ามาชี้นำภาคธุรกิจ ให้เปลี่ยนมาพัฒนาอิเล็กทรอนิกส์ จนกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรม เช่น SAMASUNG บริษัทที่มีส่วนแบ่งในตลาดเซมิคอนดักเตอร์มากกว่าร้อยละ 13 สมัยก่อนดำเนินกิจการ "รถบรรทุก" แต่รัฐบาลให้เงินสนับสนุนมหาศาล เปลี่ยนมาทำอุตสาหกรรมไอที จนเป็นผู้นำตลาดได้อย่างเหลือเชื่อ
แต่ความสำเร็จนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยฉับพลัน ต้องมีการวางกลยุทธ์ระดับชาติให้เป็น "เนื้อเดียวกัน" จะได้เกิดความเข้าใจตรงกัน ภาคอุตสาหกรรมจะได้มีทิศทางการผลิต ไม่ใช่ผลิตแบบเรื่อยเปื่อย เลอะเทอะ แตกกระสานซ่านเซ็น
เราต้องเข้าใจตรงกันเสียก่อนว่า จะทำอะไรในภาคส่วนนี้ คุยหลากหลาย ได้คำตอบคนละแบบ ตกลงนักลงทุนต้องคุยกับใคร ห้ามเลอะเทอะ เปรียบดั่งวงออเคสตรา ต้องสอดประสานกัน
สอดคล้องกับ รศ.ดร.อาชนัน ชี้ว่า กระดุมเม็ดแรกที่ไทยจะติด ต้องทราบก่อนว่าอุตสาหกรรมนี้มีองค์ประกอบอย่างไร นโยบายต่าง ๆ ต้องสอดรับกัน หาใช่มองเป็นจุด ๆ ไม่อย่างนั้น คือ ย่ำอยู่กับที่
เราเพิ่งตั้งบอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม แต่ถามว่าผู้ส่งข้อมูลมีเพียงพอหรือไม่ เราต้องมีทีมงานที่ส่งข้อมูลให้มากพอ จะได้ออกนโนบายได้อย่างตรงจุด มีประสิทธิภาพ
ผู้ส่งข้อมูลที่ดี มาจากคุณภาพของบุคลากรในอุตสาหกรรมชิปที่ดีเช่นกัน ซึ่งเราขาดตรงนี้ แต่กลยุทธ์ "การดึงดูดทุนต่างชาติ" โดยเฉพาะ "ทุนชิปจีน" ที่เตรียมระส่ำจากการเถลิงบัลลังก์ของทรัมป์ เพื่อเราจะได้วิทยาการของเขา มาพัฒนาคน พัฒนาชาติ พัฒนาชิป เป็น "ทางลัด" ที่น่าสนใจไม่น้อย
แต่ ดร.วิบูลย์ เสนอว่า สุดท้ายก็ต้องกลับมาที่รัฐบาล วางกลยุทธ์การผลิตชิปดี ๆ ไม่ควรไปผลิตในสิ่งที่กำลังจะดึงทุนเข้ามา และไทยต้องผลิตให้สอดรับกับสิ่งที่เขากำลังจะนำมาให้ จะได้ไม่ชนกันและขัดขากันเอง เช่น จะทำเรื่อง Power Supply ก็ทำไป ให้ทุนชิปจีนมาถ่ายทอดเรื่อง Logic และ Memory ให้ จึงจะไปได้ไกล
สุดท้าย ประธานกรรมการบริษัทซิลิคอน ฯ แนะนำว่า ไทยต้องสร้าง Win-Win Policy ให้นักลงทุนมาถ่ายทอด R&D ต้องชัดเจนว่าจะทำอะไร สร้างระบบนิเวศของเซมิคอนดักเตอร์ให้เหมาะสม เติมเต็มในสิ่งที่เขาขาด ไทยจึงจะแข่งขันในตลาด และสามารถแหวกพายุเศรษฐกิจนี้ไปได้
อ่านข่าว
"นิวเคลียร์" ขับเคลื่อน AI พัฒนาเทคโนโลยียั่งยืน "บนทางคู่ขนาน"
"อัลกอริทึม" ทำลาย VS สร้างสรรค์ "สุนทรียภาพ" มนุษย์?
มนุษย์อยู่อย่างไร ? เมื่อ AI กำลังจะ "ครองโลก"
วันนี้ (18 พ.ย.2567) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์ราคาตั๋วเครื่องบินที่อาจจะมีราคาสูงในช่วง ระหว่างวันที่ 27–28 ธ.ค.2567 และวันที่ 1–2 ม.ค.2568 เนื่องด้วยมีการเดินทางโดยสารเครื่องบินเพิ่มมากขึ้น และจำนวนอากาศยานที่สายการบินทุกสายมีอยู่ ยังมีจำนวนน้อยกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 อยู่ที่ 76 ลำ หรือคิดเป็น 25% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการโดยสารด้วยเครื่องบินโดยตรง
ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT เข้าติดตามสถานการณ์ค่าโดยสารอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะช่วงปลายปีและช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้ พร้อมทั้งให้หารือร่วมกับสายการบินและหน่วยงานเกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มเที่ยวบินให้เพียงพอกับปริมาณความต้องการในการเดินทาง และแก้ปัญหาราคาตั๋วแพงในช่วงวันหยุดยาวพร้อมกำชับให้ทุกฝ่ายเตรียมการเพื่อรองรับและอำนวยความสะดวกประชาชนที่จะเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้
ล่าสุดได้รับความร่วมมือจากสายการบินทั้ง บริษัทการบินไทย และสมาคมสายการบินประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย สายการบินบางกอกแอร์ สายการบินไทยแอร์เอเชีย สายการบินนกแอร์ สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ และสายการบินไทยเวียตเจ็ท จัดทำแผนเพื่อเพิ่มเที่ยวบิน รวมถึงปรับชนิดอากาศยานให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อทำการบินทั้งเมืองหลักและเมืองรอง ได้แก่ อุบลราชธานี อุดรธานี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด นครพนม เชียงใหม่ เชียงราย น่าน กระบี่ ภูเก็ต นครศรีธรรมราช หาดใหญ่ สุราษฎร์ธานี และสมุย
โดยสมาคมสายการบินประเทศไทย จะมีจำนวนเที่ยวบินเพิ่มมากขึ้น 247 เที่ยวบิน และมีจำนวนที่นั่งเพิ่มถึง 48,244 ที่นั่ง ซึ่งจำนวนที่นั่งที่เพิ่มมานี้จะมีตั๋วราคาไม่สูงรวมอยู่ด้วย และจะเดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค.2567 - 5 ม.ค. 2568 โดยตั๋วเที่ยวบินพิเศษที่เพิ่มมานี้จะเข้าสู่ระบบการขาย ตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย.2567
