วันที่ 22 พ.ย.2567 พนักงานสอบสวนกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 กองบัญชาการตำรวจนครบาล นำหลักฐานขอศาลอาญาออกมาจับ นพ.บุญ วนาสินอายุ 86 ปี ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรี พร้อมภรรยา บุตรสาว และพวกรวม 9 คน หลังร่วมกันฉ้อโกงประชาชน หลอกให้ร่วมลงทุนธุรกิจเกี่ยวกับการแพทย์
ก่อนหน้านี้มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง เอาผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 กรณีที่ไม่สามารถนำเช็คเงินสดของ นพ.บุญ ไปขึ้นเงินกับธนาคารได้ ซึ่งมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค.2566- ต.ค.2567 กว่า 527 คน
ข้อมูลการสืบสวนของตำรวจพบว่า ในห้วงวันที่ 2-4 ก.พ.2566 นพ.บุญ ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง โดยออกสื่อสารธารณะแพร่ข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์สาธารณะ กล่าวอ้างการลงทุนที่น่าสนใจจำนวน 5 โครงการ เกี่ยวกับธุรกิจการแพทย์ ศูนย์ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรงพยาบาลทั้งไทยและต่างประเทศ
กลุ่มผู้ต้องหามีการชักชวนนักธุรกิจชั้นนำระดับประเทศ และบุคลากรวงการแพทย์ หลายร้อยคนเข้าร่วมลงทุน ในรูปแบบทำสัญญากู้ยืมเงินโดยให้ดอกเบี้ยกับผู้เสียหาย และได้จ่ายเช็คให้ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้เงินกู้ พร้อมทั้งเช็คเพื่อชำระค่าดอกเบี้ยล่วงหน้า ในชื่อ นพ.บุญ โดยมีนางจารุวรรณ วนาสิน และนางณวรา วนาสิน บุคคลในครอบครัวเป็น ผู้ค้ำประกันตามสัญญา
ในช่วงแรกให้ดอกเบี้ยกับผู้ที่เข้าร่วมลงทุนตามสัญญา แต่ต่อมาไม่ได้ชำระดอกเบี้ยตามกำหนด ในส่วนเช็คที่ออกไว้ให้ก็ไม่สามารถนำไปขึ้นเงินกับธนาคารได้ จึงเป็นเหตุให้ผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดีจนกระทั่งนำไปสู่การออกมาจับในครั้งนี้
ทั้งนี้ ศาลอาญาได้ออกหมายจับ นพ.บุญ 5 ข้อหา คือ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน และข้อหาเช็คเด้ง หรือออกเช็คแล้วขึ้นกับธนาคารไม่ได้ นอกจาก นพ.บุญ ยังมีหมายจับผู้ร่วมกระทำความผิดอีก 8 คน ได้แก่
สำหรับทั้ง 8 คน ถูกออกหมายจับในข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
ตำรวจกองบัญชาการตำรวจนครบาล และกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 ได้เร่งติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหแล้ว 6 คน ยังเหลือ 3 คน คือ นพ.บุญ ภรรยาและบุตรสาว ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า นพ.บุญ ได้เดินทางออกไปจากประเทศไทยไปยังจีน ในวันที่ 29 ก.พ.2567 ส่วนภรรยาและบุตรสาวอยู่ระหว่างตรวจสอบ ส่วนรายละเอียดในคดีและความคืบหน้าทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลจะมีการแถลงข่าวในเวลา 11.00 น ของวันนี้ (23 พ.ย.67)
อ่านข่าว : ศาลอนุมัติหมายจับ "เอก สายไหมต้องรอด" ปมพยานเท็จดิไอคอน
"ทนายอาคม" เข้าเยี่ยม "ทนายตั้ม" ขอข้อมูลคดีโอนทรัพย์สิน "เจ๊อ้อย"
สอบปากคำเพิ่ม "เจ๊อ้อย" เร่งทำสำนวนคดีทนายตั้มให้อัยการ
วันนี้ (22 พ.ย.2567) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวว่า ในบ่ายวันนี้ พนักงานสอบสวนชุดสืบสวน ได้นัดหมาย นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด มาให้ถ้อยคำ ซึ่งกรณีนายเอกภพก็จะเข้าข่ายความผิดเรื่อง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ สำหรับพยานเท็จก็มีการเรียกมาสอบแล้ว แต่ทางบริษัท ดิไอคอนไม่ติดใจดำเนินคดี จึงเหลือเพียงแค่นายเอกภพเพียงคนเดียว ทั้งนี้ทางดิไอคอนก็ได้ยืนยันแล้วว่าพยานดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับดิไอคอน
ในส่วนกรณีของนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ ฟิล์ม และ น.ส.กฤษอนงค์ หรือ เจ๊พัช ที่มีการเรียกรับเงินจากบอสดิไอคอน 20 ล้านบาท โดยแอบอ้างชื่อกรรชัย กำเนิดพลอย เมื่อวานนี้ (21 พ.ย.) ทางตำรวจกองปราบ ได้ประชุมถึงเรื่องนี้ และมีความเห็นว่าจะรวมเป็นคดีเดียวทั้งหมด ทั้งคดีที่หนุ่มกรรชัยมาร้องทุกข์ในข้อหาหมิ่นประมาท และบอสดิไคอนมาร้องทุกข์ในข้อหาพยายามฉ้อโกง และพยายามกรรโชกทรัพย์ แต่จะเข้าข้อหาใดบ้าง ขอให้ทางพนักงานสอบสวนเข้าไปสอบปากคำ บอสปัน ก่อน และค่อยพิจารณากันอีกครั้งว่าจะเข้าข้อหาใด ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้มีการเรียกผู้ใดมาให้ปากคำ ขอรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดก่อน
ส่วนกรณีนาย ส.เสือ จากการตรวจสอบเส้นเงินบัญชีแม่ของนาย ส.เสือ ล่าสุดพบว่ามีเงินเข้าและออกในบัญชีกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่เกี่ยวข้องกับคดีดิไอคอนจำนวน 3 ล้านบาท แต่ 100 กว่าล้านบาทจะต้อง ขยายผลว่ามาจากที่ใดและใครบ้าง ทั้งนี้จะมีการเรียกแม่นาย ส.เสือ มาให้ปากคำ
ล่าสุดที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอท. ได้ขออำนาจศาลอาญารัชดา ในการออกหมายจับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ในข้อหา พ.ร.บ.คอมฯ กรณีโพสต์ข้อมูลเท็จในระบบเกี่ยวกับเงินดิจิตอลของบริษัทดิไอคอน
ทันทีที่หมายจับออกผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปทางนายเอกภพ ได้เปิดเผยว่า ยังไม่ทราบเรื่องหมายจับ และขณะนี้กำลังเดินทางมาเพื่อให้ถ้อยคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตามคำเชิญในเวลา 15.00 น.
นายเอกภพ เข้าพบพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ บก.ปปป. ตามนัดหมาย เพื่อให้ถ้อยคำเกี่ยวกับดิไอคอน
โดยนายเอกภพ เปิดเผยว่าวันนี้เดินทางมาพร้อมทนายความ และเตรียมเอกสารทั้งหมดตั้งแต่ต้นยันจบ ซึ่งบุคคลดังกล่าวที่ให้ข้อมูลได้ติดต่อมา ตนเองจึงได้ส่งต่อข้อมูลให้ตำรวจขยายผล ส่วนตัวเพิ่งทราบเรื่องจากผู้สื่อข่าว โดยยังไม่เห็นหมายจับ เพราะวันนี้มีนัดเข้าให้ข้อมูลกับตำรวจอยู่แล้ว ในเวลา 15.00 น. ยืนยันว่าทำต้องการช่วยเหลือประชาชน และไม่รู้จักบอสต่าง ๆ ของดิไอคอน
"เป็นการต่อสู้ทางกฎหมาย ตอนนี้ยังรู้สึกไม่กังวลใจ เชื่อว่าทางสอบสวนกลางจะให้ความเป็นธรรม ถ้าวันนี้ผมมาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนแล้วถูกดำเนินคดีผมก็พร้อม ไม่เป็นไร"
นายเอกภพ ยืนยันว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยปฏิเสธการเข้ามาให้ข้อมูลกับตำรวจ แต่เมื่อได้รับการติดต่อก็เข้ามา และได้นัดในวันนี้ (22 พ.ย.)
อ่านข่าว :
"ทนายอาคม" เข้าเยี่ยม "ทนายตั้ม" ขอข้อมูลคดีโอนทรัพย์สิน "เจ๊อ้อย"
สอบปากคำเพิ่ม "เจ๊อ้อย" เร่งทำสำนวนคดีทนายตั้มให้อัยการ
ปปง.เปิดยื่นคำร้องขอคืนทรัพย์สิน "ผู้เสียหายดิไอคอน" ถึง 17 ก.พ.68
วันนี้ (22 พ.ย.2567) นายอาคม คงสวัสดิ์ ทนายความของนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด (เดือน) ภรรยาของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด (ทนายตั้ม) เดินทางมาถึง เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อเข้าเยี่ยมและคุยกับนายษิทรา
นายอาคม เปิดเผยว่า วันนี้จะเข้าไปคุยกับนายษิทรา ในประเด็นว่า ภรรยามีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการโอนทรัพย์สินของ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ (เจ๊อ้อย) หรือไม่ รวมถึงสอบถามวัตถุประสงค์ของการเข้าไปล็อกอินระบบติดตาม หรือ GPS ในรถของ น.ส.จตุพร ในระบบช่วงเดือน ก.ย.2567 ทั้งที่รถถูกส่งมอบให้เจ้าของไปแล้วกว่า 9 เดือน และสอบถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแก้ไขพินัยกรรม ที่มีการแก้ไขให้นายษิทรา เป็นผู้จัดการมรดก
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับทนายษิทรา ยอมรับว่า ก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำงานร่วมกันมานานแล้วด้วยเหตุผลส่วนตัว แต่ที่ครั้งนี้ยอมมาเป็นทนายความให้กับภรรยาของนายษิทราเพราะภรรยาของตัวเองสนิทสนมกัน
ส่วนเมื่อวานนี้ (21พ.ย.2567) ที่ผ่านมาได้เข้าไปพูดคุยกับภรรยาของนายษิทรา ในทัณฑสถานหญิงกลาง ทำให้ทราบข้อมูลว่า ภรรยารู้เพียงว่าเงินที่สามีโอนให้เป็นเงินของ น.ส.จตุพร แต่ไม่ทราบว่านายษิทราไปหลอก หรือ ฉ้อโกง มาหรือไม่
สำหรับวันนี้ตัวเองจะเข้าไปเยี่ยมนายษิทรา โดยมีนายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความขอเข้าเยี่ยม พร้อมเตรียมใบแต่งตั้งทนายมาด้วย แต่ไม่ทราบว่านายษิทราจะอนุญาตหรือไม่ เพราะมีทนายสายหยุด เป็นผู้รับผิดชอบอยู่แล้ว
อ่านข่าว : ตร.สอบ "พี่สาว" ทนายตั้มในฐานะคนใกล้ชิด จ่อสอบบุคคลอื่นเพิ่ม
ให้ปากคำ 12 ชม ."เจ้อ้อย" ยืนยันดำเนินคดี "ทนายตั้ม" จนถึงที่สุด
สอบปากคำเพิ่ม "เจ๊อ้อย" เร่งทำสำนวนคดีทนายตั้มให้อัยการ
วันนี้ (21 พ.ย.2567) แอนโทนี อัลบานีซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แถลงต่อรัฐสภาในกรุงแคนเบอรา แจ้งข่าวการเสียชีวิตของ บิอันกา โจนส์ หญิงออสเตรเลียวัย 19 ปี หลังเข้ารับการรักษาตัวจากอาการป่วยในประเทศไทย โดยคาดว่าเป็นผลจากการดื่มสุราที่มีการปนเปื้อนเมทานอลระหว่างท่องเที่ยวที่วังเวียงของลาว
