จ่ายเงิน 10,000 บาท เฟสแรก ตัดสิทธิ 3.7 หมื่นคน

Fri, 20 Dec 2024 17:49:41

วันนี้ (20 ธ.ค.2567) นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยความคืบหน้าการจ่ายเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ (โครงการฯ) ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายโครงการรวมประมาณ 14.55 ล้านคน ว่า กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางได้จ่ายเงิน 10,000 บาทต่อราย ให้แก่กลุ่มเป้าหมายตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. - 19 ธ.ค.2567 โดยมียอดรวมที่จ่ายเงินสำเร็จแล้ว เป็นจำนวนทั้งสิ้น 14,450,168 คน

ทั้งนี้ ในรอบการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2567 กรมบัญชีกลางได้สั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการที่มีสิทธิจำนวน 50,228 ราย โดยประกอบด้วยการจ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิที่ยังจ่ายเงินไม่สำเร็จในรอบการจ่ายเงินที่ผ่านมา และการจ่ายเงินให้แก่คนพิการที่ได้ดำเนินการต่ออายุบัตรประจำตัวคนพิการหรือทำบัตรประจำตัวคนพิการหรือแก้ไขข้อมูลบัตรประจำตัวคนพิการเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ดี พบว่าในรอบการจ่ายเงินซ้ำดังกล่าว ยังมีการจ่ายเงินไม่สำเร็จจำนวน 37,685 คน เนื่องจากสาเหตุดังนี้

1. ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จ่ายเงินไม่สำเร็จจำนวน 33,767 ราย มีสาเหตุหลักเนื่องจากยังไม่ได้ผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนจำนวน 30,842 คน รองลงมาคือ บัญชีเงินฝากธนาคารไม่มีการเคลื่อนไหว บัญชีเงินฝากธนาคารถูกปิด ไม่มีบัญชีเงินฝากธนาคาร และเลขบัญชีเงินฝากธนาคารไม่ถูกต้องรวมกัน 2,925 คน

2. คนพิการ จ่ายเงินไม่สำเร็จจำนวน 3,918 คน มีสาเหตุหลักเนื่องจากยังไม่ได้ผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนจำนวน 3,834 คน รองลงมาคือ บัญชีเงินฝากธนาคารไม่มีการเคลื่อนไหว บัญชีเงินฝากธนาคารถูกปิด เลขบัญชีเงินฝากธนาคารไม่ถูกต้อง และไม่มีบัญชีเงินฝากธนาคารรวมกัน 84 คน

โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวว่า ภายหลังจากการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2567 ถือได้ว่ากระทรวงการคลังได้ดำเนินการจ่ายเงินให้กลุ่มเป้าหมายเสร็จสิ้นแล้วตามเงื่อนไขของโครงการที่คณะรัฐมนตรี
ได้ให้ความเห็นชอบไว้ กล่าวคือ “เมื่อพ้นกำหนดการ Retry ครั้งที่ 3 แล้ว จะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย และถือว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการฯ”

ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในการดำเนินโครงการฯ ภาครัฐได้จ่ายเงิน 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มเป้าหมายแล้วรวมทั้งสิ้น 14,450,168 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.19 ของกลุ่มเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ ทำให้มีเม็ดเงินจากโครงการฯ หมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวน 144,501.68 ล้านบาท และจากผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่ได้รับสิทธิในโครงการฯ จำนวนตัวอย่าง 31,500 คน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า กลุ่มเป้าหมายมีการแบ่งสัดส่วนการใช้จ่ายเงิน 10,000 บาท ไปกับการใช้จ่ายของครัวเรือนเป็นหลักกว่าร้อยละ 75 โดยมีการใช้จ่าย 3 อันดับแรก ได้แก่

1) ซื้ออาหารและเครื่องดื่ม
2) ซื้อของใช้ในครัวเรือน
3) ชำระค่าสาธารณูปโภค

ในขณะที่สถานที่ที่นำเงิน 10,000 บาท ไปใช้จ่าย 3 อันดับแรก ได้แก่

1) ร้านค้าในชุมชน/ร้านขายของชำ
2) หาบเร่ แผงลอยทั่วไป/ในตลาด
3) ร้านสะดวกซื้อ/มินิมาร์ททั่วไป

สะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์ของการดำเนินโครงการฯ ที่มีวัตถุประสงค์หลักในการบรรเทาภาระค่าครองชีพและเพิ่มศักยภาพของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ ให้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่จำเป็นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มการบริโภคที่จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศในช่วงปลายปี 2567

อ่านข่าว :

"คลัง" โอนเงิน 10,000 รอบจ่ายซ้ำครั้งสุดท้าย 19 ธ.ค. เร่งผู้มีสิทธิผูกพร้อมเพย์

“คลัง” ยังไม่ชง ครม.แจกเงิน 10,000 ผู้สูงอายุ ย้ำได้ทันตรุษจีน

5 จังหวัดรับเงิน 10,000 บาทมากที่สุด โคราชอันดับ 1


บอร์ด รฟท.ไฟเขียว จัดหา "รถโดยสาร- อะไหล่" ทดแทนรถเดิม วงเงิน 1หมื่นล้าน

Fri, 20 Dec 2024 15:38:06

วันนี้ (20 ธ.ค.2567) นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการจัดหารถโดยสารทดแทนขบวนรถด่วนพิเศษ และขบวนรถด่วน พร้อมอะไหล่ จำนวน 182 คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 10,502,100,000.00 บาท (หนึ่งหมื่นห้าร้อยสองล้านหนึ่งแสนบาทถ้วน) ว่า

ที่ประชุมคณะกรรมการรถไฟฯ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบให้การรถไฟฯ ผลักดันโครงการดังกล่าว เพื่อนำมาทดแทนรถโดยสารเดิมที่มีอายุการใช้งานมานานกว่า 50 ปี ถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการขนส่งทางรางให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ทั้งในด้านความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และการให้บริการ

ภาพ : การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

ภาพ : การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

โครงการจัดหารถโดยสารทดแทนรถด่วนพิเศษ และรถด่วน จำนวน 182 คัน พร้อมอะไหล่ สำหรับให้บริการขนส่งผู้โดยสารในขบวนรถด่วนพิเศษและขบวนรถด่วน 14 ขบวน (รวมขบวนสำรอง) เพื่อปรับปรุงคุณภาพการให้บริการแก่ผู้โดยสารทุกกลุ่ม

ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย และแผนวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2566 – 2570 (แผนฟื้นฟูการรถไฟแห่งประเทศไทย) ซึ่งจะเพิ่มบทบาทการให้บริการขนส่งผู้โดยสาร ตลอดจนการใช้ประโยชน์ของโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

จากสถิติก่อนและหลังการให้บริการของขบวนรถชุด 115 คัน ซึ่งเป็นขบวนรถโดยสารชุดล่าสุดที่การรถไฟฯ จัดหาและนำมาให้บริการ เมื่อปี 2560 นั้น มีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจากปี 2559 กว่า 7 แสนคน และในปี 2567 มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 1.84 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว แต่ก็ยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้บริการของผู้โดยสารในปัจจุบัน

ภาพ : การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

ภาพ : การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

สำหรับขบวนรถรถโดยสารชุด 182 คัน เป็นขบวนรถโดยสารปรับอากาศทั้งขบวน และมีการเพิ่มจำนวนรถโดยสารชนิดนอนปรับอากาศชั้น 1 จำนวน 2 – 3 คัน รวมถึงการเพิ่มชนิดรถโดยสารประเภทนั่งปรับอากาศ จำนวน 2 – 3 คัน มาให้บริการเป็นทางเลือกตามความต้องการของผู้ใช้บริการอีกด้วย ซึ่งจะรองรับจำนวนผู้ใช้บริการต่อตู้ได้เพิ่มขึ้น

รวมถึงยัง สามารถเพิ่มความเร็วสูงสุดจากเดิม 90 กม./ชม. เป็น 120 กม./ชม. ทำให้ผู้ใช้บริการเดินทางถึงจุดหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ส่วนด้านความปลอดภัย มีการเพิ่มระบบ CCTV ภายในห้องโดยสาร และบันไดประตูปิด – เปิดอัตโนมัติ

นอกจากนี้ ยังรองรับการให้บริการทั้งสถานีชานชาลาต่ำและชานชาลาสูง พร้อมลิฟต์ในการให้บริการสำหรับผู้พิการในกรณีสถานีมีชานชาลาต่ำอีกด้วย ที่สำคัญ ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถลดการใช้พลังงานจากน้ำมันเชื้อเพลิงต่อคันได้มากถึงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับขบวนรถเดิม

การรถไฟฯ มีแผนการพ่วงขบวนรถด่วนพิเศษและขบวนรถด่วน ที่จะนำมาทดแทน จำนวน 12 ขบวน ประกอบด้วย

- ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 13/14 กรุงเทพอภิวัฒน์ – เชียงใหม่

- ขบวนรถด่วนที่ 51/52 กรุงเทพอภิวัฒน์ – เชียงใหม่

- ขบวนรถด่วนที่ 67/68 กรุงเทพอภิวัฒน์ – อุบลราชธานี

- ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 37/38 กรุงเทพอภิวัฒน์ – สุไหงโก-ลก

- ขบวนรถด่วนที่ 83/84 กรุงเทพอภิวัฒน์ – ตรัง

- ขบวนรถด่วนที่ 85/86 กรุงเทพอภิวัฒน์ – นครศรีธรรมราช

ภาพ : การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

ภาพ : การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

สำหรับขั้นตอนจากนี้ จะนำเสนอรายงานต่อกระทรวงคมนาคม เพื่อพิจารณาทำความเห็นเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ หากคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการดังกล่าว การรถไฟฯ จะประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจยื่นข้อเสนอประกวดราคา และน่าจะพิจารณาผลการคัดเลือกได้ภายในปี 2569 คาดว่าจะสามารถรับรถงวดแรกได้ประมาณช่วงต้นปี 2571

สอดคล้องกับโครงการทางคู่ 7 เส้นทาง ระยะทาง 993 กม. และโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ 2 เส้นทาง ระยะทาง 678 กม.รวมถึงการซื้อรถจักรใหม่ 50 คัน และโครงการทางคู่ระยะที่ 2 อีก 7 เส้นทาง ระยะทางรวม 1,488 กม.