ขณะที่บริษัทการบินไทย จะปรับชนิดอากาศยานเพื่อให้มีจำนวนที่นั่งมากขึ้นในบางวัน ในเส้นทาง ภูเก็ต กระบี่ เชียงใหม่ และเชียงราย ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค.ไปจนถึงต้นเดือน ม.ค.2568 และทำให้มีจำนวนที่นั่งเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวถึง 25,144 ที่นั่ง ดังนั้นจึงมีที่นั่งเพิ่ม 73,388 ที่นั่ง
นอกจากนี้ได้ให้ CAAT ประสานหน่วยงานด้านการบินทั้งสายการบิน บริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) กรมท่าอากาศยาน (ทย.) บริษัท การบินกรุงเทพ และบริษัทวิทยุการบิน (บวท.) เพื่อวางแผนจัดสรรตารางเวลาการบินของสนามบิน และขอขยายเวลาการให้บริการเพื่อให้สายการบินสามารถทำการบินได้มากขึ้นทั้งช่วงเช้าและช่วงดึก และขอให้สนามบินที่มีการจราจรคับคั่งผ่อนผันเวลาการเปิดให้บริการ เพื่อไม่ให้มีผู้โดยสารตกค้าง โดยเฉพาะวันที่ 27-28 ธ.ค.2567 และวันที่ 1-2 ม.ค.2568 ซึ่งจะเป็นช่วงมีการเดินทางสูงกว่าช่วงเวลาปกติ
โดยในการเดินทางนั้นขอให้ประชาชนวางแผนการเดินทางในช่วงเทศกาล เนื่องจากจะมีความต้องการในการเดินทางสูงกว่าช่วงเวลาปกติ จึงทำให้ตั๋วโดยสารมีราคาสูงขึ้นตามความต้องการ รวมทั้งขอให้ตรวจสอบราคาค่าโดยสารผ่านช่องต่าง ๆ ก่อนทำการซื้อ โดยเฉพาะการซื้อผ่านตัวแทนออนไลน์หรือ OTA ในเวลากระชั้นชิด ที่อาจพบราคาตั๋วที่สูงกว่าปกติ
ดังนั้นจึงแนะนำให้ซื้อตั๋วโดยสารตรงกับเว็บไซต์ของสายการบิน เนื่องจากมีการควบคุมราคาเพดานค่าโดยสารจาก CAAT รวมทั้งเมื่อเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงการเดินทางหรือต้องการการชดเชยกรณีต่าง ๆ ผู้โดยสารจะสามารถประสานโดยตรงกับสายการบินได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดย CAAT จะตรวจสอบราคาค่าโดยสารในช่วงเทศกาลอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ค่าโดยสารเกินกว่าราคาเพดานที่กำหนด หากประชาชนพบเห็นการขายตั๋วเครื่องบินเกินเพดาน สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่ https://portal.caat.or.th/complaint/
นอกจากนี้ CAAT ขอแนะนำให้ผู้โดยสารเผื่อเวลาในการเดินทางมาสนามบิน เนื่องจากช่วงเทศกาลจะมีปริมาณการเดินทางหนาแน่น แม้ว่าผู้ให้บริการสนามบินจะได้เตรียมการไว้แล้ว แต่ก็อาจมีจุดที่ติดขัดได้บางเวลา และขอให้ผู้โดยสารติดตามข่าวสารจากทางสายการบิน ศึกษาเรื่องเอกสารที่ต้องใช้ในการเดินทาง รวมถึงสิทธิของผู้โดยสารหากเที่ยวบินล่าช้า หรือถูกยกเลิก ได้จากจุดประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจและสามารถผ่านจุดตรวจต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น
อ่านข่าว : หญิงสารภาพฆ่าเพื่อนตัดนิ้วชิงทรัพย์ หลักฐานเส้นผมมัดตัว
ตร.นำตัว "กฤษอนงค์" ส่งศาลฝากขัง คดีกรรโชกทรัพย์
เตือน "ไต้ฝุ่นหม่านหยี่" เข้าใกล้เกาะไหหลำ 19-20 พ.ย.นี้
วันนี้ (15 พ.ย.2567) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดย 1 ในหลายมาตรการที่จะเสนอ คือ มาตรการแจกเงิน 10,000 บาท สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ
ที่ประชุมฯ จะพิจารณาหลักเกณฑ์อายุ วงเงินต่อราย และระยะเวลาดำเนินโครงการ ซึ่งอาจแจกเงินให้กับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีเป็นขึ้นไป ในรูปเงินสดคนละ 10,000 บาท เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้พิการ ที่ได้รับเงินดังกล่าวไปแล้ว ส่วนจะเริ่มโครงการได้ในช่วงเดือน มี.ค.2568 ตามที่มีกระแสหรือไม่นั้น ขอให้รอผลการประชุมในวันที่ 19 พ.ย.2567
ส่วนการแจกเงิน 10,000 บาท สำหรับประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางรัฐนั้น นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ สำหรับกลุ่มผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนให้แล้วเสร็จก่อน อีกทั้งยังต้องรอให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลฯ หรือดีจีเอ ดำเนินการพัฒนาระบบแพลตฟอร์มรองรับการรับจ่ายเงินในโครงการ 10,000 บาท จึงจะสามารถวางแผนการแจกเงินรอบประชาชนทั่วไป เป็นเฟสที่ 3
ทั้งนี้ ผลจากการแจกเงินกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ และผู้พิการ ในเฟสแรก ส่งผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในไตรมาสที่ 4 ของปี ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 4.3-4.4
ส่วนการดำเนินโครงการของขวัญปีใหม่ ทั้งมาตรการลดหย่อนภาษี กระตุ้นการใช้จ่าย แและมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา พร้อมย้ำว่ารัฐบาลมีงบประมาณพร้อมดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่
อ่านข่าว : "เศรษฐกิจไทย 2025" มรสุมรอบใหม่ โจทย์ใหญ่ "สงครามการค้า"
“พีระพันธุ์” รับสถานะกองทุนน้ำมันเริ่มดีขึ้น ลุ้นตรึงดีเซล-ค่าไฟ
"ออมสิน" ออกสินเชื่อบ้าน ดอกเบี้ยคงที่ปีแรก 1.89% ต่อปี
กรณีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศ ไทย จะเริ่มปิดเบี่ยงจราจร เพื่อรื้อถอนสะพานข้ามถนนจรัญสนิทวงศ์ สะพานข้ามแยกประตูน้ำ และสะพานข้ามแยกราชเทวี ในวันที่ 15 พ.ย.2567