ขณะที่เพื่อนของผู้เสียชีวิตอีก 1 คน อยู่ในระหว่างการรักษาตัวที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ซึ่งผู้นำออสเตรเลียออกมาแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นักท่องเที่ยวออสเตรเลียคนดังกล่าวกลายเป็นผู้เสียชีวิตคนที่ 4 แล้วจากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 14 คน ซึ่งมีอาการป่วยหลังดื่มสุราต้องสงสัยในลาว เมื่อวันที่ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยผู้เสียชีวิตก่อนหน้านี้เป็นชาวเดนมาร์ก 2 คน และชาวอเมริกัน 1 คน ซึ่งทางการของทั้ง 2 ประเทศได้ออกมายืนยันข้อมูลดังกล่าวแล้ว
ด้านทางการออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอังกฤษ ออกมาประกาศเตือนให้พลเรือนระมัดระวังในการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนเมทานอลในลาว ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า กำลังติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด แต่เปิดทางให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทำงานเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตต่อไป
อ่านข่าวอื่น :
จับนายก อบต.สำนักทอง คาห้องทำงานเรียกรับเงินสร้างถนน 1 แสน
พบ "สุนัขจิ้งจอก" พลัดหลงกลางเมืองมหาสารคาม
"เสือโคร่งสีทอง" สัตว์หายากที่มีต้นกำเนิดจาก "เสือขาว" ตัวเดียว
วันนี้ (21 พ.ย.2567) พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยความคืบหน้าการประชุมคดีของ น.ส.จตุพร หรือเจ๊อ้อย ที่มีการเรียกผู้เสียหายมาให้ปากคำเพิ่มเติมในช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา (20 พ.ย.) ซึ่งพนักงานที่ทำสำนวนพบว่ายังมีบางประเด็นไม่ชัดเจน จึงต้องเรียกมาสอบเพื่อให้ทุกอย่างครบถ้วน
ทั้งนี้ การสอบปากคำเน้นในเรื่องเดิม เพื่อนำข้อมูลมาประกอบกัน ส่วนเรื่องของมรดกยังไม่มีความผิดใดปรากฏ แต่ได้สอบสวนไปหมดแล้ว ขณะที่ประเด็นการติด GPS บนรถ เบื้องต้นได้รับข้อมูลว่า GPS ดังกล่าวเป็นระบบที่มีในรถอยู่แล้ว หากใครซื้อรถก็จะได้ ID ในการ Login ขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างตรวจสอบเพิ่มเติม
สำหรับพยาน 2 คน ประกอบด้วยพี่สาวภรรยาของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และคนสนิทนั้น ตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานและพิจารณาอีกครั้ง ว่า ใครมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดหรือไม่ หรือเป็นเพียงส่วนหนึ่งในเหตุการณ์ แต่ไม่มีเจตนาร่วมด้วย โดยทุกอย่างจะต้องทำด้วยความรอบคอบ
ล่าสุดพบ 4 ประเด็นที่พนักงานสอบสวนเห็นว่าหลักฐานค่อนข้างชัดเจนพอสมควรในทุกเรื่อง โดยจะพยายามสรุปสำนวนให้เสร็จภายในการฝากขังที่ 3 และส่งอัยการในการฝากขังที่ 4 เพื่อให้อัยการได้ตรวจดูสำนวนต่าง ๆ เพราะมีหลายกรรมและมีความละเอียดหลายอย่าง ซึ่งทางอัยการอาจส่งเรื่องให้ตำรวจกลับมาหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้สำนวนสมบูรณ์ที่สุด
อ่านข่าว : ให้ปากคำ 12 ชม ."เจ้อ้อย" ยืนยันดำเนินคดี "ทนายตั้ม" จนถึงที่สุด
ตร.เรียก "ทนายรณณรงค์" ให้ปากคำขยายผลคดี "ทนายษิทรา"
"ปานเทพ" ให้ปากคำคดี "ทนายตั้ม" เส้นทางแบ่งเงิน 39 ล้าน
วันนี้ (21 พ.ย.2567) ความคืบหน้าล่าสุด หลังเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานพร้อมเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลขาณุวรลักษบุรี และฝ่ายปกครอง เข้าตรวจสอบสำนักสงฆ์ป่าสิริจันทร์ ต.สลกบาตร อ.ขาณุวรลักษบุรี จ.กำแพงเพชร หลังสื่อสังคมออนไลน์ได้โพสต์ภาพพร้อมระบุว่า ที่พักสงฆ์สอนหูทิพย์-ตาทิพย์ ให้กับเด็กและญาติโยม นำศพมาประกอบกิจกรรม
อ่านข่าว : เร่งขุดศพในสำนักสงฆ์สอนหูตาทิพย์ พบแล้ว 13 หลุม ลุยค้นหาต่อ
เจ้าหน้าที่ใช้เวลาขุดศพออกมาจากหลุมและจากโลงศพกว่า 4 ชั่วโมง ก่อนจะยุติดการตรวจค้นในเวลา 18.00 น.วานนี้ (20 พ.ย.) โดยพบทั้งหมด 12 ศพ มากกว่าที่รับแจ้งไว้ว่ามี 7 ศพ โดยพระปราโมช หัวหน้าที่พักสงฆ์ ให้การว่าร่างผู้เสียชีวิตและโครงกระดูก มีญาติผู้เสียชีวิตได้นำมามอบเพื่อใช้ในการสอนวิปัสสนากรรมฐาน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายให้กับทางที่พักสงฆ์แต่อย่างใด
จากการตรวจสอบเอกสารที่ทางพระปราโมชฯ นำมาแสดงเกี่ยวกับผู้เสียชีวิต ปรากฏว่ามีเอกสารผู้เสียชีวิต ตามบัญชีศพและโครงกระดูก พบว่าเป็นร่างพระและประชาชนจากหลายจังหวัด อาทิ พิจิตร ลำปาง พระนครศรีอยุธยา ประจวบคีรีขันธ์ นครราชสีมา อำนาจเจริญ อุดรธานี และกรุงเทพมหานคร
โดยทุกศพและโครงกระดูก มีสำเนาใบมรณะบัตรที่ญาตินำมามอบให้กับที่พักสงฆ์ ยกเว้นรายชื่อผู้เสียชีวิตรายการที่ 5 นางปราณี หมั่นกิจ และรายการที่ 6 นายเจือ ทองปรอน ไม่มีใบมรณะบัตร แต่มีเอกสารการอุทิศร่างที่ญาตินำมามอบให้
เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจังหวัดกำแพงเพชร พร้อมแพทย์โรงพยาบาล ขาณุวรลักษบุรี ตัดเก็บชิ้นส่วนกระดูกของศพและโครงกระดูก ส่งตรวจ ดีเอ็นเอที่พิสูจน์หลักฐาน 5 (จังหวัดลำปาง) เพื่อตรวจเปรียบเทียบกับญาติว่าเป็นบุคคลตามเอกสารหรือไม่ ส่วนศพทั้งหมดได้เคลื่อนย้ายไปเก็บรักษาที่ วัดคูหาสวรรค์ ต.บ่อถ้ำ อ.ขาณุวรลักษบุรี
ก่อนหน้านี้ อ.ขาณุวรลักษบุรีได้ทำการเปรียบปรับพระปราโมช ตามความผิดตาม พ.ร.บ.สุสานและฌาปนสถาน ปี 2528 ในข้อหา เก็บ ฝัง หรือเผาศพในสถานที่อื่นนอกจากในสุสานและฌาปนสถานสาธารณะ หรือสุสานและฌาปนสถานของเอกชน หรือเก็บศพในสถานพยาบาลตามกฎหมายว่า ด้วยสถานพยาบาล หรือเคหสถานเป็นการชั่วคราวโดยไม่ได้รับอนุญาต มาตรา 10 มีโทษปรับไม่เกิน 3,000 บาท
ส่วนภาพการสอนหูทิพย์ ตาทิพย์ พระปราโมชชี้แจงว่า เป็นภาพที่มีผู้ปฏิบัติธรรมจากต่างจังหวัด ถ่ายภาพไว้ แล้วนำไปโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์เมื่อ 5 เดือนก่อน ซึ่งหลังทราบเรื่องได้สั่งให้หยุดการสอนที่วัดทันที
อ่านข่าว : สวยสง่า "โอปอล สุชาตา" รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส กลับไทย เปิดใจครั้งแรก
ให้ปากคำ 12 ชม ."เจ้อ้อย" ยืนยันดำเนินคดี "ทนายตั้ม" จนถึงที่สุด
ปปง.เปิดยื่นคำร้องขอคืนทรัพย์สิน "ผู้เสียหายดิไอคอน" ถึง 17 ก.พ.68
วันที่ 20 พ.ย.2567 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เรื่องให้ผู้เสียหายยื่นคำร้องเพื่อขอรับคืน หรือชดใช้คืนซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายในความผิดมูลฐาน
ด้วยเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ได้มีคำสั่งที่ ย.214/25/2567 ลงวันที่ 15 ต.ค.2567 ให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มีคำสั่งในความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน รายคดี บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับพวก กรณีบริษัทติไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับพวก ได้ร่วมกันโฆษณาทางสื่อสังคมออนไลน์ สื่อภาพ และเสียงผ่านโทรทัศน์วิทยุ
รวมถึงปิดประกาศป้ายโฆษณาตามสถานที่ต่าง ๆ ในลักษณะโฆษณาชวนเชื่อ อาทิ เชิญชวนให้ผู้สนใจเข้าร่วมเพื่อเรียนรู้การขายสินค้าออนไลน์ และการทำวิดีโอนำเสนอเนื้อหาต่าง ๆ เป็นต้น โดยมีการกำหนดค่าเรียนเริ่มต้นตั้งแต่ราคา 97-299 บาท
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้จัดให้มีการเรียนการสอนดังกล่าวข้างต้นจริง แต่ในช่วงท้ายของการเรียนหรืออบรมจะมีตัวแทนของบริษัทฯ ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนซื้อสินค้ากับบริษัทฯ ในรูปแบบหรือแพ็กเกจลงทุนในราคาต่าง ๆ เมื่อผู้เสียหายเลือกรูปแบบการลงทุนแล้ว ตัวแทนของบริษัทฯ จะโน้มน้าวให้เพิ่มการลงทนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยอ้างว่า ผู้เสียหายจะสามารถเลื่อนระดับการลงทุนเป็นระดับที่สร้างเครือข่ายทีมงานจำหน่ายสินค้าของตนเองได้
อีกทั้งยังมุ่งเน้นให้ผู้เสียหายหาทีมงานหรือผู้ร่วมลงทุนเพิ่มเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น มากกว่าแนะนำการขายผลิตภัณฑ์หรือสินค้าของบริษัทฯ และยังพบพฤติการณ์ในลักษณะการโฆษณาหรือประกาศให้ปรากฏต่อประชาชนหรือกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ปรากฏแก่บุคคลตั้งแต่ 10 ขึ้นไปว่าในการกู้ยืมเงินตนหรือบุคคลใดจะจ่ายหรืออาจจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้ตามพฤติการณ์แห่งการกู้ยืมเงินในอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้
ดังนี้ จึงเป็นธุรกิจที่มีรูปแบบให้ผู้ลงทุนคนก่อนหน้าชักชวนผู้อื่นให้ร่วมลงทุนต่อ ๆ กันเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนในลักษณะการสร้างเครือข่ายผู้ลงทุนมากกว่าการขายสินค้า กรณีดังกล่าวมีผู้เสียหายหลงเชื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกและร่วมลงทุน แต่กลับไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่บริษัทฯ อ้างแต่อย่างใด ทำให้ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ จากการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานของเจ้าพนักงานตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค พบว่า บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ได้มีพฤติการณ์การกระทำความผิดในลักษณะนี้ตั้งแต่ช่วงประมาณปี พ.ศ.2564 ต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 49/1 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2565 และข้อ 3 แห่งกฎกระทรวงการคืนหรือชดใช้คืนซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และการชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายในความผิดมูลฐาน พ.ศ.2567