ภาพ : การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

ภาพ : การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

ทั้งนี้ การรถไฟฯ มุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของประเทศอย่างจริงจัง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และประสิทธิภาพในการให้บริการโดยสารเชิงพาณิชย์ให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อ่านข่าว : รฟท.แจ้งงดเดินรถ 8 ขบวนเส้นทางสายใต้ หลังน้ำท่วมหนัก

รฟท.ปรับเส้นทางเดินรถ หลังน้ำท่วม จ.ชุมพร  

เช็ก รฟท.งดเดินรถเส้นนครศรีฯ สนามบินยังไม่ปิด-น้ำสูงบางจุด

 

 

 

 

 


ราคา “ทองคำ” ลบ 250 บาท “ทองรูปพรรณ” ขายออก 43,100 บาท

Fri, 20 Dec 2024 10:45:00

วันนี้ ( 20 ธ.ค.2567) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" ภาพรวมความเคลื่อนไหวที่ผ่าน ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้น หลังจากที่ราคาทองคำปรับตัวลงแรง ภายหลังการประชุมเฟด อย่างไรก็ตาม มีแรงเทขายออกมาในช่วงกลางคืน เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดี ซึ่งจีดีพีไตรมาส 3 ของสหรัฐขยายตัว 3.1% มากกว่าที่ตลาดคาดจะขยายตัว 2.8%

และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ลดลง 22,000 ราย เหลือ 220,000 ราย และยังต่ำกว่าตลาดคาด ทำให้ดอลลาร์แข็งค่า กดดันราคาทองคำ ส่วนกองทุน SPDR ขายทอง 3.16 ตัน

ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตามสหรัฐฯ จะเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐานเดือนพ.ย. ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% จากเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค. ของม.มิชิแกน

วิเคราะห์ราคาทองแม้ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นไปทดสอบบริเวณแนวต้าน 2,625 ดอลลาร์ แต่ยังไม่สามารถผ่านแนวต้านดังกล่าวขึ้นไปได้ จึงเกิดแรงเทขายลงมา ทั้งนี้สัญญาณทางเทคนิคยังส่งสัญญาณการปรับตัวลง โดย MACD เกิด Bearish MACD ทำให้คาดว่าราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลงได้

ราคาทองตลาดโลกแนวรับ : 2,580 และ 2,560 ดอลลาร์แนวต้าน : 2,610 และ 2,626 ดอลลาร์หากราคาทองคำฟื้นตัวมายังบริเวณ 2,610 ดอลลาร์ แนะนำเปิดสถานะขายบริเวณ 2,610 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,620 ดอลลาร์

ราคาทองคำแท่ง 96.5% แนวรับ : 42,400 และ 42,200 บาทิ แนวต้าน : 42,700 และ 42,850 บาทคาดว่าราคาทองคำแท่งมีแนวโน้มปรับตัวลงได้ต่อ หลังจากที่เกิดสัญญาณขาย (sell signal ) จากเส้น SMA20 ตัดเส้น SMA50 ลงมา ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าทำให้ราคาทองคำแท่งปรับตัวลงไม่มากนัก แนะนำ Wait & see รอเข้าซื้อบริเวณแนวรับ 41,900 บาท

สำหรับราคาทองคำปิดตลาด ลบ 250 บาท (ครั้งที่ 2) ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 42,600 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 42,500 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 43,100 บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 41,735.48 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,598 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 34.61 บาทต่อดอลลาร์

ราคาทองรูปพรรณรวมค่ากำเหน็จ 500 บาท มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,825บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 11,150 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 21,800 บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 43,100บาท ภาพรวมราคาทอง 12 เดือน ( ม.ค.-16ธ.ค.) อยู่ที่ 8,950 บาท สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการทำสถิติไว้ตั้งแต่ปี2554

อ่านข่าว:

SME หนีตายแข่งขันค้าโลก ใช้ FTA ลดเสี่ยงภาษีสูง "ทรัมป์ 2.0 "

ราคา “ทองคำ” ร่วงต่อเนื่อง นักลงทุนเทขายทำกำไร

“ราคาทองคำ” ผันผวน ตลาดรอผลประชุมเฟด-กนง.ประกาศดอกเบี้ย18 ธ.ค.นี้

“สินค้าจีน” กระทบไทย ถูกรุกคืบหรือเราไม่ปรับตัว


"คลัง" จ่อชง มาตรการ "Easy e-Receipt" ลดหย่อนภาษี กระตุ้นใช้จ่ายปีใหม่

Fri, 20 Dec 2024 07:28:00

ช่วงนี้มีหลายกระทรวงประกาศให้ของขวัญปีใหม่ประชาชน ต้องจับตาดูการประชุม ครม. สัปดาห์หน้า

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า สัปดาห์หน้า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอมาตรการของขวัญปีใหม่ Easy e-Receipt เพื่อสนับสนุนการบริโภคในประเทศ โดยให้นำค่าซื้อสินค้าและบริการที่กำหนดมาใช้ลดหย่อนภาษีได้

สำหรับรายละเอียดเงื่อนไขมาตรการจะใช้หลักเกณฑ์เดิม โดยให้ซื้อสินค้าในร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และสามารถลดหย่อนภาษีในปีภาษี 68 ได้สูงสุด 50,000 บาท ซึ่งจะเริ่มได้ตั้งแต่เดือน ม.ค.68 นอกจากนี้ จะมีการเสนอให้ ครม.พิจารณาการกำหนดเป้าหมายเงินปี 2568 ไว้ที่กรอบ 1-3 % ค่ากลางอยู่ที่ 2 % ให้พิจารณาด้วย

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง

สำหรับ Easy e-Receipt เป็นมาตรการลดหย่อนภาษี ที่ให้สิทธิประชาชนผู้เสียภาษีทุกคน สามารถนำค่าใช้จ่าย ค่าซื้อสินค้า และบริการภายในประเทศมาลดหย่อนภาษีได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท โดยจะต้องมีใบกำกับภาษีเต็มรูปในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ของกรมสรรพากร แต่จะยกเว้นสินค้าบางรายการให้ใช้สิทธิได้ แม้ไม่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ค่าหนังสือ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ค่าสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว โดยจะเริ่ม 1 ม.ค.-15 ก.พ.2568

กระทรวงการคลังเตรียมเสนอมาตรการของขวัญปีใหม่ Easy e-Receipt เพื่อสนับสนุนการบริโภคในประเทศ โดยให้นำค่าซื้อสินค้าและบริการที่กำหนดมาใช้ลดหย่อนภาษีได้

กระทรวงการคลังเตรียมเสนอมาตรการของขวัญปีใหม่ Easy e-Receipt เพื่อสนับสนุนการบริโภคในประเทศ โดยให้นำค่าซื้อสินค้าและบริการที่กำหนดมาใช้ลดหย่อนภาษีได้

สิทธิประโยชน์ ให้หักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการในปี 68 ซึ่งจะยื่นแบบต้นปี 2569 ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท ส่วนสินค้าที่ไม่เข้าข่ายลดภาษี เช่น ค่าซื้อสุรา เบียร์ และไวน์ ค่าซื้อยาสูบ ค่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์และเรือ ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบริการสัญญาณโทรศัพท์ ค่าบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ตและค่าบริการ รวมค่าเบี้ยประกันวินาศภัย

อ่านข่าว : “คลัง” ยังไม่ชง ครม.แจกเงิน 10,000 ผู้สูงอายุ ย้ำได้ทันตรุษจีน 

ซ้ำเติมคนรายได้น้อย! ปชช. จี้คลังทบทวนแนวคิดปรับโครงสร้างภาษี

รมช.คลังแย้มชง ครม.พิจารณาเงินหมื่นเฟส 2 คาดได้ก่อน 29 ม.ค.  

 


"กิตติรัตน์" ย้ำจุดยืนอยากเห็น กนง.ลดดอกเบี้ยเร็วและแรง

Thu, 19 Dec 2024 20:28:00

วันนี้ (19 ธ.ค.2567) นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ในฐานะกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คนที่ 9 ร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นต่อมุมมองความเสี่ยงและความท้าทายของตลาดหลักทรัพย์ ในการเสวนา 50 ปี ตลาดหลักทรัพย์กับความท้าทายในยุคสมัย ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ช่วงหนึ่ง นายกิตติรัตน์ ถูกถามถึงกรณีที่ถูกเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ว่า หากได้รับตำแหน่งจะมีแนวทางการทำงานด้านนโยบายการเงินอย่างไร

นายกิตติรัตน์ ระบุว่า ขณะนี้ตนเองอยู่ในสถานะเป็นเพียงผู้ยอมรับการเสนอชื่อ และยอมรับการตรวจสอบคุณสมบัติจากทุกหน่วยงานเท่านั้น ส่วนขั้นตอนเสนอชื่ออยู่นอกเหนือการควบคุม แต่หากได้รับเลือกก็พร้อมทำงานให้สอดคล้องกับความคาดหวังของคนในธนาคารแห่งประเทศไทย

พร้อมย้ำว่าตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติไม่มีอำนาจในการแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการต่างๆ ในแบงก์ชาติ รวมทั้งการทำงานของรัฐบาล แต่ก็พร้อมเป็นโซ่ข้อกลางเชื่อมการทำงานทั้งนโยบายการเงินและคลัง ให้ทำงานร่วมกันได้

นายกิตติรัตน์ ยังย้ำจุดยืนอยากเห็นการลดดอกเบี้ยเร็วและแรง เพื่อป้องกันหายนะทางเศรษฐกิจ และช่วยลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับประชาชน แม้จะเคารพการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ร้อยละ 2.25 ต่อปี แต่มองว่าเหตุผลในการคงดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ยังไม่ชัดเจนและมองว่ายังมีช่องว่างในการลดดอกเบี้ยลงได้อีก

ด้านนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ระบุว่า การตัดสินใจคงดอกเบี้ยนโยบายเป็นไปตามการพิจารณาของ กนง. แต่ส่วนตัวอยากเห็นเงินเฟ้อปรับขึ้นอยู่ในระดับกึ่งกลาง ที่ระดับ 2% จากกรอบเงินเฟ้อที่ 1-3% ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับเศรษฐกิจของประเทศ ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังเตรียมเสนอกรอบเงินเฟ้อปี 2568 เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในสัปดาห์หน้า

อ่านข่าว

กนง.มีมติคงดอกเบี้ย 2.25% หลังเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง

SME หนีตายแข่งขันค้าโลก ใช้ FTA ลดเสี่ยงภาษีสูง "ทรัมป์ 2.0"

กสทช.เตือนตู้เติมเงิน K4 เสี่ยงเป็นธุรกิจเครือข่าย จ่อพักใบอนุญาต


กสทช.เตือนตู้เติมเงิน K4 เสี่ยงเป็นธุรกิจเครือข่าย จ่อพักใบอนุญาต

Thu, 19 Dec 2024 19:51:00

วันนี้ (19 ธ.ค.2567) นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทน เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) เตือนประชาชนเกี่ยวกับการลงทุนตู้เติมเงิน เคธี่ปันสุข โดยบริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ซึ่งมีการตั้งกลุ่ม โฆษณาชักชวนให้ลงทุนผ่านโซเชียลมีเดีย

โดยระบุว่าบริษัทได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. เพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน ซึ่งมีประชาชนร่วมลงทุนไปแล้วอย่างน้อย 15,000 ตู้

รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. ชี้แจงว่า ธุรกิจของบริษัทเคโฟร์ ที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. มีเพียงธุรกิจซิมการ์ดเคโฟร์ แต่ธุรกิจอื่น รวมถึงตู้เติมเงินเคธี่ปันสุข ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช.