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ปัจจุบันบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้รับจ้างของ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ผู้ร่วมลงทุน) มีกำหนดจะเริ่มปิดเบี่ยงจราจรในบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง 5 สถานีแรก
ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.2567 เวลา 22.00 น. เพื่อรื้อย้ายสาธารณูปโภคเป็นลำดับแรก โดยจะดำเนินการปิดเบี่ยงจราจราจร ชิดทางเท้า 1 ช่องจราจร ยกเว้นสถานีศิริราช จะเป็นการจัดการจราจรในพื้นที่ก่อสร้างที่ไม่ส่งผลกระทบต่อช่องจราจร
สำหรับสถานีส่วนที่เหลือจะดำเนินการปิดเบี่ยงจราจรในช่วงปลายเดือนพ.ย.นี้ทั้งนี้ ในส่วนของสะพานข้ามถนนจรัญสนิทวงศ์ บริเวณสถานีบางขุนนนท์ สะพานข้ามแยกประตูน้ำ บริเวณสถานีประตูน้ำ และสะพานข้ามแยกราชเทวี บริเวณสถานีราชเทวี ประชาชนยังสามารถสัญจรได้ตามปกติ
ทางโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม จะมีการประชาสัมพันธ์แจ้งให้ประชาชนทราบล่วงหน้า โดยสามารถติดตามข้อมูลการปิดเบี่ยงจราจรได้ที่เฟซบุ๊กโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และสอบถามรายละเอียดการปิดเบี่ยงจราจรได้ที่ โทร.02168 3460-8
อ่านข่าว
ดีเดย์ 15 พ.ย.67 ปิดเบี่ยงจราจร ก่อสร้างสายสีส้ม นำร่อง 5 สถานี
ครม.เดินหน้ารถไฟฟ้าสายสีส้ม ลงนามสัญญาวันที่ 18 ก.ค.นี้
วันนี้ ( 14 พ.ย.2567) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" วิเคราะห์ ราคาทองคำปรับตัวลงต่อเนื่องแตะบริเวณ 2,550 ดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 8 สัปดาห์ จากสัญญาณทางเทคนิค และเงินดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่อง ซึ่งเงินดอลลาร์แข็งค่ามากสุดในรอบเกือบ 1 ปี กดดันราคาทองคำให้ปรับตัวลง ซึ่งดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่องหลังจากพรรครีพับลิกันภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใกล้จะได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร
ทรัมป์มีโอกาสครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรหรือ Red Sweep ทำให้การผ่านร่างกฎหมายต่างๆ จากนโยบายพรรครีพับลิกันคาดทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นตามมา
ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม สหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค. ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% จากที่เพิ่มขึ้น 0.0% และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3,000 รายสู่ระดับ 224,000 ราย
วิเคราะห์ราคาทองคำปรับตัวลงต่อเนื่องทดสอบแนวรับของเส้น SMA100 คาดราคาทองคำจะเริ่มชะลอการปรับตัวลง เบื้องต้นแนวรับบริเวณ 2,540-2,550 ดอลลาร์อาจยังรับอยู่ ขณะที่ยังไม่เกิดสัญญาณซื้อ (Buy Signal) จาก Modified Stochastic แต่คาดว่าจะมีการฟื้นตัวเกิดขึ้นใกล้บริเวณดังกล่าว จุดตัดขาดทุนที่ 2,530 ดอลลาร์
ส่วนราคาทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ ทองคำแท่งปรับตัวลงต่อเนื่อง ตามราคาทองคำโลก แม้เงินบาทจะอ่อนค่าแตะ 35 บาท อย่างไรก็ตาม คาดมีโอกาสที่ราคาทองคำแท่งจะปรับตัวลงทดสอบบริเวณ 42,000-42,200 บาท หากยืนเหนือบริเวณดังกล่าวได้ อาจมีการฟื้นตัวเกิดขึ้นระยะสั้น อย่างไรก็ตาม แนวโน้มหลักยังไม่มีสัญญาณซื้อเกิดขึ้น
สำหรับราคาทองปิดตลาด ลบ 600 บาท (ครั้งที่ 9) ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 42,250 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 42,150 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 47,750 บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 41,386.80 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,541 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 35.12 บาทต่อดอลลาร์
อ่านข่าว:
“ทองคำ” เปิดตลาด ร่วง 350 บาท “รูปพรรณ”ขายออก 43,000
"เศรษฐกิจไทย 2025" มรสุมรอบใหม่ โจทย์ใหญ่ "สงครามการค้า"
“ไทย” ตั้งรับนโยบายทรัมป์ สนค.ชี้จับตาสินค้าต้นทุนต่ำทะลักไทย
“เผาจริง”เป็นวาทะกรรมที่ นักวิชาการ -นักธุรกิจ-นักลงทุน และรัฐบาลได้ออกมาเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ ว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มเผาจริง ตั้งแต่ช่วงปี 2566-2567 ถึงปัจจุบัน ถือหนักหนาสาหัสพอสมควรจากมรสุมรุมรอบรอบด้าน ปัญหากำลังซื้อภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นจากวิกฤตโควิด ภาวะหนี้ครัวเรือน เงินเฟ้อ การท่องเที่ยวที่กระเตื้องเพียงเล็กน้อย และกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ มีบริษัทหลายแห่งต้องปิดตัวลง และย้ายฐานการผลิต รวมทั้งการส่งออกสินค้าด้านการเกษตรที่ยังต้องลุ้นทุกไตรมาส