จึงขอให้บุคคลที่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิดมูลลูฐานในรายคดีดังกล่าว และไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดนั้น ยื่นคำร้องเพื่อขอรับคืนหรือชดใช้คืนซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายในความผิดมูลฐานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ภายใน 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ประกาศ ณ วันที่ 12 พ.ย.2567 สมชัย พลายด้วง ผู้อำนวยการกองคดี 5 ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
อ่านข่าว : DSI เข้าเรือนจำ สอบปากคำ 11 บอสชายดิไอคอน
"บอสพอล" ส่งทนายแจ้งความ "กฤษอนงค์-ฟิล์ม" รีด 20 ล้าน
วานนี้ (20 พ.ย.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ เดินทางเข้าพบตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้ข้อมูลจากกรณีที่นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เข้าให้ปากคำกับตำรวจก่อนหน้านี้อ้างว่านายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ได้ใส่ชื่อตัวเองลงไปเป็นผู้จัดการมรดก เพื่อให้ตำรวจตรวจสอบว่าเข้าข่ายเป็นกระบวนการฉ้อโกงหรือไม่
อ่านข่าว : เส้นทาง "ทนายตั้ม" บทบาททนายความบนความสนใจของสังคม
การสอบปากคำนางสาวจตุพร ตำรวจใช้เวลานานกว่า 12 ชม. จนถึงช่วงเวลา 22.30 น. เมื่อคืนที่ผ่านมา น.ส.จตุพร พร้อมผู้ติดตามอีก 3 คน เดินลงมาจากอาคารประชาอารักษ์ กองบังคับการปราบปราม ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนสั้น ๆ ว่าจะเดินหน้าดำเนินคดีกับนายษิทราให้ถึงที่สุด พร้อมระบุว่าจะเดินทางกลับที่ประเทศฝรั่งเศสในวันนี้
พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า กรณีเชิญ น.ส.จตุพร มาให้ปากคำเพิ่มเติม มุ่งเน้นไปในเรื่องของตรวจสอบคำให้การก่อนหน้านี้ว่ามีส่วนใดขาดตกบกพร่อง และเพื่อให้สำนวนการสอบสวนครบถ้วนสมบูรณ์
ส่วนประเด็นเรื่องการทำพินัยกรรมที่ให้นายษิทราเป็นผู้จัดการมรดกนั้น ในการสืบสวนที่ผ่านมาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่วันนี้อาจสอบถามเพิ่มเติมว่า พินัยกรรมเกี่ยวข้องกับคดีในส่วนใดหรือไม่ ทั้งนี้ การเชิญให้ปากคำวันนี้มีเพียง น.ส.จตุพร ที่ตำรวจนัดหมายเพียงคนเดียวเท่านั้น
อ่านข่าว : "ปานเทพ" ให้ปากคำคดี "ทนายตั้ม" เส้นทางแบ่งเงิน 39 ล้าน
ตร.เรียก "ทนายรณณรงค์" ให้ปากคำขยายผลคดี "ทนายษิทรา"
ตร.สอบ "พี่สาว" ทนายตั้มในฐานะคนใกล้ชิด จ่อสอบบุคคลอื่นเพิ่ม
วันนี้ (20 พ.ย.2567) พล.ต.ต.ศักดิ์รพี เพรียวพานิช รองผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ หรือ รร.นรต. ชี้แจงกรณีเพจดังแฉพฤติกรรมอาจารย์โรงเรียนายร้อยตำรวจสามพราน และเพื่อนตำรวจ กระทำล่วงละเมิดทางเพศลูกศิษย์รายหนึ่งว่า ทราบเรื่องตั้งแต่วันเกิดเหตุ โดยเป็นเรื่องที่เด็กนักเรียนไปปรึกษาตำรวจระดับผู้หมวด ซึ่งได้สั่งการให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว
เบื้องต้น มีเด็กนักเรียนชั้นปีที่ 1 ถูกกระทำ 2 คน อ้างว่าเกรงใจรุ่นพี่ ส่วนผู้ก่อเหตุเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ 1 และอีกคนเป็นคนนอก อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ยังไม่ได้ยืนยันแน่ชัด ว่าเป็นบุคคลใดและเป็นเพื่อนตำรวจจริงหรือไม่
ย้ำว่าเรื่องนี้อยู่ที่เจตนาของเด็กนักเรียนทั้ง 2 ว่าจะเอาเรื่องหรือไม่ เพราะบรรลุนิติภาวะแล้ว
โดยเด็กขอปรึกษาผู้ปกครองก่อน ซึ่งคดีอนาจารเป็นความผิดที่ยอมความกันได้ จึงให้ตัดสินใจเองว่าจะเอาเรื่องหรือไม่เอาเรื่อง หากตัดสินใจเอาเรื่อง ก็ต้องถูกดำเนินคดี ส่วนคนที่กระทำหากตรวจพบว่าเป็นอาจารย์จริง ก็ต้องถูกถอดถอนเพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่าง ยอมรับว่าเรื่องนี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของโรงเรียนนายร้อยตำรวจและองค์กรตำรวจ
พล.ต.ต.ศักดิ์รพี กล่าวว่า กรณีดังกล่าวหากเด็กดำเนินคดี หรือดำเนินคดีไปแล้ว แล้วมีการยอมความกัน ก็จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและต้องงดเว้นการปฎิบัติหน้าที่หรือถอดถอนการเป็นอาจารย์ ซึ่งการทำอนาจารเด็กเป็นเรื่องส่วนตัวและอ้างว่าเด็กรู้จัก ขณะที่เด็กนักเรียนบอกว่าเห็นเป็นรุ่นพี่ด้วยความเกรงใจจึงยอมทำตาม
เบื้องต้น ตนเองได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.จิรชาติ เจริญศรี ผู้บังคับการปกครอง โรงเรียนนายร้อยตำรวจดำเนินการเรียกทั้ง 2 ฝ่ายมาสอบถามโดยและมอบแนวทางการทำงานแล้ว ย้ำว่าใครผิดก็ต้องว่าไปตามผิด
ส่วนที่ช่วงนี้มีข่าวฉาวของอาจารย์โรงเรียนนายร้อยตำรวจบ่อยนั้น ทางโรงเรียนฯ ได้มีการประชุมสั่งการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องตลอด
เพราะเป็นเรื่องที่ป้องกันได้ แต่ห้ามไม่ให้เกิด ไม่ได้
โดยเฉพาะสมัยนี้ สังคมเปิดกว้างและ LGBTQ ก็เป็นที่ยอมรับในสังคม แต่การกระทำที่เปิดเผยมากเกินไปและมีการกระทำกันในรั้วโรงเรียนสถาบันหลักต้นแบบของตำรวจ เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ตนเองในฐานะที่เป็นตำรวจและเติบโตมาจากการทำงาน ไม่ใช่นักวิ่งเต้น ไปอยู่ที่ไหนก็ตั้งใจทำงานพยายามกวดขันวินัย อยากเห็นองค์กรเดินให้ตรงทาง อยากให้ทุกคนรู้หน้าที่และปฎิบัติหน้าที่ได้ทุกตำแหน่งตามที่ได้รับมอบหมาย กรณีที่เกิดขึ้นก็ต้องแก้ไขไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดหรือซุกไว้ใต้พรม เพราะสุดท้ายแล้วความจริงก็ต้องเปิดเผยและจะยิ่งส่งผลเสียต่อองค์กร
ทั้งนี้ มีรายงานว่าสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีผู้ก่อเหตุเป็นนายตำรวจยศ พ.ต.ต. อักษรย่อ ม.ม้า (นรต.รุ่น 66) ในฐานะที่เป็นอาจารย์ รร.นรต. กับนายตำรวจยศ พ.ต.ต. อักษรย่อ ต.เต่า ตำแหน่ง พนักงานสอบสวนพื้นที่นครบาล ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนนายร้อยรุ่นเดียวกัน
โดยมีรายงานว่าตำรวจทั้ง 2 นาย ได้ใช้ความเป็นรุ่นพี่ที่มีทั้งชั้นยศและมีค่านิยมปลูกฝังกันมาว่ารุ่นน้องต้องกลัวรุ่นพี่ ทำให้เกิดความเกรงกลัวและปฏิบัติตาม ทั้งที่เป็นคำสั่งที่ผิดทั้งวินัยและอาญา มีนักเรียน นรต. ตกเป็นเหยื่อหลายนาย และก่อนหน้านี้ผู้บังคับบัญชามีการเรียกไปตักเตือน แต่ยังไม่เลิกพฤติกรรม ทำให้หวาดเกรงต่อนักเรียน นรต. จำนวนมาก แต่ต้องยอมรับว่าเพศสภาพ LGBTQ เป็นที่ยอมรับและมีกฎหมายยอมรับ แต่เรื่องความไม่เหมาะสมและวินัย อีกทั้งเป็นสถานที่สร้างตำรวจกลับต้องมาเป็นสถานหวาดกลัวกับต้นแบบตำรวจ
ขณะทีมข่าวลงพื้นที่โรงพักนครบาลแห่งหนึ่ง และจากการสอบถามเพื่อนตำรวจ เกี่ยวกับนายตำรวจคนดังกล่าว ทราบว่าเป็นสารวัตรที่นี่จริง เป็นคนนิสัยดี หน้าตาดี สะอาดเรียบร้อย แต่มีพฤติกรรมชอบจับก้นและหน้าอกเพื่อนตำรวจด้วยกันมานานแล้ว อีกทั้งเมื่อตรวจสอบข้อมูลตามโซเชียลที่ระบุ ใช้รถมาสด้าสีแดงและเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 66 ก็ไม่มีใครแล้วนอกจากเขาคนเดียว แต่ไม่เห็นหน้าหลายวันแล้ว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธรขึ้นในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2444 ณ มณฑลนครราชสีมา อันเป็นรากฐานเริ่มต้นของโรงเรียนนายร้อยตำรวจยุคปัจจุบัน
โดยกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ขณะดำรงพระยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือที่ 67/719 ลงวันที่ 19 เมษายน ร.ศ.121 (พ.ศ.2445) กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธรขึ้นแล้ว
แต่ติดขัดเรื่องที่ในการตั้งโรงเรียน จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ย้ายที่ตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ไปตั้งที่ ต.ห้วยจระเข้ อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาและลงพระปรมาภิไธยพระราชทานพระบรมราชานุญาต เป็นหนังสือถึงกรมหลวงดำรงราชานุภาพ 2 ฉบับ ฉบับแรกหนังสือที่ 59/234 ลงวันที่ 20 เมษายน ร.ศ.121 ฉบับที่ 2 หนังสือที่ 131/361 ลงวันที่ 14 พ.ค. ร.ศ.121 โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ย้ายที่ตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ตามความกราบบังคมทูลขอของกรมหลวงดำรงราชานุภาพ อันเป็นหลักฐานที่แสดงว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธรขึ้น
พ.ศ.2544 สมัยที่ 1 โรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธร นครราชสีมา มีนายร้อยโท ม.ร.ว.แดง (หม่อมแดง) ผู้บังคับการกองตำรวจภูธรเขต 3 นครราชสีมา ทำหน้าที่เป็นผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เป็นคนแรก
พ.ศ.2447 สมัยที่ 2 โรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธร ห้วยจรเข้ จ.นครปฐม (ครั้งที่ 1)
พ.ศ.2458 สมัยที่ 3 โรงเรียนนายหมวด คลองไผ่สิงโต กรุงเทพมหานคร
พ.ศ.2464 สมัยที่ 4 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ห้วยจระเข้ จ.นครปฐม (ครั้งที่ 2)
พ.ศ.2476 สมัยที่ 5 โรงเรียนนายร้อยทหารบก (ยศ.) กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ได้มีการเริ่มนับรุ่นของนักเรียนนายร้อยตำรวจ ครั้งแรกเป็น นรต.รุ่นที่ 1 เมื่อปี พ.ศ.2480 ในขณะที่ศึกษาร่วมกับนักเรียนนายร้อยทหารบก
พ.ศ.2489 สมัยที่ 6 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