ซึ่ง กสทช. ได้ยื่นเรื่องต่อธนาคารแห่งประเทศไทย ดีเอสไอ สคบ. และ ปปง. เพื่อให้แต่ละหน่วยงานตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยระหว่างนี้ หากพบว่ามีการอ้างถึงใบอนุญาตของ กสทช. เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ชักชวนลงทุน เกิดความเสียหายต่อสาธารณชนเป็นวงกว้าง อาจพิจารณาพักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการ ธุรกิจซิมการ์ดเคโฟร์ด้วย 

จากการตรวจสอบพบว่า เดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ซิมเคโฟร์ใช้งานจริงประมาณ 46,000 เลขหมาย ยอดการเติมเงินเฉลี่ยเพียงเลขหมายละ 38 บาทเท่านั้น บริษัทมีรายได้จากธุรกิจซิมการ์ดประมาณปีละ 5 ล้านบาท

แต่ กสทช. พบว่า บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 5 ล้านบาท เป็น 500 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 2 ปี จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า การเพิ่มทุนจดทะเบียน มาจากการประกอบธุรกิจอื่น นอกเหนือจากการให้บริการโทรคมนาคมตามประกาศ กสทช. หรือไม่

นอกจากนี้ สำนักงาน กสทช. ภาค และ กสทช. เขต ลงพื้นที่ตรวจสอบศูนย์บริการเคโฟร์ ยังพบว่า ศูนย์บริการบางแห่ง ไม่ได้เปิดให้บริการ และไม่ได้ติดตั้งตู้เติมเงินจริง ขณะที่ตัวแทนผู้เสียหาย เตรียมเข้าไปร้องเรียนที่สำนักงาน กสทช. พรุ่งนี้ (20 ธ.ค.)

อ่านข่าว :

SME หนีตายแข่งขันค้าโลก ใช้ FTA ลดเสี่ยงภาษีสูง "ทรัมป์ 2.0"

ส่งออกโต 5% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ พาณิชย์ เคาะเป้าปี68 ขยายตัว 2-3%

กนง. มีมติ คงดอกเบี้ย 2.25% หลังเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง


SME หนีตายแข่งขันค้าโลก ใช้ FTA ลดเสี่ยงภาษีสูง "ทรัมป์ 2.0 "

Thu, 19 Dec 2024 18:24:00

สถานการณ์การค้าโลกปัจจุบัน มีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น แต่ละประเทศต่างออกมาตรการกีดกันทางการค้ามากขึ้น เพื่อปกป้องไม่ให้ประเทศเสียเปรียบคู่ค้า โดยเฉพาะประเทศยักษ์ใหญ่ อย่าง สหรัฐ จีน ที่เปิดหน้าทำสงครามการค้าชัดเจน ส่งผลให้หลายประเทศได้และเสียประโยชน์จากความขัดแย้งของมหาอำนาจ

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในพันธมิตรการค้าของ 2 ยักษ์ใหญ่ จึงต้องวางตัวเป็น กลางที่สุด และพยายามมองหาโอกาสทางด้านการค้าให้กับสินค้าไทย กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเวทีถกภาคเอกชน ประเด็นโอกาสและความท้าทายจากสถานการณ์ทางการค้าในยุค ทรัมป์ 2.0 FTA ทางรอดธุรกิจไทยในการส่งออก เพื่อกระจายความเสี่ยงการส่งออกไปยังตลาดใหม่และตลาดที่ไทยมี FTA

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า ปัจจุบันการแข่งขันทางการค้าในโลกการค้ามีความรุนแรงมากขึ้น นับเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะเอสเอ็มอีไทยที่ต้องรับมือกับปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน กรมฯ เล็งเห็นว่า FTA จะเป็นทางรอดธุรกิจไทยที่จะช่วยกระจายความเสี่ยงการส่งออกไปยังตลาดใหม่และตลาดที่ไทยมี FTA ซึ่งผู้ส่งออกไทยจะมีแต้มต่อด้านภาษี พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของการผลิตสินค้า

โดยใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local content) ให้ได้ถิ่นกำเนิดไทยตามกฎว่าด้วย ถิ่นกำเนิดสินค้าที่กำหนดไว้ เพื่อป้องกันการถูกเพ่งเล็งว่าเป็นสินค้าที่ปลอมแปลงหรือแอบอ้างถิ่นกำเนิดจากประเทศที่สหรัฐฯ มีแนวโน้มดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าแบบแข็งกร้าว

ความท้าทายจากสถานการณ์การค้าโลก ในยุค ทรัมป์ 2.0 เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมความพร้อมในด้านการแข่งขัน นโยบาย America First ของทรัมป์ หรือการคุ้มครองการค้าระหว่างประเทศมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงขึ้นซึ่งทางรอดของผู้ประกอบการไทย คือ การใช้สิทธิประโยชน์จากFTA
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ

ในปี 2567 (ม.ค.- ก.ย.) มีมูลค่าการส่งออกโดยขอใช้สิทธิ FTA รวม 63,501.81 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.2 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ร้อยละ 2.11 คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ FTA ร้อยละ 85 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ โดยเป็นการส่งออกไปยังตลาดอาเซียน จีน และ ญี่ปุ่น มีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ ทุเรียน ยางสังเคราะห์และแฟกติชที่ได้จากน้ำมัน เนื้อไก่แปรรูปเป็นต้น

และปี 2568 คาดการณ์แนวโน้มการใช้สิทธิ FTA ว่ามีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ผลมาจากนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมการส่งออกผ่านการใช้สิทธิ FTA และสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก FTA ที่จะเป็นแต้มต่อให้สินค้าไทยในการรักษาตลาดและขยายตลาดได้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในภาวการณ์แข่งขันของการค้าระหว่างประเทศที่มีความเข้มข้น

“การใช้สิทธิพิเศษจาก FTA ของผู้ประกอบการไทยยังน้อย แต่ก็เพิ่มขึ้นกว่าปี 2566 และคาดว่าในหน้าจะมียอดผู้ใช้สิทธิ FTA เพิ่ม 5% หรือ 70,000-80,000 ล้านเหรียญสหรัฐของการส่งออกที่มีสิทธิใช้ FTA อยากให้ผู้ประกอบการไทยใช้สิทธิดังกล่าว ในภาวะการแข่งขันของการค้าระหว่างประเทศที่มีความเข้มข้น

ผลักดันผปก.ไทยใช้สิทธิ FTA ปี 68 

นางอารดา กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์การค้าต่างประเทศที่เข้มข้น กรมฯ เร่งผลักดันการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าอย่างเต็มที่ โดยในปี 2568 พร้อมลุยจัดสัมมนาทั่วประเทศรวม 10 จังหวัด ได้แก่ ระยอง ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา ลำพูน หนองคาย นครพนม นครราชสีมา กาญจนบุรี บุรีรัมย์ และสงขลา โดยครั้งถัดไปเดือนม.ค. 2568 ปักหมุดที่จ.ระยอง

เพราะประโยชน์จากการใช้สิทธิฯ FTA จะช่วยลดภาษีนำเข้า ส่งผลให้ต้นทุนสินค้าลดลง เพิ่มผลกำไร และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ SME ไทยมีทักษะและศักยภาพในการต่อยอดธุรกิจเพื่อขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นอกจากกรมฯจะเจรจาด้านกฎถิ่นกำเนิดสินค้าให้เหมาะกับรูปแบบการผลิตสินค้าของไทยแล้ว การออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่จะใช้ประกอบการลด หรือยกเว้นภาษีขาเข้าจากประเทศคู่ภาคี ปัจจุบันมีการนำระบบเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการสูงสุดด้วย

ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการออกกฎระเบียบ และจัดทำระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับการใช้บังคับความตกลง ทั้งความตกลงที่มีอยู่เดิม เช่น อาเซียน - ออสเตรเลีย - นิวซีแลนด์ (AANZFTA) ที่เพิ่มรูปแบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง และไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA)ที่ให้มีการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-CO ตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2568 และความตกลง ฉบับใหม่ล่าสุด คือ FTA ไทย - ศรีลังกา (SLTFTA) ที่คาดว่าจะใช้บังคับในวันที่ 1 มี.ค. 2568

ปัจจุบันประเทศไทยมีFTA แล้ว ทั้งสิ้น 14 ฉบับ กับ 18 ประเทศคู่ค้าทั้งในรูปแบบพหุภาคีภูมิภาค และทวิภาคีเช่น ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน –จีน ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน –อินเดีย ความตกลงการค้าเสรีไทย –ออสเตรเลีย ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน – ญี่ปุ่น ความตกลง RCEP รวมถึงฉบับล่าสุดที่ประเทศไทยได้ลงนามแล้วได้แก่ ความตกลงการค้าเสรีไทย –ศรีลังกา เมื่อเดือน ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็น FTA ฉบับที่ 15 ของไทย

และความตกลงการค้าเสรีไทย – EFTA ที่เจรจา เสร็จแล้ว และมีกำหนดลงนามความตกลงในเดือนม.ค. 2568 โดย FTA ที่ประเทศไทยได้ไปทำความ ตกลงมานี้จะทำให้สินค้าไทยได้รับสิทธิพิเศษในการลดหรือยกเว้นภาษีศุลกากรขาเข้าจากประเทศคู่ค้า ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าจากไทยลดลง สร้างแต้มต่อทางการค้า และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ให้แก่ผู้ส่งออกไทยในตลาดต่างประเทศได้