ยังไม่รวมปัจจัยภายนอก ชนวนความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้าระหว่างประเทศ นโยบายการค้าของสหรัฐฯหลังโดนัลด์ ทรัมป์ หลังได้นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัย 2 ซึ่งรัฐบาลไทยจะต้องเตรียมการรับมือ โดยเฉพาะ มาตรการภาษีและการกีดดันทางการค้า รวมทั้งการนำเข้าสินค้าต้นทุนต่ำจากต่างประเทศ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวช่วงหนึ่งในปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ Navigating Economic Challenges : The Future of Fiscal Policy ฝ่าพายุเศรษฐกิจไทยด้วยนโยบายการคลัง” ว่า การลงทุนในประเทศไทยขาดความต่อเนื่อง เห็นได้จากปี 2566 ที่การลงทุนลดลงเหลือไม่ถึง 20% ของจีดีพี ส่งผลให้เศรษฐกิจโตลดลง
จีดีพีเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.9% เท่านั้น ขณะที่ในปี 67 คาดว่าจีดีพี จะขยายตัวได้ที่ 2.7% ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา”ณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ 0.7-0.8% เท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งส่งผลต่อการจ้างงาน และสะท้อนไปยังสัดส่วนหนี้ครัวเรือน ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับสูงที่ 89-90% ของจีดีพี ส่วนใหญ่เป็นหนี้บ้าน รถยนต์
รมว.คลัง กล่าวอีกว่า ยอมรับว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนน่าเป็นห่วง เช่นเดียวกับผู้ประ กอบการ SME ก็กำลังประสบปัญหามีหนี้อยู่ในระดับสูง เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้รัฐจำเป็นต้องเร่งนำงบประมาณมาอุดหนุนจุนเจือ เพื่อทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะของรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ 65-66% ของจีดีพี หรือเกือบ 12 ล้านล้านบาท ขณะที่มูลค่าจีดีพีของประเทศอยู่ที่ 18-19 ล้านล้านบาท จากเพดานหนี้ที่ 70% ของจีดีพี สะท้อนว่าพื้นที่ทางการคลังของรัฐบาลมีอยู่ค่อนข้างจำกัด
นายพิชัย กล่าวอีกว่า ขณะนี้รัฐบาลยังเหลือความสามารถในการกู้เงินเพิ่มเพื่อสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ เพิ่มการลงทุนได้อีกราว 3-4% เท่านั้น คิดเป็นวงเงินที่ 3 ล้านล้านบาท ภายใน 4 ปี หรือเฉลี่ยรัฐบาลสามารถกู้เพื่อชด เชยขาดดุลได้ปีละ 7.5 แสนล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องเร่งผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวไม่ต่ำกว่า 3.5%
ดังนั้นการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาล จำเป็นจะต้องคำนึงถึงวินัยทางการคลังให้มากขึ้น เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงินเยอะ สร้างหนี้เยอะ ก็ต้องสร้างวินัยด้วย ซึ่งที่ผ่านมาเราตั้งกติกาว่าหนี้สาธารณะต้องไม่เกิน 70% ของจีดีพี
วันนี้หนี้สาธารณะอยู่ที่ 65-66% โอกาสในการจะกู้เงินเพิ่มในอีก 4 ปีข้างหน้าเหลือน้อยลง คือหมายความว่ารัฐบาลจะมีหนี้เพิ่มได้อีก 3 ล้านล้านบาทเท่านั้น โดยหนี้สาธารณะต้องไม่เกิน 15 ล้านล้านบาท ภายใน 4 ปี รัฐและเอกชนทำงานร่วมกัน
นายพิชัย กล่าวว่า หากรัฐบาล และเอกชน ต้องการจะเห็นตัวเลขจีดีพีขยับขึ้นตามเป้าจะต้องช่วยกันทำให้จีดีพีขยับขึ้นไปเป็น 3-3.2% และอัตราเงินเฟ้อ 2% หรือมากกว่า แม้จะตั้งกรอบไว้ในใจที่ 1.2-1.8% ซึ่งหากทุกฝ่ายช่วยกันก็น่าจะทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้
แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันประเทศไทยมีสภาพคล่องจำนวนมาก แต่ไม่มีการลงทุน เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทุกคนทราบดี ไทยจึงเหมือนเศรษฐี ฐานะดีแต่ไม่เห็นอนาคต เพราะไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจะเดินไปทางไหน
ตอนนี้ ไทย กินบุญเก่า แต่เมื่อวันหนึ่งก็ต้องหมดเวลา แม้ภาพการส่งออกจะยังเป็นเครื่องยนต์ที่ทำงานผลักดันเศรษฐกิจได้ แต่หากยังเป็นการส่งออกในรูปแบบเก่า เทคโนโลยีเดิม ๆ ไม่มีการลงทุนใหม่ เครื่องจักรใหม่ ตรงนี้ก็จะเป็นปัญหา
ดังนั้น ที่ผ่านมารัฐบาลจึงเร่งดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการลงทุน ทั้งการเดินหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การดูแลต้นทุนพลังงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศ
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเร่งเดินหน้าโครงการลงทุนต่าง ๆ เช่น Entertainment Complex โดยต้องสร้างจุดไฮไลท์ในการท่องเที่ยวเพื่อให้นักท่องเที่ยวใช้เงินมากขึ้น การวางแผนระบบน้ำ การลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่าง ๆ โดยการดำเนินการทั้งหมดจะต้องใช้งบประมาณภาครัฐอย่างจำกัด ดังนั้น การใช้เงินในส่วนนี้ก็ต้องมาจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) เป็นหลัก