ปัจจุบัน สมัยที่ 7 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบมีข้าราชการตำรวจกระทำผิด ให้ดำเนินการทางวินัยอย่างเด็ดขาด รวมทั้ง ตรวจสอบว่า เข้าข่ายผิดจริยธรรมด้วยหรือไม่ ขณะเดียวกัน ได้ให้ผู้เสียหายไปแจ้งความในเรื่องการกระทำอนาจารแล้ว ส่วนจะสามารถยอมความได้หรือไม่ ต้องตรวจสอบรายละเอียดอีกที เพราะคดีในลักษณะนี้ ถือเป็นความผิดต่อบุคคล
สำหรับบุคคลที่ถูกพาดพิงว่า มีการกระทำอนาจารนักเรียน มีรายงานว่า เป็นตำรวจยศ "พ.ต.ต." ซึ่งเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ และอดีตเคยอยู่สำนักงานของ พล.ต.ต.เสนิต สำราญสำรวจกิจ ในขณะดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 แต่ปัจจุบัน พล.ต.ต.เสนิต มาดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ จึงเชิญ "พ.ต.ต." นายดังกล่าว มาสอนวิชาภาษาอังกฤษและกฎหมาย ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจด้วย
อ่านข่าวเพิ่ม :
ศาลอาญาพิพากษา ประหารชีวิต "แอม สรารัตน์" คดีไซยาไนด์
รถกระบะขนแรงงานเมียนมาชนเสาไฟฟ้า เสียชีวิต 7 คน
วันนี้ (20 พ.ย.2567) จากกรณีศาลอาญา อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 และมารดาของ น.ส.ศิริพร หรือ ก้อย ผู้เสียชีวิต ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้อง นางสรารัตน์ หรือ แอม , พ.ต.ท.โทวิฑูรย์ และ น.ส.ธันย์นิชา หรือ ทนายพัช จำเลยที่ 1 ถึง 3 พร้อมเรียกค่าเสียหาย 30 ล้านบาท
อ่านข่าว : ศาลอาญาพิพากษา ประหารชีวิต "แอม สรารัตน์" คดีไซยาไนด์
ศาลใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมง เพื่อชี้ให้เห็นพฤติการณ์แห่งคดีโดยละเอียด พบว่า น.ส.สรารัตน์ มีการกระทำที่เป็นพิรุธหลายอย่าง เช่น เป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับผู้ตาย ไม่ช่วยเหลือ แต่พบนำทรัพย์สินไป
การตรวจสอบปมเหตุ พบตั้งแต่ช่วงเดือน ม.ค.2563 - พ.ค.2566 พบเงินหมุนเวียนในบัญชี ของ น.ส.สรารัตน์ มากกว่า 95 ล้านบาท และมีเส้นทางการเงิน เชื่อมโยงไปอีก 10 บัญชี ที่ตรวจสอบพบว่า เป็นบัญชีม้า และเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ พร้อมกับมีหนี้สินจำนวนมาก
ขณะในช่วงปี 2564 - 2565 พบว่า น.ส.สรารัตน์ เสียเงินให้กับพนันออนไลน์จำนวนมาก ดังนั้นจึงมีผู้เสียชีวิตที่มีความเกี่ยวข้องกับ น.ส.สรารัตน์เพิ่มขึ้น ในช่วงเวลาดังกล่าว และผู้เสียชีวิตแต่ละคนมีลักษณะอาการคล้ายคลึงกับ น.ส.ศิริพร หรือ ก้อย
นอกจากนี้พบว่า น.ส.สรารัตน์ สั่งซื้อโพแทสเซียมไซยาไนด์อย่างเร่งรีบ ทั้งที่ไม่มีอาชีพเกี่ยวกับการที่ต้องใช้สารเคมี ศาลจึงได้พิพากษาประหารชีวิต ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ส่วน พ.ต.ท.โทวิฑูรย์อดีตสามีของนางสาวสรารัตน์ มีพฤติการณ์นำกระเป๋าของกลาง ทั้งที่ทราบว่าเป็นหลักฐานสำคัญทางคดี ไปให้กับนางสาวสรารัตน์ แทนการนำไปส่งให้กับพนักงานสอบสวน
ศาลพิพากษาให้จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษเหลือ 1 ปี 4 เดือน ฐานช่วยเหลือผู้อื่นให้ไม่ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน
น.ส.ธันย์นิชา หรือ ทนายพัช มีพฤติการณ์ยุยงให้ น.ส.สรารัตน์ ปกปิดกระเป๋าของกลางในคดี พร้อมส่งสำเนาคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีอื่น ที่ตัดสินให้จำเลยชนะคดี โดยไม่มีของกลาง ให้นางสาวสรารัตน์อ่านเป็นแนวทางในการต่อสู้คดี
ศาลพิพากษาให้จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ในฐานความผิดเดียวกันกับ พ.ต.ท.โทวิฑูรย์
สำหรับคดีนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่เกี่ยวข้องกับ น.ส.สรารัตน์ ที่มีคำพิพากษา แต่ยังมีอีก 14 สำนวน ที่พนักงานอัยการ เตรียมจะส่งฟ้องต่อศาล ในวันอังคาร ที่ 26 พ.ย.นี้ โดยทั้ง 14 สำนวน ล้วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรม "โดยใช้สารโพแทสเซียมไซยาไนด์"
ล่าสุด ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว พ.ต.ท.วิฑูรย์ และ น.ส.ธันย์นิชา หรือ ทนายพัช ด้วยหลักทรัพย์คนละ 100,000 บาท ระหว่างต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์
อ่านข่าว :
DSI เข้าเรือนจำ สอบปากคำ 11 บอสชายดิไอคอน
ประสานสถานทูตเมียนมา แจ้งญาติรับศพ 7 แรงงานรถชนเสาไฟฟ้า
17 พ.ย.2567 สถานีเรือรัตนวาปี (นรข.เขตหนองคาย) อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย เจ้าหน้าที่ทหารเรือและหน่วยงานเกี่ยวข้อง จับผู้ต้องหาได้พร้อมยาบ้ากว่า 202,000 เม็ด
19 พ.ย.2567 กรมทหารพราน 21 ค่ายศรีสองรัก อ.เมืองเลย จ.เลย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 แถลงข่าวยึดยาบ้าจำนวน 3,560,000 เม็ด พร้อมผู้ต้องหา 2 คน
ช่วงเวลาเพียง 2 วัน ในกลางเดือน พ.ย.เจ้าหน้าที่ทหารและหน่วยงานเกี่ยวข้องสามารถตรวจยึดยาบ้าได้ จำนวน 3,762,000 เม็ด ในขณะที่ข้อมูลจากกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ระบุว่า ปีงบประมาณ 2567 บช.ปส. สามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด จำนวน 1,322 คดี ตรวจยึดยาบ้าได้ 380,317,464 เม็ด
โดยเฉพาะยาบ้าเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ถึง 56.87% และสามารถจับกุมผู้ค้ารายสำคัญรายใหญ่ได้ 90 คดี สกัดกั้นยาบ้าได้ 361,853,712 เม็ด เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 87.24 % มีการยึดและอายัดทรัพย์สิน กว่า 4 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังมี “แผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย” เพื่อสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ตอนในและพื้นที่ปลายทาง เพื่อทำลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่เป้าหมาย
เจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านความมั่นคง ประเมินสถานการณ์ปัญหายาเสพติดในประเทศไทย โดยเฉพาะการทะลักของยาบ้าในปี 2567 ว่า ตลอดแนวชายแดนไทยในปีนี้มากกว่าปกติ มีการสกัดจับยาเสพติดได้มากกว่า 15,000,000 เม็ด เนื่องจากในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน หลังจากเกิดการรัฐประหาร ในเมียนมา ตั้งแต่เดือน ก.พ.2564 พบว่ามี “ซุปเปอร์แล็บ” เกิดขึ้นมากมายตั้งอยู่ในเขตปกครองพิเศษกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ของประเทศเมียนมา
มีการตั้งโรงงานยาเสพติดขนาดย่อยจำนวนมาก และขายตัดราคากันเอง ทำให้มีการลักลอบนำเข้าอย่างต่อเนื่องตลอดปี จนยาบ้ามีราคาถูกลงเหลือเพียงเม็ดละ 8-15 บาทเท่านั้น
โดยแหล่งผลิตหลัก ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตพื้นที่ปกครองพิเศษของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ที่บ้านน้ำน้ำติ๊ด เมืองหงส์ปัง พื้นที่บ้านหนองเขียว และพื้นที่พัฒนาน้ำป่างเขตปกครองพิเศษที่ 4 ซึ่งจะผลิตเฮโรอีน ยาบ้าเม็ดสำเร็จรูป ยาบ้าแบบผง และไอซ์ จากนั้นจะส่งให้กองกำลังติดอาวุธ ด้านบ้านห้วยอ้อ เมืองจ็อด ,เมืองทาใหม่ เขตรัฐฉานใต้ และกลุ่มเครือข่ายค้ายาเสพติด ชายแดนตรงข้าม จ.เชียงราย และเชียงใหม่ เพื่อส่งไปยังจุดพัก ในพื้นที่ชายแดนตรงข้าม ด้าน จ.เชียงราย เพื่อส่งเข้าลาว
ขณะที่พวกผู้ผลิตรายย่อย จะรับยาบ้าแบบผง จากผู้ผลิตหลักมาผลิตต่อ แหล่งผลิตจะอยู่เขตรัฐฉานทางตอนเหนือ เมืองกุนฮิง ,ดอยสามสูง เมืองสาด ,เมืองทาใหม่ ,เมืองนาย จ.ดอยแหลม ,บ้านอีก้อปางหิน เมืองก๊ก จ.ท่าขี้เหล็ก ,บ้านปู่นาโก-บ้านแม่โจ๊ก จ.ท่าขี้เหล็ก บ้านน้ำปุ๋ง เมืองกาน,บ้านปงถุน จ.ท่าขี้เหล็ก ,ขุนน้ำลวก เมืองไฮ ,บ้านผาวอก-ผ้าขาว จ.ท่าขี้เหล็ก ,บ้านหัวป่าง บ้านหัวยอด ,บ้านน้ำฮูโป่งตอง และบ้านหนองปลาดำ เป็นต้น
“ปัจจุบัน การจับกุมคดีผู้ต้องหา และของกลางยาเสพติด เพิ่มสูงขึ้นทุกประเภท โดยเฉพาะยาบ้า ที่มีการตรวจยึดของกลางเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด หรือร้อยละ 100.99 เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว เงื่อนไขสำคัญ คือ ในประเทศเพื่อนบ้านมีการสู้รบภายใน ขณะที่พื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ มีกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธหลายกลุ่มเข้าไปเกี่ยวข้องกับการผลิตและลำเลียงยาเสพติด ทำให้ไทยกลายเป็นตลาดยาเสพติดหลักในภูมิภาคนี้” แหล่งข่าวระบุ
จากแผนประทุษกรรม มีข้อบ่งชี้ว่า ไทยเป็นฮับส่งออกยาเสพติดไปประเทศที่สาม นอกจากนี้ยังพบพฤติกรรมของผู้เสพและกลุ่มเสี่ยง เริ่มมีการใช้ Club drug และยาเสพติดแบบผสมผสานรูปแบบใหม่มากขึ้นกว่าเดิม
ส่วนเส้นทางการลักลอบนำเข้ายาเสพติด ยังคงมีการใช้ กองกำลังติดอาวุธที่เป็นกลุ่มพันธมิตร และกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) และกองทัพมดเป็นผู้ลำเลียงเข้ามาพักในพื้นที่ชายแดน ทั้งทางบกและทางทะเล แต่ได้เปลี่ยนวิธีการหลากหลายมากขึ้น ทั้งการลำเลียงโดยรถยนต์ รถตู้ และรถตู้ ดัดแปลง มีช่องลับ หรืออำพรางมากับพืชผลทางการเกษตรหรือสินค้าอื่น ๆ รวมทั้งมีการใช้รถหน่วยงานราชการ รถกู้ภัย เพื่อตบตาการตรวจสอบและจับกุมของเจ้าหน้าที่
ล่าสุดพบว่า มีการใช้รถบิ๊กไบค์ (Big Bike) ลักลอบนำยาเสพติดจากชายแดนไทยลงมายังพื้นที่ภาคกลางตอนในด้วย
ข้อมูลจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (The United Nations Office on Drugs and Crime: UNODC) รายงานว่า ผู้ติดยาเสพติดทั่วโลกในปี 2566 มีจำนวน 292 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 โดยกัญชา สารกล่อมประสาท (Opioids) ยาบ้า โคเคน และเอ็กซ์ตาซี (ยาอี) เป็นสารเสพติดที่มีการแพร่ระบาดมากที่สุด