 “ทรัมป์ 2.0” ไม่ต่าง “ทรัมป์ 1.0” ขี้นภาษีเหมือนกัน

นายณัฐชนน จันทองปาน สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย กล่าวว่า หลังจากที่สหรัฐฯได้ประธานาธิบดีคนใหม่เป็น นายโดนัล ทรัมป์ นักลงทุนมีความกังวลบ้างว่าทรัมป์จะมีนโยบายอะไรที่ทำให้การค้าขายกับสหรัฐฯติดขัดหรือไม่ เพราะตลาดสหรัฐฯถือว่าตลาดเบอร์หนึ่งของสินค้าไทย มีมูลค่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งมีการหารือกับสมาชิกของสมาคมฯถึงทิศทางการค้าของสหรัฐฯ พบว่า ยอดส่งออกไปสหรัฐฯบางบริษัทเพิ่มขึ้น อาจจะเป็นเพราะมีการเร่งการส่งออกก่อนที่สหรัฐฯจะมีมาตรการด้านภาษีก็เป็นไปได้

นายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

นายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้มองว่ามาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯมีทั้งที่ไทยได้ประโยน์และมีความเสี่ยงบ้าง เพราะที่ผ่านมาในช่วงที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีมีการปรับขึ้นภาษีสมัยทรัมป์ 1.0 แล้วซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก

จีนโดนภาษี 60% ในขณะที่ไทยโดน10% ยังถือว่ามีช่องวางให้ส่งออกได้ เพราะบางสินค้ายังเป็นที่ต้องการในตลาดสหรัฐฯ ดังนั้นการใช้สิทธิประโยชน์ด้าน FTA จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

คงต้องติดตามนโยบายการค้าของประธานาธิบดีสหรัฐ ว่าจะออกมาทิศทางใด ไทยจะถูกมาตรการด้านภาษีเท่าไหร่ ซึ่งไม่ใช่แค่ไทยเท่านั้น ทุกประเทศทั่วโลกคงต้องจับตาว่า ท้ายที่สุดแล้ว ทรัมป์ จะใช้มาตรการด้านภาษีแรงมากน้อยอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ ผู้ประกอบการไทยควรใช้ FTA เป็นแต้มต่อในการทำการค้าในยุคที่การกีดกันทางการค้าที่เพิ่มความร้อนแรง

 อ่านข่าว:

ชี้เป้า SMEไทย ใช้ CBEC ดันสินค้ารุกตลาดจีน

“พิชัย นริพทะพันธุ์” วานิชย์ สู่ ธนกิจการเมือง คุมปากท้องชาวบ้าน

โยนหินถามทาง "ปรับ VAT 15%" รีดภาษีประชาชน ทางตันรัฐบาล

 


ส่งออกโต 5% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ พาณิชย์ เคาะเป้าปี68 ขยายตัว 2-3%

Wed, 18 Dec 2024 15:32:00

วันนี้ ( 18 ธ.ค.2567) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมแถลงเป้าทำงานในการผลักดันการส่งออกปี 2568 ร่วมกับภาคเอกชน ว่า กระทรวงฯเห็นตรงกันว่า การส่งออกในปี 2568 จะยังมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อได้ตั้งเป้าหมายร่วมกันว่าจะเติบโตที่ 2-3% เพิ่ม 2% มูลค่า 305,315.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 10.38 ล้านล้านบาท

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์

และเพิ่ม 3% มูลค่า 308,307.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 10.482 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่คาดว่าจะส่งออกได้ประมาณ 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5% จากเป้าที่ตั้งไว้ 1-2% หรือเป็นเงินบาทประมาณ 10 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่ไทยมีการส่งออกมา

สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนการส่งออกในปี 2568 ไทยมีความพร้อมในด้านการค้า การลงทุน เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวเป็นบวก และพร้อมที่จะทำ FTA กับทุกประเทศ ที่สำเร็จแล้ว คือ เอฟตา กำลังเจรจากับสหภาพยุโรป (อียู) เกาหลีใต้ และอีกหลายประเทศ หากสำเร็จจะเพิ่มโอกาสในการทำตลาด อีกทั้งไทยยังได้ตั้งเป้าหมายเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งขณะนี้มีการเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) หากโรงงานเดินเครื่องได้ ก็จะเพิ่มยอดส่งออกได้มาก

ส่วนแผนรับมือความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น เช่น กรณีนโยบายทรัมป์ 2.0 กระทรวงฯได้วางแผนทำงานเชิงรุกไว้แล้ว ทันทีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งในเดือน ม.ค.2568 ซึ่งเดือน ก.พ.2568จะจัดคณะผู้แทนไทยเดินทางไปสหรัฐฯ ทันที เพื่อไปหารือและเจรจาการค้า ไปอธิบายให้สหรัฐฯ เข้าใจว่า ที่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นเพราะนักลงทุนสหรัฐฯ เข้ามาลงทุนในไทยและส่งออกกลับไป การปรับขึ้นภาษี ก็จะกระทบต่อนักลงทุนสหรัฐฯ เอง และเชื่อว่า ไทยจะไม่โดนปรับขึ้นภาษี เมื่อเทียบกับคู่แข่ง อย่างจีน และเวียดนาม ที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ

ขณะเดียวกัน จะหารือกับญี่ปุ่น เพื่อชักชวนนักลงทุนญี่ปุ่นให้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่ญี่ปุ่นมีแผนขยายการลงทุนอยู่แล้ว และจะผลักดันให้ญี่ปุ่น กลับมาเป็นนักลงทุนอันดับหนึ่งในไทยต่อไป

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย

สำหรับปัจจัยที่น่ากังวล คือ ค่าเงินบาท ที่ขณะนี้เริ่มกลับมาแข็งค่าอีกแล้ว และแข็งไปเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่ค่าเงินอ่อนค่าหมด ยกเว้นไทย โดยอยากเห็นค่าเงินอยู่ที่ระดับ 36-37 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกได้มาก

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ คนที่ 1 หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เป้าส่งออกปี 2568 ที่ตั้งไว้ที่ 2-3% มีโอกาสทำได้สูง แต่เป็นห่วงเรื่องเซอร์ไพร์สจากสหรัฐฯ ที่ยังอ่านไม่ออกว่าจะเป็นยังไง ถ้าโชคดี ไทยก็อาจไม่โดนอะไรมาก

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ คนที่ 1 หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ คนที่ 1 หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปี 2567 การส่งออกจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำได้ 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น เงินบาท 10 ล้านล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างไร้รอยต่อ

ส่วนปี 2568 ที่ตั้งเป้าไว้ 2-3% มีโอกาสทำได้สูง เพราะกระทรวงพาณิชย์มีแผนทำงานร่วมกับภาคเอกชนชัดเจน จับต้องได้ สำหรับปัจจัยเสี่ยงจากสหรัฐฯ เท่าที่ฟัง มีการทำแผนรับมือความเสี่ยงไว้แล้ว และยังจะไปพบกับสหรัฐฯ ทันทีที่รัฐบาลใหม่เริ่มทำงาน ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

อ่านข่าว:

“พิชัย นริพทะพันธุ์” วานิชย์ สู่ ธนกิจการเมือง คุมปากท้องชาวบ้าน

กนง. มีมติ คงดอกเบี้ย 2.25% หลังเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง

ชี้เป้า SMEไทย ใช้ CBEC ดันสินค้ารุกตลาดจีน


กนง. มีมติ คงดอกเบี้ย 2.25% หลังเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง

Wed, 18 Dec 2024 14:51:00

วันนี้ (18 ธ.ค.2567) นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวถึงผลการประชุม กนง. วันที่ 18 ธ.ค. ว่าคณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.25 ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันจากภายนอกที่รุนแรงขึ้น และความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะแนวนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลัก แต่ยังสามารถขยายตัวได้ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวปรับดีขึ้น

ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังฟื้นตัวได้ช้าโดยเฉพาะกลุ่มที่ถูกกดดันจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง คณะกรรมการฯ เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงกับศักยภาพ เงินเฟ้อที่โน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมาย และการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว รวมทั้งรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงินในการรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่ปรับสูงขึ้น

โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยปี2567 มีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 2.7 และปี2568 ขยายตัวร้อยละ 2.9 ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนต่อเนื่องจากการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน รวมทั้งการส่งออกสินค้า หมวดอิเล็กทรอนิกส์และหมวดเครื่องจักรที่มีแนวโน้มดีขึ้นตามวัฏจักรสินค้าเทคโนโลยี

ทั้งนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวปรับดีขึ้น แต่ SMEs และภาคอุตสาหกรรมบางกลุ่มยังถูกกดดันจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง กลุ่มยานยนต์มีพัฒนาการ แย่ลงจากทั้งปัจจัยด้านราคาและอุปสงค์ ส่งผลให้การฟื้นตัวของรายได้ครัวเรือนยังไม่ทั่วถึง

สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 0.4 และปี2568 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.1 ส่วนสินเชื่อน่าจะชะลอลง จากความต้องการลงทุนในบางสาขาธุรกิจที่ลดลง การชำระคืนหนี้ที่กู้ยืมไปในช่วงวิกฤตโควิด-19 และความเสี่ยงด้านเครดิตที่อยู่ในระดับสู งเช่น สินเชื่อของภาคท่องเที่ยวและบริการขยายตัวชะลอลงจากการชำระคืนหนี้และรายได้ที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่สินเชื่อของธุรกิจ SMEs โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่การแข่งขันรุนแรงขึ้น หดตัวตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ควรติดตามแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อและนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และผลของมาตรการ คุณสู้ เราช่วย ของภาครัฐที่จะช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับกลุ่มเปราะบางอย่างตรงจุด

ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐปรับอ่อนค่าลงจากการประชุมครั้งก่อน ตาม การปรับคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของไทยปรับลดลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะมีการติดตามพัฒนาการของตลาดการเงินโลกที่มีแนวโน้มผันผวนจากแนวนโยบายของประเทศเศรษฐกิจและผลกระทบต่อตลาดการเงินไทย เพื่อรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน

 

อ่านข่าว:

เงินบาทซื้อขาย 33.75-34.50 กรุงศรีฯชี้กนง.คงดอกเบี้ย

กองทุน SSF และ RMF ต่างกันอย่างไร เช็กเงื่อนไข ลดหย่อนภาษี

“พิชัย นริพทะพันธุ์” วานิชย์ สู่ ธนกิจการเมือง คุมปากท้องชาวบ้าน


ราคา “ทองคำ” ร่วงต่อเนื่อง นักลงทุนเทขายทำกำไร

Tue, 17 Dec 2024 17:46:00

วันนี้ ( 16 ธ.ค.2567) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" ภาพรวมความเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวลงเล็กน้อยจากแรงเทขายทำกำไร ขณะที่นักลงทุนเฝ้าจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันพรุ่งนี้ รวมถึงการแถลงประธานเฟด เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า และนอกจากนั้นในวันพรุ่งนี้ยังมีการประกาศดอกเบี้ย จากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเด็นดังกล่าวจึงอาจส่งผลให้ราคาทองในวันพรุ่งนี้ผันผวนขึ้นกว่าในช่วงก่อนหน้า

ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม สหรัฐฯ จะมีการประกาศยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดค้าปลีกขั้นพื้นฐาน (Core Retail Sales) ของเดือน พฤศจิกายน ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าอาจยังคงปรับตัวขึ้น

วิเคราะห์ราคาทอง ราคาทองคำที่ฟื้นตัวขึ้นมา ยังคงติดแนวต้านสำคัญที่ 2,655 ดอลลาร์ โดยหลังขึ้นทดสอบราคาปรับตัวลงแรง จนแนวโน้มในระยะสั้นอาจปรับตัวลงต่อ จึงแนะนำแบ่งขายทำกำไรและรอเข้าซื้อสะสมอีกครั้งที่บริเวณแนวรับ

ราคาทองตลาดโลกแนวรับ 2,635 และ 2,620 ดอลลาร์แนวต้าน 2,665 และ 2,680 ดอลลาร์ ราคาทองโลกที่ฟื้นตัวขึ้นมา ยังคงติดแนวต้านสำคัญที่ระดับ 2,665 ดอลลาร์ และปรับตัวลงมาหลังขึ้นทดสอบ จึงแนะนำลดสถานะการถือครองก่อน โดยแนะนำเข้าซื้ออีกครั้งหากราคาลงทดสอบระดับ 2,635 ดอลลาร์ โดยมีเป้าทำกำไรที่ 2,665 ดอลลาร์

ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5%แนวรับ : 42,600 และ 42,450 บาทแนวต้าน : 43,000 และ 43,200 บาทราคาทองคำแท่งที่ปรับตัวลงมาในช่วงต้นสัปดาห์ ยังคงได้ปัจจัยหนุนจากค่าเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าอีกครั้ง หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัว แต่แนะนำใช้กลยุทธ์เชิงรับรอซื้อที่ 42,600 บาท โดยมีเป้าทำกำไรที่ 43,000 บาท และตัดขาดทุนหากหลุดระดับ 42,450 บาท

สำหรับราคาทองคำปิดตลาด ลบ 50 บาท ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 42,850 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 42,750 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 43,350 บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 41,978.04 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,640 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 34.28 บาทต่อดอลลาร์

ราคาทองรูปพรรณรวมค่ากำเหน็จ 500 บาท มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,856บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 11,213 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 21,925 บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 43,350บาท ภาพรวมราคาทอง 12 เดือน ( ม.ค.-16ธ.ค.) อยู่ที่ 9,200 บาท สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการทำสถิติไว้ตั้งแต่ปี2554

อ่านข่าว:

“ราคาทองคำ” ผันผวน ตลาดรอผลประชุมเฟด-กนง.ประกาศดอกเบี้ย18 ธ.ค.นี้

เงินบาทซื้อขาย 33.75-34.50 กรุงศรีฯชี้กนง.คงดอกเบี้ย

ผันผวน 7 ครั้ง ปิดตลาด “ทองคำ” + 150 บาท


ครม.อนุมัติ ปลดล็อก "โซลารูฟท็อป" ไม่ต้องขอนุญาตโรงงาน

Tue, 17 Dec 2024 17:42:00

วันนี้ (17 ธ.ค.2567) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ครม. มีมติอนุมัติร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ ... (พ.ศ. ...) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 กำหนดยกเว้นให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา หรือ โซลารูฟท็อป (Solar Rooftop) ทุกกำลังการผลิต ไม่เข้าข่ายเป็นโรงงานและไม่ต้องขออนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ซึ่งเดิมกฎหมายโรงงานกำหนดให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าจาก Solar Rooftop ที่มีกำลังการผลิตตั้งแต่ 1,000 กิโลวัตต์ ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน นับเป็นการปลดล็อคเพื่ออำนวยความสะดวกและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในทุกภาคส่วน

การแก้ไขกฎหมายดังกล่าว นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม มีความตั้งใจส่งเสริมและผลักดันให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเอกชนรายย่อยเข้าถึงการใช้ไฟฟ้าสะอาดจากพลังแสงอาทิตย์ ซึ่งได้ดำเนินการขับเคลื่อนต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยอดีต รมว.พิมพ์ภัทรา เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้มีความเป็นมิตร ยั่งยืน กับสิ่งแวดล้อม

ซึ่งจะเป็นจุดแข็งสำคัญที่จะตอบสนองกติกาสากลและช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ให้เพิ่มมากขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศแบบ “ซีโร่คาร์บอน” และนโยบายปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยสู่ “อุตสาหกรรมเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน” ที่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างบรรยากาศในการลงทุน และเน้นย้ำเรื่องการอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนให้มากที่สุด

นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม อยู่ระหว่างพิจารณาขยายกรอบการปลดล็อคโซลาร์ฟาร์ม (Solar Farm) และ โซลาร์ โฟลทติ้ง (Solar Floating) โดยได้ประสานการทำงานร่วมกับกระทรวงพลังงานอย่างใช้ชิด เพื่อส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฮับของพลังงานสะอาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป

อ่านข่าว :

ชี้เป้า SMEไทย ใช้ CBEC ดันสินค้ารุกตลาดจีน

“คลัง” ยังไม่ชง ครม.แจกเงิน 10,000 ผู้สูงอายุ ย้ำได้ทันตรุษจีน


“ราคาทองคำ” ผันผวน ตลาดรอผลประชุมเฟด-กนง.ประกาศดอกเบี้ย18 ธ.ค.นี้

Mon, 16 Dec 2024 18:07:00

วันนี้ ( 16 ธ.ค.2567) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" ภาพรวมความเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มว่าราคาทองจะผันผวนต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะมีการประกาศผลการประชุมดอกเบี้ยจาก ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในช่วงกลางคืน แล้วยังมีการประกาศดอกเบี้ยจาก กนง. ในช่วงกลางวันของวันพุธอีกด้วย และยังมีการประกาศตัวเลข Final GDP ของไตรมาส 3 และดัชนีราคาด้านการบริโภคส่วนบุคคล (PCE Price Index) ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ ใช้เป็นตัวชี้วัดระดับเงินเฟ้อที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจ

ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตามสหรัฐฯ จะมีการประกาศดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและการบริการ ของเดือน พฤศจิกายน
วิเคราะห์ราคาทอง ช่วงเช้าราคาดูเหมือนกำลังพยายามปรับตัวขึ้นอีกครั้ง หลังมีแรงซื้อเข้าหนุนจากแนวรับสำคัญที่ 2,645 ดอลลาร์ แต่ Upside ในการปรับขึ้นอาจมีจำกัด จึงแนะนำซื้อขายระยะสั้นเพื่อลดความเสี่ยงจากการผันผวนของราคาในช่วงสัปดาห์นี้ก่อน

ราคาทองตลาดโลกแนวรับ 2,645 และ 2,630 ดอลลาร์แนวต้าน 2,680 และ 2,695 ดอลลาร์ราคาทองโลกเช้านี้มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นจากแนวรับสำคัญที่ 2,645 ดอลลาร์ แต่ยังแนะนำใช้กลยุทธ์เชิงรับ ในการเข้าซื้อจากแนวรับดังกล่าว โดยมีเป้าหมายทำกำไรที่ 2,680 ดอลลาร์ และตัดขาดทุนหากทะลุระดับ 2,630 ดอลลาร์

ส่วนราคาทองคำแท่ง 96.5%แนวรับ : 42,500 และ 42,300 บาท แนวต้าน : 42,900 และ 43,100 บาท ราคาทองคำแท่งเช้านี้เปิดกระโดดลงมา โดยประเมินว่าราคาทองแท่งในประเทศอาจยังถูกค่าเงินบาทแข็งค่ากดดันราคา จึงประเมินว่าราคาบริเวณ 42,900 บาท เป็นระดับที่อาจแบ่งขายทำกำไรก่อน โดยหากราคาลงทดสอบแนวรับสำคัญที่ 42,500 บาท อาจเริ่มทยอยซื้ออีกครั้ง

สำหรับราคาทองคำปิดตลาด ลบ 50 บาท (+50บาทครั้งที่ 3 ) ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 42,900 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 42,800 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 43,400 บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 42,023.52 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,659.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 34.06 บาทต่อดอลลาร์

ราคาทองรูปพรรณรวมค่ากำเหน็จ 500 บาท มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,863บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 11,225 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 21,950 บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 43,400 บาท ภาพรวมราคาทอง 12 เดือน ( ม.ค.-16ธ.ค.) อยู่ที่ 9,250 บาท สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการทำสถิติไว้ตั้งแต่ปี2554

อ่านข่าว:

ผันผวน 7 ครั้ง ปิดตลาด “ทองคำ” + 150 บาท

เงินบาทซื้อขาย 33.75-34.50 กรุงศรีฯชี้กนง.คงดอกเบี้ย

ชี้เป้า SMEไทย ใช้ CBEC ดันสินค้ารุกตลาดจีน


ชี้เป้า SMEไทย ใช้ CBEC ดันสินค้ารุกตลาดจีน

Mon, 16 Dec 2024 18:01:00

วันนี้ (16 ธ.ค.2567) นายสุภกิจ เจริญกุล ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD กล่าวว่า จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญของสินค้าไทยอย่างมาก เพราะมีจำนวนประชาชนการเป็นพันล้านคน ซึ่งยังมีช่องว่าให้กับสินค้าไทยไม่ว่าจะเป็น กลุ่มผลไม้สด สินค้าเกษตรแปรรูป อาหารแปรรูป กลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพ กลุ่มอาหารอนาคต สินค้ามูลค่าสูงอย่างอัญมณีและเครื่องประดับ รวมถึงสินค้าต่อยอดเชิงวัฒนธรรม และ Soft Power เป็นต้น ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ เป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ และเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในตลาดจีนอยู่แล้ว

นายสุภกิจ เจริญกุล ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD

นายสุภกิจ เจริญกุล ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD

ล่าสุด ITD ได้ร่วมกับศูนย์ China Intelligence Center (CIC) วิทยาลัยศิลปะ สื่อและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) สายงานอาเซียนและโลจิสติกส์ เผยแพร่ผลการศึกษาโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs เพื่อการใช้ประโยชน์จาก Cross Border E-Commerce (CBEC) สู่ตลาดจีน

ซึ่งจะช่วยให้ SMEs ไทยมีโอกาสในการขยายตลาดผ่านช่องรูปแบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน หรือ CBEC เข้าสู่ตลาดจีนได้เพิ่มขึ้น และเป็นโอกาสใหม่ทางการค้าขายระหว่างประเทศ โดย ITD จะนำเสนอผลการศึกษา และข้อเสนอแนะทั้งหมดให้กับนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ที่เกี่ยวข้องนำไปขับเคลื่อนต่อไป