นอกจากนี้ ยังมีอีก 3 เรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการโดยบรรจุไว้ในแผนงบประมาณ คือ การเพิ่มทักษะแรงงาน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของการลงทุนในเทคโนโลยีสมัยใหม่ เดินหน้านโยบายเศรษฐกิจสีเขียว หรือพลังงานสีเขียว และอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุน
ขณะเดียวกัน ยังต้องวางระบบการออมเงินในประเทศ เพื่อรองรับสังคมสูงวัย ซึ่งปัจจุบันผู้สูงวัยยังไม่มีเงินออมรองรับจำนวนมาก ตลอดจนลดระบบการทำงานที่ซ้ำซ้อนของภาครัฐ ปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บภาษี เป็นต้น
ด้าน นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงทิศทางเศรษฐกิจมหภาคปี 2025 ว่า การเปลี่ยนแปลงบริบทเศรษฐกิจโลกใหม่ที่อยู่ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ หลังได้นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัย 2 ซึ่งนโยบายที่ ทรัมป์ ประกาศไว้จะทำตามสัญญา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอเมริกามาก่อน ( America First)การปิดพรมแดนระหว่างสหรัฐและเม็กซิโก ลดภาษี ลดกฎระเบียบ และที่สำคัญ คือ การขึ้นภาษีนำเข้า สงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี และทำให้อเมริกากลายเป็นเมืองหลวงคริปโทฯของโลก รวมถึงทำให้สงครามยุติลง
สำหรับผลกระทบต่อไทยระยะสั้นจะส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ และทำให้ค่าเงินสหรัฐกลับไปจุดเดิม ส่งผลให้เงินบาทอ่อนลงไป และทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐ ลดช้ากว่าที่คิดไว้ และสะท้อนให้เห็นภาพว่า เงินเฟ้อสหรัฐเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยลดลงช้าลง และหลังจากนั้นทำให้ค่าเงินสหรัฐที่เคยอ่อนลงไปกลับมาแข็งค่าอีกทีหนึ่ง และส่งผลต่อค่าเงินสกุลต่าง ๆ ด้วย จึงทำให้ช่วงนี้เป็นช่วงน่าจับตามองสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลก
หลัง ทรัมป์ รับตำแหน่งการกีดกันทางการค้า สงครามการค้าจะมาเกิดขึ้นและเข้มข้นกว่าเดิม แต่เมื่อสหรัฐลดดอกเบี้ยจะทำให้เศรษฐกิจโลกค่อย ๆ ดีขึ้น
นายกอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งสินทรัพย์จะพองเกินไป ธนาคารกลางก็ต้องคิดหนักจะลดดอกเบี้ยหรือไม่ จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร หลังจากนั้นเป็นช่วงที่เริ่มต่อสู้ เชื่อว่าหากผ่านไป1-2ปี ตัวเศรษฐกิจของสหรัฐก็จะอีกเฟสหนึ่ง”
อย่างไรก็ตาม นายกอบศักดิ์ เชื่อว่า ไทยจะสามารถบริหารจัดการได้ ส่วนจะเตรียมการอย่างไรให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงบริบทเศรษฐกิจโลกใหม่จะมองแค่ 4 ปีไม่ได้ แต่ต้องมองให้ทะลุหลังปี 2029 หลังจาก ทรัมป์ หมดวาระ ทำให้โจทย์ของไทย คือ เตรียมการรับมือหลังจากนั้นมากกว่า
ไทยควรทำเรื่องสำคัญ โจทย์ของไทย คือ เศรษฐกิจไทยโตช้าลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นควรคิดว่า ทำอย่างไรให้ไทยโตขึ้นอีกครั้งจะปรับโครงสร้างอย่างไร และต้องเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี และแก้ปัญหาโลกร้อน และการแข่งขันในตลาดอาเซียนด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดคือ การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญที่รัฐบาล และบริษัทต่าง ๆ ต้องช่วยกัน
ส่วน ความขัดแย้งทางการค้าของผู้นำโลกทั้งสหรัฐและจีน เป็นโอกาสของอาเซียน จึงต้องพยายามดึงดูดการลงทุนเข้าไทย หยิบฉวยโอกาสอาเซียนมาเป็นของไทยได้อย่างไร และโลกที่กำลังเปลี่ยน ทำอย่างไรให้บริษัทไทยไปอยู่ต่างประเทศ ทำให้ไทยเข้มแข็ง และที่สำคัญที่สุด ใช้ 4 ปีนี้ที่โลกจะสงบขึ้นให้คุ้มค่าที่สุดในการเตรียมการ เชื่อว่า ไทยจะสามารถผ่านความท้าทายก้าวสู่บริบทเศรษฐกิจโลกใหม่ได้
ขณะที่นายวิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวใน หัวข้อ รับมือโลกรวนอย่างไร ให้เท่าทัน ว่า ปัญหาโลกรวนที่เห็นได้ชัดเจนในปัจจุบัน ได้แก่ อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นในแต่ละปี, ภาวะ rain bomb, สภาวะแห้งแล้ง, ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น เป็นต้น
ภาวะเหล่านี้ ถือเป็นความเสี่ยงที่สำคัญของมวลมนุษยชาติ เนื่องจากมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจใน 3 ด้าน คือ ผลิตภาพ การกระจายประโยชน์ และสร้างภูมิคุ้มกัน
โดยหากยังมีการทำนโยบายแบบเดิม ๆ ไม่คำนึงถึงปัญหาโลกรวนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แน่นอนว่าต้นทุนการดำเนินชีวิต และต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง ประเทศที่ยากจนหรือด้อยพัฒนา อาจได้เป็นผู้รับภาระที่มากกว่า จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว กลับเป็นผู้สร้างปัญหาในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า