ทวีปอเมริกาเหนือยังคงเป็นพื้นที่ปลายทางของสาร ฯ Opioids และเป็นต้นทางของการส่งออกสารเสพติดประเภท เฟนทานิล (Fentanyl) เมทแอมเฟตามีน และยังเป็นแหล่งเพาะปลูกต้นโคคา และแหล่งผลิตโคเคน
ขณะที่ทวีปแอฟริกายังคงมีการแพร่ระบาดของ กัญชา โคเคน และเฮโรอีน เช่นเดียวกับทวีปยุโรป และทวีปโอเชียเนีย สำหรับทวีปเอเชียยังคงเป็นแหล่งเพาะปลูกฝิ่นและแหล่งผลิตยาเสพติด ประเภทสาร Opioids และเมทแอมเฟตามีน นอกจากนี้ การลดลงของพื้นที่ปลูกฝิ่นในอัฟกานิสถาน ส่งผลให้เมียนมากลายเป็นแหล่งเพาะปลูกฝิ่นและแหล่งผลิตเมทแอมเฟตามีนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และมีแนวโน้มที่พื้นที่เพาะปลูกฝิ่นในเมียนมาจะขยายตัวเพิ่มขึ้นแทน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง
ขณะที่สถานการณ์ยาเสพติดในลุ่มแม่น้ำโขงพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ยังเป็นพื้นที่สำคัญ และพบความเคลื่อนไหว มีการเปลี่ยนแปลง ผู้ผลิตรายย่อย ได้ใช้โรงงานเล็ก ๆ ผลิตยาเสพติด ทั้งยาบ้า ไอซ์ และเอ็กซ์ตาซี แม้ที่ผ่านมาจะมีการจับกุมสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์มากขึ้นก็ตาม
แต่กลุ่มเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด ได้กระจายฐานการผลิตไปยังลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง และเปลี่ยนเส้นทางลำเลียงเข้าไปพักในพื้นที่อื่น ทั้งในเขตรัฐฉานและตอนกลางของเมืองมัณฑะเลย์ มีการปรับรูปแบบจากเดิมที่ใช้รถยนต์ หรือคาราวานเดินเท้า โดยขนส่งทะเลแทน
ในภูมิภาคอาเซียน มีข้อมูลการตรวจยึด ยาบ้า ชนิด “เมทแอมเฟตามีน” มากขึ้น ทุก ๆ ปี ในอาเซียน โดยประเทศไทย มีข้อมูลการจับกุมมากเป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งในอดีตมีจุดผลิตยาบ้าหลัก คือ ทางตอนใต้ของประเทศจีน ต่อมาเปลี่ยนไปอยู่ที่รัฐฉาน ในเมียนมา
แม้ที่ผ่านมาจะมีการตรวจยึดเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี แต่กลับพบว่า ปริมาณยาบ้า ไม่ได้ลดลง ดังนั้น แม้ว่าราคาของยาบ้าจะตกลงมา จากปี 2013 มีราคาสูงถึงเม็ดละประมาณ 250 บาท บางพื้นที่มีการโปรโมชันขายในลักษณะ ลด แลก แจก แถม มีการปั่นโปร 3 เม็ด 100 บาท หรือลดเหลือเหลือเม็ดละ 10-15 บาท
สาเหตุเพราะมีปริมาณการผลิตเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่รัฐฉาน ซึ่งยาบ้าที่ตรวจพบเกือบทั้งหมดในอาเซียนมาจากแหล่งเดียวกัน เพราะมีหีบห่อที่ชัดเจน คือ ลักษณะเหมือนถุงชาจีน โลโก้ชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนเส้นทางลำเลียงไปเข้าทางภาคอีสานผ่านลุ่มน้ำโขง ทำให้ใน สปป.ลาว และเวียดนาม มีสถิติการตรวจยึดสารตั้งต้นที่ใช้ผลิตยาบ้าได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ข้อมูล ระบุว่า ยังพบหีบห่อแบบเดียวกันนี้ขยายไปถึงออสเตรเลีย บังคลาเทศ รวมถึงญี่ปุ่นด้วย ซึ่งมีไทยเป็นทางผ่านไปยังประเทศนอกอาเซียน เพราะเมื่อยาบ้าถูกส่งไปยังญี่ปุ่น หรือออสเตรเลีย จะมีราคาสูงขึ้นมาก จึง กลายเป็นแรงจูงใจชั้นดี
สำหรับประเทศไทย แนวรบด้านยาเสพติด ยังไม่เปลี่ยนแปลง ในปี 2567 พื้นที่ชายแดนภาคเหนือตอนบน ,ชายแดนฝั่งภาคตะวันตก รอยต่อระหว่างไทย-เมียนมา ยังเป็นพื้นที่หลักที่มีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดเข้าอย่างต่อเนื่อง ในรอบปีที่ผ่านมา พบว่า พื้นที่ภาคเหนือ มีการจับกุมยาบ้า ได้จำนวน 565 .35 ล้านเม็ด ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยึดยาบ้าได้เกือบ 191.44 ล้านเม็ด, ภาคตะวันตก ยึดยาบ้าได้จำนวน 51 ล้านเม็ด และจับกุมในพื้นที่อื่น ๆ ได้อีก 41. ล้านเม็ด รวมการจัดกุมเฉพาะยาบ้า ได้ถึงกว่า 800 ล้านเม็ด
นอกจากนี้ยังพบอีกว่า ในพื้นที่ด้านตะวันตก เจ้าหน้าที่สามารถ ตรวจยึดสารซัลฟิวริก และไนตริก ได้ที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ตรงข้าม อ.พญาตองซู เขตเมียนมา และยึดสารอะเซโตน ได้ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีข้อมูลว่าจะลำเลียงส่งออกไปชายแดนด้าน อ.พบพระ จ.ตาก นอกจากนี้ ยังมีการตรวจยึดสารโทลูอีน น้ำหนัก 83.52 ตัน ที่ถูกส่งมาจากเกาหลี ที่มีปลายทางส่งไปยังบริษัทแห่งหนึ่งในเมียนมา
สะท้อนให้เห็นว่า ไทยถูกใช้เป็นประเทศทางผ่านในการส่งออกสารตั้งต้นและสารเคมีอื่น ๆ ที่อยู่ในบัญชีเฝ้าระวัง เพื่อนำไปผลิตยาเสพติด
สำหรับข้อมูลที่มองข้ามไม่ได้ คือ หลายพื้นที่ โดยเฉพาะชายแดนภาคเหนือได้มีการ ซุกซ่อนยาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้า มากับกลุ่มบิ๊กไบค์ Big Bike) โดยมือขน "อำพราง" ตัวเป็นเป็นนักท่องเที่ยวไปรับยาเสพติด จากพื้นที่ภาคเหนือ มาพักคอยในพื้นที่ภาคกลาง
ก่อนกระจายยาเสพติดไปในพื้นที่ต่าง ๆ โดยยาบ้า ไอซ์ เฮโรอีน และคีตามีน ที่ถูกลักลอบนำเข้ามาจากชายแดน บางส่วนนำเขามาแพร่ระบาดหรือใช้เสพภายในประเทศ บางส่วนลำเลียงเข้ามาเพื่อส่งไปยังพื้นที่ภาคใต้ และบางส่วนถูกลำเลียงต่อไปยังประเทศที่สาม
ส่วนทางภาคอีสาน พบว่า มีการนำยาบ้า ข้ามมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ขนแบบกองทัพมด โดยใช้เรือหางยาวหาปลา ก่อนนำมาพักไว้ตามรายทาง โดยนัดหมายกลุ่มมือขน และลูกค้าส่งต่อเข้าพื้นที่ตอนในของไทย และรอการขนส่งต่อ หวังตบตาเจ้าหน้าที่เพื่อเลี่ยงการจับกุม
อย่างไรก็ตาม สำหรับยาบ้าที่กำลังระบาดในภาคอีสาน พบว่า เป็นยาบ้า แพ็กเกจ อักษรสีเขียว ชนิด Y1 เม็ดยาบ้า สีส้ม มีตัวอักษร wy โดยกลุ่มผู้ค้าฯได้ให้รายย่อยจัดโปรขาย 3 เม็ด 100 บาท โดยมีเป้าหมายไปยังกลุ่มผู้ใช้แรงงาน กรรมกร และเยาวชน
หากดูย้อนสถานการณ์ ยาเสพติดในประเทศเพื่อนบ้าน พบว่า มีปัญหาเช่นกัน รายงานของ UNODC พบว่า เมียนมากลายเป็นประเทศที่มีการลักลอบปลูกฝิ่นมากที่สุดในโลก แม้ว่าผลการจับยึดสารเคมี จะลดลงจากห้วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่การจับกุมสารเคมีส่วนใหญ่พบในเขตต่อเนื่องหลายเขตของเมียนมา นอกจากนี้การลักลอบปลูกฝิ่น ได้ส่งผลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเฮโรอีนในภูมิภาค
ความไม่มั่นคงจากปัญหาการเมืองภายใน และการเข้ามาของกลุ่มนายทุนชาวจีนที่เข้ามาใช้พื้นที่ในเมียนมา และจัดตั้งเป็นแหล่งก่ออาชญากรรมอื่น ๆ ทั้งการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การพนันออนไลน์ กลุ่ม Romance Scam และเครือข่ายยาเสพติด ได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อภูมิภาคโดยรวม ไม่ว่าจะเป็น เมียนมา หรือกัมพูชา โดยเฉพาะผลของการสู้รบของกลุ่มชาติพันธุ์และกองทัพเมียนมา ทั้งนี้
และปฏิเสธไม่ได้ว่า การกวาดล้างกลุ่มธุรกิจสีเทาในเมียนมา กลับทำให้มีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้าลาวเพิ่มขึ้น เนื่องจากลาวได้ถูกใช้เป็นศูนย์กลางหรือจุดเชื่อมต่อลำเลียงยาเสพติด (Connective Hub) ส่งออกยาเสพติดไปยังกัมพูชา ผ่านท่าเรือน้ำลึกสีหนุวิลล์ และรอส่งต่อไปอีกทอดหนึ่งในประเทศที่สาม
ส่วนทางด้านกัมพูชา พบว่า ยังมีการเคลื่อนไหวกลุ่มทุนจีนเทาในกัมพูชา ข้อมูลจาก UNODC ระบุว่า แม้จะมีการทำลายแหล่งผลิตคีตามีน แต่ยังพบการผลิตยาเสพติด (Kitchen Lab) เครื่องอัดเม็ด และอุปกรณ์ แปรรูปบางส่วน ขณะที่ ไอซ์ คีตามีน ถูกลำเลียงจากลาว ก่อนส่งออกต่อไปประเทศที่สาม
นอกจากนี้ มาตรการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ จึงทำให้ไม่สามารถควบคุมสารเคมีและเคมีภัณฑ์ที่อาจนำมาใช้ผิดกฎหมายยาเสพติด และเชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ จาก กลุ่มจีน ไต้หวัน ไทย ลาว และเวียดนาม ที่เข้ามาเคลื่อนไหวหรือลงทุนธุรกิจในกัมพูชา ในรูปแบบกาสิโน สถานบันเทิง กลายเป็นแหล่งฟอกเงินที่มาจากธุรกิจผิดกฎหมายโดยปริยาย
อ่านข่าว :
DSI เข้าเรือนจำ สอบปากคำ 11 บอสชายดิไอคอน
ศาลอาญาพิพากษา ประหารชีวิต "แอม สรารัตน์" คดีไซยาไนด์
วันนี้ (20 พ.ย.2567) ที่ สภ.บางเลน เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เดินทางมาติดตามความคืบหน้ากรณีรถกระบะขนแรงงานเมียนมา ประสบอุบัติเหตุเสียหลักชนเสาไฟฟ้าตกคูน้ำบริเวณโค้งเกาะแรต หน้าวัดเกาะแรต ถนนสายบางเลน-บางปลา หมู่ 8 ต.บางเลน อ.บางเลน จ.นครปฐม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 7 คน
พ.ต.ท.ปรัชญา บูรณัต สารวัตรสอบสวน สภ.บางเลน เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบบัตรประจำตัวแรงงาน และใบอนุญาตขับขี่ของผู้เสียชีวิตรวม 4 คน จากทั้งหมด 7 คน ทุกคนเป็นชาวเมียนมา ส่วนอีก 3 คน ไม่พบเอกสารหลักฐาน จากข้อมูลที่พบทราบว่าทั้งหมดเคยทำงานอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คาดว่าผู้เสียชีวิตอยู่ระหว่างเดินทางไปทำงานกับผู้ว่าจ้างคนใหม่ ประกอบกับไม่ชินเส้นทาง ทำให้ประสบอุบัติเหตุ แต่ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงที่แน่ชัด เนื่องจากไม่มีผู้รอดชีวิตในเหตุการณ์นี้
การตรวจสอบพบว่า ผู้ครอบครองรถเป็นชาวเมียนมา ขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อได้ และการตรวจสอบประกันภัยของรถพบว่า ขาดการต่อประกันเมื่อวันที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยได้ประสานให้เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองตรวจสอบรายชื่อผู้เสียชีวิต รวมถึงส่งรายงานให้สถานทูตเมียนมาเพื่อหาแนวทางประสานญาติมารับศพ แต่ยังติดต่อไม่ได้แม้แต่คนเดียว