ทั้งนี้ ผลการศึกษา พบว่า จีนเปิดรับสินค้าจากต่างประเทศผ่านรูปแบบ CBEC มีมูลค่าในปี 2566 สูงถึง 548,300 ล้านหยวน หรือประมาณ 2.7 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตในอัตราตัวเลขสองหลักในปี 2567

โดยสินค้าที่นำเข้า มีทั้งสินค้าแบรนด์เนม ของใช้ส่วนตัว ของทานเล่น เครื่องสำอาง อาหารเสริม แฟชั่น และหัตถกรรม โดยอนุญาตให้สินค้าที่อยู่ในบัญชีอนุญาต (Positive List) กว่า 1,500 พิกัดศุลกากร (HS code) สามารถนำเข้าผ่านเขตปลอดอากรนำร่อง CBEC ที่มีอยู่ทุกมณฑลของประเทศจีน โดยยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับนำเข้า และเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราพิเศษ คือ ร้อยละ 70 ของอัตราภาษีปกติ รวมถึงสินค้าที่นำเข้าไม่ต้องขอเอกสารประกอบใบอนุญาตนำเข้าครั้งแรก ซึ่งช่วยลดขั้นตอนด้านเอกสารลงเป็นอย่างมาก

การใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน หรือ CBEC จึงเป็นหนึ่งในรูปแบบในการขยายธุรกิจไปยังประเทศจีน ที่หลายประเทศเลือกใช้ ผู้ประกอบการ SMEs ไทย ก็สามารถใช้ช่องทางดังกล่าว เป็นกลไกนำร่องดำเนินธุรกิจ เพื่อขยายตลาดจำหน่ายสินค้าของตนไปสู่ตลาดประเทศจีน แทนที่รูปแบบการค้าแบบทั่วไป และจะทำให้สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดจีนได้เพิ่มมากขึ้น

นายสุริยนต์ ตู้จินดา ประธานคณะกรรมการค้าชายแดนและผ่านแดน สายงานอาเซียนและโลจิสติกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ได้มีการเสนอให้ใช้ประโยชน์จากเส้นทางขนส่งทางถนนและระบบราง สำหรับ CBEC เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลาง CBEC จีน-อาเซียน ซึ่งเสนอให้จัดตั้ง CBEC Fulfillment Center ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

นายสุริยนต์ ตู้จินดา ประธานคณะกรรมการค้าชายแดนและผ่านแดน สายงานอาเซียนและโลจิสติกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

นายสุริยนต์ ตู้จินดา ประธานคณะกรรมการค้าชายแดนและผ่านแดน สายงานอาเซียนและโลจิสติกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

โดยพิจารณาพื้นที่ชายแดนที่อ.เชียงของ จ.เชียงราย หนองคาย หรือ อุดรธานี นครพนม และมุกดาหาร ที่มีเชื่อมต่อกับจีนผ่านเส้นทาง R3A รถไฟลาว-จีน R12 และ R9 เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีอยู่หนึ่งแห่งในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งนี้ สามารถลอกเลียนแนวทางที่จีนใช้ในการจัดตั้งเขตปลอดอากรนำร่อง CBEC มาใช้เป็นแนวทางสำหรับจัดตั้ง CBEC Fulfillment Center ในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม บริษัทชั้นนำของจีนในไทย แนะนำผู้ซื้อจากเขตปลอดอากร CBEC และศูนย์แสดงและจัดจำหน่ายสินค้าของจีน ที่สนใจนำเข้าสินค้าไทยเพื่อจำหน่ายผ่านช่องทาง CBEC มาร่วมเสวนาทั้งจากเขตปลอดอากรนำร่องคุนหมิง หนานหนิง อี้อูและไห่หนาน

 อ่านข่าว:

วันแรกคิกออฟโอนจ่ายไร่ละ 1,000 บาท ชาวนาภาคเหนือแห่กดเงิน

กระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งท้ายปี'67 “ค้าภายใน” ลดค่าครองชีพคนไทยทั้งประเทศ

ยื่นภาษี 2567 ให้คุ้ม! วิธีใช้ "ค่าลดหย่อน" ให้เต็มสิทธิ์


“คลัง” ยังไม่ชง ครม.แจกเงิน 10,000 ผู้สูงอายุ ย้ำได้ทันตรุษจีน

Mon, 16 Dec 2024 16:11:56

วันนี้ (16 ธ.ค.2567) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 17 ธ.ค.นี้จะยังไม่เสนอชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกเป็นประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือประธานบอร์ดแบงก์ชาติ เนื่องจากได้ส่งหนังสือขอความเห็นเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ได้รับการเสนอชื่อ แต่ยังได้รับหนังสือตอบกลับไม่ครบถ้วน อีกทั้งเห็นว่าประธานบอร์ดแบงก์ชาติคนปัจจุบันสามารถต่ออายุการทำงานได้ถึงวันที่ 9 ม.ค.2568 จึงเห็นว่ายังมีเวลาพิจารณาคุณสมบัติให้ครบถ้วน

เช่นเดียวกับการพิจารณาโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ คนละ 10,000 บาท ยังไม่เสนอ ครม. บรรจุเข้าวาระพิจารณาเช่นกัน เนื่องจากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงข้อความในโครงการฯ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้เงินดำเนินโครงการ พร้อมย้ำว่ารูปแบบการดำเนินโครงการไม่มีอะไรยุ่งยาก แต่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ จึงคาดว่ารัฐบาลจะสามารถกดปุ่มโอนเงินให้ผู้สูงอายุก่อนช่วงเทศกาลตรุษจีน หรือภายในวันที่ 29 ม.ค.2568 และเป็นผู้ลงทะเบียนบนแอปฯ ทางรัฐ และผ่านเงื่อนไขคุณสมบัติเกี่ยวกับรายได้และไม่ซ้ำซ้อนกับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

ก่อนหน้านี้ แหล่งข่าวในกระทรวงการคลัง ระบุว่า อยู่ระหว่างทำประมาณการตัวเลขผลทางเศรษฐกิจจากโครงการแจกเงิน 10,000 บาท พร้อมพิจารณาแก้ไขข้อความโครงการฯ จากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นเพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพ เนื่องจากการแจกเงินรอบผู้สูงอายุมีผลต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าการแจกเงินรอบกลุ่มเปราะบาง ซึ่งอาจไม่เข้านิยามกระตุ้นเศรษฐกิจ

อ่านข่าว

วันแรกคิกออฟโอนจ่ายไร่ละ 1,000 บาท ชาวนาภาคเหนือแห่กดเงิน

ยื่นภาษี 2567 ให้คุ้ม! วิธีใช้ "ค่าลดหย่อน" ให้เต็มสิทธิ์

ปฏิทินวันหยุดมกราคม 2568 เฉลิมฉลองปีใหม่อย่างสนุกสนาน


“มะพร้าวน้ำหอมสามพราน” ของดีนครปฐม สินค้าGI ภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น

Mon, 16 Dec 2024 15:37:00

วันนี้ (16 .ค.2567) นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI เพื่อคุ้มครองสินค้าท้องถิ่นชุมชนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในพื้นที่แหล่งผลิตสินค้าในแต่ละท้องถิ่น สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และขยายช่องทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง

ส่งผลให้สินค้า GI เป็นสินค้าสำคัญที่ขับเคลื่อนนโยบาย Soft Power ล่าสุดกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศขึ้นทะเบียน มะพร้าวน้ำหอมสามพราน เป็นสินค้า GI ลำดับที่ 2 ของจ.นครปฐม ต่อจากส้มโอนครชัยศรี

โดยมะพร้าวน้ำหอมสามพราน เป็นสินค้ายอดนิยม ที่สร้างความภาคภูมิใจ ชื่อเสียง และรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ที่ปลูกในพื้นที่ราบลุ่มของแม่น้ำนครชัยศรี ในช่วงปีน้ำหลากพบดินตะกอนทับถม นำพาแร่ธาตุต่างๆ มาสะสมไว้จนชาวบ้านเรียกว่าน้ำไหลทรายมูล ทำให้ดินในพื้นที่มีเนื้อเหนียวสีน้ำตาล ดินชั้นบนมีลักษณะทับถมเป็นชั้นๆ ดินชั้นล่างเป็นสีน้ำตาล ปนเหลือง

ด้วยแหล่งภูมิศาสตร์ส่งผลให้มะพร้าวน้ำหอม มีเปลือกสีเขียวปนเหลือง เนื้อสีขาว นุ่ม น้ำมะพร้าว มีรสชาติหวาน และกลิ่นหอมคล้ายใบเตย หลังจากนั้นได้มีการนำมะพร้าวน้ำหอมไปปลูกในพื้นที่อำเภอสามพราน ถ่ายทอดความรู้ภูมิปัญญาของเกษตรกรจากรุ่นสู่รุ่น จนมีการขยายพันธุ์อย่างกว้างขวาง นับว่าเป็นอีกหนึ่งสินค้า ที่ได้รับความนิยม

อีกทั้งยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีมูลค่าส่งออกและได้รับความนิยมจากผู้บริโภคคนไทยและต่างชาติ รวมถึงมีการออกร้านแสดงและจำหน่ายสินค้าตามงานต่างๆ จนโด่งดังและเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันสร้างชื่อเสียงและรายได้สู่เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดนครปฐมกว่า 572 ล้านบาทต่อปี

อ่านข่าว:

กระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งท้ายปี'67 “ค้าภายใน” ลดค่าครองชีพคนไทยทั้งประเทศ

“พิชัย นริพทะพันธุ์” วานิชย์ สู่ ธนกิจการเมือง คุมปากท้องชาวบ้าน

เปิดลงทะเบียนแก้หนี้ 12 ธ.ค. ช่วยลูกหนี้ 1.9 ล้านราย ยอดหนี้ 8.9 แสนล้าน


เงินบาทซื้อขาย 33.75-34.50 กรุงศรีฯชี้กนง.คงดอกเบี้ย

Mon, 16 Dec 2024 15:18:01

วันนี้ (16 ธ.ค.2567) กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.75-34.50 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 34.11 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 33.66-34.13 บาท/ดอลลาร์

ขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินเยนร่วงลงหลังมีกระแสข่าวว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ)ยังไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง ทางด้านดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายนของสหรัฐฯเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด

ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นเกินคาดที่ 3.0% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 ขณะที่ดัชนี PPI พื้นฐานซึ่งไม่รวมอาหารและพลังงานพุ่งขึ้น 3.4% ในเดือนพฤศจิกายน ทางด้านธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี)ลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 3.00% ตามคาด

โดยเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่สี่ในปีนี้ พร้อมส่งสัญญาณผ่อนคลายต่อไป โดยตัดทิ้งข้อความที่เคยระบุในแถลงการณ์ถึงความจำเป็นที่ต้องใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดและเพียงพอนานตราบเท่าที่จำเป็น ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นและพันธบัตรไทยสุทธิ 5,907 ล้านบาท และ 6,248 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับภาพรวมในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะให้ความสนใจกับการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ซึ่งคาดว่าจะลดดอกเบี้ย 25bp สู่ 4.25-4.50% ในวันที่ 18 ธ.ค.นี้ โดยผู้ร่วมตลาดจะติดตามประมาณการดอกเบี้ย(dot plot) ชุดใหม่จากเจ้าหน้าที่เฟดเพื่อประเมินมุมมองของเฟดว่าอาจต้องลดดอกเบี้ยช้าลงเท่าใดในปี 2568 ท่ามกลางความกังวลที่ว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้ออาจสูงขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลยอดค้าปลีกและเงินเฟ้อ PCE เดือนพ.ย.ของสหรัฐฯ และการประชุมบีโอเจซึ่งตลาดคาดว่าจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.25% ตามเดิมในวันที่ 19 ธ.ค. โดยนักลงทุนจะรอสัญญาณเกี่ยวกับจังหวะเวลาที่บีโอเจจะขึ้นดอกเบี้ยครั้งถัดไป

ท่าทีของเฟดที่บ่งชี้ถึงความระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติมในปี 2568 เมื่อเทียบกับธนาคารกลางหลักแห่งอื่นๆจะหนุนค่าดอลลาร์ขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้

สำหรับปัจจัยในประเทศ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% ในการประชุมวันที่ 18 ธ.ค. เพื่อรอประเมินผลของการลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อเดือนตุลาคม รวมถึงผลกระทบจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และเก็บกระสุนไว้สำหรับระยะข้างหน้า ทั้งนี้ มองว่ากนง.อาจปรับลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 2.00% ในเดือนก.พ. 2568

อ่านข่าว:

 กองทุน SSF และ RMF ต่างกันอย่างไร เช็กเงื่อนไข ลดหย่อนภาษี

ยื่นภาษี 2567 ให้คุ้ม! วิธีใช้ "ค่าลดหย่อน" ให้เต็มสิทธิ์

ไขทุกข้อสงสัย! ใคร-เอกสารอะไร ที่ต้องใช้ "ยื่นภาษี 2567"


วันแรกคิกออฟโอนจ่ายไร่ละ 1,000 บาท ชาวนาภาคเหนือแห่กดเงิน

Mon, 16 Dec 2024 10:53:52

วันนี้ (16 ธ.ค.2567) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง และประธานกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นประธานคิกออฟโอนเงินตามโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่ ซึ่งได้วางแผนโอนเงินให้เกษตรกรเป็นรายภูมิภาค จำนวน 5 รอบ เริ่มวันนี้ (16 ธ.ค.) เป็นวันแรก และต่อเนื่องถึง 20 ธ.ค.2567 ตั้งเป้าหมายเกษตรกรได้รับประโยชน์จำนวน 4.61 ล้านครัวเรือน วงเงินรวม 37,414 ล้านบาท

การโอนเงินจะแบ่งเป็นรอบที่ 1 วันที่ 16 ธ.ค.2567 ภาคเหนือ จำนวน 17 จังหวัด 9.57แสนครัวเรือน วงเงิน 7,302 ล้านบาท, รอบที่ 2 วันที่ 17 ธ.ค.2567 ภาคกลางและภาคตะวันออก จำนวน 18 จังหวัด 2.96 แสนครัวเรือน วงเงิน 2,690 ล้านบาท, รอบที่ 3 วันที่ 18 ธ.ค.2567 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน จำนวน 12 จังหวัด 1.37 ล้านครัวเรือน วงเงิน 10,800 ล้านบาท, รอบที่ 4 วันที่ 19 ธ.ค.2567 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง จำนวน 8 จังหวัด 1.40 ล้านครัวเรือน วงเงิน 11,822 ล้านบาท และรอบที่ 5 วันที่ 20 ธ.ค.2567 ภาคตะวันตก และภาคใต้ จำนวน 22 จังหวัด 1.56 แสนครัวเรือน วงเงิน 1,303 ล้านบาท

รมช.คลัง ระบุว่า มาตรการนี้รัฐบาลตั้งเป้าช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูกข้าว และส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต แต่ยอมรับว่าปีนี้มีการปรับหลักเกณฑ์จากไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ เหลือไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่ เพราะต้องนำเงินไปช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบอื่น ๆ อีกหลายมาตรการ

ขณะที่ชาวนาใน จ.กำแพงเพชร และจังหวัดใกล้เคียง ไปรอถอนเงินที่หน้าตู้เอทีเอ็ม ธกส.กำแพงเพชร ต.ในเมือง อ.เมืองกำแพงเพชร ตั้งแต่ช่วงเช้า โดยชาวนาบอกว่าดีใจที่รัฐบาลช่วยแบ่งเบาภาระต้นทุนการทำนาให้เกษตรกรมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต แม้ว่าโครงการไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ จะแตกต่างจากโครงการที่ผ่านมา ที่เคยได้รับเงินช่วยเหลือไม่เกิน 20 ไร่ หรือ 20,000 บาท แต่ยังช่วยให้มีเงินทุนในการทำการเกษตร

เช่นเดียวกับชาวนา จ.นครสวรรค์ ที่มารอเบิกถอนเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท บริเวณธนาคาร ธกส.ตั้งแต่ก่อนเปิดทำการ หลายคนบอกว่ารู้สึกดีใจที่ได้รับเงินก้อนนี้ เนื่องจากจะช่วยเหลือค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ขณะที่บางส่วนต้องแบ่งเงินจำนวนหนึ่งไปใช้หนี้

ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถตรวจสอบผลการโอนเงินได้ทางแอปพลิเคชัน BAAC Mobile ตลอด 24 ชั่วโมง หรือข้อความแจ้งเตือนเงินเข้าบัญชีผ่านบริการ BAAC Connect ทาง Line: BAAC Family สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555

อ่านข่าว : เด็กหญิง 12 ปีตกเครื่องเล่นปลาหมึก กระดูกสันหลัง-ซี่โครงหัก 

หญิงตรัง ตั้งคำถามเหตุตั๋วเครื่องบินแพง ช่วงปีใหม่ 

น้ำท่วม แจ้งปิดเรียน รร.สังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช วันนี้ 


จราจรคล่อง "พระราม 2" เปิดใช้วันแรกหลังปิดรื้อ 14 วัน

Sat, 14 Dec 2024 08:36:00

กรณีกรณีเหตุคานปูนและเครนก่อสร้างทางยกระดับถล่มที่ถนนพระราม 2 ต.คอกกระบือ อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร ทำให้ต้องปิดปรับปรุงเพื่อรื้อเครน 2 สัปดาห์โดยต้องปิดถนนช่องจราจรหลักทั้งขาเข้า-ขาออก 

วันนี้ (14 ธ.ค.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำรวจทางหลวงได้เปิดช่องทางการจราจรอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ประชาชนที่ จะเดินทางลงใต้ ถนนพระราม 2 ฝั่งขาออก สามารถเดินทางได้ตามปกติ ตั้งแต่เวลา 05.00 น.ถนนพระราม 2 ได้เปิดการจราจรปกติแล้ว โดยเส้นทางถนนพระราม 2 ขาออกผ่าน กม.21+600 รถน้อยคล่องตัว 

อ่านข่าว เปิดคู่ขนาน ถ.พระราม 2 ฝั่งขาออก หลังรื้อถอนโครงเหล็ก

ขณะที่ผู้ใช้สื่อออนไลน์ที่เดินทางไปจุดดังกล่าว ระบุว่า

เปิดถนนหลักเส้นพระราม 2 ใช้งานได้ตามปกติกู้ซากเครนถล่มเสร็จ ได้ใช้ถนนหลังจากที่ต้องขับอ้อมมา 2 อาทิตย์

ส่วนแอปพลิเคชัน iWZ Rama II รายงานว่าเมื่อเวลา 08.00 น.สภาพจราจรทางหลวงหมายเลข 35 (พระราม 2) โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว คล่องตัว

เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (13 ธ.ค.) นายนริศ นิรามัยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ลงพื้นที่ตรวจติดตามการรื้อถอน และคืนผิวจราจรถนนพระราม 2 โดยมีเจ้าหน้าที่เข้ามาเคลื่อนย้ายเต็นท์ อุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย ทำความสะอาดช่องทางหลัก และตรวจสอบพื้นผิวถนนช่องทางหลักถนนพระราม 2 ทั้งขาเข้าและขาออก ซ่อมแซมให้เกิดความปลอดภัย เพื่อเตรียมให้ใช้ทางได้ในเช้าวันนี้

สำหรับถนนพระราม 2 ได้ปิดจราจร ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย.-13 ธ.ค.ที่ผ่านมา รวมระยะเวลา​ 15 วัน โดยจะมีอำนวยความสะดวกประชาชนผู้ใช้ทาง

อ่านข่าว

คานเหล็กถล่มพระราม 2 ยืนยันเสียชีวิต 3 สูญหาย 1 เจ็บ 10 คน

หนาวจริง 14-16 ธ.ค. เหนือ-อีสาน-กทม.อุณหภูมิลด 3-6 องศาฯ

 


กองทุน SSF และ RMF ต่างกันอย่างไร เช็กเงื่อนไข ลดหย่อนภาษี

Fri, 13 Dec 2024 18:50:00

เตรียมตัวให้พร้อมยื่นแบบ "ภาษีบุคคลธรรมดา 2567" ในช่วงเดือน มกราคม - มีนาคม 2568 ตามหน้าที่ของคนไทยที่มีรายได้ เพื่อช่วยส่งเสริมการพัฒนาประเทศและสร้างความเท่าเทียมในสังคม 

ในการยื่นภาษีสามารถยื่นได้ด้วยตนเองที่สำนักงานสรรพากรใกล้บ้าน ยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร และยังสามารถกรอกใบ ภ.ง.ด. ให้หน่วยงานบริษัทที่สังกัดยื่นให้ได้ด้วย

อ่านข่าว : ไขทุกข้อสงสัย! ใคร-เอกสารอะไร ที่ต้องใช้เสีย "ภาษี 2567"