นายวิรไท แนะว่า การที่แต่ละประเทศจะก้าวไปข้างหน้าให้ได้ เมื่ออยู่ภายใต้ภาวะโลกรวน จำเป็นต้องปรับตัวให้เท่าทันกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ในส่วนของประเทศไทย ความสามารถในการปรับตัวยังถือว่าต่ำ เนื่องจากระบบการทำงานของภาครัฐยังไม่ดีพอ ส่งผลต่อการปรับตัวของภาคเอกชนที่อาจไม่ทันสถานการณ์
ปัญหาโลกรวน จึงถือเป็นความท้าทายใหม่ต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของไทย
และย้ำว่า ปัจจุบันหลายประเทศให้ความสำคัญกับปัญหาโลกรวนมากขึ้น โดยมองว่า ประชากรในประเทศจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานที่เพียงพอ เพื่อให้สามารถติดตามปัญหาและตั้งรับได้ทันสถานการณ์ ดังนั้น จะทำอย่างไรที่จะให้เกิดทั้งการตระหนก ควบคู่ไปกับการตระหนักในเรื่องนี้
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ยังพึ่งพารายได้ภาคการเกษตร ในขณะที่ภาคเกษตร ถือว่ามีความอ่อนไหวต่อปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศเป็นอย่างมาก ดังนั้นสิ่งเร่งด่วนที่ประเทศไทยจำเป็นต้องดำเนินการ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะโดนผลกระทบจากภาวะโลกรวน
นายวิรไท กล่าวว่า การบูรณาการมาตรการตั้งรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ยังกระจัดกระจายอยู่ในแต่ละหน่วยงาน มารวมไว้เป็นแผนหลักแผนเดียวของประเทศ เพื่อให้เกิดการปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม และการปรับตัวเพื่อรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในในระบบสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งต้องใช้งบประมาณในจำนวนที่สูงในการลงทุน แต่ก็ถือว่าเป็นความจำเป็นสำหรับประเทศไทยที่มีความอ่อนไหวต่อเรื่องนี้
นอกจากนี้ การปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นเรื่องใหญ่ ต้องทำตั้งแต่วันนี้ อาจต้องอาศัยการลงทุนที่สูงมาก ประเทศที่อ่อนไหวอย่างไทย อาจต้องใช้เงินเป็นหลักแสนล้านต่อปี และต้องทำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งต้องคิดถึงเรื่องการเยียวยาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น มีเม็ดเงินไว้พร้อมช่วยเหลือ
สิ่งสำคัญ คือ ต้องทำแผน และคำนวณตัวเงินให้ได้ เพื่อจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอ และจัดลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง รัฐบาลต้องกล้ายอมรับว่าไทย ช้ากว่าหลายประเทศค่อนข้างมากในการรับมือกับภาวะโลกรวน
ดังนั้นสิ่งทีรัฐบาลจะต้องปรับวิธีการทำงาน และหาหน่วยงานที่ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้โดยตรง รวมทั้งแก้ปัญหาความล้มเหลวในการประสานงานระหว่างกระทรวง หรือระหว่างรัฐบาลกับหน่วยงานท้องถิ่น หรือระหว่างรัฐกับเอกชน รวมทั้งเปิดให้สถาบันการศึกษา ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการหาทางออกให้กับประเทศ
นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า แม้ว่ารัฐบาลพยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ แต่เงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในไทย คือ ไทยต้องมีพลังงานสะอาด หรือพลังงานสีเขียว แต่กลายเป็นว่าด้านพลังงานยังไม่ถูกปลดล็อค ขณะที่ไทยกำหนดเป้าหมาย Net Zero ในปี 2065 ช้ากว่าประเทศอื่นในโลก ซึ่งมีอย่างน้อย 63 ประเทศกำหนด Net Zero ในปี 2050
“หากรัฐบาลไม่ปฏิรูปสาขาพลังงานไฟฟ้า เราจะพากันตาย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แต่เป็นเรื่องจริง ความอยู่รอดทางเศรษฐกิจไทยอยู่ในมือของสาขาพลังงาน การแข่งขันในเวทีโลก ผู้ประกอบการ นักลงทุนต่างอยากได้ไฟฟ้าสะอาด แต่ทุกวันนี้สาขาพลังงาน ดูเหมือนจะเป็นสาขาที่ตามความต้องการของเศรษฐกิจไทยโดยรวมไม่ทัน”
อ่านข่าว:
“ไทย” ตั้งรับนโยบายทรัมป์ สนค.ชี้จับตาสินค้าต้นทุนต่ำทะลักไทย
ถึงเวลา ? ชาวนาไทยปรับตัวรับเทรนด์โลก ผลิต "ข้าว"คาร์บอนต่ำ
"ทรัมป์" คัมแบ็ก ปธ.หอการค้าฯ หวั่นกระทบ "ภาษี-กีดกันการค้า"
วันนี้ (14 พ.ย.2567) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน กล่าวถึงมาตรการการดูแลราคาพลังงาน หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ตรึงราคาค่าไฟฟ้า 4.18 บาทต่อหน่วย จนถึงสิ้นปี 2567 และตรึงราคาน้ำมันดีเซล 33 บาทต่อลิตรถึงเดือน ต.ค. ซึ่งหมดอายุแล้วนั้น
นายพีระพันธุ์ ระบุว่า พยายามจะดำเนินการตรึงราคาน้ำมันดีเซลต่อ ซึ่งสถานการณ์กองทุนน้ำมันขณะนี้เริ่มดีขึ้น ส่วนเรื่องมาตรการตรึงค่าไฟฟ้า ยืนยันว่าจะต้องมีการต่ออายุทุก 4 เดือน
เมื่อถามว่า ใกล้ถึงสิ้นปีจะมีการนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ใช่หรือไม่ นายพีระพันธุ์ พยักหน้า ก่อนขึ้นตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
อ่านข่าว
กกพ.ชง 3 ทางเลือกค่าไฟ ม.ค.-เม.ย.68 ที่ 4.18 - 5.49 บ./หน่วย
ลุ้นแจกเงินหมื่นเฟส 2 รมว.คลังถกบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ 19 พ.ย.