เบื้องต้นตำรวจได้ส่งร่างผู้เสียชีวิตไปชันสูตรที่โรงพยาบาลนครปฐม และจะฝากร่างไว้กับมูลนิธิฯ จนกว่าจะมีญาติประสานดำเนินการ
ทั้งนี้ มีข้อมูลจากคนในพื้นที่เกี่ยวกับเส้นทางการลักลอบขนแรงงานข้ามชาติ ว่า กลุ่มผู้กระทำผิดกฎหมายมักจะใช้เส้นทางดังกล่าวในการลักลอบขนแรงงานข้ามชาติจากประเทศเมียนมาเข้ามาทำงานในไทย โดยจะลักลอบขนแรงงานชาวเมียนมา โดยสารรถตู้มาครั้งละมากกว่า 10 คน เข้าประเทศผ่านด่านเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี ใช้เส้นทาง อ.ทองผาภูมิ อ.ไทรโยค อ.เมืองกาญจนบุรี เข้า ต.พระแท่น อ.ท่ามะกา ผ่านแยกกำแพงแสน เข้า อ.บางเลน จ.นครปฐม และผ่าน จ.นนทบุรี หรือปทุมธานี เข้ากรุงเทพฯ
อ่านข่าว : รถกระบะขนแรงงานเมียนมาชนเสาไฟฟ้า เสียชีวิต 7 คน
ศาลอาญาพิพากษา ประหารชีวิต "แอม สรารัตน์" คดีไซยาไนด์
DSI เข้าเรือนจำ สอบปากคำ 11 บอสชายดิไอคอน
วันนี้ (20 พ.ย.2567) ที่ ศาลอาญาถนนรัชดา ครอบครัวของ น.ส.ศิริพร หรือก้อย ผู้เสียชีวิตปริศนาในคดีไซยาไนด์ เดินทางมาพร้อมทีมทนายความ เพื่อฟังคำพิพากษาในคดี หลังผ่านมาแล้ว 19 เดือน 6 วัน
นางทองพิน แม่ของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า แม้วันนี้ศาลจะมีคำพิพากษาออกมาเป็นอย่างไรก็ไม่ขอก้าวล่วง แต่จะขอทวงคืนความยุติธรรมให้กับลูก และฝากถึงทุกคนว่า อย่าไว้ใจคนอื่น แม้จะเป็นคนใกล้ตัว
นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หนึ่งในทีมทนายความ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ศาลได้นัดไต่สวน และนางสรารัตน์ รังสิตวุฒาภรณ์ (แอม) จำเลยที่ 1 ปฏิเสธที่จะเบิกความต่อหน้าศาล ซึ่งมองว่า เป็นสิทธิ์ที่จะทำได้ ขณะที่ พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒฒาภรณ์ จำเลยที่ 2 แจ้งต่อศาลว่า ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นผู้นำกระเป๋าซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในคดีไปการซ่อนเร้นอำพราง
ส่วน น.ส.ธัญนิชา เอกสุวรรณวัฒน์ (ทนายพัช) จำเลยที่ 3 ได้เบิกความต่อศาลขอต่อสู้ในประเด็น ไม่ปรากฏประจักษ์พยานว่า ขณะเกิดเหตุไม่มีใครพบเห็นว่า ยาพิษเข้าสู่ร่างกายผู้ตายได้อย่างไร จึงแจ้งต่อศาลว่าทำให้คดีมีเหตุให้สงสัย ส่วนตัวมองว่าแม้จำเลยทั้ง 3 จะให้การอย่างไรต่อศาล ก็มั่นใจในหลักฐานว่าจะสามารถทวงคืนความยุติธรรมได้
ล่าสุด เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น.ที่ผ่านมา ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต นางสรารัตน์" และ ตัดสินจำคุก พ.ต.ท.วิฑูรย์ เป็นเวลา 1 ปี 4 เดือน และ จำคุก น.ส.ธัญนิชา เป็นเวลา 2 ปี ไม่รอลงอาญา พร้อมชดใช้ผู้เสียหายกว่า 2 ล้านบาท
ทั้งนี้ ศาลชี้ให้เห็นพฤติการณ์แห่งคดีว่า ช่วงวันที่ 1 ม.ค.2563 - 5 พ.ค.2566 จำเลยที่ 1 มีเงินหมุนเวียนในบัญชีมากกว่า 95 ล้านบาท และมีเส้นทางการเงิน เชื่อมโยงอีก 10 บัญชี ที่ตรวจสอบพบว่าเป็นบัญชีม้าและเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์พร้อมกับมีหนี้สินจำนวนมาก
ส่วนในปี 2564 - 2565 พบว่าจำเลยที่1 เสียเงินให้กับพนันออนไลน์จำนวนมาก ดังนั้นจึงมีผู้เสียชีวิตมากขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ต่อมามีพยานที่เป็นผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงเพื่อวางยาในน้ำดื่มและในยาเม็ดแคปซูล ต่อมาพบว่ามีอาการเหมือนถูกพิษ
ส่วนการเสียชีวิตของ น.ส.ศิริพร หรือก้อย มีการกระทำหลายอย่างของจำเลยที่ 1 ที่เป็นพิรุธ ที่แสดงให้เห็นถึงเจตนาและความคาดหมายว่าจะให้เสียชีวิตในช่วงเวลาใด รวมถึงจำเลยที่ 1 คอยอยู่ใกล้ผู้ตายเพื่อขโมยของก่อนที่จะมีผู้อื่นเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งหากบริสุทธิ์จริงควรอยู่ช่วยชีวิตจนถึงที่สุด หรือ โทรติดต่อญาติของผู้ตายให้ทราบ จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 มีการวางแผนมาตั้งแต่ต้น ยังพบข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ได้สั่งไซยาไนด์มาอย่างเร่งรีบ ทั้งที่ไม่มีอาชีพเกี่ยวกับสารเคมี และพบว่ามียาไซยาไนด์ซ่อนอยู่ภายในรถยนต์ของผู้ตายหลายจุด รวมถึงพบยาเม็ดแคปซูลที่ภายในประกอบด้วยสารไซยาไนด์ซ่อนอยู่ในห้องโดยสารรถยนต์
จำเลยที่ 2 ที่มีประเด็นได้นำหลักฐานสำคัญซึ่งเป็นกระเป๋าของกลางไปส่งให้กับจำเลยที่1 แทนที่จะนำไปให้พนักงานสอบสวน
ส่วนจำเลยที่ 3 ในฐานะเป็นทนายความที่จำเลยที่ 1 ให้ความเชื่อถือ ได้ยุยงให้จำเลยที่ 1 ปกปิดกระเป๋าของกลางในคดี เพื่อเป็นแนวทางในการชนะคดี ประกอบกับส่งคำพิพากษาของศาลฎีกาของคดีอื่นที่ชนะคดีได้โดยไม่มีของกลางให้จำเลยที่ 1 และ 3 อ่านในกลุ่มไลน์ที่สร้างขึ้น จากพยานและหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมมีน้ำหนัก
ศาลรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 - 3 กระทำผิดตามฟ้อง ส่วนทางคดีแพ่งโจทก์ร่วมขอให้ชดใช้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าควรชำระให้โจทก์ร่วมรวมเป็นเงิน 2,343,588 ล้านบาท
ดังนั้น ศาลจึงพิพากษาประหารชีวิตจำเลยที่1 ฐาน ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยที่ 2 และ 3 มีความผิดฐานช่วยไม่ให้ผู้กระทำผิดรับโทษ, ซ่อนเร้นหลักฐาน จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา แต่จำเลยที่ 2 ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ เหลือ 1 ปี 4 เดือน
นางทองพิน มารดาของ น.ส.ศิริพร หรือก้อย เปิดเผยหลัง มีคำพิพากษาว่า ขอบคุณที่ศาลที่ให้ความยุติธรรม และขอให้ลูกนอนหลับให้สบาย
นายเดชา ทนายความเปิดเผยว่า วันนี้ศาลได้ให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหาย ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่ศาลพิพากษา เพราะยังมีคดีอื่นที่เกี่ยวกับ นางสรารัตน์ หรือ แอม อีก 14 สำนวนที่พนักงานอัยการ เตรียมจะส่งฟ้องต่อศาลในวันอังคารหน้า (26 พ.ย.2567)
อ่านข่าว :
"บิ๊กโจ๊ก" แถลงปิดคดีประวัติศาสตร์ "แอม" วางยาไซยาไนด์ ส่งฟ้อง 15 คดี
"ทนายเดชา" มั่นใจ พยานหลักฐานคดี "ไซยาไนด์" เอาผิดจำเลยได้
"แอม" ปฏิเสธขึ้นเบิกความต่อศาลคดี "ไซยาไนด์"
วันนี้ (20 พ.ย.2567) ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เดินทางเข้ามาสอบปากคำผู้ต้องขังชาย 11 คน คดีดิไอคอน ซึ่งมีกำหนดเข้าสอบปากคำ 2 วัน คือ 20-21 พ.ย.นี้
ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ ผอ.กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ กล่าวว่า พนักงานสอบสวน เห็นว่าในทั้ง 4 ข้อกล่าวหา มีบางประเด็นมีข้อสงสัยและต้องสอบปากคำเพิ่มเติม 11 คน และเป็นสิทธิของผู้ต้องหาว่าจะให้การหรือไม่ให้การก็ได้ ส่วนการขอขยายกรอบเวลาส่งเอกสารนั้น เบื้องต้นขอให้ดำเนินการให้ครบภายใน 15 วัน หรือวันที่ 3 ธ.ค.นี้ เพื่อสรุปสำนวนให้เสร็จสิ้นตามกำหนดระยะเวลา และส่งให้อัยการ
ส่วนการสอบปากคำก่อนหน้านี้ ผู้ต้องหาทั้ง 18 คน ยังไม่ให้การ และปฏิเสธข้อกล่าวหา
ขณะที่นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล หรือบอสพอล กล่าวว่า วันนี้ดีเอสไอจะสอบคำให้การใน 2 ข้อหา คือ ฉ้อโกงประชาชน และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยสอบปากคำไปแล้วเมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่ตนเองยังไม่เคยเห็นชื่อของแต่ละคนที่แจ้งความดำเนินคดี รวมถึงพฤติการณ์ที่แจ้งด้วย รู้จักเพียงนายณัฐที่แจ้งความคนแรก
ถ้าเปิดชื่อทีละคนจะได้ดูว่าเขาเสียหายจริงหรือไม่ เพราะบางคนก็เบิกของไปแล้วแต่ขายไม่ได้ หรือกลุ่มที่จ่าย 2,500 บาทแบบซื้อกินซื้อใช้ และกลุ่มที่ซื้อสินค้าเพราะแม่ทีมชักชวน น่าจะเป็นเรื่องของเขากับแม่ทีม ไม่เกี่ยวกับ 18 คน
นายวิฑูรย์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าดีเอสไอจะสอบถามประเด็นใดบ้าง หากตอบไม่ได้ หรือไม่อยากตอบ ก็จะส่งเอกสารภายหลัง เชื่อว่ายังมีอีกประเด็นที่ดีเอสไอจะนำมาถาม
ส่วนการยื่นขอประกันตัวบอสวินเมื่อวันที่ 17 พ.ย.2567 นั้น นายวิฑูรย์ ระบุว่า ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว ซึ่งขณะนี้ทั้ง 18 คนถูกตั้งข้อกล่าวหา และยังไม่ได้ส่งนวนให้อัยการว่าเห็นควรสั่งฟ้องข้อหาใดบ้าง ขณะนี้อยู่ในฐานะผู้ถูกกล่าวหาและยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ จึงตั้งคำถามว่าควรได้รับสิทธิการประกันตัวหรือไม่
นายวิฑูรย์ กล่าวว่า ในประเด็นข้อกล่าวหาฉ้อโกง เคยให้ข้อมูลไปมากแล้วตั้งแต่ตอนสำนวนอยู่ที่สอบสวนกลาง แต่ยืนยันว่าจะให้ความร่วมมือ ส่วนข้อหาแชร์ลูกโซ่ และ พ.ร.บ.ขายตรง ต้องขอดูคำถามว่าตอบได้ หรือต้องส่งเอกสารภายหลัง ซึ่งภาพรวมการทำคดีเป็นไปตามกระบวนการ แต่การไม่ได้ประกันตัวก็เป็นข้อจำกัดในการต่อสู้คดี เพราะมีเอกสารจำนวนมาก
ส่วนประเด็นคลิปเสียงการพูดคุยระหว่าง น.ส.กฤษอนงค์ และนายรัฐภูมิ หรือฟิล์ม เรียกเงิน 20 ล้านบาทจากบอสปันนั้น ทนายความได้แจ้งความไปแล้วเมื่อวานนี้ (19 พ.ย.) ในข้อหาพยายามฉ้อโกง และจะมีนัดหมายให้ปากคำต่อไป
ส่วนกรณี น.ส.กฤษอนงค์ เรียกรับเงินจากนายวรัตน์พล อ้างว่าจ่ายเยียวยา 89 คน ซึ่งได้รับเงินไปแล้ว หากพบว่าใครไม่ใช่ผู้เสียหายจริง จะดำเนินคดีทั้งหมด
อ่านข่าว : DSI จ่อสอบปากคำผู้ต้องขังชาย 11 คน ปมแชร์ลูกโซ่ดิไอคอน
"บอสพอล" ส่งทนายแจ้งความ "กฤษอนงค์-ฟิล์ม" รีด 20 ล้าน
"จิราพร" รอกฤษฎีกาเคาะถอนใบอนุญาตดิไอคอน ขยาย 30 วันสอบเทวดา สคบ.