ในปีนี้ หากใครวางแผนอยากลงทุนระยะยาวเพื่ออนาคต หรือมีเงินในยามเกษียณ แต่ก็ต้องการวางแผนประหยัดภาษีในแต่ละปี จึงไม่ควรพลาดมารู้จัก กองทุน RMF การลงทุนเพื่อเกษียณ และการออมระยะยาวกับกองทุน SSF ที่จะมาช่วยในเรื่องการออม และยังได้รับสิทธิประโยชน์ทงภาษีด้วย วันนี้ชวนมาสำรวจเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของทั้ง 2 กองทุน เหมือนหรือต่างกันตรงไหน แบบไหนตอบโจทย์ของแต่ละคน  

กองทุน SSF กับ RMF เหมือนหรือต่างกัน อย่างไร 

การเลือกระหว่างกองทุน SSF และ RMF เพื่อใช้ลดหย่อนภาษี ซึ่งขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงินและเงื่อนไขที่เหมาะสมกับแต่ละคน ซึ่งมี "ข้อดี" - "เงื่อนไข" แตกต่างกัน 

กองทุน SSF หรือ Super Savings Fund หรือ "กองทุนรวมเพื่อการออม" เป็นกองทุนที่ออกมาเพื่อส่งเสริมให้มีการออมแบบผูกพันระยะยาว สร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต


ปี 2567 เป็นปีสุดท้าย ที่สามารถนำเงินที่ซื้อกองทุน SSF มาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ จากที่เริ่มใช้สิทธิได้มาตั้งแต่ปี 2563

อ่านข่าว : โยนหินถามทาง "ปรับ VAT 15%" รีดภาษีประชาชน ทางตันรัฐบาล

กองทุน RMF หรือ Retirement Mutual Fund หรือ "กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ" เป็นกองทุนที่ออกมาเพื่อสนับสนุนการออมเงินไว้สำหรับใช้จ่ายยามเกษียณ   

ทั้งนี้ สิทธิการลดหย่อนภาษี SSF และ RMF นั้น เมื่อรวมกับการออมเพื่อการเกษียณอื่น ๆ จะลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาท (SSF+RMF+กอช.+PVD/กบข./กองทุนสงเคราะห์ครู+ประกันบำนาญ = ไม่เกิน 500,000 บาท)

ในการลงทุนก็มีข้อควรระวัง นั้นคือ ผู้ลงทุนไม่ควรลงทุนเกินสิทธิของตน เพราะอาจก่อให้เกิดการผิดเงื่อนไขในการลดหย่อนภาษี 

เมื่อเข้าใจความแตกต่างของกองทุน SSF และ RMF ที่จะใช้ในการลดหย่อนภาษีแล้ว มาดูกันว่า จะเลือกการลงทุนแบบไหนถึง จะตรงกับความต้องการและเป้าหมายลงทุนของแต่ละคน 

อ่านข่าว : ยื่นภาษี 2567 ให้คุ้ม! วิธีใช้ "ค่าลดหย่อน" ให้เต็มสิทธิ์

กองทุน SSF และ RMF เหมาะกับใคร 

กองทุน SSF เหมาะกับใคร

กองทุน RMF เหมาะกับใคร

เลือกลงทุนอะไรดี ระหว่าง SSF และ RMF

กองทุน SSF และ RMF แตกต่างกันในเรื่องระยะเวลาถือครอง ซึ่งหากผู้ลงทุนอายุยังไม่มาก กองทุน SSF เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ มากกว่า RMF เพราะระยะเวลาการถือครองสั้นกว่า แถมไม่ติดเงื่อนไขที่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี แต่หากเมื่ออายุมากขึ้น อายุมากกว่า 45 ปี ขึ้นไป อาจต้องพิจารณาการเลือกซื้อกองทุนระหว่าง SSF และ RMF เนื่องจากกองทุน SSF ต้องถือครอง 10 ปี จะทำให้สามารถเริ่มขายคืนได้ตอนอายุมาก เช่น ผู้ที่อายุ 50 ปี หากซื้อกองทุน SSF จะเริ่มขายคืนได้เมื่ออายุ 60 ปี แต่หากซื้อกองทุน RMF จะสามารถขายคืนได้ ตั้งแต่ตอนอายุ 55 ปี

ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป กรมสรรพากรได้กำหนดให้ผู้ลงทุนที่ซื้อ RMF และ SSF ที่จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ต้องแจ้งความประสงค์ ไปยัง บลจ. ที่ซื้อหน่วยลงทุนให้ครบทุกแห่ง ภายในวันทำการสุดท้ายของปี เพื่อให้ บลจ. นำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรโดยตรงแทนการที่ผู้ลงทุนยื่นเอกสารเอง โดยผู้ลงทุนแจ้งเพียงครั้งเดียว ไม่ต้องแจ้งทุกปี หากไม่แจ้งความประสงค์อาจใช้สิทธิลดหย่อนภาษีไม่ได้

อ้างอิงข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย - SET

อ่านข่าว : "แอ่วเหนือคนละครึ่ง" ใช้สิทธิ์ทะลุเป้า-หวังเพิ่มมาตรการท่องเที่ยว

ถอดมหากาพย์คดีโกงหุ้น STARK บทเรียน "เขย่า" ตลาดทุนไทย

“ไทย” มิตรแท้ทุกประเทศ “สหรัฐฯ” ขุมทรัพย์ ขยายส่งออกไทย


ยื่นภาษี 2567 ให้คุ้ม! วิธีใช้ "ค่าลดหย่อน" ให้เต็มสิทธิ์

Fri, 13 Dec 2024 18:11:00

ค่าลดหย่อนและยกเว้นเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบในการคำนวณภาษีที่กฎหมายกำหนดให้นำไปหักออกจากเงินได้ ได้อีกหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว โดยมีการหักลดหย่อนกรณีต่าง ๆ แตกต่างกันออกไป สรุปได้ดังนี้

กรณีบุคคลธรรมดา หรือผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี

  1. ผู้มีเงินได้ 60,000 บาท
  2. คู่สมรส (ไม่มีเงินได้) 60,000 บาท
  3. ผู้มีเงินได้หรือคู่สมรสต่างฝ่ายต่างมีเงินได้หักลดหย่อนรวมกันได้ ไม่เกิน 120,000 บาท
  4. บุตรชอบด้วยกฎหมายและบุตรบุญธรรม คนละ 30,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 3 คน
  5. ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้มีเงินได้ โดยบิดามารดาต้องมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ขอหักลดหย่อนไม่เกิน 30,000 บาท หักค่าลดหย่อน คนละ 30,000 บาท และสามารถหักลดหย่อนสำหรับบิดามารดาของคู่สมรสได้อีกคนละ 30,000 บาท
  6. ค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ หักค่าลดหย่อน คนละ 60,000 บาท
  7. ค่าเบี้ยประกันชีวิต (กรมธรรม์อายุ 10 ปีขึ้นไป) ของผู้มีเงินได้หักค่าลดหย่อนและได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ หากคู่สมรสมีการประกันชีวิตและความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ผู้มีเงินได้มีสิทธิหักลดหย่อน สำหรับเบี้ยประกันชีวิตของคู่สมรสที่ไม่มีเงินได้หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท แต่หากสามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้
    • ถ้าความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษีและภริยาใช้สิทธิแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามี ตามมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ให้สามีและภริยาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีตามจำนวนที่จ่ายจริง เฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 90,000 บาท ซึ่งไม่เกินเงินได้พึงประเมินของแต่ละคนหลังจากหักค่าใช้จ่าย ตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
    • ถ้าความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษีและภริยาไม่ใช้สิทธิแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีตามมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ให้สามีและภริยาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีตามจำนวนที่จ่ายจริง เฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 90,000 บาท ซึ่งไม่เกินเงินได้พึงประเมินของแต่ละคนหลังจากหักค่าใช้จ่าย ตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
    • ถ้าความเป็นสามีภริยามิได้มีอยู่ตลอดปีภาษีที่ได้รับยกเว้นภาษี ให้สามีและภริยาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ ต่างฝ่ายต่างได้รับยกเว้นภาษีตามจำนวนที่จ่ายจริง เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 90,000 บาท ซึ่งไม่เกินเงินได้พึงประเมินของแต่ละคนหลังจากหักค่าใช้จ่าย ตามมาตรา 42 ทวิ ถึงมาตรา 46 แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
  8. ค่าเบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรส หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท ทั้งนี้ บิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรสต้องไม่มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้เกิน 30,000 บาท
  9. เงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 490,000 บาท และไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้
  10. เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ได้รับยกเว้นเท่าที่จ่ายเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในอัตราไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ในปีภาษีนั้น และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ เงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เงินสะสมเข้ากองทุน สงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน และเงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติแล้ว แต่ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
  11. ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้ที่นำมาเสียภาษีเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
    ทั้งนี้ ต้องเป็นค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญเมื่อผู้มีเงินได้อายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไปถึงอายุ 85 ปีหรือกว่านั้น และเมื่อรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน เงินที่ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนเพื่อการออม SSF และเงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
  12. เงินสะสมกองทุนการออมแห่งชาติ หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ เงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนและเงินที่ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
  13. ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม SSF หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน ต้องไม่เกิน 200,000 บาท
  14. ดอกเบี้ยกู้ยืมที่จ่ายให้แก่ธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่น บริษัทประกันชีวิต สหกรณ์ หรือนายจ้างสำหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารอยู่อาศัย โดยจำนองอาคารที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกันการกู้ยืม หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
  15. เงินสมทบประกันสังคม หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง
  16. เงินลงทุนในหุ้น หรือการเป็นหุ้นส่วนเพื่อจัดตั้ง หรือเพิ่มทุนบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับจดทะเบียนวิสาหกิจเพื่อสังคมและได้จดแจ้งการเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
  17. ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 40,000 บาท
  18. เงินบริจาคให้แก่พรรคการเมือง เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่ให้เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท
  19. ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) หักได้เท่าที่จ่ายจริง ไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน แต่ต้องไม่เกิน 100,000 บาท ต้องถือหน่วยลงทุนต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 8 ปี นับตั้งแต่วันซื้อหน่วยลงทุน
  20. เงินบริจาค
    • เงินบริจาคสนับสนุนการศึกษา การกีฬา และโรงพยาบาลรัฐ ผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) หักได้ 2 เท่าของที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
    • เงินบริจาคอื่น หักได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน

กรณีห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล หรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล

หักค่าลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 120,000 บาท

กรณีกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง

หักค่าลดหย่อนได้60,000 บาท

อ่านข่าว : ไขทุกข้อสงสัย! ใคร-เอกสารอะไร ที่ต้องใช้ "ยื่นภาษี 2567"