"ออมสิน" ออกสินเชื่อบ้าน ดอกเบี้ยคงที่ปีแรก 1.89% ต่อปี
วันนี้ (14 พ.ย.2567) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร ขึ้นปราศรัยบนเวทีหาเสียงนายก อบจ.อุดรธานี ที่เปรยว่าผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับเงินหมื่นเร็ว ๆ นี้ ว่า เฟสที่ 1 รัฐบาลให้เป็นเงินสดสำหรับกลุ่มเปราะบางและผู้พิการ จากนี้จะพิจารณาจากกลุ่มที่มีปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งมีจำนวนไม่มาก โดยจะคัดบุคคลที่เร่งด่วนก่อน
หากทำได้ก็จะจ่ายให้กับบุคคลเหล่านี้ ก่อนที่จะพิจารณาการจ่ายเงินในเฟสต่อไป
นายพิชัย กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะเป็นผู้นำหลักการเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมระบุว่า วิธีทำไม่ยาก ยืนยันว่าสิทธิของกลุ่มผู้มีอายุมากกว่า 60 ปีไม่ซ้ำซ้อนกับกลุ่มเปราะบาง ส่วนงบประมาณนั้น ในกลุ่มนี้มีไม่กี่ล้านคน
ผู้สื่อข่าวสอบถามว่าจะมีการจ่ายเงิน 10,000 บาทในเฟส 2 และเฟส 3 ใช่หรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า ใช่ เพราะต้องพิจารณาตามความเหมาะสม ความจำเป็น และรูปแบบ ซึ่งดิจิทัลกับการจ่ายเงินสดให้กับกลุ่มเปราะบางเป็นการช่วยเหลือ 2 ทาง คือ ให้ประชาชนมีช่องทางการติดต่อกับรัฐบาลได้อย่างถาวร ซึ่งจะค่อย ๆ พัฒนาโปรแกรมและแพลตฟอร์มดังกล่าว และเมื่อประชาชนคุ้นชินกับการใช้ดิจิทัลแล้วก็จะเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
แอปพลิเคชั่นเป๋าตัง ก็ถือว่าเป็นเพียงเครื่องมือ แต่สิ่งที่จะมีประสิทธิภาพแล้วจำเป็นมากที่สุดคือแพลตฟอร์มของรัฐ
อ่านข่าว : "ทักษิณ" ขึ้นเวทีปราศรัย ช่วยหาเสียงนายก อบจ.อุดรธานี
"หมอเกศ" ไม่กังวล กกต. สอบวุฒิการศึกษา
"ชูศักดิ์" ย้ำ กม.นิรโทษกรรมฉบับ "เพื่อไทย" ไม่รวม ม.110 - ม.112
วันนี้ (14 พ.ย.2567) นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 พ.ย.2567 เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองของผู้มีรายได้ปานกลางที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นได้อย่างเพียงพอ
ธนาคารจึงออกมาตรการสินเชื่อเพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยดอกเบี้ยต่ำ ประกอบด้วย สินเชื่อบ้านออมสินสบายใจ ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 2.890% ต่อปี สำหรับการซื้อหรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัย วงเงินกู้ตั้งแต่ 3,000,000-7,000,000 บาท และสินเชื่อ Top Up สบายใจ สำหรับผู้ที่ต้องการสินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อการตกแต่งหรือดำเนินการอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการอยู่อาศัย หรือการใช้จ่ายอเนกประสงค์ เช่น การซื้อเฟอร์นิเจอร์ ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี แรก 3.490% ต่อปี
สินเชื่อบ้านออมสินสบายใจ วงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท สำหรับกรณีกู้เพื่อซื้อหรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัย วงเงินกู้สินเชื่อเคหะตั้งแต่ 3,000,000-7,000,000 บาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก อยู่ที่ 2.890% ต่อปี ปีที่ 1 = 1.890% ต่อปี, ปีที่ 2 = 2.890% ต่อปี, ปีที่ 3 = 3.890% ต่อปี, และปีที่ 4 เป็นต้นไป = 5.845% ต่อปี (MRR – 0.750%) โดยผ่อนต่ำ 3 ปีแรก ปีที่ 1 ล้านละ 4,000 บาทต่อเดือน, ปีที่ 2 ล้านละ 5,000 บาทต่อเดือน, ปีที่ 3 ล้านละ 6,000 บาทต่อเดือน
สินเชื่อ Top Up สบายใจ สำหรับกรณีกู้เพิ่มเติมเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน หรือสิ่งจำเป็นอื่นเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก อยู่ที่ 3.490% ต่อปี, ปีที่ 1 - 3 = 3.490% ต่อปี และปีที่ 4 เป็นต้นไป = 6.345% ต่อปี (MRR – 0.250%) โดยสามารถผ่อนต่ำ 3 ปีแรก ปีที่ 1 ล้านละ 4,000 บาทต่อเดือน, ปีที่ 2 ล้านละ 5,000 บาทต่อเดือน, ปีที่ 3 ล้านละ 6,000 บาทต่อเดือน
ผู้ที่สนใจสามารถยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 พ.ค.2568 สอบถามโทร.1115
อ่านข่าว : ลุ้นแจกเงินหมื่นเฟส 2 รมว.คลังถกบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ 19 พ.ย.
ครม.ไฟเขียวสินเชื่อ "สร้างงานสร้างอาชีพ" วงเงิน 1.5 หมื่นล้าน คาดช่วยได้ 3 แสนคน
“ทองคำ” เปิดตลาด ร่วง 350 บาท “รูปพรรณ”ขายออก 43,000
วันนี้ ( 14 พ.ย.2567) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" วิเคราะห์ ราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวนที่ผ่านมา เกิดแรงเทขายและปิดตลาดที่จุดต่ำสุดของวันทำให้ราคาทองคำได้รับแรงกดดันจากเงินดอลลาร์แข็งค่าสุดในรอบ 6 เดือนหลังจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 2.6% เท่ากับตลาดคาด ทั้งนี้ตลาดมองว่า 82.8% เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค.