วันนี้ (20 พ.ย.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อกลางดึกวานนี้ (19 พ.ย.) เวลา 23.30 น. เกิดเหตุรถยนต์กระบะชนเสาไฟฟ้าบริเวณโค้งเกาะแรต หน้าวัดเกาะแรต ถนนสายบางเลน-บางปลา หมู่ 8 ต.บางเลน อ.บางเลน จ.นครปฐม ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ไฟฟ้าได้ช่วยกันตัดไฟ เนื่องจากกังวลจะเกิดอันตราย
จากการตรวจสอบภายในร่องน้ำ พบรถกระบะ 4 ประตู ป้ายทะเบียนกรุงเทพมหานคร สภาพรถพังยับทั้งคัน และมีผู้ติดภายในรถจำนวน 2 คน เจ้าหน้าที่ช่วยกันนำร่างออกจากตัวรถ
นอกจากนี้ ภายในคูน้ำข้างทางยังพบผู้เสียชีวิตเป็นหญิงเมียนมา 5 คน เจ้าหน้าที่ช่วยกันลำเลียงขึ้นฝั่ง เพื่อให้แพทย์ชันสูตรพลิกศพ และดำเนินการสอบสวนตามกฎหมาย
ขณะที่การสอบถามเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุรถกระบะคันดังกล่าวจอดอยู่ริมถนน ขณะเดียวกันมีรถเจ้าหน้าที่สายตรวจรถยนต์ออกตรวจพื้นที่ กระทั่งมาถึงบริเวณหน้าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อ.บางเลน พบรถกระบะซึ่งจอดอยู่ที่มืดฝั่งตรงข้ามการไฟฟ้าฯ ดูมีพิรุธ จึงวนไปตรวจสอบ แต่รถกระบะได้ขับหลบหนีด้วยความเร็วสูง ก่อนจะมาเสียหลักเฉี่ยวชนเสาไฟฟ้าตกคูน้ำ และมีผู้เสียชีวิตดังกล่าว
ประสาน กต.ติดต่อญาติผู้เสียชีวิตชาวเมียนมา
ล่าสุด พ.ต.ท.ปรัชญา บูรณัต สารวัตรสอบสวน สภ.บางเลน จ.นครปฐม เปิดเผยความคืบหน้า กรณีดังกล่าวโดยระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีญาติผู้เสียชีวิตติดต่อมาขอรับศพที่โรงพยาบาลบางเลน รวมถึงยังไม่มีเจ้าของรถประสานมาเพื่อให้ข้อมูล โดยตำรวจอยู่ระหว่างตรวจสอบประกันภัยและเลขทะเบียนรถ เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลติดตามหาเจ้าของรถ
จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบรถจดทะเบียนเป็นชื่อของชาวเมียนมา แต่ไม่ใช่รายชื่อเดียวกับคนขับรถที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต โดยขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อไปยังเจ้าตัวได้
ส่วนการตรวจสอบประกันภัยรถพบว่ามีการทำประกันไว้ ซึ่งในวันนี้ตัวแทนจากบริษัทประกันภัยจะต้องเข้ามาพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางการชดเชยค่าเสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันพนักงานสอบสวนจะมีการทำรายงานเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งให้กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อดำเนินการติดต่อประสานหาญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
อ่านข่าว : รัสเซียประกาศตอบโต้หลังยูเครนยิง "ATACMS" โจมตีใกล้พรมแดน
ชาวนาขอ ทบ.ใช้สนามบินเลิงนกทา เป็นลานตากข้าว
สภาพอากาศวันนี้ ไทยตอนบนอุณหภูมิลด "ใต้" ฝนตกหนักบางแห่ง
วันนี้ (19 พ.ย.2567) นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ พอล ผู้ต้องหาคดีดิไอคอนเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ดำเนินคดีกับ น.ส.กฤษอนงค์ และนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือ ฟิล์ม กรณีที่ปรากฏคลิปบันทึกเสียงเรียกรับเงิน 20 ล้านบาท อ้างจะพาออกรายการโทรทัศน์
นายวิฑูรย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับมอบอำนาจจากนายวรัตน์พล ในฐานะนิติบุคคลบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ให้เข้ามาดำเนินคดีกับ น.ส.กฤษอนงค์ และ นายรัฐภูมิ ส่วนจะเข้าข่ายความผิดข้อหาร่วมกันกรรโชกทรัพย์ หรือ ข้อหาพยายามฉ้อโกง นั้นพนักงานสอบสวนจะเป็นผู้พิจารณาตามพยานหลักฐาน
สำหรับคลิปบันทึกเสียงดังกล่าวมีทั้งหมด 3 คลิป และถูกบันทึกอยู่ในโทรศัพท์มือถือของ น.ส.ปัญจรัศม์ หรือ ปัน ที่ขณะนี้ถูกตำรวจยึดไปตรวจสอบ ซึ่งยืนยันว่าคลิปบันทึกเสียงไม่ได้ถูกปล่อยออกมาจากฝ่ายตัวเองแน่นอน
ส่วนกรณีผู้ที่อ้างตัวว่าได้รับความเสียหายจากบริษัทดิไอคอน 89 คน ที่ น.ส.กฤษอนงค์ พามาเรียกร้องขอรับเงินชดเชย 8.9 ล้านบาท นั้น ทราบว่าภายหลังผู้เสียหายได้มีการนำเงินที่ได้รับจากบริษัทไปแบ่งให้กับ น.ส.กฤษอนงค์ ในอัตราคนละร้อยละ 20 ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าได้เข้ามาลงทะเบียนทับซ้อนกับ บก.ปคบ.หรือไม่ หากตรวจพบว่ามีการกระทำความผิดก็จะแจ้งข้อหาร่วมกันกรรโชกทรัพย์ เพราะมองว่ามีการทำงานร่วมกันเป็นขบวนการ
ทนายความ เปิดเผยว่า บริษัทดิไอคอน ยืนยันจะไม่ดำเนินคดีกับ นาย ส.เสือ เพราะเคยให้ข้อมูลกับตำรวจไปแล้วว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการเรียกทรัพย์ ส่วนที่ตำรวจ ปปป. ได้ขยายผลพบเส้นทางการเงิน 10 ล้านบาท ที่โอนจากมารดาไปให้สาย ส.เสือ เชื่อว่าเป็นการโอนกันระหว่างแม่ลูก ไม่ได้เป็นเส้นเงินที่ผู้บริหารดิไอคอนจ่าย
อ่านข่าว :
นักการเมืองคดีดิไอคอนฯ รอดยากในเงื้อมมือ “บิ๊กเต่า”
คุม "กฤษอนงค์" เข้าคุก หลังเจ้าตัวไม่ยื่นประกันคดีกรรโชกทรัพย์
"จรูญเกียรติ" ขอเวลา 10 วัน สรุปอีก 3 คดี "กฤษอนงค์"
เมื่อวันที่ 18 พ.ย.2567 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงมาตรการระเบิดสะพานโจร ครั้งที่ 2 ครั้งนี้เป็นการจับกุมกลุ่มชาวจีน ที่ร่วมมือกับชาวไทย เปิดบริษัทเช่าเบอร์ 02 กว่าหมื่นเลขหมาย โทรหลอกประชาชนคนไทยไปมากกว่า 700 ล้านครั้ง นอกจากนี้ยังมีการใช้เครื่องส่ง SMS ปลอม ตระเวนขับรถส่งข้อความให้ประชาชนเกือบล้านครั้งในเวลาแค่ 3 วัน
ก่อนหน้านี้ เวลาประชาชนจะระมัดระวังหมายเลขโทรเข้าที่อาจเป็นมิจฉาชีพ ก็อาจจะระวังจากเบอร์มือถือ หรือเบอร์ที่มีเครื่องหมายบวกนำหน้าที่เป็นเบอร์จากต่างประเทศ แต่พอเป็นเบอร์ 02 บางทีก็พิจารณาว่าอาจจะต้องรับเพราะอาจเป็นเบอร์คอลเซนเตอร์จริง ๆ ของบริษัท หรือหน่วยงานต่าง ๆ ที่อาจจะมีเรื่องติดต่อเข้ามา
แต่หลัง ๆ ไม่ใช่แบบนั้น เบอร์ 02 กลายเป็นเบอร์ของมิจฉาชีพ
วิธีการคือ ผู้ต้องหาชาวจีนกับชาติอื่นในอาเซียน ร่วมมือกับชาวไทย จดทะเบียนบริษัทนิติบุคคล เพื่อเช่าเบอร์ 02 จากผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ โดยใช้การทำงานผ่านระบบ SIP Trunk Solution ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถใช้โครงข่ายโทรศัพท์ประจำที่ หรือเบอร์พื้นฐาน ผ่านอินเตอร์เน็ตได้ ดังนั้นจึงไม่ติดข้อจำกัดเรื่องสถานที่ และสามารถใช้เบอร์ 02 ที่เรานึกว่าจะต้องโทรจากกรุงเทพ แต่จริง ๆ แล้วโทรมาจากชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามาหลอกลวงคนไทยได้
เบอร์โทร 02 ที่เช่าไป รวม 11,201 เลขหมาย เช่าผ่าน 3 บริษัท ห้วงเวลาที่ใช้โทรเข้าหาคนไทย คือ มิ.ย.-ก.ค. โทรรวม 700 ล้านครั้ง คือ
เจ้าหน้าที่จับกุมผู้ต้องหาในขบวนการเบอร์ 02 ได้ 10 ราย เป็นคนไทย 9 คน และ คนสัญชาติเมียนมาอีก 1 คน โดยดำเนินคดีฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์, ร่วมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลที่ปกปิดวิธีการและมีมุ่งหมายเพื่อการมิชอบด้วยกฎหมาย (สมคบกันเป็น อั้งยี่ หรือ ซ่องโจร), สมคบกันกระทำความผิดฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงินและความผิดฐานบัญชีม้า โดยขณะนี้ได้ประสานตำรวจสากล (Interpol) ในการออกหมายแดงเพื่อจับกุมตัวผู้ร่วมขบวนการชาวต่างชาติที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ กลับมาดำเนินคดีตามกฎหมายที่ประเทศไทยต่อไป
นั่นแค่คดีแรก ยังมีอีกคดีที่ระยะหลัง เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้รับ SMS ข้อความว่า "คุณมีคะแนน 9,000 คะแนนจะหมดอายุ รีบแลกของขวัญ" แล้วแนบลิงก์มาซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร เพราะหลาย ๆ คนคงเคยได้ SMS น่าสงสัย แต่ครั้งนี้ที่ตำรวจจับได้เพราะทางผู้ให้บริการตรวจพบความผิดปกติ
วิธีการไม่ได้ใหม่ คือคนร้ายที่เป็นชายสัญชาติจีน ใช้เครื่องส่งสัญญาณปลอม ส่ง SMS ข้อความที่ว่ามา เฉพาะช่วง 3 วัน คือระหว่าง 11-13 พ.ย. ส่งข้อความไปเกือบล้านครั้ง ผู้ให้บริการเลยรู้สึกว่ามันผิดปกติ และยังพบว่า เครื่องส่งสัญญาณที่ว่านี้ สามารถส่งข้อความได้ในรัศมีถึง 3 กม. ดังนั้นคนที่ได้รับข้อความหลอกลวงจึงมีเยอะมาก
วิธีการคือ ภายในรถจะมีเครื่องจำลองสถานีฐาน False Base Station อยู่ข้างใน มีการเชื่อมต่อกับเครื่องจ่ายไฟเคลื่อนที่ Power Station กำลังไฟ 8,000 W จำนวน 1 ตู้, เราต์เตอร์ไวไฟ จำนวน 1 ตัว และโทรศัพท์มือถืออีกจำนวน 4 เครื่อง แล้วก็วิ่งวนส่งข้อความตามเส้นทางที่มีคนพลุกพล่าน
ตำรวจแจ้ง 3 ข้อกล่าวหา คือ "ทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้า ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาต" , "ตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาต" และ "ใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาต" กับชาวจีนที่ถูกจับกุม และอยู่ระหว่างขยายผลไปถึงตัวผู้จ้างวาน และเครือข่ายของขบวนการนี้ต่อไป
ในการแถลงไม่ได้ระบุถึงความเสียหายกับผู้เสียหาย ว่ามีใครถูกหลอกมากน้อยแค่ไหน แต่ว่าเป็นการตัดอีกหนึ่งวงจรแก๊งคอลเซนเตอร์
ซึ่งเมื่อ 4 วันก่อน ทาง DES ก็เพิ่งแถลงมูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงโดยมิจฉาชีพ ทั้งหลอกลงทุน หลอกทำงาน หลอกโอนเงิน หลอกซื้อสินค้า พบมูลค่าความเสียหายเฉพาะเดือน พ.ย.66 - ต.ค.67 รวม 19,000 ล้านบาท กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือช่วงอายุ 20-49 ปี ช่องทางที่ถูกหลอกมากสุด คือเฟซบุ๊ก คอลเซนเตอร์ ดิ๊กต็อก เป็นต้น
อ่านข่าวอื่น :
อร่อยเต็มเปี่ยมโซเดียมเต็มคำ เตือนก่อน "ไตพัง" ปรับเปลี่ยนการกิน
ปศุสัตว์ชี้คนวางยา "แมว" ซีรีส์ดัง ไม่ใช่สัตวแพทย์ เอาผิดทารุณกรรม
และ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.สอบสวนกลาง ที่กำลังเดินหน้าคลี่คลายคดีดิไอคอนกรุ๊ป ร่วมกับดีเอสไอ ประสานกับทางดีเอสไอ ที่ได้รีบมอบหมายให้ทำคดี ดีไอคอนกรุ๊ป
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคนดัง ประเภทตบทรัพย์ “บิ๊กเต่า” ขอเวลา 10 วัน สำหรับคดีของ “ฟิล์ม”นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ นักร้องชื่อดังในอดีต กับ น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ หรือนักการเมืองหญิง ก.ไก่ ซึ่งขณะนี้มีถึง 4 คดี
ตั้งแต่เรื่องของ น.ส.กฤษอนงค์ หรือ เจ๊พัช ที่ถูกออกหมายจับจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง หรือศาลปราบโกง ข้อหากรรโชกทรัพย์ และเป็นตัวกลางเรียกรับสินบน กรณีเรียกรับเงิน 3 แสนบาท และ 4.5 แสนบาท
เรื่องที่ 2 คดีถูก “หนุ่ม” นายกรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรทีวีรายการชื่อดัง แจ้งความเอาผิดทั้ง 2 คน แอบอ้างชื่อนายกรรชัยและรายการขอนายกรรชัย สำหรับฟอกขาว เรื่องที่ 3 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ น.ส.จิราพร สินธุไพร แจ้งความเอาผิด น.ส.กฤษอนงค์ เรื่องหมิ่นประมาท
และเรื่องที่ 4 น.ส.กฤษอนงค์ และ “ฟิล์ม” นายรัฐภูมิ เรียกรับเงินจาก น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร หรือบอสปัน จำนวน 20 ล้านบาท ซึ่งในคดี 20 ล้านบาทนี้ วันที่ 19 พ.ย. ผู้เสียหายจะมอบอำนาจให้ทนายความแจ้งความดำเนินคดีด้วย
โดนไปหลายคดี จนทำให้ น.ส.กฤษอนงค์ ออกอาการเครียดจัด หลังจากวันถูกกองปราบควบคุมตัว ได้โพสต์ข้อความ ทำนองทุกคนมีโอกาสพลั้งเผลอทำผิดพลาดได้ และในฐานะแม่ขออย่าเอาลูกมาเกี่ยวข้อง เด็ก ๆ ควรได้รับโอกาสในการใช้ชีวิตอย่างปกติ ไม่ถูกล้อเลียนจากการกระทำของผู้เป็นแม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะเด็กไม่เกี่ยวกับการกระทำของผู้ใหญ่
เพียงแต่กระแสสังคมส่วนหนึ่งตั้งข้อวิพากษ์ว่า ผู้ใหญ่ต่างหากที่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะอุตส่าห์ตั้งศูนย์ปราบแชร์ลูกโซ่ และตั้งพรรคการเมือง แทนที่จะคอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือคนที่ตกเป็นเหยื่อ กลับกลายเป็นทำเสียเอง
โดยใช้ศักยภาพและความได้เปรียบที่เหนือคนอื่น ขู่กรรโชกทรัพย์ ทั้งยังปั้นน้ำเป็นตัว อ้างถึงระดับรัฐมนตรีมอบหมาย รวมกระทั่งพ่อของรัฐมนตรี มิหนำซ้ำ มีข้อมูลวงในอ้างว่า มีพฤติการณ์ลักษณะเช่นนี้มาหลายปีแล้ว โดยอาศัยเส้นสนกลไน และรู้จักคนใน สคบ. ส่วนจะเท็จจริงอย่างไร ต้องไปต่อสู้กันตามกระบวนการยุติธรรม
ถัดไปเป็นเรื่องคนสำคัญในเพจสายไหมต้องรอด ซึ่งความจริงมีบทบาทและเป็นที่ยอมรับของผู้คน ตั้งแต่โควิด 19 แพร่ระบาด โดนเรื่องปั้นพยานเท็จ เรื่องสุดท้ายที่น่าจะใหญ่ไม่แพ้คดีของน.ส.กฤษองนค์ และส่อเค้าจะเป็นหนังยาวเช่นกัน คือเรื่องนักการเมือง ส.เสือ ที่เคยสังกัดพรรคการเมืองใหญ่ เคยใกล้ชิดเป็นมือเป็นไม้ให้กับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
นักการเมืองชาย ส.เสือ เคยถูกแชร์คลิปเสียงเรียกรับผลประโยชน์จากบอสดิไอคอนกรุ๊ป 30 ล้านบาท อ้างเพื่อเคลียร์คดีนอกจากได้รับรายเดือนเดือนละแสน รวมทั้งบางกระแสระบุว่า มีการแทรกแซงเสนอแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง ในสคบ. โดยอาศัยการเป็นกรรมาธิการ และนักการเมืองในสังกัดพรรคใหญ่
ข้อมูลล่าสุด ที่ “บิ๊กเต่า” อัพเดทล่าสุด คือพบเส้นเงินในบัญชีคุณแม่ของนักการเมือง ส.เสือ โอนเข้าบัญชีนับสิบล้านบาท ส่อเค้ามีอะไรมากกว่าข้อมูลเดิม ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากทางดิไอคอนกรุ๊ป ที่เคยเปิดแง้มประเด็นนี้
และมีการชี้แจงเบื้องต้น อ้างว่าเป็นเงินร่วมทำบุญ แต่จะเป็นด้วยความสมัครใจ หรือเป็นวิธีการที่นักตบทรัพย์นำไปใช้ เพื่อเลี่ยงว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเรียกตบทรัพย์ แต่เป็นเรื่องเงินทำบุญ ต้องไปตรวจสอบหาความกระจ่างอีกทีหนึ่ง
หลังจากก่อนหน้านี้ ก็มีข้อมูลที่น่าตกใจ เมื่อทนายบอสพอล นายวิทูรย์ เก่งงาน เข้าพบ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ และระบุว่า มีผู้เรียกรับเงินจากบอสพอลมากกว่า 80 คน และเพิ่งจ่ายไปในช่วงกลางปี
มีการรีดเงินดิไอคอนมากที่สุดถึง 20 ล้านบาท ซึ่งหากเป็นจริงเท่ากับว่า ทางดิไอคอนกรุ๊ป กุมความลับ และอาจมีคลิปเสียงหรือหลักฐานอื่น ที่บอสพอลบันทึกและเก็บรวบรวมไว้เพื่อดัดหลังนักน้องเรียน นักตบทรัพย์ เทวดา รวมทั้งนักการเมือง โดยเฉพาะอีกไม่น้อย
หวยจะออกที่ใครบ้าง จะรอดพ้นเงื้อมมือกองปราบฯ ตำรวจสอบสวนกลาง และ “รองเต่า” ได้หรือไม่ ต้องติดตาม เพราะ “รองเต่า” นั้น ได้รับการยอมรับว่า เป็นนายตำรวจตงฉิน ทำมาแล้วหลายคดี และยังเป็นคนที่กล้าเปิดหน้าท้าชน “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรองผบ.ตร.มาแล้ว เรื่องเกี่ยวพันกับเว็บพนันมินนี่
ได้ใจทั้งทางฝั่งตำรวจ และประชาชนในกลุ่มที่ไม่ใช่เอฟซี “บิ๊กโจ๊ก” อยู่ไม่น้อยทีเดียว
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : อร่อยเต็มเปี่ยมโซเดียมเต็มคำ เตือนก่อน "ไตพัง" ปรับเปลี่ยนการกิน
เคาะแจกเงิน 10,000 เฟส 2 ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป รับก่อนตรุษจีน 2568
แต่งตั้ง-โยกย้าย 25 ขรก.มหาดไทย ผู้ว่าฯบุรีรัมย์ นั่งอธิบดีปกครองส่วนท้องถิ่น
ความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่มีผู้ร้องเรียนว่าละครเรื่องแม่หยัว มีฉากวางยาแมว ทำให้แมวแสดงอาการเหมือนถูกวางยาพิษ ว่าเป็นการทารุณกรรมสัตว์ พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ.2557 หรือไม่ โดยกรมปศุสัตว์ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องกับละครดังกล่าวมาเพื่อให้ถ้อยคำและนำแมวที่แสดงมาตรวจร่างกาย เมื่อวันที่ 13 พ.ย.2567 ที่ห้องประชุมพระพิรุณ ตึกอำนวยการ กรมปศุสัตว์
นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้กองสวัสดิภาพสัตว์และสัตวแพทย์บริการ และสำนักกฎหมาย ดำเนินการสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว
จากการตรวจสอบคุณลักษณะของแมวที่นำมาด้วยเทคนิค AI และ Deep Learning โดยได้รับความอนุเคราะห์จากบริษัทโลจิเซ็นส์ จำกัด และสมาคมเมกเกอร์ ประเทศไทย พบว่า ลักษณะโครงหน้า รูปร่าง ขา ความสูง หรืออัตลักษณ์ต่าง ๆ ที่มีข้อมูลเทียบเคียงกันในแต่ละเฟรม หรือแต่ละรูป เหมือนกันถึง 80% จึงน่าเชื่อได้ว่าแมวที่นำมาให้สัตวแพทย์ตรวจร่างกายมีแนวโน้มที่จะเป็นตัวเดียวกับแมวที่แสดงในละคร
ผลการตรวจร่างกาย พบว่า แมวมีสุขภาพปกติ การตรวจด้วยรังสีเอกซ์ไม่พบความผิดปกติของอวัยวะภายในช่องอกและช่องท้อง การตรวจผิวหนังไม่พบบาดแผลใด ๆ ผลการการตรวจโลหิตไม่พบความผิดปกติของเม็ดเลือด และการทำงานของตับและไตแต่อย่างใด
สำหรับการสอบข้อเท็จจริง พบว่า เจ้าของแมวซึ่งเป็นผู้รับจ้างจัดหาแมวมาแสดงในฉากละคร เมื่อวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่เมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ ให้ถ้อยคำว่า ตนเองไม่มีใบประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ แต่มีประสบการณ์การเลี้ยงสัตว์มานาน เป็นผู้ฉีดยาระงับประสาทชนิดเดียวกับที่สัตวแพทย์ใช้สำหรับการเตรียมตัวสัตว์ก่อนการวางยาสลบสัตว์ให้แก่แมวด้วยตนเอง โดยได้รับค่าจ้างการทีมงานละคร
ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์จะได้มอบหมายให้กองสวัสดิภาพสัตว์และสัตวแพทย์บริการ ในฐานะเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ.2557 ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีกับเจ้าของแมว และผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดฐานกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามมาตรา 20 และไม่ดำเนินการจัดสวัสดิภาพสัตว์ให้แก่สัตว์ของตนอย่างเหมาะสม ตามมาตรา 22 ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจท้องที่ที่พบกระทำความผิดดังกล่าวต่อไป
อ่านข่าว : โซเซียลวิจารณ์สนั่น ปมวางยาสลบแมวในละครดัง - ผู้กำกับชี้แจง โชว์คลิปอัปเดต
ปศุสัตว์เรียกผู้เกี่ยวข้องซีรีส์ดัง แจงปม "วางยาสลบแมว" 18 พ.ย.นี้
"วอชด็อก" จ่อแจ้งเอาผิดฉากแม่หยัว "วางยาแมว"
วันนี้ (19 พ.ย.2567) พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ และในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า วานนี้ (18 พ.ย.) ทางผู้แทนของดีเอสไอได้เดินทางไปรับมอบหลักฐานคลิปเสียงสนทนาของ น.ส.กฤษอนงค์ ที่มีการสนทนากับชายคนหนึ่ง โดยมีการกล่าวอ้างถึงการจ่ายเงิน 10 ล้านบาทแก่ดีเอสไอเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจะนำส่งคลิปเสียงเข้ากระบวนการตรวจพิสูจน์โดยผู้เชี่ยวชาญของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม
พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า ภายหลังได้ข้อมูลแล้วทราบว่าในวันนี้ทางดีเอสไอจะเข้าไปประสานกับทางทัณฑสถานหญิงกลาง เนื่องด้วยขณะนี้ผู้ต้องหาเพิ่งเข้าไปภายใน และอยู่ระหว่างเริ่มต้นการกักโรคโควิด-19 จำนวน 5 วัน หากพนักงานสอบสวนจะเข้าไปสอบสวนปากคำผู้ต้องหา ก็จะต้องประสานงานกับทางทัณฑสถานเพื่อขออนุญาตก่อน หากราชทัณฑ์อนุญาต ดีเอสไอก็จะเข้าสอบปากคำในวันนี้
ส่วนสาเหตุที่ต้องสอบสวน น.ส.กฤษอนงค์ ก่อนนายวรัตน์พล หรือบอสพอล เพราะเจ้าตัวเป็นคนพูดประโยคดังกล่าว รวมทั้งพนักงานสอบสวนจะได้สอบประเด็นอื่น ๆ คู่ขนานไปด้วยให้เร็วที่สุด
สำหรับการเตรียมเข้าไปสอบสวนปากคำเพิ่มเติม 11 ผู้ต้องขังชายภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในวันที่ 20-21 พ.ย.นี้ เนื่องจากครั้งที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนได้เข้าไปแจ้งข้อกล่าวหาและสอบสวนปากคำ แต่ทางผู้ต้องหาผู้ชายไม่ได้ให้การใด ๆ โดยประสงค์ขอยื่นเป็นเอกสารชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน และขอยื่นบัญชีรายชื่อพยานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองแทนนั้น
แต่จนปัจจุบันนี้ยังไม่มีผู้ต้องหารายใดส่งเอกสารหรือส่งประเด็นที่ต้องการให้ดีเอสไอไปพิสูจน์ มีเพียงบัญชีรายชื่อพยานของทนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวัตน์พล ที่ได้มีการยื่นไว้ก่อนที่ดีเอสไอจะเข้าไปแจ้งข้อหากับ 18 คน โดยดีเอสไอได้ทำการสอบสวนพยานตามบัญชีดังกล่าวแล้ว พบว่าไม่มีใครอ้างพยานหลักฐาน ณ เวลานั้น ทำให้ที่ประชุมมีมติร่วมกันว่าควรจะเข้าไปสอบสวนปากคำอีกครั้ง รวมถึงสอบสวนปากคำนายวรัตน์พลในประเด็นที่เป็นคู่สายสนทนาในคลิปเสียงกับ น.ส.กฤษอนงค์ เรื่องการจ่ายเงิน 10 ล้านบาทอีกด้วย ส่วนสาเหตุที่ดีเอสไอไม่ต้องสอบสวนปากคำเพิ่มเติมกับผู้ต้องขังหญิงทั้ง 7 คน ในทัณฑสถานหญิงกลางนั้น เนื่องจากทั้งหมดได้มีการให้ถ้อยคำหมดแล้ว
สำหรับกรณีการยื่นคำร้องของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษต่อศาลอาญา เพื่อขยายเวลาการฝากขัง 18 ผู้ต้องหาคดีบริษัทดิไอคอนฯ เป็นผัดที่ 4 นั้น ในส่วนของ 17 บอสดิไอคอนฯ ยกเว้นนายวรัตน์พลจะได้ดำเนินการในวันพฤหัสบดีที่ 21 พ.ย. ส่วนวันศุกร์ที่ 22 พ.ย. จะได้ฝากขังนายวรัตน์พลต่อศาล เพราะเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ช้ากว่าคนอื่น ๆ 1 วัน ซึ่งได้มีการมอบหมายให้ ผอ.ส่วนคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ 2 รับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอน
พ.ต.ต.วรณัน เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (20 พ.ย.) พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมตนเอง จะเชิญทีมคณะทำงานไปหารือกับอธิบดีอัยการคดีพิเศษ เพื่อกำหนดแนวทางการบริหารคดี และประสานว่าดีเอสไอได้ดำเนินการอย่างไรไปแล้วบ้าง เพื่อจะได้มีข้อหารือว่าจะทำงานร่วมกัน
ส่วนในวันที่ 20-21 พ.ย.นี้ ในการสอบสวนปากคำผู้ต้องขังชาย 11 คนภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จะมี ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ ผอ.กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ และ พ.ต.ท.อนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค เป็นผู้ประสานการปฏิบัติในรายละเอียด
อ่านข่าว : อดีตตัวแทน "ดิไอคอน" ร้อง ปคบ.ปลดอายัดบัญชีแบงก์
คุม "กฤษอนงค์" เข้าคุก หลังเจ้าตัวไม่ยื่นประกันคดีกรรโชกทรัพย์
ทนาย "กรรชัย" ให้การเพิ่มปมกฤษอนงค์-ฟิล์มแอบอ้างเรียกเงิน