ทั้งนี้เศรษฐกิจที่ต้องติดตาม ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค. ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% จากที่เพิ่มขึ้น 0.0% และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3,000 รายสู่ระดับ 224,000 ราย
สำหรับการวิเคราะห์ราคาทองมีการฟื้นตัวขึ้น แต่ก็ไม่สามารถผ่านบริเวณแนวต้าน 2,610-2,620 ดอลลาร์ขึ้นไปได้ จึงเกิดแรงเทขายออกมาบริเวณดังกล่าว ทำให้ราคาทองคำปรับตัวลงแรง คาดว่าราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลงได้ต่อ และมีโอกาสไปสู่แนวรับ 2,540-2,550 ดอลลาร์
ราคาทองตลาดโลกแนวรับ : 2,550 และ 2,540 ดอลลาร์แนวต้าน : 2,600 และ 2,610 ดอลลาร์ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลงได้ต่อ และมีโอกาสปรับตัวลงสู่บริเวณแนวรับ 2,540-2,550 ดอลลาร์ หากเปิดสถานะขายไว้ให้ take profit บริเวณ 2,540-2,550 ดอลลาร์หรือเปิดสถานะขายบริเวณ 2,590-2,600 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,610 ดอลลาร์
ราคาทองคำแท่ง 96.5%แนวรับ : 42,300 และ 42,200 บาทแนวต้าน : 42,800 และ 42,900 บาท ราคาทองคำแท่งมีการฟื้นตัวขึ้นเมื่อวานนี้เข้าใกล้บริเวณ 43,000 บาท อย่างไรก็ตาม เริ่มเกิดแรงเทขายออกมา ทำให้ราคาทองคำแท่งมีแนวโน้มปรับตัวลงได้ต่อ ซึ่งราคาทองคำแท่งมีโอกาสปรับตัวลงแตะ 42,000-42,200 บาทแนะนำ Wait & See แนวโน้มหลักยังไม่มีสัญญาณซื้อเกิดขึ้น
สำหรับราคาทองปิดตลาด ลบ 350 บาท (ครั้งที่ 2) ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 42,500 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 42,400 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 43,300 บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 41,629.36 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,593 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 34.80 บาทต่อดอลลาร์
ราคาทองรูปพรรณรวมค่ากำเหน็จ 500 บาท มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,813 บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 11,125 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 21,750บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 43,000 บาท ภาพรวมราคาทองเดือน พ.ย. ลบ 1,850 บาท ทำให้ภาพรวมราคาทอง 11 เดือน ( ม.ค.-1พ.ย.) อยู่ที่ 8,850 บาท สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการทำสถิติไว้ตั้งแต่ปี2554
อ่านข่าว:
“ทองคำ” ปิดตลาด ร่วง 650 บาท ผันผวน 16 ครั้ง “รูปพรรณ”ขายออก 43,250
“ไทย” ตั้งรับนโยบายทรัมป์ สนค.ชี้จับตาสินค้าต้นทุนต่ำทะลักไทย
“ทองคำ” ร่วงแรง 300 ดอลลาร์แข่ง-นักลงทุนกังวลนโยบายทรัมป์
วันนี้ (14 พ.ย.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการแจกเงิน 10,000 บาทให้กับคนพิการและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เฟสแรกยังไม่สิ้นสุด โดยกระทรวงการคลังเตรียมโอนเงินซ้ำให้กับผู้ได้รับสิทธิ์ แต่โอนเงินไม่สำเร็จ ครั้งที่ 2 จำนวนกว่า 380,000 คน ในวันที่ 21 พ.ย.นี้
ส่วนผู้ลงทะเบียนบนแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 2 เป็นมาตรการกระตุ้นการบริโภคระยะสั้น จึงต้องพิจารณาภาวะเศรษฐกิจประกอบด้วย หากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีอาจยังไม่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการ ประกอบกับรัฐบาลยังคงตั้งเป้าโอนเงินผ่านแพลตฟอร์ม จึงต้องรอความพร้อมของระบบ
รมว.คลัง ยังกล่าวถึงความคืบหน้าแก้ไขปัญหาหนี้รายย่อย ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือแนวทางปฏิบัติที่ต้องอยู่บนหลักการลดภาระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นการยืดหนี้ ลดค่างวด รวมถึงตัดหนี้ หรือแฮร์คัต ขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้เป็นรายกรณี
ส่วนข้อเสนอของสถาบันการเงินที่ต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) เพื่อจูงใจให้ธนาคารพาณิชย์สนับสนุนมาตรการแก้หนี้รายย่อย นายพิชัย กล่าวย้ำว่า รัฐบาลพยายามใช้เครื่องมือที่มีอยู่ทั้งหมด หากจำเป็นต้องลดเงินนำส่งก็ต้องทำ โดยจะนำเรื่องการแก้หนี้รายย่อยและแนวทางผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2 เข้าหารือในการประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในวันที่ 19 พ.ย.นี้
อ่านข่าว
เกาะพงันปลอดภัย! นายอำเภอโต้ข่าวอิสราเอลเตือนระวังก่อการร้าย
"ไอกรน" ระบาดสหรัฐฯ CDC รายงานผู้ป่วยมากกว่า 2.2 หมื่นคน
"ไบเดน" จับมือ "ทรัมป์" ยินดีคืนบัลลังก์ทำเนียบขาว
ในช่วงเทศกาลลอยกระทง ประจำปี 2567 คาดว่าจะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางไปร่วมงานลอยกระทง ทั่วประเทศจำนวนมาก
บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จัดกิจกรรม "ลอยกระทง ลงแอ่วเหนือ ลด 10%" โดยมอบส่วนลดค่าโดยสาร ไม่รวมค่าธรรมเนียม ให้ผู้โดยสารที่จองตั๋ว บขส. เดินทางไป-กลับ จนถึงวันที่ 18 พ.ย.นี้
ในเส้นทางการเดินรถโดยสาร 3 จังหวัด คือ จ.เชียงใหม่ จ.ตาก และ จ.สุโขทัย สามารถจองตั๋วผ่านช่องทางจำหน่ายตั๋วโดยสาร บขส. ทั่วประเทศ และ ช่องทางออนไลน์ ได้ที่ เว็บไซต์ บขส.
อ่านข่าว : "แอ่วเหนือคนละครึ่ง" ยังเหลือ 9,098 สิทธิ รอลุ้นเฟส 2
"แอ่วเหนือคนละครึ่ง” ไม่คึกคัก นักวิชาการ ชี้ ไม่กระตุ้นท่องเที่ยวไฮซีซั่น
นักท่องเที่ยวพบปัญหา "แอ่วเหนือคนละครึ่ง" สแกนรับสิทธิ์ไม่ได้